มุมสุขภาพตา

เรียงตาม

วิธีรักษาต้อหิน พร้อมแนวทางการป้องกันไม่ให้เกิดต้อหิน

ต้อหินมักเกิดจากปัจจัยภายในที่ควบคุมไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นอายุที่มากขึ้น พันธุกรรม โรคเบาหวาน และความผิดปกติของโครงสร้างลูกตา ซึ่งล้วนส่งผลให้ความดันตาสูงขึ้น จนไปกดทับเส้นประสาทตา ส่งผลให้เส้นประสาทตาเสื่อมสภาพและถูกทำลายอย่างช้าๆ และเกิดเป็นต้อหินในท้ายที่สุด วิธีรักษาต้อหินรวมทั้งการประคองอาการทำได้หลายวิธี ตั้งแต่การใช้ยาหยอดตา การจ่ายยาเพื่อรับประทาน การทำเลเซอร์ ไปจนถึงการผ่าตัดระบายน้ำหล่อเลี้ยงดวงตา ป้องกันต้อหินได้ด้วยการหมั่นตรวจสุขภาพดวงตา และปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น เลือกกินอาหารบำรุงดวงตา ออกกำลังกายเป็นประจำ นอนหมอนสูง และสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันดวงตาเมื่อต้องออกแดด แนะนำมารักษาต้อหินได้ที่Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ)ที่นี่มีจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษาตั้งแต่ขั้นตอนการวินิจฉัย ให้คำแนะนำ ตลอดจนการรักษาด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ปลอดภัย ให้ผลลัพธ์การรักษาที่มีประสิทธิภาพ   ต้อหิน เป็นภัยเงียบที่สังเกตอาการได้ยาก ผู้ป่วยบางคนอาจรู้ตัวเมื่อสายไป ส่งผลให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้เลยทีเดียว! มาทำความรู้จักกับโรคต้อหินให้มากขึ้น หาสาเหตุและอาการ กลุ่มเสี่ยงเป็นต้อหินที่ควรรู้ ตลอดจากการวินิจฉัยและวิธีการรักษาต้อหิน มีรายละเอียดอย่างไรบ้าง หาคำตอบได้ที่นี่     รู้จักกับต้อหิน มีสาเหตุและอาการอย่างไร ต้อหินคือหนึ่งในกลุ่มโรคต้อโดยเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของเส้นประสาทตาที่เป็นตัวนำกระแสการมองเห็นสู่สมอง หากเส้นประสาทตาถูกทำลายก็จะสูญเสียลานสายตา ส่งผลให้เส้นประสาทตาเสื่อมสภาพและถูกทำลายอย่างช้าๆ หากปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษา อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นได้อย่างถาวร และไม่สามารถรักษาให้กลับมาเป็นปกติได้ ต้อหินมักเกิดจากปัจจัยภายในที่ควบคุมไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นอายุที่มากขึ้น พันธุกรรม โรคเบาหวาน และความผิดปกติของโครงสร้างลูกตา ปัจจัยเหล่านี้เป็นต้นตอที่ทำให้ความดันภายในลูกตาสูงขึ้นจนกดทับเส้นประสาทตาจนเกิดความเสียหาย นอกจากนี้ อุบัติเหตุที่ส่งผลกระทบต่อดวงตา อาจทำให้ความดันตาสูงขึ้นจนเป็นเหตุให้เกิดต้อหินได้เช่นกัน อาการของต้อหินในระยะเริ่มแรกมักไม่แสดงอาการที่ชัดเจน ผู้ป่วยอาจสังเกตเห็นเพียงแค่ขอบภาพมัวลง หรือมีจุดบอดเล็กๆ ในสายตา แต่เมื่อปล่อยไว้นานขึ้นโรคก็จะยิ่งรุนแรงขึ้น อาจมีอาการเห็นภาพซ้อน หรือมองเห็นเป็นแสงวาบได้ ดังนั้น หากสังเกตเห็นอาการผิดปกติเกี่ยวกับสายตา ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและหาวิธีรักษาต้อหิน     กลุ่มคนที่เสี่ยงเป็นต้อหินมากที่สุด แม้ว่าต้อหินเกิดจากปัจจัยภายในที่ควบคุมไม่ได้ แต่ก็มีกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเป็นต้อหินมากกว่ากลุ่มคนทั่วไปอยู่ หากคุณเป็นหนึ่งในกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ ควรตรวจสายตาเป็นประจำ หรือ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อสังเกตอาการต้อหินอย่างใกล้ชิด และหาวิธีรักษาต้อหินได้อย่างทันท่วงที   กลุ่มผู้สูงอายุเพราะโครงสร้างของดวงตาจะเสื่อมสภาพตามวัย กลุ่มผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นต้อหินเพราะพันธุกรรมมีส่วนสำคัญในการกำหนดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ กลุ่มผู้ที่มีความดันตาสูงความดันภายในลูกตาที่สูงขึ้นเรื้อรังจะกดทับเส้นประสาทตา ทำให้เกิดความเสียหายได้ง่าย กลุ่มผู้ที่มีสายตาสั้นหรือยาวมากรูปร่างของลูกตาที่ผิดปกติอาจส่งผลต่อการระบายน้ำในลูกตา ทำให้ความดันตาสูงขึ้นได้ กลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานเพราะโรคเบาหวานสามารถทำลายหลอดเลือดฝอยที่เลี้ยงเส้นประสาทตาได้ กลุ่มผู้ที่เคยผ่าตัดตาเพราะการผ่าตัดบางชนิดอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดต้อหิน กลุ่มผู้ที่ใช้ยาบางชนิดเป็นเวลานานเช่น สเตียรอยด์ที่อาจเพิ่มความดันในลูกตา กลุ่มผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆเช่น มีขั้วตาใหญ่ เคยได้รับอุบัติเหตุที่ตา หรือมีโรคทางระบบอื่นๆ อย่างโรคไทรอยด์เป็นพิษ ระยะเวลาของการเกิดต้อหิน ระยะเวลาในการเกิดต้อหินตั้งแต่เริ่มแรกไปจนถึงการสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรใช้เวลาประมาณ 5 - 10 ปี โดยเฉพาะโรคต้อหินที่มีสาเหตุมาจากความเสื่อมสภาพตามวัย ทั้งนี้ ระยะเวลาขึ้นอยู่กับว่าผู้ป่วยตรวจพบต้อหินในระยะไหนด้วย หากพบไวก็จะหาวิธีรักษาต้อหินได้ไว แต่หากตรวจพบต้อหินในระยะท้าย อาจหาวิธีการรักษาต้อหินได้ยาก หรืออาจสูญเสียการมองเห็นภายในไม่กี่เดือน     วิธีการตรวจวินิจฉัยเพื่อรักษาต้อหิน วิธีการตรวจวินิจฉัยเพื่อหาวิธีรักษาต้อหิน แพทย์จะเริ่มต้นจากการซักประวัติ จากนั้นจะตรวจสายตาโดยละเอียด ซึ่งมีวิธีการตรวจดังนี้   การวัดสายตา การวัดความดันในลูกตา การตรวจขั้วประสาทตาและจอตา การตรวจดูลานตา การวัดความหนาของกระจกตา การตรวจมุมระบายน้ำหล่อเลี้ยงในลูกตา     วิธีรักษาต้อหินหรือกลับมาใกล้เคียงปกติ วิธีการรักษาต้อหินหรือประคองอาการไม่ให้ประสาทตาถูกทำลายมากขึ้น และคงการมองเห็นเอาไว้ให้กลับมาใกล้เคียงปกติมีอยู่หลายวิธี โดยจักษุแพทย์จะพิจารณาการรักษาแต่ละวิธีจากสาเหตุ อาการ และความรุนแรงของอาการ ดังนี้ การรักษาต้อหินโดยใช้ยาหยอดตา โดยทั่วไปแล้ว การรักษาต้อหินมักจะใช้วิธีการจ่ายยาหยอดตาที่มีส่วนช่วยลดความดันภายในลูกตา เพื่อลดการกดทับของเส้นประสาทในดวงตา ตัวยาจะเข้าไปลดการสร้างน้ำในดวงตา หรืออาจช่วยเพิ่มอัตราการไหลออกของน้ำหล่อเลี้ยงลูกตา โดยมีกลุ่มยาหยอดตาที่แพทย์พิจารณาใช้ ดังนี้   ยาต้านเบต้า (Beta-blockers)ลดการผลิตน้ำหล่อเลี้ยงในลูกตา ทำให้ความดันภายในลูกตาลดลง ยาคาร์บอนิกแอนไฮเดรสอินฮิบิเตอร์ (Carbonic Anhydrase Inhibitors)ยับยั้งการสร้างน้ำหล่อเลี้ยงในลูกตา โปรสตาแกลนดินแอนะล็อก (Prostaglandin Analogs)เพิ่มการระบายน้ำหล่อเลี้ยงออกจากลูกตา อะดรีนเนอร์จิกอะโกนิสต์ (Adrenergic Agonists)ทำให้รูม่านตาหดตัวและช่วยเพิ่มการระบายน้ำหล่อเลี้ยง พาราซิมพาโทมิเมติก (Parasympathomimetics)ทำให้รูม่านตาหดตัวและช่วยเพิ่มการระบายน้ำหล่อเลี้ยง     การรักษาต้อหินโดยการรับประทานยา หากการรักษาต้อหินโดยยาหยอดตาไม่ได้ผล จักษุแพทย์จะพิจารณาจ่ายยาชนิดรับประทานให้ผู้ป่วย โดยใช้ยาคาร์บอนิก แอนไฮเดรส อิฮิบิเตอร์ (Carbonic Anhydrase Inhibitors) ที่มีทั้งชนิดเม็ดและยาหยอดตา มีส่วนช่วยลดการสร้างของเหลวในลูกตา ทำให้ความดันภายในตาลดลง การรักษาต้อหินด้วยเลเซอร์ การรักษาต้อหินด้วยเลเซอร์มีจุดมุ่งหมายเพื่อระบายน้ำในตาออก ลดความดันภายในดวงตา ซึ่งการใช้เลเซอร์แบ่งออกเป็น 2 ชนิดขึ้นอยู่กับชนิดของต้อหิน ดังนี้   ใช้เลเซอร์กับต้อหินมุมปิดโดยจักษุแพทย์จะยิงเลเซอร์เข้าไปรักษาต้อหิน โดยเจาะรูเล็กๆ บนม่านตา เพื่อสร้างช่องทางให้ของเหลวในลูกตาไหลเวียนได้สะดวกขึ้น เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดต้อหินมุมปิดเฉียบพลัน ใช้เลเซอร์กับต้อหินมุมเปิดโดยจักษุแพทย์จะยิงเลเซอร์พลังงานต่ำเข้าไปรักษาต้อหิน โดยยิงไปที่บริเวณมุมระบายน้ำของลูกตา เพื่อกระตุ้นให้เซลล์ที่เกี่ยวข้องกับการระบายน้ำทำงานได้ดีขึ้น     การรักษาต้อหินด้วยการผ่าตัด จักษุแพทย์จะพิจารณาผ่าตัดต้อหินเพื่อสร้างช่องทางระบายน้ำภายในลูกตาที่มีขนาดเล็กประมาณ 1 - 1.5 มิลลิเมตร เพื่อให้ความดันในลูกตาต่ำลง ลดโอกาสกดทับเส้นประสาทตาที่เป็นต้นตอของต้อหิน โดยจักษุแพทย์จะมีแนวทางการผ่าตัดรักษาต้อหิน ดังนี้ 1. ผ่าตัดรักษาต้อหินด้วยวิธี Trabeculectomy ผ่าตัดรักษาต้อหินด้วยวิธี Trabeculectomy เป็นวิธีการผ่าตัดที่นิยมใช้มากที่สุด โดยการผ่าตัดสร้างแผ่นเนื้อเยื่อบางๆ ที่มุมระบายน้ำของลูกตา เพื่อให้น้ำหล่อเลี้ยงไหลออกจากลูกตาได้ง่ายขึ้น วิธีนี้จะช่วยลดความดันภายในลูกตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การรั่วของน้ำหล่อเลี้ยง การติดเชื้อ หรือการเกิดต้อกระจก 2. ผ่าตัดรักษาต้อหินด้วยวิธี Aqueous Shunt Surgery ผ่าตัดรักษาต้อหินด้วยวิธี Aqueous Shunt Surgery เป็นการผ่าตัดโดยการใส่ท่อระบายน้ำขนาดเล็กเข้าไปในลูกตา เพื่อเชื่อมต่อกับช่องว่างใต้เยื่อบุตาขาว ทำให้น้ำหล่อเลี้ยงไหลออกจากลูกตาได้โดยตรง วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีความดันตาสูงมาก หรือผู้ป่วยที่เคยผ่าตัด Trabeculectomy แล้วไม่ประสบความสำเร็จ 3. ผ่าตัดรักษาต้อหินด้วยวิธี Xen Implantation ผ่าตัดรักษาต้อหินด้วยวิธีXen Implantationเป็นการผ่าตัดเพื่อใส่ท่อระบายน้ำขนาดเล็กและยืดหยุ่นเข้าไปในดวงตา เพื่อสร้างทางระบายใหม่สำหรับของเหลวภายในลูกตา จากนั้นของเหลวส่วนเกินก็จะไหลออกจากตัวท่อไปยังใต้เยื่อบุตาขาว ส่งผลให้ความดันตาลดลง     ขั้นตอนการผ่าตัดรักษาต้อหิน การผ่าตัดรักษาต้อหินมีขั้นตอนหลักๆ ดังนี้   วิสัญญีแพทย์จะให้ยาชาเฉพาะที่บริเวณดวงตา หรืออาจให้ยาสลบในบางกรณี จักษุแพทย์จะผ่าตัดเพื่อสร้างช่องทางระบายน้ำหล่อเลี้ยงในลูกตา โดยวิธีการผ่าตัดจะแตกต่างกันไปตามชนิดของการผ่าตัด หลังจากทำการสร้างช่องทางระบายน้ำแล้ว จักษุแพทย์จะทำการเย็บปิดแผล     ผ่าตัดต้อหินเตรียมตัวอย่างไรและพักฟื้นกี่วัน? ผ่าตัดต้อหินพักฟื้นกี่วัน? โดยทั่วไปแล้วระยะเวลาในการพักฟื้นหลังการผ่าตัดต้อหินจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล อาจใช้เวลาประมาณ 1 - 2 สัปดาห์ในการพักฟื้นที่บ้าน และอาจต้องใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์ในการกลับมาทำกิจกรรมประจำวันได้ตามปกติ   และเพื่อให้วิธีการผ่าตัดรักษาต้อหินหรือประคองอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด คนไข้ควรดูแลตัวเองทั้งก่อนและหลังการผ่าตัดอย่างถูกวิธี โดยมีแนวทางการดูแลตัวเองดังนี้ การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดต้อหิน แจ้งประวัติสุขภาพทั้งหมดให้แพทย์ทราบ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับโรคประจำตัว ยาที่กำลังรับประทาน และอาการแพ้ ตรวจสุขภาพ โดยแพทย์จะทำการตรวจตาและตรวจร่างกายโดยละเอียด เพื่อประเมินสภาพร่างกายก่อนการผ่าตัด หยุดยาบางชนิดก่อนการผ่าตัด เช่น ยาละลายลิ่มเลือด ยาแอสไพริน เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออก งดอาหารและเครื่องดื่มก่อนการผ่าตัดตามเวลาที่แพทย์กำหนด หากต้องเข้าพักโรงพยาบาล ให้เตรียมเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวที่จำเป็น ควรมีญาติหรือเพื่อนมาคอยดูแลหลังการผ่าตัด การดูแลตนเองหลังผ่าตัดต้อหิน หยอดยาตามที่จักษุแพทย์กำหนดอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการติดเชื้อและลดการอักเสบ หลีกเลี่ยงการขยี้ตา หลีกเลี่ยงการยกของหนัก หลีกเลี่ยงการก้มหน้า เพราะการก้มหน้าอาจทำให้น้ำหล่อเลี้ยงไหลออกจากลูกตาได้ หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ใช้แรงมาก เช่น การออกกำลังกายหนัก การพักผ่อนจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ติดตามผลการผ่าตัดและตรวจสอบภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น     แนวทางในการป้องกันต้อหิน อย่างที่ทราบกันไปแล้วว่าต้อหินมีอาการที่สังเกตเห็นได้ยาก บางรายอาจเสี่ยงสูญเสียการมองเห็นก่อนรู้ว่าเป็นต้อหินก็ได้ ดังนั้น การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีเพื่อป้องกันต้อหินจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรรู้ โดยมีแนวทางดังนี้     ตรวจสายตาทุก 5 - 10 ปี ควรตรวจสุขภาพดวงตาเป็นประจำ ซึ่งความถี่อาจขึ้นอยู่กับอายุของแต่ละบุคคล ดังนี้   อายุต่ำกว่า 40 ปี ควรตรวจสุขภาพดวงตาทุก 5 - 10 ปี อายุ 40 - 54 ปี ควรตรวจสุขภาพดวงตาทุก 2 - 4 ปี อายุ 55 - 64 ปี ควรตรวจสุขภาพดวงตาทุก 1 - 3 ปี อายุ 65 ปีขึ้นไป ควรตรวจสุขภาพดวงตาทุก 1 - 2 ปี     การออกกำลังกาย การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอมีส่วนช่วยลดความดันภายในดวงตาลงได้ อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาแนวทางการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคลด้วย รับประทานวิตามินบำรุงสายตา ควรเลือกกินอาหารที่มีวิตามินบำรุงสายตา เพื่อรักษาสุขภาพของดวงตาให้แข็งแรง โดยมีวิตามินที่แนะนำ เช่น วิตามินเอ (Vitamin A) วิตามินซี (Vitamin C) วิตามินดี (Vitamin D) และวิตามินอี (Vitamin E) เป็นต้น     สวมอุปกรณ์ป้องกันสายตา หากจำเป็นต้องออกแดด หรือต้องออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งบ่อยๆ เป็นเวลานานๆ แนะนำให้สวมอุปกรณ์ป้องกันสายตา เช่น แว่นดำ หรือหมวกที่มีปีก เพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บของดวงตา และป้องกันการเสื่อมสภาพของดวงตาที่เป็นสาเหตุให้เกิดต้อหินได้ หนุนหมอนในระดับที่พอเหมาะ ควรนอนหนุนหมอนที่มีระดับความสูงประมาณ 20 องศา เพื่อลดความดันของลูกตาขณะนอนหลับได้อย่างมีประสิทธิภาพ รักษาต้อหินที่ศูนย์รักษาต้อหิน Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร หากเป็นต้อหิน แนะนำให้เข้ามาปรึกษาและรักษาอาการได้ที่ศูนย์รักษาต้อหิน Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ)จักษุแพทย์ของเรา มีความเชี่ยวชาญด้านการรักษาอาการต้อหินทุกระยะ ด้วยทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการักษาต้อหินโดยเฉพาะ มีจุดเด่นดังนี้ โรงพยาบาลมีทีมจักษุแพทย์เฉพาะทางด้านต้อหิน ที่มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย พร้อมให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง สรุป แม้ว่าจะไม่มีวิธีรักษาต้อหินได้ แต่ผู้ป่วยสามารถรีบรักษาเพื่อประคองและบรรเทาอาการ ป้องกันการสูญเสียการมองเห็นในระยะยาวได้ โดยควรตรวจสุขภาพดวงตาอย่างสม่ำเสมอ ออกกำลังกายเป็นประจำ เลือกกินอาหารที่มีสารอาหารบำรุงสุขภาพดวงตา นอนหมอนที่มีระดับเหมาะสม และสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันดวงตาทุกครั้งที่ต้องออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นเวลานาน เท่านี้ก็สามารถรักษาดวงตาให้สุขภาพดี ห่างไกลต้อหินได้แล้ว แนะนำมารักษาต้อหินได้ที่ศูนย์รักษาต้อหินBangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ)ที่นี่มีจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยให้บริการตั้งแต่ขั้นตอนการวินิจฉัย ให้คำปรึกษา ตลอดจนการรักษาด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ปลอดภัย ให้ผลลัพธ์การรักษาที่มีประสิทธิภาพ
อ่านเพิ่มเติม
ศูนย์รักษาต้อกระจก
ศูนย์รักษาจอประสาทตา
ศูนย์เลสิก LASER VISION
ศูนย์รักษาต้อหิน
ศูนย์รักษากระจกตา
ศูนย์รักษาตาเด็ก
ศูนย์ศัลยกรรมตกแต่งรอบดวงตา
ศูนย์รักษาจักษุประสาทวิทยา

กระจกตาเป็นฝ้า : สาเหตุ วิธีการรักษา และทางเลือกที่ใช่สำหรับคุณ

กระจกตาเป็นฝ้า สาเหตุ วิธีการรักษา และทางเลือกที่ใช่สำหรับคุณ ณ ศูนย์รักษาโรคกระจกตา โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ กระจกตาเปรียบเสมือนหน้าต่างบานแรกที่แสงจะผ่านเข้าสู่ดวงตา หาก "กระจกตา" เกิดขุ่นมัว การมองเห็นย่อมได้รับผลกระทบ "กระจกตาเป็นฝ้า" เป็นภาวะที่กระจกตาสูญเสียความใส ทำให้มองเห็นภาพมัว ไม่ชัดเจน หรือเห็นภาพซ้อน ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน สาเหตุของกระจกตาเป็นฝ้า กระจกตาเป็นฝ้าอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย ได้แก่ การติดเชื้อ เช่น เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา หรือไวรัส ซึ่งอาจเกิดจากการใส่คอนแทคเลนส์ที่ไม่ถูกสุขลักษณะ หรือการบาดเจ็บที่กระจกตา แผลที่กระจกตา เกิดจากการบาดเจ็บ การระคายเคืองจากฝุ่นละออง สารเคมี หรือการติดเชื้อ โรคทางพันธุกรรม เช่น โรคกระจกตาโค้งผิดปกติ (Keratoconus) ทำให้กระจกตาบางและโป่งนูนผิดปกติ ภาวะแทรกซ้อนจากโรคตา เช่น โรคตาอักเสบ การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาสเตียรอยด์หยอดตาเป็นเวลานาน การสัมผัสสารเคมี เช่น สารฟอกขาว กรด ด่าง การขาดวิตามินเอ อาการของกระจกตาเป็นฝ้า มองเห็นภาพมัว อาจเป็นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความขุ่นมัวของกระจกตา เห็นภาพซ้อน ตาแดง ปวดตา เคืองตา น้ำตาไหล แพ้แสง วิธีการรักษากระจกตาเป็นฝ้า การรักษากระจกตาเป็นฝ้าขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรง โดยทั่วไปมีวิธีการรักษาดังนี้ การใช้ยา เช่น ยาหยอดตา ยาป้ายตา เพื่อลดการอักเสบ ฆ่าเชื้อ หรือรักษาตามสาเหตุ การผ่าตัด การปลูกถ่ายกระจกตา : ในกรณีที่กระจกตาเสียหายมาก การขัดกระจกตาด้วยเลเซอร์ : เช่น PTK การรักษาอื่นๆ เช่น การประคบอุ่น การใส่คอนแทคเลนส์ชนิดพิเศษ ศูนย์รักษาโรคกระจกตา โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ พร้อมดูแลรักษากระจกตาเป็นฝ้าอย่างครบวงจร ด้วย ทีมจักษุแพทย์เฉพาะทางด้านกระจกตา : ประสบการณ์สูง เชี่ยวชาญ พร้อมให้คำปรึกษาและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เทคโนโลยีที่ทันสมัย : เครื่องมือที่ได้มาตรฐานสากล ช่วยในการวินิจฉัยและรักษาอย่างแม่นยำ ปลอดภัย เครื่องตรวจวัดความโค้งของกระจกตา (Corneal Topography) เครื่องตรวจวัดความหนาของกระจกตา (Pachymetry) เลเซอร์ Excimer และ เลเซอร์ Femtosecond การดูแลอย่างครบวงจร : ตั้งแต่การตรวจวินิจฉัย การรักษา การติดตามผล จนกระทั่งหายเป็นปกติ บริการที่สะดวกสบาย : บรรยากาศเป็นกันเอง ใส่ใจทุกขั้นตอน คืนความใสการมองเห็นที่คมชัดให้กับดวงตาที่ศูนย์รักษาโรคกระจกตา โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและนัดหมายแพทย์ได้ที่ 02-511-2111  
ศูนย์รักษาต้อหิน

อย่าปล่อยให้ต้อหินมาคุกคามดวงตาของคุณ! |โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ

อย่าปล่อยให้ต้อหินมาคุกคามดวงตาของคุณ!   ต้อหิน เป็นภัยเงียบที่คุกคามดวงตาของเรา หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร แต่ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในปัจจุบัน การตรวจวินิจฉัยต้อหินมีความแม่นยำและรวดเร็วมากขึ้น ที่ศูนย์รักษาโรคต้อหิน โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ เราพร้อมมอบการดูแลรักษาด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย เพื่อปกป้องดวงตาของคุณจากภัยร้ายนี้   เทคโนโลยีในการตรวจวินิจฉัยต้อหิน •  Heidelberg Spectralis OCT : เทคโนโลยีเลเซอร์สแกนขั้วประสาทตา สร้างภาพ 3 มิติ วิเคราะห์ความผิดปกติของขั้วประสาทตา วิเคราะห์ความเสียหายของเส้นใยประสาทตาจากต้อหินได้อย่างแม่นยำ ติดตามการเปลี่ยนแปลงของโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตรวจพบต้อหินได้แม้ในระยะเริ่มต้น     •  Humphrey Field Analyzer 3 (Visual Field Test) : การตรวจวัดลานสายตา   ประเมินขอบเขตการมองเห็นของผู้ป่วย ตรวจหาจุดบอดในลานสายตา ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงโรคต้อหิน   •  Ultra-Widefield Fundus Photography : การถ่ายภาพจอประสาทตา บันทึกภาพสีของจอประสาทตา ช่วยในการวินิจฉัย ติดตาม และประเมินผลการรักษา   ทำไมต้องเลือกศูนย์รักษาโรคต้อหิน โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ? ทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ : เรามีทีมจักษุแพทย์เฉพาะทางด้านต้อหิน ผู้มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษา วินิจฉัย และวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย เทคโนโลยีที่ทันสมัย : ศูนย์ฯ ของเราพร้อมด้วยเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ครบครัน ช่วยในการวินิจฉัยโรคต้อหินได้อย่างแม่นยำ รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ บริการที่ครบวงจร : เรามีบริการตรวจวินิจฉัย รักษา และติดตามผลโรคต้อหินอย่างครบวงจร ในสถานที่เดียว   หากคุณมีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคต้อหิน เช่น อายุมากกว่า 40 ปี มีประวัติครอบครัวเป็นต้อหิน เป็นโรคเบาหวาน หรือใช้ยา Steroid เป็นประจำ ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพตาเป็นประจำทุกปี สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 02-511-2111
ศูนย์รักษาต้อกระจก
ศูนย์รักษาจอประสาทตา
ศูนย์รักษาต้อหิน
ศูนย์รักษากระจกตา
ศูนย์รักษาตาเด็ก
ศูนย์ศัลยกรรมตกแต่งรอบดวงตา
ศูนย์รักษาจักษุประสาทวิทยา

รายชื่อประกันภัย

  บริษัทประกันภัย บริษัท ไทยประกันสุขภาพ จำกัด มหาชน บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ลูม่าแคร์ จำกัด บริษัท บลูเวนเจอร์ ทีพีเอ จำกัด บริษัท เอดับเบิลยู พี เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด Asian Assistance (Thailand) Co., Ltd. APRIL Assistance (Thailand) Co., Ltd. International SOS (Thailand) Co., Ltd. Assist International Services Co., Ltd. บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด มหาชน บริษัท ซัมซุงประกันชีวิต(ประเทศไทย) จำกัด มหาชน  บริษัท Euro-Center (Thailand) Co., Ltd. บริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) :: สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ::  แผนกประสานสิทธิ์ประกัน 02-511-2111 ต่อ 3803, 3804  UR Nurse 02-511-2111 ต่อ 3805
ศูนย์รักษาต้อหิน

ภาวะความดันสูงในลูกตา: ภัยเงียบที่อาจนำไปสู่โรคต้อหิน

ภาวะความดันสูงในลูกตา: ภัยเงียบที่อาจนำไปสู่โรคต้อหิน หลายท่านอาจคุ้นเคยกับโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นภาวะที่พบได้บ่อยและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่ทราบหรือไม่ว่า ดวงตาของเราก็มีความดันเช่นกัน และภาวะความดันสูงในลูกตาที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจนำไปสู่โรคต้อหิน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้ความดันในลูกตาสูงเกิดจากอะไร? ภายในลูกตาของเรามีของเหลวใสที่เรียกว่า “Aqueous humor” ซึ่งทำหน้าที่หล่อเลี้ยงเลนส์แก้วตาและกระจกตา ของเหลวนี้มีการสร้างและระบายออกอย่างสมดุลอยู่เสมอ แต่หากระบบการระบายมีปัญหา ทำให้ของเหลวคั่งค้างภายในลูกตา ก็จะทำให้ความดันในลูกตาสูงขึ้น ความดันในลูกตาสูง ส่งผลอย่างไรต่อดวงตา? ความดันในลูกตาสูงเป็นเวลานาน จะไปกดทับเส้นประสาทตา ทำให้เส้นประสาทตาถูกทำลายอย่างช้าๆ ส่งผลต่อลานสายตาโดยเริ่มจากการมองเห็นภาพด้านข้างหายไป และค่อยๆ แคบลงเรื่อยๆ จนกระทั่งสูญเสียการมองเห็น ที่น่ากังวลคือ ผู้ป่วยมักไม่รู้ตัวว่ามีความดันในลูกตาสูง เนื่องจากในระยะแรกแทบจะไม่มีอาการใดๆ จึงมักมาพบแพทย์เมื่อโรคอยู่ในระยะท้ายๆ แล้ว ใครบ้างที่มีความเสี่ยง?   ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคต้อหิน ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ผู้ที่มีภาวะสายตาสั้นหรือยาวมาก ผู้ที่เคยได้รับบาดเจ็บที่ดวงตา ผู้ที่ใช้ยาหยอดตาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน การป้องกันและรักษา การตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ โดยเฉพาะการตรวจวัดความดันในลูกตา เป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง หากตรวจพบความดันในลูกตาสูง แพทย์จะให้การรักษาที่เหมาะสม เช่น การใช้ยาหยอดตา รับประทานยา การรักษาด้วยเลเซอร์ หรือการผ่าตัด เพื่อควบคุมความดันในลูกตา ป้องกันไม่ให้เส้นประสาทตาถูกทำลาย และลดความเสี่ยงในการสูญเสียการมองเห็นจากโรคต้อหิน โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ พร้อมดูแลทุกปัญหาสุขภาพตา ด้วยทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านต้อหิน พร้อมด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย เราพร้อมให้บริการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคต้อหินอย่างครบวงจร เพื่อปกป้องดวงตาของคุณจากภัยเงียบนี้   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือนัดหมายแพทย์ โทร. 02-511-2111
ศูนย์รักษาต้อกระจก
ศูนย์รักษาจอประสาทตา
ศูนย์รักษาต้อหิน
ศูนย์รักษากระจกตา
ศูนย์รักษาตาเด็ก
ศูนย์ศัลยกรรมตกแต่งรอบดวงตา
ศูนย์รักษาจักษุประสาทวิทยา

สรุปทำเลสิกแบบไหนดีที่สุด Latest Updates 2024

สรุปทำเลสิกแบบไหนดีที่สุด Latest Updates 2024   หลายท่านกำลังมองหาเทคนิคการทำเลสิกที่ดีและมีประสิทธิภาพในปี 2024 นี้ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเลือกทำเลสิกวิธีไหนดี เพราะมีวิธีการทำเลสิกมากมายหลายรูปแบบ แต่ละรูปแบบก็มีวิธีการผ่าตัด ระยะเวลาพักฟื้น ราคา และความเหมาะสมที่แตกต่างกันออกไป โดยทางเลือกที่ดีที่สุด คือ เราขอแนะนำให้คุณเข้าไปทำการประเมินดวงตาก่อนการผ่าตัดกับจักษุแพทย์เพื่อให้แพทย์ประเมินหาวิธีการทำเลสิกที่เหมาะสมกับตัวคุณที่สุด    แต่ในแง่ของเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ เราขอแนะนำการผ่าตัดทำเลสิกที่ทันสมัยที่สุดในปี 2024 ซึ่งเป็นการผ่าตัดรักษาสายตาแบบแผลเล็ก ด้วยการผ่าตัดไร้ใบมีด โดยการใช้ Femtosecond Laser ที่ใช้เวลาผ่าตัดน้อยกว่า แผลหายเร็วกว่า มีความปลอดภัยสูงกว่า ที่สำคัญให้การรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย มาดูกันว่าการทำการทำเลสิกรักษาสายตาแบบแผลเล็ก คืออะไร และมีเทคโนโลยีการรักษาสายตาแบบแผลเล็กตัวไหนบ้างที่น่าสนใจ   การทำเลสิก รักษาสายตาแบบแผลเล็กคืออะไร เทคโนโลยีการทำเลสิกแบบแผลเล็กหรือ SMILE (Small Incision Lenticule Extraction) เป็นหนึ่งในเทคนิคการผ่าตัดเลสิกเพื่อรักษาสายตาสั้นและสายตาเอียงที่พัฒนาขึ้นมาใหม่เพื่อลดการทำลายเนื้อเยื่อของกระจกตาและให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในด้านการฟื้นตัว โดยการใช้ Femtosecond Laser เพื่อที่จะแยกชั้นกระจกตา และปรับโค้งกระจกตาตามค่าสายตาในคราวเดียวกัน แล้วจึงนำเนื้อกระจกตาส่วนเกินออกผ่านช่องขนาดเล็ก ปรับเปลี่ยนความโค้งกระจกตา โดยไม่ต้องเปิดฝากระจกตา ซึ่งมีข้อดีเยอะมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นผลข้างเคียงหลังจากผ่าตัดที่จะทำให้ตาแห้งน้อยลง กระจกตาแข็งแรงมากกว่าการทำเลสิกแบบอื่น ๆ  และปัญหาเรื่องเห็นแสงกระจายกลางคืนที่น้อยลง โดยการทำเลสิกแบบแผลเล็กหรือ SMILE ยังมีเทคโนโลยีแบบเฉพาะตัวที่แตกต่างกันออกไปอีกด้วย   เปรียบเทียบเทคโนโลยีการรักษาสายตา NanoRelex® นวัตกรรมใหม่ล่าสุดในการผ่าตัดแผลเล็กที่นำเข้าโดยเลเซอร์วิชั่น ศูนย์เลสิกชั้นนำฯ ในประเทศไทย โดยเลเซอร์วิชั่น ถือเป็นผู้บุกเบิก NanoRelex® แห่งแรกและแห่งเดียวของประเทศไทย ซึ่งนับเป็นนิวเจเนอเรชั่นของรีเล็กซ์ ซึ่งคิดค้นขึ้นมาเพื่อรักษาสายตาสั้น เอียง และสายตายาว เป็นการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงของ Femtosecond Laser ที่มีความแม่นยำสูง ในการปรับแต่งเนื้อเยื่อภายในชั้น Stroma ของกระจกตา ด้วยการคำนวณชิ้นเนื้อกระจกตา เป็นรูป 3 มิติ ที่เรียกว่า Lenticule ตามค่าสายตาของแต่ละบุคคล แล้วทำการนำ Lenticule ออกผ่านทางแผลขนาดเล็กประมาณ 2-3 มิลลิเมตร นอกจากนี้ ยังมีการนำระบบ AI เข้ามาใช้เพื่อวิเคราะห์การรักษา วิเคราะห์ปัญหาสายตา โดยเพิ่มความปลอดภัยของคนไข้ด้วยกล้อง OCT Scan ระหว่างการผ่าตัดทำให้ศัลยแพทย์สามารถเห็นชั้นกระจกตาได้แบบ Real-time   โดยมีจุดเด่นคือใช้ระยะเวลาผ่าตัดน้อย แผลมีขนาดเล็ก คนไข้ไม่รู้สึกเจ็บขณะผ่าตัด และหลังทำผ่าตัดจะเคืองตาน้อยกว่าวิธีอื่น สามารถแก้ไขสายตาสั้น เอียงได้มากขึ้น โดยที่ยังคงความแข็งแรง ของกระจกตาอยู่ เนื่องจากการผ่าตัดมีแผลเล็ก ทำให้แผลหลังผ่าตัดหายเร็วขึ้น ลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงต่างๆ เช่น การติดเชื้อหลังผ่าตัด อาการ ตาแห้ง และให้ผลการรักษาที่แม่นยำรวมถึงลดผลกระทบ เช่น ตาแห้ง แสงกระจายในที่มืด และการมองเห็นไม่ชัดในที่แสงน้อย ให้น้อยลงอีกด้วย   ReLEx SMILE Pro เป็นการพัฒนาจากการรักษา ReLEx SMILE แบบปกติ โดยใช้ระยะเวลาการยิงเลเซอร์ เพียง 8-10 วินาที มีความเร็วมากกว่า ReLEx SMILE ถึง 3 เท่า ลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด และเพิ่มความสบายตาของคนไข้ในขณะการผ่าตัด เป็นการผ่าตัดไร้ใบมีด ใช้เลเซอร์ทุกขั้นตอน โดยใช้ Visumax 800 Femtosecond Laser แยกชั้นกระจกตาให้เป็นเลนส์ในเนื้อกระจกตา (Lenticule) เพื่อปรับความโค้งของกระจกตา ให้เหมาะสมกับค่าสายตาที่ต้องการแก้ไข โดยไม่ทำลายผิวกระจกตาชั้นนอกสุด   ข้อดี คือ มีความแม่นยำสูง ความโค้งกระจกตายังคงแข็งแรงแม้ผ่านการผ่าตัดแล้ว เกิดผลข้างเคียงเช่นตาแห้ง แสงกระจายในที่มืด และการมองเห็นไม่ชัดในที่แสงน้อยน้อยลง พักฟื้นเพียงระยะสั้นก็กลับมาใช้สายตาได้ปกติ   Smart Sight เทคโนโลยี SmartSight เป็นการใช้ SCHWIND ATOS Femtosecond Laser โดยบริษัท SCHWIND eye-tech-solutions GmbH จากประเทศเยอรมนี เป็นการผ่าตัดรักษาสายตาแผลเล็กเช่นเดียวกัน โดยเป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ถูกพัฒนาต่อยอดจากการผ่าตัดแบบ ReLEx โดยการเสริมให้มีระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เข้ามาช่วยควบคุมและคำนวณการแยกชั้นกระจกตาให้เป็นเลนส์ รวมถึงมีระบบการจดจำรูม่านตา ติดตามการเคลื่อนไหวและการหมุนของดวงตา ก่อนทำการผ่าตัดและขณะทำการผ่าตัด   การผ่าตัดใช้เลเซอร์ทุกขั้นตอน เป็นการผ่าตัดไร้ใบมีด จึงทำให้ไม่รู้สึกเจ็บในขณะผ่าตัด ระคายเคืองตาน้อยกว่าวิธีอื่น ๆ ระยะพักฟื้นสั้น สามารถกลับมาใช้สายตาได้เร็ว โอกาสเกิดผลข้างเคียง เช่น อาการตาแห้ง, แสงกระจายในที่มืด, ความไม่คมชัดในที่แสงน้อย ก็น้อยกว่าการรักษาด้วยเลเซอร์ประเภทอื่นๆ เนื่องจากไม่มีการเปิดชั้นกระจกตา แถมยังลดโอกาสเติมเลเซอร์น้อยกว่าการผ่าตัดประเภทอื่น ๆ เนื่องจากผลการวิเคราะห์และการรักษาที่ให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำ ที่สำคัญคือ การรักษาความโค้งกระจกตาหลังการรักษา ให้มีความใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด   การรักษาแบบไหนเหมาะสมกับตัวเรากันแน่? การรักษาค่าสายตาผิดปกติที่ดีที่สุด คือ การเลือกแนวทางในการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและเหมาะสมกับดวงตาของเรามากที่สุด โดยการทำเลสิกแบบแผลผ่าตัดเล็กเป็นเทคโนโลยีล่าสุดที่ทรงประสิทธิภาพมากในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นความแม่นยำในการประเมินและการผ่าตัด รวมไปถึงการลดความเสี่ยงและผลข้างเคียงในหลายด้าน โดยเทคโนโลยีการผ่าตัดรักษาค่าสายตาผิดปกติแบบแผลเล็กไม่ว่าจะเป็น NanoRelex®, ReLEx SMILE Pro หรือ Smart Sight ต่างมีประสิทธิภาพในการรักษาที่ยอดเยี่ยมไม่ต่างกัน    ดังนั้นคุณจึงควรพิจารณาความเหมาะสมอื่น ๆ ที่เหมาะกับตัวคุณเอง เช่น สถานที่ตั้งของสถานพยาบาลที่ใกล้บ้าน ราคาที่เหมาะสม โปรโมชั่น การให้บริการในระหว่างการดูแลรักษาและการดูแลหลังผ่าตัดเสร็จ และที่ห้ามมองข้ามเด็ดขาด คือ ความปลอดภัยของสถานพยาบาลที่คุณตัดสินใจใช้บริการ ที่ต้องมีความเป็นมืออาชีพ ให้บริการโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางอย่างแท้จริง และการให้บริการที่มีมาตรฐานสากลรองรับในเรื่องของความปลอดภัยทางการแพทย์   ศูนย์รักษาสายตา ศูนย์เลสิกชั้นนำของไทยที่ Laser Vision ศูนย์รักษาสายตานานาชาติ เลเซอร์วิชั่น เป็นศูนย์รักษาสายตาผิดปกติ ที่มีครบทุกทางเลือก โดยมุ่งเน้นการรักษาที่มีประสิทธิภาพ และการบริการที่ประทับใจ โดยมีนวัตกรรม NanoRelex® การผ่าด้วยแผลเล็กด้วยเลเซอร์ ที่เป็นเอกสิทธิ์ในไทยเฉพาะที่นี่ที่เดียวเท่านั้น ด้วยเทคโนโลยีใหม่ของเครื่อง Femtosecond Laser ที่ใช้พลังงาน น้อยลงระดับนาโนจูลย์ ทำให้คนไข้ไม่รู้สึกเจ็บขณะผ่าตัด และหลังทำผ่าตัดจะเคืองตาน้อยกว่าวิธีอื่น ทั้งยังนำนวัตกรรมใหม่ ๆ อย่าง AI เข้ามาใช้เพื่อวิเคราะห์การรักษา วิเคราะห์ปัญหาสายตา โดยเพิ่มความปลอดภัยของคนไข้ด้วยกล้อง OCT Scan ระหว่างการผ่าตัดทำให้ศัลยแพทย์สามารถเห็นชั้นกระจกตาได้แบบ Real-time สามารถแก้ไขสายตาสั้น เอียงได้มากขึ้น โดยที่ยังคงความแข็งแรง ของกระจกตาอยู่ ช่วยบรรเทาความกังวลเรื่องตาแห้งและผลข้างเคียงอื่น ๆ หลังผ่าตัด และใช้เวลาพักฟื้นน้อยมาก ให้คุณใช้ชีวิตเป็นปกติได้เร็วขึ้น   โดยศูนย์เลสิก Laser Vision มีประสบการณ์มากกว่า 25 ปี ในการรักษาสายตา สั้น ยาว เอียง และ อื่น ๆ อีกมากมาย ด้วยทีมแพทย์ที่นำทีมโดยรศ.นพ. อนันต์ วงศ์ทองศรี ซึ่งเป็นแพทย์เฉพาะทางด้านกระจกตาและการแก้ไขสายตาผิดปกติเลสิก (LASIK) ที่มีประสบการณ์อย่างสูงมาตลอดระยะเวลากว่า 25 ปี เราจึงเป็นศูนย์ที่ได้รับการยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศว่าเป็นศูนย์ที่มีความพร้อมในทุก ๆ ด้าน ในการให้บริการรักษาสายตาผิดปกติ และยังเป็นที่รู้จักในเรื่องของสถานที่สะดวกสบาย และพนักงานที่ให้บริการอย่างมืออาชีพ ให้คุณสามารถไว้วางใจฝากฝังดวงตาที่มีเพียงคู่เดียวของคุณไว้ในมือเราได้อย่างไร้กังวล
ศูนย์รักษาต้อกระจก
ศูนย์รักษาจอประสาทตา
ศูนย์เลสิก LASER VISION
ศูนย์รักษาต้อหิน
ศูนย์รักษากระจกตา
ศูนย์รักษาตาเด็ก
ศูนย์ศัลยกรรมตกแต่งรอบดวงตา
ศูนย์รักษาจักษุประสาทวิทยา

Understanding Pterygium: Causes, Symptoms, and Treatment Options

  How people notice and see Pterygium without knowing it is Pterygium   Have you ever looked in the mirror and noticed a small, fleshy growth on the white part of your eye, usually near the nose? It might appear slightly red, or you might feel like something’s stuck in your eye. This growth can slowly creep onto the clear, center part of your eye, known as the cornea, causing discomfort, dryness, or even blurred vision. Many people mistake these signs for simple irritation, dryness, or tired eyes, unaware that they might be dealing with a condition called pterygium.   1. What is Pterygium? Pterygium (pronounced tuh-RIJ-ee-um) is a common eye condition that looks like a triangular or wedge-shaped growth on the eye’s surface. It usually starts small but can slowly expand toward the cornea. Though it might look concerning, it’s not cancerous. For some, it’s just a minor cosmetic issue, but for others, it can cause vision problems or significant discomfort   2. Why does it happen? Pterygium happens mainly due to long-term exposure to UV light from the sun, which is why it’s often called "surfer’s eye." But you don’t have to be a surfer to get it - anyone who spends a lot of time outdoors, especially without proper eye protection, is at risk. Dust, wind, and dry environments can also irritate the eye and contribute to its development. Genetics can play a part, too, as pterygium is more common in certain families. Pinguecula and pterygium are often mistaken for each other. Pinguecula is a yellowish bump on the conjunctiva, while pterygium extends onto the cornea and can affect vision. Proper diagnosis is key.   3. What to do when you notice it? If you spot a growth on your eye or feel persistent discomfort, dryness, or redness, don’t ignore it. Make an appointment with an eye specialist, especially if it’s growing or starting to affect your vision. The doctor can diagnose pterygium with a simple eye exam and discuss whether it needs to be treated right away or monitored over time.   4. Treatment Options Observation and Protection: In mild cases, protecting your eyes from the sun with sunglasses and using lubricating eye drops can help keep symptoms in check. Medication: If the pterygium becomes red and inflamed, doctors may prescribe anti-inflammatory eye drops to reduce irritation.  Surgery: When pterygium grows too large, affects vision, or causes significant discomfort, surgery to remove the growth may be recommended. This involves removing the tissue and often placing a graft (a small piece of your own conjunctiva) to cover the area and reduce the chance of it coming back.   5. Advice from Bangkok Eye Hospital and Next Steps At Bangkok Eye Hospital, our experienced ophthalmologists often see patients who are unsure what’s causing their eye discomfort or unusual growths. It’s essential to address these concerns early to avoid complications. If surgery is necessary, one of the best innovations available today is using fibrin glue during pterygium surgery, which offers many benefits over traditional stitches.     To learn more about how fibrin glue can improve your recovery and comfort, check out our next article on this advanced treatment here. If you’re experiencing symptoms or want a consultation, don’t hesitate to reach out to Bangkok Eye Hospital - our team is here to guide you through every step of your eye care journey.

ที่อยู่

ศูนย์โรคต้อหิน - โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ

10/989 ซ.ประเสริญมนูกิจ 33 แขวงนวลจันทร์ เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร 10230

ช่องทางติดต่อ

LINE
calling
ติดต่อเรา : +662 511 2111