มุมสุขภาพตา

เรียงตาม

ตาแห้งมีอาการอย่างไร วิธีรักษา ป้องกัน และพฤติกรรมที่ช่วยลดอาการตาแห้ง

อาการตาแห้ง คือภาวะตาขาดความชุ่มชื้นเพราะการผลิตน้ำตาน้อยเกินไปหรือคุณภาพน้ำตาไม่ดี ทำให้เกิดอาการระคายเคืองและไม่สบายตาได้ ตาแห้งเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น อายุที่มากขึ้นทำให้การผลิตน้ำตาน้อยลง การสวมใส่คอนแท็กต์เลนส์นานเกินไป การจ้องจอคอมพิวเตอร์นานๆ รวมถึงผลข้างเคียงจากยาบางชนิด การรักษาตาแห้งทำได้หลายวิธี เช่น ยาหยอดตา น้ำตาเทียม การประคบอุ่น และการรักษาด้วยยาลดการอักเสบ รักษาอาการตาแห้งที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ได้รับการดูแลจากจักษุแพทย์ พร้อมเทคโนโลยีทันสมัยและการรักษาที่เหมาะสมกับอาการ   ตาแห้งเป็นโรคที่ทำให้ตารู้สึกแห้งและระคายเคือง เนื่องจากการผลิตน้ำตาลดลงหรือคุณภาพของน้ำตาไม่ดีพอ ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย หากดูแลอย่างถูกวิธี จะช่วยลดอาการและป้องกันภาวะตาแห้งในระยะยาว มาหาสาเหตุของอาการตาแห้ง วิธีรักษา รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันอาการตาแห้งได้ในบทความนี้     อาการตาแห้ง คืออะไร? ก่อนทำความรู้จักกับอาการตาแห้ง ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ‘น้ำตา’ กันก่อน โดยน้ำตามีความสำคัญต่อดวงตา เป็นตัวช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา ทำให้มองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวได้อย่างชัดเจน หล่อเลี้ยงเลี้ยงกระจกตาด้วยออกซิเจน และป้องกันการติดเชื้อและสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้ามาทำร้ายดวงตา ตาแห้ง เป็นอาการที่ปริมาณน้ำตาที่เข้ามาหล่อเลี้ยงผิวตามีไม่เพียงพอส่งผลให้ผิวตาอักเสบได้ โดยอาการของตาแห้งอาจเริ่มจากการแสบตา หรือรู้สึกระคายเคืองเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในตา รวมถึงอาจพบอาการตาแดง เจ็บ หรือมีการพร่ามัวที่ดีขึ้นเมื่อกะพริบตา นอกจากนี้ยังอาจรู้สึกฝืดๆ หนักๆ ที่ตา หรือลืมตาลำบาก และบางครั้งอาจมีอาการตาล้าหรือมีน้ำตาไหลมากผิดปกติ     ทำไมถึงมีอาการตาแห้งได้ ตาแห้งเป็นปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อความสบายของดวงตาและการมองเห็น โดยเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่ พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟนเป็นเวลานานเกินไป อาการภูมิแพ้ที่ตาซึ่งอาจเกิดจากสิ่งแวดล้อมที่มีฝุ่น ควัน หรือมลภาวะ อยู่ในที่ร้อน ลมแรง หรือความชื้นต่ำ ความผิดปกติของต่อมไขมันขอบตา การพบตัวไร (Demodex blepharitis) บริเวณโคนขนตา ซึ่งเกิดจากการอักเสบของต่อมน้ำตา การใช้ยาบางประเภท เช่น ยาคุมกำเนิด ยาแก้แพ้ ยาต้านซึมเศร้า ยาลดความดันโลหิตบางชนิด ฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล โดยเฉพาะในเพศหญิงที่อาจทำให้คุณภาพของน้ำตาลดลง     อาการตาแห้งเกิดจากอะไร มีปัจจัยอะไรบ้าง ปัจจัยที่ส่งผลต่อการผลิตน้ำตาหรือการทำงานของต่อมน้ำตา หากมีลักษณะดังต่อไปนี้ จะทำให้เกิดอาการตาแห้งได้ง่ายขึ้น สร้างน้ำตาได้น้อยกว่าปกติ  (Aqueous Tear Deficiency) กลุ่มคนที่มีความผิดปกติหรือปัจจัยที่ส่งผลให้สามารถสร้างน้ำตาได้น้อย ได้แก่   กลุ่มคนที่เป็นโรค Sjogren’s Syndrome โรครูมาตอยด์ โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือภาวะที่ไม่พบสาเหตุชัดเจน เช่น Primary Sjogren’s Syndrome กลุ่มคนที่ไม่เป็นโรค Sjogren’s Syndrome เช่น ต่อมน้ำตาทำงานผิดปกติตั้งแต่เกิด โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง การแพ้ยารุนแรง หรือการอักเสบที่ทำให้ท่อน้ำตาตัน กลุ่มคนที่ฮอร์โมนเปลี่ยน มักพบในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่ส่งผลให้การผลิตน้ำตาและสารคัดหลั่งอื่นๆ ในร่างกายลดลง การกินยาบางประเภท เช่น ยาแก้หวัด ยาแก้แพ้ ยาลดความดันโลหิต หรือยาคลายเครียดบางชนิด ที่มีสารกันเสียเป็นส่วนประกอบ อาจทำให้ตาแห้งมากขึ้น เนื่องจากสารเหล่านี้สามารถลดการผลิตน้ำตาได้ น้ำตาระเหยเร็ว (Evaporative Dry Eyes)  ปัจจัยที่ส่งผลให้การระเหยของน้ำตาเกิดขึ้นเร็วกว่าปกติ ได้แก่   ต่อมไขมันที่เปลือกตาทำงานผิดปกติ เปลือกตาอักเสบที่เกิดจากความผิดปกติของชั้นไขมัน จะทำให้การสร้างน้ำตาชั้นน้ำมันลดลง ซึ่งทำให้เกิดการระเหยของน้ำตาได้เร็วขึ้น ความผิดปกติของเปลือกตา การปิดตาไม่สนิทหรือการกะพริบตาน้อยผิดปกติ ซึ่งทำให้การกระจายน้ำตาผิดปกติ และเพิ่มการระเหยของน้ำตา โดนสารเคมีหรือแพ้ยารุนแรง การอักเสบของเยื่อบุตาอาจทำให้เกิดแผลเป็น ซึ่งส่งผลต่อการสร้างน้ำตาชั้นเมือกที่ติดกับกระจกตา ทำให้การสร้างน้ำตาผิดปกติ การใช้สายตามาก พบมากในวัยทำงานจากพฤติกรรมจ้องจอคอมพิวเตอร์นานๆ โดยไม่ค่อยกะพริบตา และการใส่คอนแท็กต์เลนส์ที่ดูดน้ำออกจากดวงตา ทำให้การผลิตน้ำตาลดลงและน้ำตาระเหยเร็ว     วิธีรักษาหรือวิธีแก้โรคตาแห้ง วิธีรักษาโรคตาแห้งจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและอาการของแต่ละบุคคล โดยใช้วิธีต่างๆ รวมทั้งการใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการ ดังนี้ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ตาแห้ง ควรหลีกเลี่ยงการโดนลมแรง ฝุ่นควัน หรือแสงจ้า โดยการใส่แว่นกันแดดและแว่นกันลม เพื่อป้องกันสิ่งแวดล้อมที่อาจทำให้ตาแห้งขึ้น นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงการใส่คอนแท็กต์เลนส์เป็นเวลานานๆ เพื่อไม่ให้สูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงจากดวงตาที่อาจทำให้อาการตาแห้งแย่ลงได้ ใช้น้ำตาเทียม ในการรักษาอาการตาแห้ง น้ำตาเทียมเป็นตัวช่วยที่ดี โดยมี 2 ชนิดให้เลือกใช้ ได้แก่   น้ำตาเทียมที่มีสารกันเสีย ในรูปแบบขวด ควรใช้ไม่เกิน 4-5 ครั้งต่อวัน อาจแบ่งการใช้ยาเพิ่มน้ำตาตามช่วงเวลาของวัน เช่น เช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน ซึ่งเหมาะสำหรับอาการตาแห้งที่ไม่รุนแรง น้ำตาเทียมที่ไม่มีสารกันเสีย แบบกระเปาะ เปิดแล้วมีอายุ 24 ชั่วโมง หรือขวดที่มีระบบวาล์วพิเศษใช้ได้นาน 6 เดือน ใช้บ่อยได้ตามต้องการ เช่น ทุก 1-2 ชั่วโมง เหมาะกับผู้ที่มีอาการตาแห้งรุนแรง  ใช้ยาหยอดตาเพิ่มปริมาณน้ำตา มียาหยอดตาที่ช่วยเพิ่มน้ำตาและรักษาอาการตาแห้งได้ โดยแต่ละชนิดจะช่วยรักษาตามอาการที่แตกต่างกัน ดังนี้   ยา Diquafosol ช่วยเพิ่มการสร้างน้ำตาชั้นเมือกและชั้นน้ำเพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ดวงตาและลดอาการแห้ง ยาปฏิชีวนะ Doxycycline ยาลดการอักเสบของเปลือกตาช่วยลดการอักเสบและอาการระคายเคืองที่เกิดจากตาแห้ง ยากลุ่ม Steroids โดยยานี้ช่วยบรรเทาการอักเสบของผิวตาและลดอาการระคายเคืองที่เกิดจากการขาดน้ำตา ยา Cyclosporine ยากดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressant) ชนิดหยอดตา ช่วยลดการอักเสบในตาและเพิ่มการผลิตน้ำตา โดยการปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ซึ่งสามารถช่วยลดอาการตาแห้งได้ การทำความสะอาดเปลือกตา การทำความสะอาดเปลือกตาและประคบอุ่นด้วยแชมพูเด็กผสมเจือจางหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเปลือกตาช่วยลดการอุดตันของต่อมไขมันในเปลือกตา ทำให้ชั้นไขมันที่เคลือบน้ำตาทำงานได้ดีขึ้น ช่วยป้องกันน้ำตาระเหยเร็วและลดอาการตาแห้ง ใช้ Autologous Serum การรักษาอาการตาแห้งชนิดรุนแรงโดยใช้สารที่ช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อทำได้โดยการเจาะเลือดจากผู้ป่วยไปปั่นแยกเป็น Serum และนำมาหยอดร่วมกับการใช้น้ำตาเทียม ซึ่งจะช่วยลดการอักเสบของเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ และส่งเสริมการฟื้นตัวของเนื้อเยื่อให้กลับสู่สภาพปกติได้ดีขึ้น การอุดท่อระบายน้ำตาที่หัวตา (Punctal Plug) การรักษาอาการตาแห้งที่รุนแรงทำได้โดยการอุดช่องทางที่น้ำตาไหลออกจากตา (Punctum) ซึ่งมีทั้งชนิดอุดชั่วคราวและชนิดอุดถาวร โดยการใส่ Silicone Plug หรือ Punctal Cautery ซึ่งเป็นการจี้บริเวณช่องทางที่น้ำตาระบายออกจากตา วิธีนี้ช่วยให้ดวงตาเก็บน้ำตาไว้ได้นานขึ้น ลดการระเหยของน้ำตา และช่วยบรรเทาอาการตาแห้งได้ในกรณีที่อาการรุนแรงมาก     การปรับพฤติกรรมเพื่อป้องกันอาการตาแห้ง การป้องกันอาการตาแห้งทำได้ง่ายๆ ด้วยการปรับพฤติกรรมบางอย่างในชีวิตประจำวัน ดังนี้    หยุดพักจากการใช้งานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือมือถือทุกๆ 20 นาที โดยการหลับตาสัก 20 วินาที หรือมองสิ่งที่อยู่ไกลประมาณ 20 ฟุต เพื่อให้ตาได้พักและผ่อนคลาย งดการใช้คอนแท็กต์เลนส์ต่อเนื่อง ควรสลับใส่แว่นในระหว่างวันเพื่อให้ดวงตาได้พัก ใช้งานคอมพิวเตอร์หรือมือถือในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ เพื่อช่วยลดความเครียดของดวงตา เตือนตัวเองให้กะพริบตาบ่อยๆ เพื่อให้น้ำตาเคลือบตาและช่วยลดการระเหยของน้ำตา หากอยู่ในที่ที่มีอากาศแห้ง ร้อน หรือมีลมแรง ควรสวมแว่นกันแดดกันลมเพื่อปกป้องตาจากสภาพแวดล้อม กินอาหารที่ครบทุกหมู่ โดยเฉพาะผัก ผลไม้ ปลา หรืออาหารที่มีโอเมกา 3 ซึ่งช่วยต้านอนุมูลอิสระและลดการอักเสบของตา  ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อวัน สรุป ตาแห้งคืออาการที่น้ำตาผลิตไม่เพียงพอหรือระเหยเร็วเกินไป ทำให้ดวงตารู้สึกแห้ง ระคายเคือง และอาจเกิดการอักเสบได้ รักษาได้หลายวิธี เช่น ใช้น้ำตาเทียม ประคบอุ่น ใช้ยาเพื่อเพิ่มการสร้างน้ำตาหรือลดการอักเสบ และป้องกันตาแห้งได้ด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้ดวงตา รวมถึงการใช้ยาเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของดวงตา  สำหรับผู้ที่มีอาการตาแห้งรุนแรง รับการรักษาได้ที่ ศูนย์โรคจักษุประสาทวิทยา Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ซึ่งให้การดูแลปัญหาตาแห้งที่ส่งผลต่อการมองเห็นและระบบประสาท โดยจักษุแพทย์ในการวินิจฉัยและรักษาภาวะตาแห้งอย่างครบวงจร
อ่านเพิ่มเติม
ศูนย์รักษาจอประสาทตา

Retina Check-Up: The Best Defense Against Permanent Vision Loss

A Deeper Look at Your Eye Health: Why a Comprehensive Retina Screening is Essential . . .     When it comes to eye health, most of us think about whether we need new glasses or if too much screen time is causing strain. But there’s a part of your eye that does incredible work every second, which many of us overlook: the retina. A regular retina screening is the single best way to protect yourself from preventable vision loss. Think of your retina as the digital sensor inside a smartphone camera. It captures all the light and images around you and instantly sends that information to your brain, allowing you to see the world in detail. The problem? Many retinal diseases begin silently, without any noticeable symptoms. You might not realize anything is wrong until significant damage has already occurred. That’s why a routine check-up with an eye doctor is your best defense.     Why Does the Retina Need a Detailed Examination?   Many conditions can affect the retina. Catching them early through a comprehensive eye exam is critical for saving your sight. Diabetes and Your Eyes: If you have diabetes, an annual diabetic eye exam is non-negotiable. High blood sugar can damage the tiny blood vessels in the retina, leading to diabetic retinopathy, a primary cause of vision loss. Macular Degeneration (AMD): The macula is the central part of your retina responsible for sharp, detailed vision used for reading and recognizing faces. AMD can cause blurry or distorted central vision, but an ophthalmologist can detect the early signs. Retinal Tears or Detachment: The retina can sometimes tear or pull away from its position at the back of the eye. A retinal detachment is a medical emergency that can lead to blindness if not treated immediately. Other Health Conditions: High blood pressure and a family history of eye disease are also significant risk factors that make regular retina screenings even more important.     Who Should Get a Retina Screening?   While everyone should have regular eye exams, some individuals need to be especially proactive: Adults Aged 40 and Over: A baseline eye exam is recommended at this age. Your eye doctor can then advise you on a regular screening schedule. Individuals with Diabetes: This is crucial. A diabetic eye exam should be performed every single year. Those with a Family History of Eye Problems: If macular degeneration or retinal detachment runs in your family, you should be more diligent about your eye health. Anyone Noticing Changes in Vision: A sudden increase in eye floaters and flashes. A dark shadow or "curtain" appearing in your field of vision. Seeing wavy or distorted lines when looking at straight lines. Sudden blurry vision or vision loss. These are urgent symptoms. See an eye doctor immediately. Individuals with High Nearsightedness (Myopia): A high degree of nearsightedness can make the retina thinner and more susceptible to damage. Those Taking Certain Medications: Ask your doctor if any medications you are taking require regular retina monitoring.     What Does Our Comprehensive Screening Involve?   Our screening process is simple and thorough. An ophthalmologist will conduct a complete examination that includes the following steps: ✅ Visual Acuity Test: Precisely measures your eye's ability to see at various distances. ✅ Computerized Autorefraction: Uses modern equipment to accurately measure your eyeglass prescription power. ✅ Automatic Tonometry: Measures the internal pressure of your eye, a critical test for detecting glaucoma. ✅ Dilating Eye Examination: Prepares the eye for a detailed internal inspection by using eye drops to widen the pupils. ✅ Manifest Refraction by a Refractionist: A detailed measurement to determine the optimal prescription for glasses or treatment, based on your direct visual feedback. ✅ Optical Coherence Tomography (OCT) of the Retina: A non-invasive imaging scan that uses light to create cross-section pictures of your retina and its layers. ✅ Fundus Photography: Captures detailed images of the back of your eye (the fundus) to document and monitor its health over time. ✅ Slit Lamp Examination and Specialist Consultation: The ophthalmologist will personally examine your eyes for conditions like cataracts, assess your overall eye health, and discuss the results and any necessary treatment plans with you.   Most eye diseases can be successfully treated when detected early. Waiting for symptoms to appear often means the problem has become more advanced. Choose the best for your vision. Schedule your retina screening today. 

เส้นเลือดตาอุดตันคืออะไร? เจาะลึกสาเหตุ เช็กอาการ และวิธีรักษา

เส้นเลือดตาอุดตันคือภาวะที่เลือดไหลเวียนในจอตาได้ไม่สะดวก ส่งผลให้เกิดอาการบวมหรือเลือดออกในจอประสาทตา และกระทบต่อการมองเห็นอย่างรุนแรง หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีอาจเสี่ยงสูญเสียการมองเห็นถาวร จึงควรพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการผิดปกติ อาการเส้นเลือดตาอุดตันอาจทำให้มองเห็นเบลอๆ เห็นจุดหรือเส้นลอยไปมา หรือการมองเห็นบางมุมที่หายไป หากมีอาการเหล่านี้ควรพบแพทย์เพื่อป้องกันการสูญเสียการมองเห็นถาวร การรักษาเส้นเลือดตาอุดตันขึ้นอยู่กับความรุนแรงและตำแหน่งของอาการ โดยการรักษามักใช้การฉีดยาเข้าวุ้นตา เลเซอร์ หรือในบางกรณีอาจต้องผ่าตัดเพื่อฟื้นฟูการมองเห็นและป้องกันความเสียหายถาวร เส้นเลือดตาอุดตันเป็นภาวะที่เกิดจากการอุดตันในหลอดเลือดที่ส่งเลือดไปเลี้ยงดวงตา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็นอย่างรุนแรง หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมทันเวลา อาการของเส้นเลือดตาอุดตันมักจะปรากฏในรูปแบบของการมองเห็นไม่ชัด หรืออาจมองเห็นเป็นจุดดำในสายตา บางกรณีอาจมองเห็นแบบเบลอๆ หรือการมองเห็นลดลงอย่างรวดเร็ว   การรักษาเส้นเลือดตาอุดตันอาจต้องใช้ยาหรือการผ่าตัด ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ เพื่อช่วยให้การมองเห็นกลับคืนมาหรือบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจสาเหตุ อาการ และแนวทางการรักษา เพื่อปกป้องดวงตาคู่สำคัญ!     เส้นเลือดตาอุดตันคืออะไร? เสี่ยงสูญเสียการมองเห็นจริงไหม เส้นเลือดตาอุดตัน (Retinal Vein Occlusion – RVO) หรือเส้นเลือดจอประสาทตาอุดตัน คือภาวะที่เส้นเลือดในจอตาต้องการเลือดไปหล่อเลี้ยงเพราะไม่สามารถไหลได้ตามปกติ ซึ่งอาจเกิดจากการอุดตันของเส้นเลือดดำในตา หรือเส้นเลือดที่นำเลือดกลับจากจอตา การอุดตันนี้ทำให้เลือดไม่สามารถไหลกลับได้และอาจทำให้เกิดการบวม หรือเลือดออกในจอประสาทตา ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการมองเห็น   การอุดตันของเส้นเลือดตาสามารถทำให้เกิดการสูญเสียการมองเห็นได้จริง ถ้าหากภาวะนี้ไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที หรือหากมีอาการรุนแรง เช่น การบวมของจอตา หรือเกิดเลือดออกในตา ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อจอประสาทตาได้ การสูญเสียการมองเห็นอาจเกิดขึ้นในบางกรณีที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ดังนั้น หากมีอาการผิดปกติ เช่น การมองเห็นเบลอหรือพร่ามัว ควรพบแพทย์เพื่อการตรวจและรักษาโดยด่วน เจาะลึกสาเหตุของเส้นเลือดตาอุดตัน เส้นเลือดตาอุดตันไม่ได้เกิดขึ้นแบบเฉียบพลันโดยไม่มีสาเหตุ แต่มีหลายปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดภาวะนี้ ซึ่งบางรายอาจมีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างร่วมกัน หรือบางคนอาจไม่สามารถหาสาเหตุที่แน่ชัดได้ อย่างไรก็ตาม สาเหตุหลักที่พบได้บ่อยมีดังนี้ 1. ความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ เพราะเมื่อแรงดันในหลอดเลือดเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะทำให้ผนังหลอดเลือดตาเกิดการแข็งตัวและเปราะบางมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการตีบหรืออุดตันในเส้นเลือดบริเวณจอประสาทตาได้ง่าย ผู้ที่ควรระวังเป็นพิเศษคือกลุ่มที่เป็นความดันโลหิตสูงแต่ไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง หรือไม่สามารถควบคุมความดันให้คงที่ได้ 2. โรคเบาหวาน เบาหวานไม่ได้ส่งผลแค่ระดับน้ำตาลในเลือดเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อเส้นเลือดขนาดเล็กทั่วร่างกาย รวมถึงในดวงตาด้วย ระดับน้ำตาลที่สูงอย่างต่อเนื่องจะทำให้ผนังเส้นเลือดในตาเสียหาย เกิดการรั่วซึม บวม และมีโอกาสเกิดลิ่มเลือดหรืออุดตันได้ง่าย และผู้ป่วยเบาหวานควรเข้ารับการตรวจสุขภาพตาเป็นประจำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนทางดวงตา 3. ไขมันในเลือดสูง ภาวะไขมันในเลือดสูง โดยเฉพาะคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) สามารถสะสมตามผนังหลอดเลือดได้ เมื่อเกิดในเส้นเลือดจอประสาทตาจะเพิ่มโอกาสที่เลือดจะไหลเวียนได้ไม่สะดวกและเกิดการอุดตันได้ในที่สุด การควบคุมไขมันในเลือดด้วยการปรับพฤติกรรมการกิน และการออกกำลังกายเป็นประจำ จึงเป็นวิธีป้องกันที่สำคัญ 4. พันธุกรรมและภาวะการแข็งตัวของเลือด บางคนอาจมีพันธุกรรมที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือดมากผิดปกติ ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดลิ่มเลือด (Blood Clot) ในหลอดเลือดตาได้ง่ายกว่าคนทั่วไป ภาวะเหล่านี้อาจไม่ได้แสดงอาการชัดเจน แต่อาจตรวจพบได้จากการตรวจเลือดเฉพาะทาง หรือประวัติการเจ็บป่วยในครอบครัว 5. การสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่เป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีผลเสียต่อระบบหลอดเลือดโดยตรง ไม่เพียงแต่ในหัวใจหรือปอดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงหลอดเลือดในดวงตาด้วย ซึ่งสารพิษในบุหรี่ เช่น นิโคติน จะทำให้เส้นเลือดตีบลง การไหลเวียนเลือดลดลง และเพิ่มโอกาสเกิดลิ่มเลือดในเส้นเลือดตามากขึ้น     อาการของเส้นเลือดตาอุดตัน สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม เส้นเลือดอุดตันในตาอาจเกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน หรือค่อยๆ เกิดขึ้นอย่างช้าๆ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและระดับความรุนแรงของการอุดตัน ซึ่งบางคนอาจไม่รู้ตัวในระยะแรก แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รับการรักษาอาจทำให้สูญเสียการมองเห็นแบบถาวรได้ มองเห็นภาพเบลอ หนึ่งในอาการที่พบบ่อยที่สุดคือการมองเห็นไม่ชัด หรือมองเห็นเบลอๆ โดยเฉพาะในช่วงเช้าหลังตื่นนอน หรือเมื่อเพ่งสายตาเป็นเวลานาน อาจรู้สึกว่าภาพตรงหน้าไม่คมชัด เหมือนมีหมอกบางๆ ปกคลุมสายตาอยู่ บางรายอาจมีอาการเบลอเฉพาะบางส่วน เช่น มองเห็นด้านข้างไม่ชัดแต่ตรงกลางยังชัดอยู่ หรือในทางกลับกัน มองตรงกลางไม่ชัดแต่ด้านข้างยังคงเห็นชัดเจนอยู่ เห็นจุดหรือเส้นลอยไปมา อีกอาการที่พบได้คือการเห็นจุดดำ เส้น หรือเงาเล็กๆ ลอยอยู่ในสายตา ซึ่งมักจะขยับตามการเคลื่อนไหวของดวงตา ลักษณะนี้เรียกว่าฟลอทเตอร์ (Floaters) แม้ว่าการเห็นฟลอทเตอร์เล็กน้อยอาจไม่ใช่เรื่องผิดปกติสำหรับบางคน แต่หากเห็นมากขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว หรือเป็นร่วมกับอาการเบลอ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติ มองเห็นบางมุมไม่ชัดเจนหรือขาดหายไป บางคนอาจสังเกตว่ามีช่องว่าง หรือจุดมืดในการมองเห็น เช่น มองไม่เห็นด้านข้าง มองไม่เห็นส่วนบนของภาพ หรือเห็นภาพไม่เต็มเฟรม อาการแบบนี้บ่งบอกว่าบางส่วนของจอประสาทตาถูกทำลายจากการขาดเลือด ทำให้เซลล์รับภาพไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ตาบวมหรือรู้สึกอึดอัดในดวงตา เมื่อมีการอุดตันของเส้นเลือดในตาอาจทำให้ของเหลวสะสมในบริเวณจอประสาทตา เกิดอาการบวมบริเวณจอประสาทตา (Macular Edema) ซึ่งทำให้รู้สึกไม่สบายตา หรือแม้กระทั่งปวดตาในบางราย ในบางกรณีอาจสังเกตเห็นว่าตาข้างที่มีปัญหาดูบวมหรือตาขุ่น โดยเฉพาะเมื่อมองในกระจกหรือตรวจด้วยกล้อง การมองเห็นลดลงแบบเฉียบพลัน ในกรณีที่รุนแรง เช่น เส้นเลือดจอประสาทตาใหญ่ (Central Retinal Vein หรือ Central Retinal Artery) อุดตัน อาจทำให้การมองเห็นลดลงอย่างรวดเร็วและรุนแรงภายในเวลาไม่กี่นาที หากอาการนี้เกิดขึ้นควรรีบไปโรงพยาบาลทันที เพราะการรักษาในช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงแรกมีผลอย่างมากต่อการฟื้นฟูการมองเห็น     แนวทางการรักษาเส้นเลือดตาอุดตัน การรักษาเส้นเลือดตาอุดตันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ตำแหน่งของเส้นเลือดที่อุดตัน ความรุนแรงของอาการ และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย โดยเป้าหมายหลักของการรักษาคือการฟื้นฟูการมองเห็นให้ได้มากที่สุด และ ป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายถาวรต่อจอประสาทตา   แพทย์จักษุจะประเมินจากการตรวจวินิจฉัยด้วยเครื่องมือเฉพาะ เช่น กล้องตรวจจอประสาทตา (OCT) การฉีดสีตรวจหลอดเลือด (FFA) หรือการตรวจคลื่นเสียงความถี่สูง เป็นต้น จากนั้นจึงเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย 1. การฉีดยาเข้าวุ้นตา การฉีดยาเข้าวุ้นตา หนึ่งในวิธีที่ใช้กันบ่อยและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดจอประสาทตาบวม หรือมีเลือดออกจากเส้นเลือดที่อุดตัน โดยมียาที่ใช้ดังนี้   ยาต้าน VEGF (Anti-VEGF) ใช้เพื่อลดการเจริญเติบโตของเส้นเลือดผิดปกติ และลดการรั่วซึมของหลอดเลือด ช่วยให้จอประสาทตากลับมาทำงานได้ดีขึ้น ยาสเตียรอยด์ ใช้ในบางกรณีเพื่อลดการอักเสบและอาการบวมในจอประสาทตา โดยเฉพาะหากมีภาวะบวมเรื้อรัง 2. การรักษาด้วยเลเซอร์ หากพบว่ามีการรั่วของหลอดเลือด หรือมีเส้นเลือดผิดปกติ การใช้เลเซอร์ยิงเพื่อปิดหรือควบคุมเส้นเลือดเหล่านั้นสามารถช่วยลดความเสียหายได้   เลเซอร์ Photocoagulation ใช้สำหรับกรณีที่มีการรั่วของหลอดเลือดจากภาวะเส้นเลือดอุดตัน โดยเลเซอร์จะช่วยปิดจุดรั่วของเลือด เลเซอร์ป้องกันการเกิดต้อหินจากภาวะหลอดเลือดใหม่ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดต้อหินแทรกซ้อน ซึ่งอาจเกิดขึ้นในระยะหลังจากการอุดตัน 3. การผ่าตัด แม้จะพบได้น้อย แต่ในบางกรณีที่รุนแรง เช่น มีเลือดออกในน้ำวุ้นตาเยอะ หรือมีพังผืดดึงรั้งจอประสาทตา อาจจำเป็นต้องทำการผ่าตัด โดยการผ่าตัดวุ้นตา (Vitrectomy) เป็นการผ่าตัดเพื่อเอาเลือดออกจากวุ้นตา และเอาพังผืดหรือเนื้อเยื่อที่ผิดปกติออก เพื่อให้จอประสาทตากลับมาทำงานได้ดีขึ้น ป้องกันการเกิดเส้นเลือดตาอุดตันได้อย่างไร? การป้องกันการเกิดเส้นเลือดตาอุดตันทำได้โดยการดูแลสุขภาพทั่วไป และการตรวจสุขภาพดวงตาอย่างสม่ำเสมอ และนี่คือบางวิธีที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงได้   ควบคุมความดันโลหิต การรักษาความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดเส้นเลือดตาอุดตัน ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดี เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะนี้ ออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายเป็นประจำและการรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ เช่น ผักผลไม้สด จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ ที่อาจเป็นสาเหตุของเส้นเลือดตาอุดตัน หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในการเกิดเส้นเลือดตาอุดตัน การหลีกเลี่ยงสูบบุหรี่จึงมีส่วนช่วยลดความเสี่ยง     รักษาเส้นเลือดตาอุดตัน ที่ศูนย์รักษาตา Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร หากคุณสงสัยว่ามีอาการหรือเริ่มมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับการมองเห็น เช่น มองเห็นภาพเบลอ เห็นจุดดำลอยไปมา หรือรู้สึกว่ามุมมองบางส่วนหายไป อย่ารอให้สายเกินไป! เพราะอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของภาวะเส้นเลือดตาอุดตัน    ซึ่งหากได้รับการตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงของการสูญเสียการมองเห็นถาวรได้ ที่ Bangkok Eye Hospital เราให้ความสำคัญกับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและรวดเร็ว จึงได้นำเทคโนโลยีการตรวจตาที่ทันสมัยระดับสากลมาใช้ ดังนี้   โรงพยาบาลมีจักษุแพทย์ชำนาญการและมากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างปลอดภัย พร้อมให้การรักษา ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง สรุป เส้นเลือดตาอุดตันคือภาวะที่เส้นเลือดในจอตาอุดตัน ส่งผลให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก จนเกิดการบวมและมองเห็นผิดปกติ เช่น เห็นภาพเบลอ เห็นจุดดำ หรือการมองเห็นลดลงอย่างรวดเร็ว สาเหตุหลักมักมาจากความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง พันธุกรรม และการสูบบุหรี่ การรักษาจะขึ้นอยู่กับความรุนแรง เช่น การฉีดยาเข้าวุ้นตา เลเซอร์ หรือการผ่าตัด    ยิ่งตรวจพบเร็วยิ่งช่วยลดความเสี่ยงที่จะสูญเสียการมองเห็น หากมีอาการที่จะเป็นเส้นเลือดตาอุดตันสามารถเข้ารับบริการวินิจฉัยและรักษาได้ที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ที่มีเทคโนโลยีทันสมัยและแพทย์เฉพาะทางคอยดูแลอย่างมีประสิทธิภาพ อ่านบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง วุ้นในตาเสื่อม อันตรายต่อการมองเห็น มาหาสาเหตุและวิธีการรักษา อาการเบาหวานขึ้นตา กันไว้ดีกว่าแก้ ปล่อยไว้อาจสูญเสียการมองเห็นได้! จอประสาทตาเป็นรูเกิดจากอะไร? อาการที่ควรรีบพบแพทย์ และวิธีรักษา   FAQ – คำถามที่พบบ่อย อาการเส้นเลือดตาอุดตัน เมื่อไรควรพบแพทย์? หากมีอาการมองเห็นเบลอๆ เห็นจุดหรือเส้นลอยไปมา หรือการมองเห็นลดลง ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและรักษาทันที อาการเส้นเลือดตาอุดตันเป็นอย่างไร? อาการที่พบบ่อยคือการมองเห็นเบลอๆ การเห็นจุดหรือเส้นลอยไปมา การมองเห็นบางมุมไม่ชัดเจน หรือการมองเห็นลดลงอย่างเฉียบพลัน เส้นเลือดตาอุดตันทำให้ตาบอดได้จริงไหม? หากไม่ได้รับการรักษาทันที ภาวะนี้สามารถทำให้สูญเสียการมองเห็นถาวรได้ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการบวมในจอประสาทตาหรือเลือดออกในตา

ตาเหลืองเกิดจากอะไร? สาเหตุ วิธีป้องกัน และอาการที่ไม่ควรมองข้าม!

ตาเหลืองเกิดจากการสะสมของสารบิลิรูบินในเลือด ซึ่งมักเกิดจากปัญหาตับหรือระบบทางเดินน้ำดี เช่น โรคตับ ระบบทางเดินน้ำดี โรคเกี่ยวกับเม็ดเลือด โรคเกี่ยวกับดวงตาการใช้ยาหรือมะเร็งตับ อาการตาเหลืองคือการที่ดวงตาหรือเยื่อบุตาขาวเปลี่ยนเป็นสีเหลือง พร้อมอาจมีขี้ตาเหลืองร่วมด้วย ซึ่งมักเป็นสัญญาณของปัญหาตับ ระบบทางเดินน้ำดี และตาอักเสบ การรักษาโรคตาเหลืองขึ้นอยู่กับสาเหตุ เช่น การรักษาปัญหาตับหรือการรักษาการติดเชื้อที่ดวงตา โดยแพทย์จะวินิจฉัยและกำหนดวิธีการรักษาที่เหมาะสม การป้องกันโรคตาเหลืองสามารถทำได้โดยการดูแลสุขภาพตับและดูแลสุขภาพดวงตา เช่น การหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ รับประทานอาหารที่ดี และตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อหาปัญหาตับตั้งแต่เนิ่นๆ   ตาเหลืองหรือตาขาวเหลือง เป็นอาการที่ดวงตาหรือเยื่อบุตาขาวเปลี่ยนเป็นสีเหลือง อาจเกิดร่วมกับขี้ตาเหลือง ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพบางอย่าง เช่น โรคตับ โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินน้ำดีหรือการติดเชื้อที่ดวงตา อาการนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุและควรได้รับการตรวจสอบจากแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง บทความนี้จะอธิบายทุกสิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับอาการตาเหลือง ตั้งแต่สาเหตุ อาการ วิธีป้องกัน และการรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้คุณดูแลสุขภาพตาได้อย่างถูกต้อง     สาเหตุที่ควรรู้ ตาเหลืองเกิดจากอะไรได้บ้าง? ตาเหลืองหรือภาวะตาขาวเหลือง (Jaundice หรือ Icterus ในทางการแพทย์) เป็นภาวะที่เยื่อบุตาขาวมีสีเหลืองผิดปกติ สาเหตุหลักมาจากการที่มีสารบิลิรูบิน (Bilirubin) ที่เป็นสารสีเหลืองที่เกิดขึ้นจากการสลายตัวของเม็ดเลือดแดงเกิดสะสมในเนื้อเยื่อของร่างกายมากเกินไป ซึ่งสารนี้จะไม่สามารถขับออกจากร่างกายได้ตามปกติ ส่งผลให้เกิดอาการตาขาวเป็นสีเหลืองและผิวหนังเหลืองตามมา   ส่วนขี้ตาเป็นสีเหลืองอาจหมายถึงภาวะที่มีสารคัดหลั่งสีเหลืองบริเวณหัวตา ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อหรือการอักเสบของเยื่อบุตา สาเหตุที่ตาขาวเหลืองนั้นจะหมายถึงส่วนของตาขาว (Sclera) ที่เปลี่ยนเป็นสีเหลือง ซึ่งมักเป็นอาการที่สังเกตได้ชัดเจนเมื่อมีการสะสมของบิลิรูบินในร่างกายสูง   โดยสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้เกิดอาการตาเหลืองสามารถแบ่งได้เป็นหลายกลุ่ม ดังนี้ โรคที่เกี่ยวข้องกับตับ ตับมีหน้าที่ในการกำจัดบิลิรูบิน ซึ่งเป็นสารที่เกิดจากการสลายตัวของเม็ดเลือดแดงเมื่อมันหมดอายุ แต่หากตับไม่สามารถทำงานได้ดีหรือเกิดความผิดปกติ จะทำให้บิลิรูบินสะสมในเลือดและในเนื้อเยื่อร่างกาย ทำให้เกิดอาการตาเหลืองได้ โดยโรคที่เกี่ยวข้องกับตับที่พบได้บ่อย เช่น  โรคตับอักเสบ ตับอักเสบที่เกิดจากไวรัส เช่น ไวรัสตับอักเสบ A, B หรือ C สามารถทำให้ตับอักเสบและไม่สามารถขับบิลิรูบินออกจากร่างกายได้ ส่งผลให้เกิดตาเหลือง ตับแข็ง ตับที่ถูกทำลายเรื้อรังจากการติดเชื้อหรือการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป สามารถทำให้การทำงานของตับลดลง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดตาเหลือง ไขมันพอกตับ เป็นการสะสมของไขมันในตับที่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์หรือจากโรคเบาหวานและโรคอ้วน ซึ่งส่งผลให้ตับทำงานผิดปกติและบิลิรูบินไม่สามารถขับออกจากร่างกายได้ ระบบทางเดินน้ำดี อีกสาเหตุที่พบบ่อยในการเกิดตาเหลืองคือการมีปัญหากับระบบทางเดินน้ำดี ซึ่งมีหน้าที่ขับบิลิรูบินออกจากร่างกาย ดังนี้ นิ่วในถุงน้ำดี เมื่อมีการอุดตันในท่อน้ำดีจากนิ่ว จะทำให้บิลิรูบินไม่สามารถขับออกได้ ทำให้เกิดอาการตาเหลือง ท่อน้ำดีอุดตัน การอุดตันของท่อน้ำดีที่เกิดจากการมีนิ่วหรือการติดเชื้อ สามารถทำให้สารบิลิรูบินสะสมในเลือด ส่งผลให้ตาและผิวหนังเหลือง โรคที่เกี่ยวข้องกับเม็ดเลือด เม็ดเลือดแดงมีอายุขัยจำกัดและจะถูกทำลายเมื่อหมดอายุ ตับจะขับบิลิรูบินที่เกิดจากการสลายของเม็ดเลือดแดง แต่หากมีปัญหาในการสลายตัว เช่น ในโรคโลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตก (Hemolytic Anemia) หรือธาลัสซีเมีย การทำลายเม็ดเลือดแดงมากเกินไปจะทำให้บิลิรูบินสะสมในเลือด ส่งผลให้ตาสีเหลืองได้ โรคเกี่ยวกับดวงตา แม้ว่าตาเหลืองส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับปัญหาภายในร่างกาย แต่บางครั้งอาการนี้ก็อาจเกิดจากปัญหาภายในดวงตาเอง ได้แก่  เยื่อบุตาอักเสบ (Conjunctivitis) เป็นการอักเสบของเยื่อบุตาที่ทำให้ตาขาวแดงและบางครั้งอาจมีการเปลี่ยนสีเป็นสีเหลือง ตาแห้ง หากดวงตามีอาการแห้งจนเกิดการระคายเคืองและการติดเชื้อ ก็สามารถทำให้ตาขาวเหลืองได้ในบางกรณี สาเหตุอื่นๆ สาเหตุจากปัจจัยภายนอกที่ทำให้เกิดอาการตาเหลืองได้ เช่น การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาต้านการแพ้ หรือสเตียรอยด์ ซึ่งอาจส่งผลต่อการทำงานของตับและทำให้บิลิรูบินสะสมในร่างกาย รวมถึงมะเร็งตับหรือมะเร็งท่อน้ำดีที่อาจทำให้ท่อน้ำดีอุดตันและไม่สามารถขับบิลิรูบินออกได้    ตาเหลืองขาดวิตามินอะไร? ตาเหลืองอาจเกิดจากการขาดวิตามิน B12 หรือโฟลิก ซึ่งมีผลต่อการทำงานของตับและระบบเลือด และการบริโภควิตามิน A ในปริมาณสูงเกินไปยังส่งผลให้ตาเหลืองได้เช่นกัน     อาการตาเหลืองเป็นอย่างไร อาการของตาเหลืองอาจแตกต่างกันไปตามสาเหตุ โดยอาการที่พบบ่อยมีดังนี้ ตาขาวมีสีเหลือง การเปลี่ยนแปลงสีของตาขาวเป็นสีเหลือง ถือเป็นอาการเด่นชัดของตาเหลือง ผิวหนังเหลือง หากเกิดภาวะดีซ่าน ผิวหนังโดยรวมอาจเริ่มมีสีเหลืองด้วย ขี้ตาสีเหลือง การมีขี้ตาที่เป็นสีเหลืองอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการสะสมของบิลิรูบินในร่างกาย ตาแห้ง แสบ หรือมีน้ำตาไหล บางคนอาจมีอาการแสบตาหรือรู้สึกแห้งที่ตา รวมทั้งมีน้ำตาไหลมากผิดปกติ อาการอื่นๆ เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ ซึ่งอาจเกิดจากการทำงานของตับที่ผิดปกติหรือการสะสมของสารพิษในร่างกาย หากมีอาการเหล่านี้ร่วมกับปัสสาวะสีเข้ม อุจจาระซีด หรือปวดท้อง ควรรีบพบแพทย์     แนวทางการรักษาโรคตาเหลือง การรักษาอาการตาเหลืองนั้นจะขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ โดยหลักการรักษามีดังนี้ รักษาโรคตับ หากอาการตาเหลืองเกิดจากโรคตับ เช่น ตับอักเสบหรือโรคตับแข็ง แพทย์อาจใช้ยาเพื่อรักษาหรือควบคุมอาการ รวมถึงคำแนะนำด้านการควบคุมอาหาร และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพตับ เช่น การหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และการทานอาหารที่มีไขมันต่ำ รักษาอาการติดเชื้อที่ตา ในกรณีที่อาการตาเหลืองเกิดจากการติดเชื้อที่ตา แพทย์จะให้ยาหยอดตาหรือยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาการติดเชื้อและลดอาการบวมแดง การผ่าตัด หากอาการตาเหลืองเกิดจากปัญหาที่เกี่ยวข้องกับนิ่วในถุงน้ำดีหรือตับอักเสบรุนแรง แพทย์อาจแนะนำให้ทำการผ่าตัดหรือการรักษาด้วยวิธีที่เหมาะสม เช่น การผ่าตัดเอานิ่วออกจากถุงน้ำดี หรือการรักษาด้วยการทำความสะอาดตับ     6 วิธีป้องกันโรคตาเหลืองง่ายๆ ด้วยการรักษาสุขภาพ การป้องกันไม่ให้เกิดโรคตาเหลืองนั้นสามารถทำได้ด้วยการดูแลสุขภาพให้ดีและป้องกันปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดอาการตาเหลือง ดังนี้ ดูแลสุขภาพตับ การหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก และการหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีหรือยาในปริมาณที่เกินความจำเป็น ช่วยให้ตับทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคตับต่างๆ ที่อาจนำไปสู่การตาเหลือง ตรวจสุขภาพเป็นประจำ การไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพตับ และการตรวจเลือดเพื่อเช็กค่าเอนไซม์ในตับสามารถช่วยให้ตรวจพบปัญหาตับในระยะเริ่มต้นได้ หากพบอาการผิดปกติจะสามารถรักษาได้เร็วขึ้น หลีกเลี่ยงการติดเชื้อไวรัส โดยเฉพาะไวรัสตับอักเสบ เช่น ไวรัสตับอักเสบ A, B และ C การฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคตับอักเสบจะช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อที่อาจทำให้เกิดอาการตาเหลือง รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ตาเหลืองกินอะไรถึงหาย? การเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพ โดยเน้นการบริโภคผัก ผลไม้ และอาหารที่มีประโยชน์จะช่วยเสริมสุขภาพตับให้แข็งแรง และช่วยลดความเสี่ยงจากโรคที่อาจทำให้เกิดการสะสมของบิลิรูบิน ควบคุมโรคเบาหวานและโรคอ้วน โรคเหล่านี้สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคตับ เช่น ไขมันพอกตับหรือโรคตับอักเสบ ดังนั้นการควบคุมโรคเหล่านี้อย่างเหมาะสมจะช่วยลดโอกาสในการเกิดตาเหลือง ป้องกันการติดเชื้อและดูแลสุขภาพร่างกาย เริ่มต้นจากการรักษาสุขอนามัยอย่างดี เช่น การล้างมือให้สะอาดและหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ที่มีการติดเชื้อ จะช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อที่อาจส่งผลให้เกิดการอักเสบในตับและทำให้เกิดตาเหลือง รักษาโรคตาเหลือง ที่ศูนย์รักษาตา Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร ศูนย์รักษาตาที่มีผู้ชำนาญการเชี่ยวชาญด้านโรคตาโดยเฉพาะ มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย พร้อมแนวทางการรักษาที่ตรงจุด  เครื่องมือทันสมัย ด้วยอุปกรณ์และเครื่องมือที่มีความทันสมัย ทำให้สามารถตรวจหาสาเหตุของการตาเหลืองได้อย่างแม่นยำ ทั้งยังช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ บริการตรวจสุขภาพตาและคำปรึกษา นอกจากการรักษาโรคตาเหลืองแล้ว ยังมีบริการตรวจสุขภาพตาและให้คำปรึกษาในการดูแลรักษาสุขภาพตาเพื่อป้องกันโรคในอนาคต สรุป ตาเหลืองเกิดจากการสะสมของสารบิลิรูบินในเลือด ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับโรคตับ ระบบทางเดินน้ำดี หรือการติดเชื้อที่ดวงตา โดยอาการตาเหลืองจะทำให้ตาขาวหรือผิวหนังเป็นสีเหลือง และอาจมีขี้ตาเหลืองร่วมด้วย การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุ เช่น การรักษาโรคตับหรือการติดเชื้อที่ตา การป้องกันตาเหลืองทำได้โดยดูแลสุขภาพตับ รับประทานอาหารที่ดี หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์หรือสารเคมีที่เป็นอันตราย ควรตรวจสุขภาพตับประจำปี หากมีอาการตาเหลือง ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจและรักษา   ที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) เรามีแนวทางการรักษาที่ทันสมัยสำหรับอาการตาเหลือง โดยใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือที่แม่นยำในการตรวจหาสาเหตุของโรค พร้อมการรักษาที่เหมาะสม นอกจากนี้ เรายังมีบริการตรวจสุขภาพตาและคำปรึกษาจากผู้ชำนาญการ เพื่อป้องกันและดูแลสุขภาพตาอย่างครบวงจร   อ่านบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง  โรคตาแดงเกิดจากอะไร?  สัญญาณเยื่อบุตาอักเสบ  รู้ทันโรคตาในเด็ก  ขี้ตาเยอะเกิดจากอะไร?  ตาแห้งมีอาการอย่างไร   FAQ : รู้ทันโรคตา รักษาก่อนสาย! ตาเหลืองจะกลับมาขาวได้อีกไหม? ขึ้นอยู่กับสาเหตุ หากเกิดจากการอักเสบของตาหรือตาแห้ง สามารถรักษาให้กลับมาขาวได้ แต่หากเกิดจากโรคตับอาจต้องใช้เวลารักษานาน ตาเหลืองแบบไหน? ควรไปพบแพทย์ หากมีอาการต่อไปนี้ควรรีบพบแพทย์ทันที เช่น ตาเหลืองร่วมกับปวดท้องรุนแรงมีไข้สูง คลื่นไส้ อาเจียนปัสสาวะสีเข้ม อุจจาระซีด รักษาตาเหลืองอย่างไร? ขึ้นอยู่กับสาเหตุ หากเป็นการติดเชื้อที่ตาให้รีบพบแพทย์เพื่อรับยาและหาแนวทางการรักษา แต่หากเกิดจากภาวะตับอักเสบอาจต้องปรับพฤติกรรมและใช้ยา

หนังตาตก (Ptosis) ทำให้ดูแก่ก่อนวัยจริงหรือ วิธีเช็กและแก้ไขที่ไม่ควรมองข้าม

หนังตาตก คือภาวะหนังตาบนหย่อนคล้อยหรือตกลงมาต่ำกว่าระดับปกติ อาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็นและการใช้ชีวิตประจำวัน อาจเกิดขึ้นข้างเดียวหรือทั้งสองข้างก็ได้ และอาจเกิดได้ตั้งแต่แรกเกิด หรือเป็นเมื่ออายุมาก หนังตาตกอาจเกิดจากอายุที่มากขึ้น กล้ามเนื้อยกเปลือกตาไม่สมบูรณ์ตั้งแต่กำเนิด การบาดเจ็บ หรือโรคทางระบบประสาท เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง อาการของหนังตาตก ได้แก่ ลืมตาได้ไม่เต็มที่ต้องใช้มือช่วยจับเปลือกตา เปลือกตาตกลงมาจนบดบังการมองเห็น ตาปรือคล้ายง่วงนอน เปลือกตาตกไม่เท่ากันในบางช่วง และอาจมีอาการกล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรงร่วมด้วย วิธีแก้หนังตาหย่อนสามารถทำได้ทั้งการใช้ยาตามอาการภายใต้การดูแลของแพทย์ การแก้โดยไม่ผ่าตัด และการผ่าตัดแก้ไขเปลือกตา ทั้งนี้ราคาจะขึ้นอยู่กับปัญหาหนังตาตกมากน้อยแค่ไหนและเทคนิคของแพทย์   หนังตาตกเป็นปัญหาที่ใครหลายคนอาจมองว่าเป็นแค่เรื่องความงาม แต่จริงๆ แล้วอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพสายตา ภาพลักษณ์ เมื่ออายุมากขึ้น ปัญหาหนังตาหย่อนหรือตาตกจึงเกิดขึ้นได้ง่าย และทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้า แก่กว่าวัยได้ ในบทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับปัญหาหนังตาตกตั้งแต่สาเหตุ อาการ ไปจนถึงวิธีรักษา แก้ไขหนังตาตกด้วยแนวทางที่เหมาะสมมาฝากกัน ทำความรู้จักกับปัญหาหนังตาตก ภาวะหนังตาตก (Ptosis) คือภาวะหนังตาบนหย่อนคล้อยหรือตกลงมาต่ำกว่าระดับปกติ เนื่องจากความยืดหย่อนของเนื้อเยื่อหนังตา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็น โดยสามารถเกิดได้ทั้งข้างเดียวหรือสองข้าง บางรายอาจเกิดภาวะนี้ได้ตั้งแต่แรกเกิด ขณะที่บางคนอาจเกิดขึ้นเมื่ออายุมากขึ้นหรืออาจเป็นอาการแทรกซ้อนจากโรคอื่นๆ      การแบ่งประเภทของอาการหนังตาตก หนังตาตกสามารถแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลักตามลักษณะสาเหตุ โดยแต่ละกลุ่มมีความแตกต่างกัน ดังนี้ ผิวหนังที่เปลือกตาหย่อน (Dermatochalasis) ภาวะนี้เกิดจากผิวหนังบริเวณเปลือกตาหรือหน้าผากหย่อนลงมาปิดดวงตา แม้ขอบเปลือกตายังอยู่ในตำแหน่งปกติ มักพบในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่เผชิญแสงแดดบ่อย ขยี้ตาเป็นประจำ หรือมีการอักเสบรอบดวงตา อาการที่พบบ่อยคือ ชั้นตาเล็กลง ลืมตายาก รู้สึกหนักเปลือกตา แต่สามารถลืมตาได้ปกติเมื่อใช้มือยกผิวหนังขึ้น ภาวะเปลือกตาตก (Ptosis) เป็นภาวะที่กล้ามเนื้อยกเปลือกตาบนมีความหย่อน ยืดตัวมากเกินไป หรือหลุดจากจุดยึดเกาะ บางรายเกิดจากอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ทำให้เปลือกตาตกลงมาบังตาดำและลานสายตา ส่งผลต่อการมองเห็น อาจเกิดข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง พบได้ตั้งแต่แรกเกิดหรือเกิดเมื่ออายุมากขึ้น หรืออาจเป็นผลข้างเคียงจากโรคอื่นๆ     สาเหตุของหนังตาตก หนังตาตกมีสาเหตุจากหลายปัจจัยด้วยกัน และสามารถแบ่งได้เป็นดังนี้ หนังตาตกตั้งแต่กำเนิด จากภาวะที่กล้ามเนื้อยกเปลือกตาทำงานผิดปกติหรือพัฒนาไม่สมบูรณ์ตั้งแต่แรกเกิด ทำให้เด็กมีปัญหาลืมตาไม่เต็มที่ ตาสองข้างไม่เท่ากัน หรือเปิดเปลือกตามองไม่ชัด เมื่อหนังตาปิดบังการมองเห็น อาจนำไปสู่โรคตาขี้เกียจ (Amblyopia) โดยภาวะนี้สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ หนังตาตกเมื่ออายุมากขึ้น เกิดจากกล้ามเนื้อยกเปลือกตายืดตัว หย่อนคล้อย หรือหลุดจากจุดยึดเกาะ เนื่องจากการใช้งานเป็นเวลานาน หรือจากพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การถอดใส่คอนแทคเลนส์ หรือขยี้ตาบ่อยๆ สังเกตได้จากดวงตาดำที่ดูเล็กลงเพราะเปลือกตาตกลงมาบัง ในรายที่อาการรุนแรงอาจส่งผลต่อการมองเห็นในชีวิตประจำวัน หนังตาตกจากสาเหตุอื่นๆ อาจเกิดจากความผิดปกติของระบบประสาท ก้อนเนื้อในดวงตา การบาดเจ็บของกล้ามเนื้อยกเปลือกตาจากอุบัติเหตุหรือเปลือกตาฉีกขาด ภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดตาหรือทำศัลยกรรมรอบดวงตา หรือโรคทางระบบประสาท เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ที่ทำให้กล้ามเนื้อเปลือกตาอ่อนแรงจนเกิดเปลือกตาตก     อาการที่บ่งชี้ถึงหนังตาตก หากพบว่ามีอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัย และสามารถส่องอาการได้ด้วยตนเองที่หน้ากระจก โดยอาการมีดังนี้ เปลือกตาบนตกลงมาต่ำกว่าปกติ ส่งผลให้การมองเห็นลดลง หรือเกือบปิดสนิท รู้สึกแสบตา เคืองตา หรือรู้สึกหนักบริเวณเปลือกตา ลืมตาได้ไม่เต็มที่ ทำให้เห็นส่วนของตาดำ หรือม่านตาน้อยลง ลืมตาลำบาก ต้องเงยหน้าขึ้นหรือใช้มือยกเปลือกตาขึ้น เพื่อช่วยให้มองเห็นได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น มีอาการตาปรือ คล้ายนคนง่วงนอนตลอดเวลา อาจมีอาการแขนขาอ่อนแรงร่วมด้วย หนังตาตกไม่เท่ากันในแต่ละช่วงเวลา เช่น ช่วงเย็นหรือเมื่อพักผ่อนไม่เพียงพอ นอนน้อย หนังตาก็ตกมากขึ้นได้     วิธีแก้ปัญหาหนังตาตกทำอย่างไร? หนังตาตกสามารถรักษา แก้ปัญหาให้หนังตาให้กลับมาดูดี โดยมีวิธีการรักษาดังนี้ การใช้ยาตามอาการ เหมาะสำหรับกรณีที่มีอาการไม่รุนแรงหรือรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการประเมินและติดตามอาการอย่างใกล้ชิด การผ่าตัดแก้ไข ใช้วิธีดึงกล้ามเนื้อเปลือกตาขึ้นหรือปรับความตึงของกล้ามเนื้อ เพื่อให้ผู้ป่วยลืมตาได้เต็มที่ มองเห็นชัดเจนใกล้เคียงปกติ หลังผ่าตัดสามารถกลับบ้านได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาล และการแก้ไขหนังตาตกในผู้สูงอายุด้วยการผ่าตัดศัลยกรรมราคาอยู่ที่ประมาณ 30,000 บาทขึ้นไป โดยราคาจะขึ้นอยู่กับปัญหารายบุคคลและเทคนิคของแพทย์ แบ่งเป็น 3 วิธีหลัก ดังนี้ ผ่าตัดกล้ามเนื้อ Levator ปรับความตึงของกล้ามเนื้อหลักที่ควบคุมการลืมตา เหมาะกับผู้ที่มีกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง Frontalis Sling ใช้เส้นสังเคราะห์หรือเนื้อเยื่อตัวเองทำเป็นสลิงเชื่อมระหว่างเปลือกตากับกล้ามเนื้อหน้าผาก ช่วยผู้ที่มีกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงมาก MMCR (Müller's Muscle Conjunctival Resection) ตัดส่วนกล้ามเนื้อ Müller และเยื่อบุตาเพื่อยกเปลือกตาแบบไม่รุกล้ำ เหมาะกับอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง การแก้โดยไม่ผ่าตัด เป็นทางเลือกในการแก้หนังตาตกที่สามารถทำได้หลายวิธีโดยไม่ต้องผ่าตัด และมีราคาที่หลากหลาย ได้แก่ การฉีดสารคลายกล้ามเนื้อเพื่อช่วยยกคิ้วและหางตาเล็กน้อย วิธีนี้เหมาะสำหรับกรณีหนังตาไม่หย่อนคล้อยมากและจำเป็นต้องทำทุก 4-6 เดือน  อีกวิธีคือการใช้เทคโนโลยียกกระชับด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (New Ulthera SPT) ช่วยยกกระชับผิวรอบดวงตา กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้หางตาดูยกขึ้นเล็กน้อย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัทธ์เป็นธรรมชาติ แต่ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีคิ้วตกหรือหนังตาตกมาก ส่วนค่าใช้จ่ายสำหรับการแก้หนังตาตกโดยไม่ต้องผ่าตัด ราคาจะขึ้นอยู่กับปัญหา โปรแกรมที่เลือกและเทคนิคของแพทย์     แก้หนังตาตก ที่ศูนย์ศัลยกรรมจักษุตกแต่งและเสริมสร้าง Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร หากสนใจแก้หนังตาหย่อนคล้อย สามารถเข้ามาปรึกษาและรักษาอาการตั้งแต่ระยะเริ่มต้นได้ที่ศูนย์ศัลยกรรมจักษุตกแต่งและเสริมสร้าง Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ที่โดดเด่นด้านการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับเปลือกตา ท่อน้ำตา และโครงสร้างใบหน้ารอบดวงตาด้วยจักษุแพทย์ผู้ชำนาญการ โดยมีจุดเด่นดังนี้   มีจักษุแพทย์ชำนาญการและมากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาครอบคลุมถึงความงาม  เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาที่ทันสมัย และเครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างปลอดภัยและแม่นยำ พร้อมให้การรักษา ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นมิตร  สรุป ภาวะหนังตาตกเป็นภาวะที่เปลือกตาบนหย่อนคล้อยต่ำกว่าปกติ ส่งผลต่อการมองเห็นและรูปลักษณ์ โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักตามอาการและสาเหตุการเกิด ได้แก่ ผิวหนังที่เปลือกตาหย่อน และเปลือกตาตก สาเหตุของภาวะหนังตาหย่อนมาจากหลายปัจจัย ทั้งเป็นตั้งแต่กำเนิด อายุมากขึ้น และสาเหตุอื่นๆ เช่น กล้ามเนื้อเปลือกตาอ่อนแรง หรืออาการทางระบบประสาท โดยอาการหนังตาหย่อนส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ทั้งการลืมตาได้ไม่เต็ม การมองเห็นลดลง ตาปรือคล้ายคนง่วงนอนตลอดเวลา ฯลฯ ส่วนวิธีแก้หนังตาตกมีทั้งการใช้ยาตามอาการ การแก้หนังตาตกแบบไม่ผ่าตัดในกรณีหนังตาตกไม่มาก และการผ่าตัดแก้หนังตาตกในกรณีที่เป็นมาก   แนะนำ Bangkok Eye Hospital โรงพยาบาลเฉพาะทางเกี่ยวกับดวงตา พร้อมให้คำปรึกษา ดูแล และแก้หนังตาหย่อน ด้วยเทคโนโลยีเครื่องมือที่ทันสมัยจากจักษุแพทย์ผู้ชำนาญการ ช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างปลอดภัย และได้ดวงตาที่สวยงาม อ่านบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง  เข้าใจตาขี้เกียจในเด็ก ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงและวิธีป้องกันตั้งแต่แรกเริ่ม รู้เท่าทันโรคตาขี้เกียจ! วิธีสังเกตอาการ พร้อมหาสาเหตุและวิธีรักษา กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ปัญหาที่ส่งผลมากกว่าความงาม รักษาได้อย่างไร?   FAQ – คำถามที่พบบ่อย   หนังตาตกสามารถหายเองได้หรือไม่? ไม่สามารถหายได้เอง เนื่องจากสาเหตุหลักมาจากโครงสร้างผิวหนังหย่อนคล้อย หรือกล้ามเนื้อยกเปลือกตาอ่อนแรง ซึ่งต้องรักษาด้วยการผ่าตัดแก้ไขเท่านั้นในกรณีที่เป็นหนัก  หนังตาตกแก้ไขอย่างไรได้บ้าง? หากอาการหนังตาตกยังเป็นไม่มากสามารถแก้ได้ด้วยการรับประทานยาตามอาการ ภายใต้การดูแลของแพทย์ หรือแก้หนังตาตกโดยไม่ผ่าตัดก็ได้เช่นกัน ส่วนในกรณีที่รุนแรงหรือส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน สามารถแก้ได้ด้วยการผ่าตัด เพื่อแก้ไขให้สามารถลืมตาได้เต็มที่ แก้ไขหนังตาตกราคาเท่าไร? ค่าใช้จ่ายในการแก้หนังตาตกจะขึ้นอยู่กับลักษณะปัญหาหนังตาของแต่ละบุคคล วิธีการรักษาแบบผ่าตัดหรือไม่ผ่าตัด ความชำนาญและเทคนิคของแพทย์

เช็กอาการสายตาเอียง รู้จักสาเหตุและวิธีรักษา ก่อนสายตาแย่ลง!

สาเหตุสายตาเอียงเกิดจากกระจกตาหรือเลนส์ตาไม่เรียบ ทำให้แสงที่เข้าสู่ตากระจายไม่เท่ากัน ทำให้ภาพที่มองเห็นเบี้ยวหรือไม่ชัด สายตาเอียงสามารถเกิดจากกรรมพันธุ์หรือปัจจัยอื่นๆ เช่น อุบัติเหตุหรือการผ่าตัดที่ส่งผลต่อดวงตาได้ อาการของสายตาเอียงมักจะรวมถึงการมองเห็นภาพเบี้ยวหรือไม่ชัดเจนทั้งใกล้และไกล อาจมีอาการปวดหัว ปวดตา หรือรู้สึกตาล้าบ่อยๆ โดยเฉพาะหลังจากการมองหรือใช้สายตานานๆ หากพบอาการเหล่านี้ ควรเข้ารับการตรวจสายตาเพื่อวินิจฉัยและรักษา การรักษาสายตาเอียงทำได้โดยสวมแว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์ที่ปรับค่าการโฟกัสให้เหมาะสม หรือการทำเลสิกเพื่อปรับรูปทรงของกระจกตาให้เหมาะสม ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและความเหมาะสมของแต่ละบุคคล   สายตาเอียงเกิดจากความผิดปกติในการโฟกัสแสงที่กระทบตา ส่งผลให้การกระจายแสงไม่สมดุล ทำให้การมองเห็นภาพมีความเบลอหรือผิดเพี้ยน หากถามว่าสายตาเอียงอันตรายไหม? สายตาเอียงเองไม่ถือเป็นอันตรายถึงชีวิต แต่หากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้การมองเห็นไม่ชัดเจนหรือเกิดอาการปวดหัว ตาเหนื่อยล้า และปัญหาการมองเห็นที่ไม่ชัดเจนในระยะยาว   บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุและแนวทางการรักษา ไม่ว่าจะเป็นการใช้แว่นตา คอนแท็กต์เลนส์ หรือการทำเลสิก เพื่อให้การมองเห็นชัดเจนและสบายตากว่าเดิม     สาเหตุหลักการเกิดสายตาเอียง ปัจจัยเสี่ยงที่ควรรู้ สายตาเอียง (Astigmatism) เป็นภาวะที่เกิดจากความผิดปกติในการโฟกัสแสงที่กระทบเข้าสู่ตา โดยแสงที่ผ่านเข้ามาในตาไม่กระจายไปทั่วทั้งตาอย่างสมดุล ทำให้ภาพที่เห็นไม่ชัดเจน การโฟกัสแสงของตาจะมีความผิดปกติในบางทิศทาง ซึ่งทำให้เกิดความบิดเบือนของภาพที่มองเห็น   สายตาเอียงเกิดจากอะไร? สาเหตุหลักของการเกิดสายตาเอียงมาจากความผิดปกติในกระจกตาหรือเลนส์ของตา ซึ่งไม่สามารถโฟกัสแสงได้อย่างถูกต้อง กระจกตาหรือเลนส์ในตาของผู้ที่มีสายตาเอียงจะมีรูปร่างไม่สมดุลกัน เช่น รูปร่างที่ไม่เป็นรูปกลมแต่มีลักษณะเหมือนวงรี ซึ่งทำให้การกระจายแสงไม่สม่ำเสมอ และทำให้การมองเห็นภาพในทุกทิศทางเกิดความผิดเพี้ยน   นอกจากนี้สายตาเอียงยังสามารถเกิดจากหลายปัจจัย เช่น พันธุกรรม หากมีคนในครอบครัวที่มีปัญหาสายตาเอียง ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะนี้ในลูกหลานก็จะสูงขึ้น และการบาดเจ็บที่ตาหรือการผ่าตัดในบริเวณดวงตาอาจทำให้เกิดความผิดปกติในกระจกตาหรือเลนส์ได้ หากมีอาการของสายตาเอียง เช่น ภาพที่เห็นไม่ชัดเจนหรือมีการบิดเบือน ควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม     เช็กอาการสายตาเอียงภาพที่เห็นเป็นอย่างไร การสังเกตอาการของสายตาเอียงนั้นไม่ยาก หากพบว่าภาพที่มองเห็นไม่ชัดเจนหรือมีอาการตาพร่าทุกครั้งที่จ้องสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานๆ อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของสายตาเอียง โดยเฉพาะเมื่อมีอาการปวดหัว หรือรู้สึกเครียดที่บริเวณดวงตาหรือหน้าผาก สิ่งเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นในขณะที่อ่านหนังสือ หรือมองจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือเป็นระยะเวลานาน   ทดสอบสายเอียงได้จากสัญญาณหลัก ดังนี้   ภาพที่มองเห็นไม่ชัดเจน หากภาพที่เห็นดูเบลอ หรือไม่ชัดเจนในระยะใกล้หรือไกล อาจเป็นอาการของสายตาเอียง มองเห็นภาพเบลอหรือบิดเบือน ผู้ที่มีสายตาเอียงมักจะเห็นภาพที่ผิดเพี้ยนไปจากความจริง ตาพร่าเมื่อจ้องสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานๆ อาการตาพร่ามักจะเกิดขึ้นเมื่อมองหรือจ้องสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นระยะเวลานาน ปวดหัวหรือรู้สึกเครียดที่บริเวณดวงตา สัญญาณนี้มักจะเกิดขึ้นเมื่อดวงตาต้องทำงานหนักเพื่อปรับโฟกัส   หากมีอาการเหล่านี้เป็นประจำ ควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อให้ได้รับคำแนะนำในการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพสายตา     แนวทางการรักษาสายตาเอียง สายตาเอียงมีวิธีแก้ไข รักษาให้หายได้ โดยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ โดยการรักษาที่นิยมมี ดังนี้ 1. การใส่แว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์ การใส่แว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและเป็นที่นิยมในการแก้ไขปัญหาสายตาเอียง แว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์ที่มีการออกแบบพิเศษจะช่วยในการโฟกัสแสงให้เข้าสู่ตาได้อย่างสมดุล ทำให้การมองเห็นชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความผิดเพี้ยนของภาพที่เกิดจากการสายตาเอียง 2. การฝึกกล้ามเนื้อตา บางครั้งการฝึกกล้ามเนื้อตาก็อาจช่วยให้การมองเห็นดีขึ้นและลดความรุนแรงของอาการสายตาเอียงได้ การฝึกนี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อตาแข็งแรงขึ้นและสามารถปรับการโฟกัสได้ดีขึ้น เช่น การฝึกโดยการมองไปที่จุดเล็กๆ หรือทำการมองไปที่ระยะต่างๆ อย่างมีระเบียบ ซึ่งการฝึกนี้อาจทำให้ดวงตาสามารถปรับตัวให้ดีขึ้นตามเวลาที่ฝึก 3. การรักษาด้วยการผ่าตัด สำหรับบางกรณีที่มีอาการสายตาเอียงรุนแรงหรือมีปัญหาทางสายตาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยแว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์ แพทย์อาจแนะนำการทำเลสิกสายตาเอียงเพื่อปรับรูปร่างของกระจกตาให้มีความสมดุล ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาสายตาเอียงได้อย่างถาวร วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการใส่แว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์ตลอดเวลา 5 ป้องกันสายตาเอียงง่ายๆ ก่อนสายตาเสื่อมลง แม้ว่าสายตาเอียงส่วนใหญ่มักเกิดจากพันธุกรรมที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่การดูแลสุขภาพตาอย่างถูกต้องก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงหรือป้องกันการเกิดอาการนี้ได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้การป้องกันยังช่วยให้ดวงตาแข็งแรงและมีสุขภาพดีมากขึ้น โดยมีวิธีการป้องกันสายตาเอียงกันง่ายๆ ดังนี้ ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำทุกปีหรือทุกสองปีจะช่วยตรวจพบปัญหาสายตาเอียงตั้งแต่เนิ่นๆ และป้องกันการเสื่อมสภาพของดวงตา ใช้แว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์ที่เหมาะสมจะช่วยปรับโฟกัสแสงให้สมดุลและป้องกันการเกิดภาวะสายตาเอียงที่รุนแรงขึ้น หากทำงานหน้าคอมพิวเตอร์หรือใช้อุปกรณ์มือถือ ควรพักสายตาทุกๆ 20 นาที โดยการมองไปที่ระยะไกลประมาณ 20 วินาที รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ อาหารที่มีวิตามิน A, C, E และแร่ธาตุต่างๆ เช่น สังกะสีและโอเมกา 3 ช่วยบำรุงสุขภาพตาและลดความเสี่ยงสายตาเอียง แว่นกันแดดช่วยปกป้องตาจากแสง UV และลดความเสี่ยงจากความเครียดที่ตา รักษาสายตาเอียง ที่ศูนย์รักษาตา Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร ที่ Bangkok Eye Hospital เรามีบริการวินิจฉัยและรักษาสายตาเอียงที่ครบวงจร ด้วยเทคโนโลยีทันสมัยและผู้ชำนาญการที่มีประสบการณ์ในการดูแลและรักษาปัญหาสายตาเอียงโดยเฉพาะ การตรวจวินิจฉัยที่แม่นยำด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย ผู้ชำนาญการด้านจักษุแพทย์ วิธีการรักษาหลายทางเลือก การดูแลหลังการรักษาที่มีคุณภาพ บริการที่ครบวงจรและสะดวกสบาย การรักษาที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ การเข้าถึงข้อมูลและคำแนะนำได้ง่าย   นอกจากการรักษาแล้ว Bangkok Eye Hospital ยังให้คำแนะนำและข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการดูแลสุขภาพตาอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถดูแลสายตาของตัวเองได้อย่างถูกต้อง สรุป สายตาเอียงเกิดจากความผิดปกติในการโฟกัสแสงที่กระทบตา ทำให้ภาพเบลอหรือผิดเพี้ยน สาเหตุหลักมาจากกระจกตาหรือเลนส์ที่ไม่สมดุล กรรมพันธุ์ และอุบัติเหตุ อาการของสายตาเอียงมักจะมีภาพเบี้ยว ปวดหัว หรือรู้สึกตาล้า การรักษามีหลายวิธี เช่น แว่นตา คอนแท็กต์เลนส์ หรือเลสิก การตรวจสุขภาพตาเป็นประจำและพักสายตาบ่อยๆ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอาการนี้ได้   นอกจากนี้ยังควรพักสายตาและตรวจสุขภาพตาเป็นประจำเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) มีบริการครบวงจรในการวินิจฉัยและรักษาสายตาเอียงด้วยเทคโนโลยีทันสมัย และผู้ชำนาญการ พร้อมการดูแลหลังการรักษาที่มีคุณภาพ พร้อมการให้คำแนะนำการรักษาที่เหมาะสม โดยมีบริการผ่าตัดเลสิก และการปรับการมองเห็นด้วยแว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์ รวมถึงการติดตามผลหลังการรักษา   อ่านบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง การตรวจตาก่อนทำเลสิก LASIK คืออะไร? เลสิกสายตาเอียง เลสิกสายตาสั้น เลสิกสายตายาว เทคนิคการเลือกแว่นตาหลังทำเลสิก FAQ – คำถามที่พบบ่อย สายตาเอียงรักษาหายไหม? สายตาเอียงสามารถรักษาได้ด้วยการใช้แว่นตา คอนแท็กต์เลนส์ หรือการทำเลสิก โดยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ สายตาเอียงสามารถหายไปเองได้ไหม? สายตาเอียงมักจะไม่หายไปเอง และต้องการการรักษาเพื่อปรับปรุงการมองเห็น สายตาเอียงสามารถเกิดจากการใช้งานตานานๆ ไหม? คำตอบคือใช่ การใช้งานตานานๆ เช่น การใช้คอมพิวเตอร์หรือมือถืออาจทำให้เกิดอาการสายตาเอียงที่แย่ลง แต่ไม่ใช่สาเหตุหลักของการเกิดสายตาเอียง ทำเลสิกสายตาเอียงดีไหม? การทำเลสิกสำหรับสายตาเอียงเป็นทางเลือกที่ดี หากต้องการแก้ไขปัญหาสายตาเอียงในระยะยาว โดยวิธีนี้ช่วยปรับรูปทรงกระจกตาให้เหมาะสมและทำให้การมองเห็นชัดเจนขึ้น

ต่อมไขมันเปลือกตาอุดตันเกิดจากอะไร? รู้ทันสาเหตุ อาการ และวิธีรักษา

ต่อมไขมันเปลือกตาอุดตันเกิดจากการอุดตันของต่อมไขมันที่เปลือกตา ทำให้เกิดการสะสมของไขมันและอาการบวมเจ็บ หากไม่รักษาอาจติดเชื้อและรบกวนการมองเห็น การรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ช่วยป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว ต่อมไขมันเปลือกตาอุดตันเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การไม่ทำความสะอาดเปลือกตา การระคายเคืองจากสารเคมี ความเครียด การใช้คอนแท็กต์เลนส์นานเกินไป หรือปัจจัยภายในร่างกาย ทั้งโรคเบาหวานและการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน การรักษาต่อมไขมันอุดตันที่ตาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ เช่น การประคบร้อน การใช้ยาหยอดตาหรือยาครีม หรือในกรณีที่รุนแรงอาจต้องผ่าตัด แต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการรักษาที่เหมาะสม เคยรู้สึกเจ็บหรือบวมที่เปลือกตากันไหม? อาการเหล่านี้อาจเกิดจากต่อมไขมันเปลือกตาอุดตัน ซึ่งหลายคนมักมองข้าม ต่อมไขมันในเปลือกตาอุดตันทำให้เกิดการอักเสบและปวดได้หากไม่รักษา อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพตาอื่นๆ บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจถึงสาเหตุของการอุดตัน อาการที่เกิดขึ้น และวิธีการรักษา เพื่อให้คุณมีสุขภาพดวงตาที่ดีและป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต     ต่อมไขมันเปลือกตาอุดตันคืออะไร? ทำไมถึงไม่ควรมองข้าม ต่อมไขมันเปลือกตาอุดตัน หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “ตากุ้งยิงด้านใน” (Meibomian Gland Dysfunction – MGD) คือการที่ต่อมไขมันที่อยู่บริเวณเปลือกตาเกิดการอุดตัน ทำให้ไขมันสะสมและกลายเป็นก้อนนูนที่เปลือกตา ซึ่งสามารถทำให้เกิดอาการบวม เจ็บปวด และระคายเคืองได้ ในบางกรณีหากไม่รักษาอาจทำให้เกิดการติดเชื้อและบวมมากขึ้นจนรบกวนการมองเห็น   การมองข้ามปัญหานี้อาจทำให้ภาวะอุดตันยิ่งรุนแรงขึ้น ทำให้การรักษายากขึ้นและส่งผลต่อสุขภาพดวงตาในระยะยาว ดังนั้น การรู้ทันสาเหตุและรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาได้     รู้ทัน! สาเหตุที่ต่อมไขมันเปลือกตาอุดตัน การที่ต่อมไขมันเปลือกตาอุดตันเกิดได้จากหลายสาเหตุ บางส่วนก็เป็นผลมาจากปัจจัยภายนอกหรือภายในร่างกาย ต่อไปนี้คือสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้เกิดการอุดตันของต่อมไขมัน   ไม่ทำความสะอาดเปลือกตา หากไม่รักษาความสะอาดของเปลือกตาอย่างเหมาะสม อาจทำให้สิ่งสกปรกและน้ำมันสะสมบริเวณดังกล่าว ซึ่งจะเป็นสาเหตุของการอุดตันในต่อมไขมัน การระคายเคืองจากสารเคมี สารเคมีจากเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ดูแลดวงตาบางชนิด อาจทำให้เกิดการระคายเคืองและการอักเสบในบริเวณรอบดวงตา ส่งผลให้ต่อมไขมันเกิดการอุดตัน การผลิตไขมันมากเกินไป ผู้ที่มีผิวมันหรือมีการผลิตน้ำมันที่มากเกินไป อาจจะพบกับปัญหาต่อมไขมันอุดตันได้ง่ายกว่าผู้ที่มีผิวแห้ง ความเครียดและฮอร์โมน ความเครียดและการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกายทำให้เกิดปัญหาผิวหน้ามันมากขึ้น ซึ่งทำให้เกิดการอุดตันในต่อมไขมันได้ ภาวะทางสุขภาพ โรคบางชนิด เช่น เบาหวาน หรือโรคผิวหนังบางประเภท อาจทำให้เกิดการอุดตันในต่อมไขมันได้ง่ายขึ้น ใช้คอนแท็กต์เลนส์นานเกินไป การใส่คอนแท็กต์เลนส์นานเกินไปทำให้ดวงตาแห้งและระคายเคือง ส่งผลให้ต่อมไขมันเปลือกตาอุดตันได้ เพราะไขมันไม่สามารถระบายออกได้ ทำให้เกิดการสะสมและอักเสบ อายุที่มากขึ้น เมื่ออายุเพิ่มขึ้นต่อมไขมันเปลือกตาจะเริ่มทำงานได้ไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน เนื่องจากการผลิตไขมันที่ช่วยป้องกันการระเหยของน้ำตาลดลง รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของต่อมไขมันทำให้เกิดการอุดตันได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้ตาแห้ง ระคายเคือง และบวมที่เปลือกตาได้มากขึ้น อาการต่อมไขมันเปลือกตาอุดตันเป็นอย่างไร เมื่อต่อมไขมันเปลือกตาอุดตันมักจะแสดงอาการที่สามารถมองเห็นหรือรู้สึกได้ ดังนี้ ขอบเปลือกตาบวมแดง ขอบตาดูหนา บวม หรือมีสีแดงเรื่อๆ บางคนอาจรู้สึกคัน หรือระคายเคืองตลอดเวลา มีตุ่มเล็กๆ หรือจุดสีขาวที่ขอบตา มองใกล้ๆ อาจเห็นเป็นจุดเล็กๆ คล้ายสิวตรงแนวขนตา ตุ่มนี้เกิดจากไขมันที่อุดตัน ไม่สามารถระบายออกได้ เปลือกตาดูมันหรือมีสะเก็ด ไขมันที่อุดตันอาจดันออกมาเล็กน้อย ทำให้เปลือกตาดูมันๆ หรือมีสะเก็ดแห้งเกาะที่ขอบเปลือกตาเหมือนขี้ตาแห้ง ขนตาร่วง หรือขึ้นผิดทิศทาง หากนานๆ เป็นที ต่อมไขมันที่อักเสบอาจไปรบกวนการขึ้นของขนตา ขนตาบางเส้นอาจร่วงหรือขึ้นผิดทิศ เช่น แทงเข้าในตา เมื่อกดที่เปลือกตา ไขมันไม่ไหลออก แพทย์อาจกดเบาๆ บริเวณต่อมไขมัน หากมีการอุดตันจะไม่เห็นไขมันสีเหลืองอ่อนๆ ไหลออกมา หรืออาจออกมาเป็นก้อนเหนียวขุ่น ตามัวเป็นพักๆ โดยเฉพาะเวลาจ้องจอ เนื่องจากฟิล์มน้ำตาขาดชั้นไขมันทำให้น้ำตาระเหยเร็ว ภาพอาจมัวๆ แล้วกลับมาชัดเมื่อกะพริบตา น้ำตาไหลทั้งที่ไม่ได้ร้องไห้ เพราะดวงตาแห้งจึงกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งน้ำตามากขึ้นแบบไม่สมดุล     รวม 3 วิธีรักษาต่อมไขมันเปลือกตาอุดตัน วิธีรักษาต่อมไขมันอุดตันจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ โดยแบ่งได้ดังนี้ 1. การประคบร้อน การใช้ผ้าชุบน้ำอุ่น หรือการประคบอุ่นบริเวณเปลือกตาจะช่วยบรรเทาอาการบวมและลดความตึงเครียดที่เกิดจากการอุดตัน การประคบอุ่นช่วยให้ท่อของต่อมไขมันคลายตัวและเปิดออก ทำให้ไขมันที่สะสมอยู่สามารถระบายออกมาได้ วิธีนี้ทำได้ง่ายที่บ้านและควรทำวันละ 2 - 3 ครั้ง ประมาณ 10 - 15 นาที เพื่อให้ได้ผลดีที่สุด 2. การรักษาด้วยยาหยอดตาหรือยาครีม หากมีการติดเชื้อร่วมกับการอุดตัน เช่น มีอาการบวมแดงหรือปวดแสบปวดร้อน แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาหยอดตาหรือยาครีมที่มีสารต้านการอักเสบหรือยาปฏิชีวนะ เพื่อช่วยลดการอักเสบและป้องกันการติดเชื้อ การใช้ยาจะช่วยเร่งกระบวนการฟื้นฟูและลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ 3. การผ่าตัด ในกรณีที่ก้อนอุดตันไม่หายไปหลังจากการใช้วิธีประคบอุ่น หรือหากมีการอักเสบเรื้อรัง เกิดการติดเชื้อซ้ำซ้อน การผ่าตัดอาจเป็นทางเลือกสุดท้าย โดยการผ่าตัดจะเป็นการเอาก้อนออกจากเปลือกตาอย่างปลอดภัยเพื่อให้หายขาด โดยจะทำภายใต้การดูแลของจักษุแพทย์และใช้เทคนิคที่ไม่ทำให้เกิดแผลใหญ่ การรักษาที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับการประเมินจากแพทย์ หากอาการไม่ดีขึ้นหรือมีอาการแทรกซ้อนควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางรักษาที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ     วิธีป้องกันการเกิดต่อมไขมันเปลือกตาอุดตัน การป้องกันการเกิดต่อมไขมันเปลือกตาอุดตันสามารถทำได้ง่ายๆ โดยการดูแลสุขภาพดวงตาและเปลือกตาให้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงเกิดอาการอุดตันได้ ดังนี้ ทำความสะอาดเปลือกตาอย่างสม่ำเสมอ การทำความสะอาดบริเวณเปลือกตาเป็นประจำช่วยขจัดสิ่งสกปรกและน้ำมันที่อาจสะสมอยู่รอบดวงตา โดยเฉพาะหากใช้เครื่องสำอาง ควรล้างออกให้สะอาดทุกครั้งหลังใช้งาน ใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนและเหมาะสมกับดวงตา หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่ระคายเคือง เครื่องสำอางบางชนิด เช่น มาสคาร่าหรืออายไลเนอร์ อาจทำให้เกิดการอุดตันในต่อมไขมันเปลือกตาได้ ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีสารเคมีแรงๆ และเหมาะสมกับการใช้งานบริเวณดวงตา เพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคือง การประคบอุ่นเปลือกตา การประคบร้อนด้วยผ้าชุบน้ำอุ่นที่เปลือกตาช่วยรักษาความสะอาดและเปิดท่อต่อมไขมันที่สะสมไขมันได้ การทำแบบนี้สัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้งจะช่วยป้องกันการอุดตัน หลีกเลี่ยงการสัมผัสตาด้วยมือที่ไม่สะอาด การสัมผัสหรือขยี้ตาอาจทำให้สิ่งสกปรกหรือเชื้อโรคเข้าไปในตาและทำให้เกิดการอักเสบหรืออุดตันในต่อมไขมัน การรักษาความสะอาดของมือและหลีกเลี่ยงการสัมผัสตาจะช่วยลดความเสี่ยงนี้ รักษาสุขภาพทั่วไป การดูแลสุขภาพร่างกายโดยรวม เช่น การดื่มน้ำให้เพียงพอและทานอาหารที่มีประโยชน์ช่วยให้ร่างกายทำงานได้ดีขึ้น และลดความเสี่ยงเกิดปัญหาผิวหนังและสุขภาพตา ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ การไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพดวงตาเป็นประจำจะช่วยให้ตรวจพบปัญหาต่างๆ ได้เร็วและรักษาได้ทันทีก่อนที่จะกลายเป็นปัญหารุนแรง หลีกเลี่ยงการใช้คอนแท็กต์เลนส์เป็นเวลานาน การสวมใส่คอนแท็กต์เลนส์นานเกินไปอาจทำให้ดวงตาแห้งและเพิ่มความเสี่ยงเกิดการอุดตันของต่อมไขมัน ควรให้ดวงตาได้พักและทำความสะอาดคอนแท็กต์เลนส์เป็นประจำ รักษาต่อมไขมันเปลือกตาอุดตัน ที่ศูนย์รักษาตา Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร ด้วยการบริการที่ครบวงจร ทั้งในด้านเทคโนโลยีการรักษา ประสบการณ์ และผู้ชำนาญการ ที่ศูนย์รักษาตา Bangkok Eye Hospital พร้อมบริการตรวจวินิจฉัย รักษาต่อมไขมันเปลือกตาอุดตัน เพื่อให้คุณมีสุขภาพดวงตาที่ดีอีกครั้ง โรงพยาบาลมีจักษุแพทย์ชำนาญการและมากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างปลอดภัย พร้อมให้การรักษา ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง สรุป ต่อมไขมันเปลือกตาอุดตันเกิดจากการสะสมของไขมันในต่อมที่เปลือกตา ทำให้เกิดอาการบวมและเจ็บ ซึ่งหากไม่รักษาจะทำให้เกิดการติดเชื้อและปัญหาการมองเห็นได้ สาเหตุหลักมาจากการไม่ทำความสะอาดเปลือกตา การระคายเคืองจากสารเคมี การผลิตไขมันมากเกินไป และปัจจัยอื่นๆ เช่น ความเครียดและโรคบางชนิด อาการที่พบบ่อย ได้แก่ ขอบตาบวมแดง ตุ่มที่ขอบตา และตาแห้ง ขึ้นอยู่กับความรุนแรง สามารถรักษาด้วยการประคบอุ่น ใช้ยาหยอดตาหรือครีม หรือในกรณีรุนแรงอาจต้องผ่าตัด การป้องกันสามารถทำได้โดยการรักษาความสะอาดตาและหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่ระคายเคือง ประคบอุ่นเปลือกตา และควรตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ ที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) เป็นทางเลือกที่ดีในการรักษาต่อมไขมันเปลือกตาอุดตัน ด้วยเทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัยโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อช่วยฟื้นฟูสุขภาพดวงตาให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง อ่านบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ตาแห้งมีอาตาแห้งมีอาการอย่างไร พร้อมวิธีรักษา และปรับพฤติกรรมป้องกัน ตากุ้งยิงเกิดจากอะไร? หาสาเหตุ อาการ การรักษา และการดูแลตัวเอง ก้อนไขมันที่เปลือกตาบนอันตรายหรือไม่? รู้จักกับสาเหตุและวิธีการรักษา FAQ – คำถามที่พบบ่อย ต่อมไขมันที่เปลือกตาอุดตันรักษาอย่างไร? การรักษาต่อมไขมันที่เปลือกตาสามารถทำได้ด้วยการประคบร้อน ใช้ยาหยอดตาหรือยาครีม ในกรณีที่รุนแรงอาจต้องผ่าตัดเอาก้อนอุดตันออก ต่อมไขมันที่เปลือกตาอุดตันอันตรายไหม? ต่อมไขมันที่เปลือกตาอุดตันอาจทำให้เกิดการติดเชื้อหรือการอักเสบ หากไม่รักษาอาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็นได้ ต่อมไขมันที่เปลือกตาอุดตันหายเองได้ไหม? ต่อมไขมันที่เปลือกตาอุดตันกรณีอาการไม่รุนแรงอาจหายเองได้ในบางกรณี แต่หากอาการยืดเยื้อหรือมีการติดเชื้อควรพบแพทย์เพื่อรักษา
calling
ติดต่อเรา : +662 511 2111