มุมสุขภาพตา

เรียงตาม

ตาแห้งมีอาการอย่างไร วิธีรักษา ป้องกัน และพฤติกรรมที่ช่วยลดอาการตาแห้ง

อาการตาแห้ง คือภาวะตาขาดความชุ่มชื้นเพราะการผลิตน้ำตาน้อยเกินไปหรือคุณภาพน้ำตาไม่ดี ทำให้เกิดอาการระคายเคืองและไม่สบายตาได้ ตาแห้งเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น อายุที่มากขึ้นทำให้การผลิตน้ำตาน้อยลง การสวมใส่คอนแท็กต์เลนส์นานเกินไป การจ้องจอคอมพิวเตอร์นานๆ รวมถึงผลข้างเคียงจากยาบางชนิด การรักษาตาแห้งทำได้หลายวิธี เช่น ยาหยอดตา น้ำตาเทียม การประคบอุ่น และการรักษาด้วยยาลดการอักเสบ รักษาอาการตาแห้งที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ได้รับการดูแลจากจักษุแพทย์ พร้อมเทคโนโลยีทันสมัยและการรักษาที่เหมาะสมกับอาการ   ตาแห้งเป็นโรคที่ทำให้ตารู้สึกแห้งและระคายเคือง เนื่องจากการผลิตน้ำตาลดลงหรือคุณภาพของน้ำตาไม่ดีพอ ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย หากดูแลอย่างถูกวิธี จะช่วยลดอาการและป้องกันภาวะตาแห้งในระยะยาว มาหาสาเหตุของอาการตาแห้ง วิธีรักษา รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันอาการตาแห้งได้ในบทความนี้     อาการตาแห้ง คืออะไร? ก่อนทำความรู้จักกับอาการตาแห้ง ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ‘น้ำตา’ กันก่อน โดยน้ำตามีความสำคัญต่อดวงตา เป็นตัวช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา ทำให้มองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวได้อย่างชัดเจน หล่อเลี้ยงเลี้ยงกระจกตาด้วยออกซิเจน และป้องกันการติดเชื้อและสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้ามาทำร้ายดวงตา ตาแห้ง เป็นอาการที่ปริมาณน้ำตาที่เข้ามาหล่อเลี้ยงผิวตามีไม่เพียงพอส่งผลให้ผิวตาอักเสบได้ โดยอาการของตาแห้งอาจเริ่มจากการแสบตา หรือรู้สึกระคายเคืองเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในตา รวมถึงอาจพบอาการตาแดง เจ็บ หรือมีการพร่ามัวที่ดีขึ้นเมื่อกะพริบตา นอกจากนี้ยังอาจรู้สึกฝืดๆ หนักๆ ที่ตา หรือลืมตาลำบาก และบางครั้งอาจมีอาการตาล้าหรือมีน้ำตาไหลมากผิดปกติ     ทำไมถึงมีอาการตาแห้งได้ ตาแห้งเป็นปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อความสบายของดวงตาและการมองเห็น โดยเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่ พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟนเป็นเวลานานเกินไป อาการภูมิแพ้ที่ตาซึ่งอาจเกิดจากสิ่งแวดล้อมที่มีฝุ่น ควัน หรือมลภาวะ อยู่ในที่ร้อน ลมแรง หรือความชื้นต่ำ ความผิดปกติของต่อมไขมันขอบตา การพบตัวไร (Demodex blepharitis) บริเวณโคนขนตา ซึ่งเกิดจากการอักเสบของต่อมน้ำตา การใช้ยาบางประเภท เช่น ยาคุมกำเนิด ยาแก้แพ้ ยาต้านซึมเศร้า ยาลดความดันโลหิตบางชนิด ฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล โดยเฉพาะในเพศหญิงที่อาจทำให้คุณภาพของน้ำตาลดลง     อาการตาแห้งเกิดจากอะไร มีปัจจัยอะไรบ้าง ปัจจัยที่ส่งผลต่อการผลิตน้ำตาหรือการทำงานของต่อมน้ำตา หากมีลักษณะดังต่อไปนี้ จะทำให้เกิดอาการตาแห้งได้ง่ายขึ้น สร้างน้ำตาได้น้อยกว่าปกติ  (Aqueous Tear Deficiency) กลุ่มคนที่มีความผิดปกติหรือปัจจัยที่ส่งผลให้สามารถสร้างน้ำตาได้น้อย ได้แก่   กลุ่มคนที่เป็นโรค Sjogren’s Syndrome โรครูมาตอยด์ โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือภาวะที่ไม่พบสาเหตุชัดเจน เช่น Primary Sjogren’s Syndrome กลุ่มคนที่ไม่เป็นโรค Sjogren’s Syndrome เช่น ต่อมน้ำตาทำงานผิดปกติตั้งแต่เกิด โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง การแพ้ยารุนแรง หรือการอักเสบที่ทำให้ท่อน้ำตาตัน กลุ่มคนที่ฮอร์โมนเปลี่ยน มักพบในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่ส่งผลให้การผลิตน้ำตาและสารคัดหลั่งอื่นๆ ในร่างกายลดลง การกินยาบางประเภท เช่น ยาแก้หวัด ยาแก้แพ้ ยาลดความดันโลหิต หรือยาคลายเครียดบางชนิด ที่มีสารกันเสียเป็นส่วนประกอบ อาจทำให้ตาแห้งมากขึ้น เนื่องจากสารเหล่านี้สามารถลดการผลิตน้ำตาได้ น้ำตาระเหยเร็ว (Evaporative Dry Eyes)  ปัจจัยที่ส่งผลให้การระเหยของน้ำตาเกิดขึ้นเร็วกว่าปกติ ได้แก่   ต่อมไขมันที่เปลือกตาทำงานผิดปกติ เปลือกตาอักเสบที่เกิดจากความผิดปกติของชั้นไขมัน จะทำให้การสร้างน้ำตาชั้นน้ำมันลดลง ซึ่งทำให้เกิดการระเหยของน้ำตาได้เร็วขึ้น ความผิดปกติของเปลือกตา การปิดตาไม่สนิทหรือการกะพริบตาน้อยผิดปกติ ซึ่งทำให้การกระจายน้ำตาผิดปกติ และเพิ่มการระเหยของน้ำตา โดนสารเคมีหรือแพ้ยารุนแรง การอักเสบของเยื่อบุตาอาจทำให้เกิดแผลเป็น ซึ่งส่งผลต่อการสร้างน้ำตาชั้นเมือกที่ติดกับกระจกตา ทำให้การสร้างน้ำตาผิดปกติ การใช้สายตามาก พบมากในวัยทำงานจากพฤติกรรมจ้องจอคอมพิวเตอร์นานๆ โดยไม่ค่อยกะพริบตา และการใส่คอนแท็กต์เลนส์ที่ดูดน้ำออกจากดวงตา ทำให้การผลิตน้ำตาลดลงและน้ำตาระเหยเร็ว     วิธีรักษาหรือวิธีแก้โรคตาแห้ง วิธีรักษาโรคตาแห้งจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและอาการของแต่ละบุคคล โดยใช้วิธีต่างๆ รวมทั้งการใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการ ดังนี้ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ตาแห้ง ควรหลีกเลี่ยงการโดนลมแรง ฝุ่นควัน หรือแสงจ้า โดยการใส่แว่นกันแดดและแว่นกันลม เพื่อป้องกันสิ่งแวดล้อมที่อาจทำให้ตาแห้งขึ้น นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงการใส่คอนแท็กต์เลนส์เป็นเวลานานๆ เพื่อไม่ให้สูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงจากดวงตาที่อาจทำให้อาการตาแห้งแย่ลงได้ ใช้น้ำตาเทียม ในการรักษาอาการตาแห้ง น้ำตาเทียมเป็นตัวช่วยที่ดี โดยมี 2 ชนิดให้เลือกใช้ ได้แก่   น้ำตาเทียมที่มีสารกันเสีย ในรูปแบบขวด ควรใช้ไม่เกิน 4-5 ครั้งต่อวัน อาจแบ่งการใช้ยาเพิ่มน้ำตาตามช่วงเวลาของวัน เช่น เช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน ซึ่งเหมาะสำหรับอาการตาแห้งที่ไม่รุนแรง น้ำตาเทียมที่ไม่มีสารกันเสีย แบบกระเปาะ เปิดแล้วมีอายุ 24 ชั่วโมง หรือขวดที่มีระบบวาล์วพิเศษใช้ได้นาน 6 เดือน ใช้บ่อยได้ตามต้องการ เช่น ทุก 1-2 ชั่วโมง เหมาะกับผู้ที่มีอาการตาแห้งรุนแรง  ใช้ยาหยอดตาเพิ่มปริมาณน้ำตา มียาหยอดตาที่ช่วยเพิ่มน้ำตาและรักษาอาการตาแห้งได้ โดยแต่ละชนิดจะช่วยรักษาตามอาการที่แตกต่างกัน ดังนี้   ยา Diquafosol ช่วยเพิ่มการสร้างน้ำตาชั้นเมือกและชั้นน้ำเพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ดวงตาและลดอาการแห้ง ยาปฏิชีวนะ Doxycycline ยาลดการอักเสบของเปลือกตาช่วยลดการอักเสบและอาการระคายเคืองที่เกิดจากตาแห้ง ยากลุ่ม Steroids โดยยานี้ช่วยบรรเทาการอักเสบของผิวตาและลดอาการระคายเคืองที่เกิดจากการขาดน้ำตา ยา Cyclosporine ยากดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressant) ชนิดหยอดตา ช่วยลดการอักเสบในตาและเพิ่มการผลิตน้ำตา โดยการปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ซึ่งสามารถช่วยลดอาการตาแห้งได้ การทำความสะอาดเปลือกตา การทำความสะอาดเปลือกตาและประคบอุ่นด้วยแชมพูเด็กผสมเจือจางหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเปลือกตาช่วยลดการอุดตันของต่อมไขมันในเปลือกตา ทำให้ชั้นไขมันที่เคลือบน้ำตาทำงานได้ดีขึ้น ช่วยป้องกันน้ำตาระเหยเร็วและลดอาการตาแห้ง ใช้ Autologous Serum การรักษาอาการตาแห้งชนิดรุนแรงโดยใช้สารที่ช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อทำได้โดยการเจาะเลือดจากผู้ป่วยไปปั่นแยกเป็น Serum และนำมาหยอดร่วมกับการใช้น้ำตาเทียม ซึ่งจะช่วยลดการอักเสบของเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ และส่งเสริมการฟื้นตัวของเนื้อเยื่อให้กลับสู่สภาพปกติได้ดีขึ้น การอุดท่อระบายน้ำตาที่หัวตา (Punctal Plug) การรักษาอาการตาแห้งที่รุนแรงทำได้โดยการอุดช่องทางที่น้ำตาไหลออกจากตา (Punctum) ซึ่งมีทั้งชนิดอุดชั่วคราวและชนิดอุดถาวร โดยการใส่ Silicone Plug หรือ Punctal Cautery ซึ่งเป็นการจี้บริเวณช่องทางที่น้ำตาระบายออกจากตา วิธีนี้ช่วยให้ดวงตาเก็บน้ำตาไว้ได้นานขึ้น ลดการระเหยของน้ำตา และช่วยบรรเทาอาการตาแห้งได้ในกรณีที่อาการรุนแรงมาก     การปรับพฤติกรรมเพื่อป้องกันอาการตาแห้ง การป้องกันอาการตาแห้งทำได้ง่ายๆ ด้วยการปรับพฤติกรรมบางอย่างในชีวิตประจำวัน ดังนี้    หยุดพักจากการใช้งานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือมือถือทุกๆ 20 นาที โดยการหลับตาสัก 20 วินาที หรือมองสิ่งที่อยู่ไกลประมาณ 20 ฟุต เพื่อให้ตาได้พักและผ่อนคลาย งดการใช้คอนแท็กต์เลนส์ต่อเนื่อง ควรสลับใส่แว่นในระหว่างวันเพื่อให้ดวงตาได้พัก ใช้งานคอมพิวเตอร์หรือมือถือในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ เพื่อช่วยลดความเครียดของดวงตา เตือนตัวเองให้กะพริบตาบ่อยๆ เพื่อให้น้ำตาเคลือบตาและช่วยลดการระเหยของน้ำตา หากอยู่ในที่ที่มีอากาศแห้ง ร้อน หรือมีลมแรง ควรสวมแว่นกันแดดกันลมเพื่อปกป้องตาจากสภาพแวดล้อม กินอาหารที่ครบทุกหมู่ โดยเฉพาะผัก ผลไม้ ปลา หรืออาหารที่มีโอเมกา 3 ซึ่งช่วยต้านอนุมูลอิสระและลดการอักเสบของตา  ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อวัน สรุป ตาแห้งคืออาการที่น้ำตาผลิตไม่เพียงพอหรือระเหยเร็วเกินไป ทำให้ดวงตารู้สึกแห้ง ระคายเคือง และอาจเกิดการอักเสบได้ รักษาได้หลายวิธี เช่น ใช้น้ำตาเทียม ประคบอุ่น ใช้ยาเพื่อเพิ่มการสร้างน้ำตาหรือลดการอักเสบ และป้องกันตาแห้งได้ด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้ดวงตา รวมถึงการใช้ยาเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของดวงตา  สำหรับผู้ที่มีอาการตาแห้งรุนแรง รับการรักษาได้ที่ ศูนย์โรคจักษุประสาทวิทยา Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ซึ่งให้การดูแลปัญหาตาแห้งที่ส่งผลต่อการมองเห็นและระบบประสาท โดยจักษุแพทย์ในการวินิจฉัยและรักษาภาวะตาแห้งอย่างครบวงจร
อ่านเพิ่มเติม

FemtoLASIK เทคโนโลยีล้ำสมัย การผ่าตัดสายตาที่ปลอดภัย แม่นยำกว่า

FemtoLASIK คือหนึ่งในเทคโนโลยีการทำเลสิกที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน โดยใช้เลเซอร์ Femtosecond (เฟมโตเซคอนด์เลเซอร์) ในการสร้างฝาปิดกระจกตา (Flap) ซึ่งมีความแม่นยำสูง ช่วยลดความเสี่ยง และฟื้นตัวเร็วกว่าวิธีแบบเดิม มาดูข้อดีและข้อเสียที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจกันได้เลยในบทความนี้   FemtoLASIK คือนวัตกรรมการแก้ไขสายตาสั้น สายตายาวโดยกำเนิด และสายตาเอียงแบบไร้ใบมีด แผลสมานตัวเร็ว ใช้เวลาผ่าตัดน้อย ระยะฟื้นตัวสั้น และผลข้างเคียงน้อย FemtoLASIK โดดเด่นด้วยเทคโนโลยี Femtosecond Laser ที่ช่วยแยกชั้นกระจกตาและปรับแต่งค่าสายตาด้วยความแม่นยำสูง โอกาสเกิดตาแห้งและการติดเชื้อต่ำ กระจกตาฟื้นตัวเร็ว มีความเสี่ยงน้อยที่ฝากระจกตาจะเคลื่อน ทำให้เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยสำหรับผู้ต้องการแก้ไขสายตา การทำ FemtoLASIK ไม่เหมาะสำหรับสตรีตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนเช่นกระจกตาหมอกได้ในบางราย รวมถึงผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับกระจกตาหรือโรคทางกายที่ส่งผลต่อการมองเห็นไม่สามารถรับการรักษาด้วยวิธีนี้ได้ ผู้ที่เหมาะกับการผ่าตัด FemtoLASIK คือผู้ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไปที่มีค่าสายตาคงที่อย่างน้อย 1 ปี มีสายตาสั้นไม่เกิน 1,300 หรือมีสายตายาวและเอียงในระดับที่เหมาะสม มีสุขภาพดวงตาดีและกระจกตาแข็งแรง เป็นผู้ที่ไม่สะดวกใส่แว่นหรือคอนแท็กต์เลนส์เนื่องจากความจำเป็นในการทำงานหรือทำกิจกรรมพิเศษ และมีความคาดหวังที่สมเหตุสมผลเกี่ยวกับผลลัพธ์หลังการผ่าตัด     เลสิกไร้ใบมีด FemtoLASIK คืออะไร? FemtoLASIK คือนวัตกรรมการแก้ไขสายตาสั้น สายตายาวโดยกำเนิด และสายตาเอียงแบบไร้ใบมีด ใช้เลเซอร์ Visumax 800 ความถี่สูงถึง 2 MHz และใช้เวลาในการเปิดฝากระจกตาเพียง 5 วินาทีเท่านั้น เทคโนโลยีนี้สามารถกำหนดความหนาของฝากระจก และแยกชั้นกระจกตาได้อย่างเรียบเนียนโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อโดยรอบ ส่งผลให้แผลสมานตัวได้เร็ว ใช้เวลาผ่าตัดน้อย ระยะพักฟื้นสั้น และลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อดีของการทำ FemtoLASIK FemtoLASIK มีข้อดีหลายประการที่โดดเด่นกว่าการผ่าตัดแบบเดิม โดยเทคโนโลยีเลเซอร์เฟมโตเซคันด์ (Femtosecond Laser) ช่วยให้การแยกชั้นกระจกตาและปรับแต่งค่าสายตามีความแม่นยำสูง ทำให้ผลข้างเคียงเกิดขึ้นน้อยและสามารถรักษาได้ทั้งสายตาสั้น สายตายาวโดยกำเนิด สายตายาวตามอายุ และสายตาเอียง   นอกจากนี้ ผู้เข้ารับการผ่าตัดมีโอกาสเกิดภาวะตาแห้งและการติดเชื้อต่ำมาก อีกทั้งกระจกตายังสมานตัวและฟื้นฟูได้รวดเร็ว พร้อมโอกาสที่ฝากระจกตาจะเคลื่อนน้อยมาก ทำให้เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขสายตา ข้อเสียของการทำ FemtoLASIK การทำ FemtoLASIK ไม่เหมาะสำหรับสตรีตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนในบางราย เช่น กระจกตาหมอก ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการผ่าตัดเพื่อลดความเสี่ยง หลังการผ่าตัดต้องระมัดระวังอุบัติเหตุกระทบดวงตาเป็นพิเศษ เนื่องจากแผลโค้งยาวที่กระจกตาอาจเกิดการเคลื่อนจนแผลเปิดได้ นอกจากนี้ ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับกระจกตาหรือโรคทางกายที่ส่งผลต่อการมองเห็นจะไม่สามารถเข้ารับการรักษาด้วยวิธีนี้ได้ วิธีเตรียมตัวก่อนทำ FemtoLASIK ก่อนทำ FemtoLASIK จำเป็นต้องเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมามีประสิทธิภาพและผ่านไปด้วยดีมากที่สุด   ศึกษาและรวบรวมข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับการทำ FemtoLASIK เพื่อสร้างความเข้าใจและความคาดหวังที่เหมาะสมต่อผลลัพธ์ ค้นหาข้อมูลสถานที่ให้บริการโดยพิจารณาทั้งประสบการณ์ของแพทย์ ความสะดวกในการเดินทาง มาตรฐานความสะอาด และค่าใช้จ่าย งดใส่คอนแท็กต์เลนส์ก่อนตรวจวิเคราะห์สภาพตา โดยเลนส์ชนิดนิ่มต้องงดอย่างน้อย 3 วัน ส่วนเลนส์ชนิดแข็งหรือแข็งกึ่งนิ่มต้องงดอย่างน้อย 14 วัน งดรับประทานยารักษาสิวกลุ่ม Isotretinoin เช่น Roaccutane, Acnotin และ Sotret เป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือนก่อนตรวจวิเคราะห์สภาพตาและก่อนการผ่าตัด งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และแจ้งให้จักษุแพทย์ทราบหากมีการรับประทานยาประจำตัว เช่น ยาเบาหวาน ยาความดัน หรือยานอนหลับ เตรียมแว่นตากันแดดและผู้ดูแลมาด้วยในวันตรวจ เนื่องจากต้องหยอดยาขยายม่านตาซึ่งทำให้มองเห็นไม่ชัดและแพ้แสง เข้ารับการตรวจวิเคราะห์สภาพตาเพื่อประเมินว่าสุขภาพตาเหมาะสมกับการรักษาด้วยวิธี FemtoLASIK หรือไม่     ขั้นตอนการทำ FemtoLASIK หลายๆ คนยังกังวลว่าการทำ FemtoLASIK เป็นอย่างไร? น่ากลัวไหม? มาดูขั้นตอนการทำ FemtoLASIK เพื่อให้คลายข้อกังวลก่อนทำกันดีกว่า   ก่อนการผ่าตัด แพทย์จะหยอดยาชาและรอให้ยาออกฤทธิ์จนพร้อมสำหรับเริ่มขั้นตอนการรักษา แพทย์ใช้ Femtosecond Laser แยกชั้นกระจกตาตามความหนาที่คำนวณไว้อย่างแม่นยำ หลังจากเปิดฝากระจกตา แพทย์จะใช้เลเซอร์เอ็กไซเมอร์ (Excimer Laser) ปรับแต่งความโค้งภายในชั้นกระจกตา เมื่อปรับแต่งเสร็จสมบูรณ์ แพทย์จะนำฝากระจกตาปิดกลับเข้าตำแหน่งเดิมอย่างแนบสนิท ขั้นตอนสุดท้าย จักษุแพทย์จะทำการปิดฝาครอบตาเพื่อป้องกันและส่งเสริมการฟื้นตัวของดวงตา ดูแลตัวเองอย่างไรหลังทำ FemtoLASIK เพื่อประสิทธิภาพของผลลัพธ์ การดูแลตัวเองหลังทำ FemtoLASIK จึงมีความสำคัญมาก ดังนี้   ใส่ที่ครอบตาขณะนอนหลับเพื่อป้องกันการเผลอขยี้ตาโดยไม่รู้ตัว ระมัดระวังไม่ให้น้ำ ฝุ่น เหงื่อ หรือสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ดวงตา งดกิจกรรมที่ไม่จำเป็นและพยายามนอนพักผ่อนให้มากเพื่อพักฟื้นสายตา หยอดยาตามที่แพทย์กำหนดอย่างเคร่งครัด ใช้น้ำตาเทียมเมื่อเกิดภาวะตาแห้ง งดการแต่งหน้าบริเวณรอบดวงตา มัดผมเพื่อป้องกันไม่ให้เส้นผมสัมผัสดวงตา (สำหรับผู้ที่มีผมยาว) สวมแว่นตากันแดดเมื่อต้องออกไปข้างนอก หลีกเลี่ยงการขับรถในตอนกลางคืนเนื่องจากอาจมองเห็นแสงเป็นแฉก เข้าพบจักษุแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ รีบพบจักษุแพทย์ทันทีหากพบความผิดปกติใดๆ นอกเหนือจากที่กล่าวมา     ใครเหมาะกับการทำ FemtoLASIK ผู้ที่เหมาะสมกับการผ่าตัด FemtoLASIK ได้แก่ ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป โดยค่าสายตาต้องคงที่อย่างน้อย 1 ปี มีสายตาสั้นไม่เกิน 1,300 หรือมีสายตายาวหรือเอียงในระดับที่เหมาะสม และมีสุขภาพดวงตาโดยรวมดีพร้อมกระจกตาที่แข็งแรง นอกจากนี้ ผู้เข้ารับการผ่าตัดควรมีความคาดหวังที่สมเหตุสมผลเกี่ยวกับผลลัพธ์ และมักเป็นผู้ที่ไม่สะดวกใส่แว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์เนื่องจากความจำเป็นในการประกอบอาชีพหรือการทำกิจกรรมบางประเภท ใครไม่เหมาะกับการทำ FemtoLASIK ผู้ที่ไม่ควรทำ FemtoLASIK ได้แก่ ผู้ที่มีโรคหลอดเลือด โรคแพ้ภูมิต้านทานตัวเองและเบาหวานที่ยังควบคุมไม่ได้ รวมถึงผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรืออยู่ระหว่างการรักษาที่กดภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ สตรีตั้งครรภ์และให้นมบุตร หรือผู้ที่วางแผนตั้งครรภ์ภายใน 6 เดือนหลังผ่าตัดก็ไม่ควรเข้ารับการรักษานี้ ท้ายที่สุด ผู้ที่เป็นโรคตาอื่นๆ เช่น ต้อกระจก ต้อหิน และผู้ติดเชื้อเอชไอวี ก็เป็นข้อห้ามในการทำ Femto LASIK เช่นเดียวกับการทำเลสิกทั่วไป หลังผ่าตัด FemtoLASIK ต้องพักฟื้นไหม? หลังจากรับการรักษาสายตาด้วย FemtoLASIK ผู้ป่วยจำเป็นต้องพักฟื้นประมาณ 2 - 3 วัน โดยในช่วงเวลานี้อาจมีอาการระคายตาและน้ำตาไหลบ่อยเกิดขึ้นได้ ซึ่งเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการฟื้นตัวของดวงตาหลังการผ่าตัดด้วยเทคโนโลยีเลเซอร์ชั้นสูงนี้ FemtoLASIK แก้ไขปัญหาสายตาได้ถาวรไหม? การทำ FemtoLASIK คือนวัตกรรมการแก้ไขปัญหาสายตาที่มีอยู่เดิมให้กลับมาชัดเจนได้อย่างถาวร แต่ไม่สามารถยับยั้งการเสื่อมถอยของร่างกายตามธรรมชาติหรือปัญหาใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ ดังนั้น ผู้ที่ผ่านการทำ FemtoLASIK แล้วควรเข้าใจว่าการรักษานี้แก้ไขสภาพสายตาที่เป็นปัญหา ณ เวลาที่ทำการรักษาเท่านั้น ไม่ใช่วิธีป้องกันความเสื่อมของสายตาที่อาจเกิดขึ้นตามวัยในภายหลัง ทำ FemtoLASIK ราคาเท่าไร? การทำ FemtoLASIK ที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) โดยทั่วไปมีค่าใช้จ่ายราคาเริ่มต้นประมาณ 118,000 บาท โดยจะมีค่าตรวจประเมินสภาพสายตาโดยละเอียดอีก 3,500 บาท สามารถตรวจสอบโปรโมชันเพิ่มเติมได้ที่นี่ อัตราค่าบริการตรวจและรักษาสายตาเป็นค่าบริการสำหรับการรักษา 2 ตาในวันเดียวกัน โดยค่าบริการรวมค่ายาและเวชภัณฑ์ที่ใช้ในการผ่าตัด และค่าบริการตรวจติดตามผลหลังการผ่าตัด 5 ครั้ง ภายในระยะเวลา 1 ปี (1 วัน 1 อาทิตย์ 1 เดือน 6 เดือน และ 1 ปี) เท่านั้น ทำ FemtoLASIK ที่ศูนย์เลเซอร์วิชั่น Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร หากต้องการรักษาปัญหาสายตาด้วยการทำ FemtoLASIK มาปรึกษาและรักษาได้ที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) เพื่อการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ด้วยจักษุแพทย์ผู้มากความรู้เกี่ยวกับดวงตาและทีมงานที่มีประสบการณ์ ด้วยจุดเด่นดังนี้   โรงพยาบาลมีจักษุแพทย์มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เทคโนโลยีสมัยใหม่สำหรับการรักษาดวงตา เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย พร้อมให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง สรุป FemtoLASIK คือนวัตกรรมการแก้ไขสายตาสั้น สายตายาวโดยกำเนิด และสายตาเอียงแบบไร้ใบมีด ที่โดดเด่นด้วยเทคโนโลยี Femtosecond Laser ซึ่งช่วยแยกชั้นกระจกตาและปรับแต่งค่าสายตาด้วยความแม่นยำสูง ทำให้แผลสมานตัวเร็ว ใช้เวลาผ่าตัดน้อย และมีระยะฟื้นตัวสั้น ข้อดีที่สำคัญคือมีโอกาสเกิดตาแห้งและการติดเชื้อต่ำ ความเสี่ยงที่ฝากระจกตาจะเคลื่อนมีน้อย ทำให้เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขสายตา หากมีความผิดปกติของดวงตา มาเช็กสุขภาพตาอย่างละเอียดที่ศูนย์เลเซอร์วิชั่น Bangkok Eye Hospitalโรงพยาบาลเฉพาะทางที่มีทีมแพทย์มากประสบการณ์ อุปกรณ์ที่ทันสมัย ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล มั่นใจได้ว่าการรักษาเป็นไปอย่างถูกต้อง แม่นยำ และปลอดภัย

ทำเลสิกที่ไหนดี? เปรียบเทียบเทคนิคและเกณฑ์การเลือกโรงพยาบาล

เป็นที่รู้กันดีว่า หากมีปัญหาสายตา ไม่ว่าจะเป็นสายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง หรือปัญหาเหล่านี้ร่วมกัน การทำเลสิกเป็นวิธีรักษาที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากสามารถแก้ไขค่าสายตาให้กลับมาปกติ ช่วยให้ผู้ที่มีปัญหาสายตากลับมามองเห็นได้ชัดเจนโดยไม่ต้องพึ่งพาแว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์อีกต่อไป ส่งผลให้การใช้ชีวิตประจำวันสะดวกสบายมากขึ้น แล้วจะทำเลสิกที่ไหนดี? ปี 2567 ผ่านไปแล้ว บทความมาแนะนำวิธีเลือกโรงพยาบาลทำเลสิกที่ปลอดภัยและได้มาตรฐานปีล่าสุดกัน พร้อมเช็กลิสต์เทคนิคการทำเลสิกก่อนตัดสินใจว่าจะทำเลสิกที่ไหนดี   การทำเลสิกคือการผ่าตัดที่ใช้เลเซอร์เอ็กไซเมอร์ปรับความโค้งของกระจกตา เพื่อแก้ไขปัญหาสายตาผิดปกติต่างๆ ทั้งสายตาสั้น สายตายาวโดยกำเนิด หรือสายตาเอียง โดยเลเซอร์จะปรับแต่งกระจกตาให้หักเหแสงไปยังจุดรับภาพได้พอดี ส่งผลให้ผู้รับการผ่าตัดสามารถมองเห็นภาพในระยะต่างๆ ได้ชัดเจนเป็นปกติ เทคนิคการรักษาด้วยวิธีการทำเลสิกมีหลากหลายรูปแบบ เช่น SMILE Pro เทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด FemtoLASIK หรือเลสิกไร้ใบมีด PRK เป็นวิธีแรกในการแก้ไขสายตาผิดปกติด้วยเลเซอร์ TransPRK พัฒนาต่อยอดจาก PRK แบบเดิม Nano NV LASIK และ NanoLASIK ที่พัฒนาต่อยอดจาก FemtoLASIK NV LASIK เป็นนวัตกรรมรักษาสายตายาวตามอายุ NanoRelex เป็นนวัตกรรมการผ่าตัดแก้ไขสายตาแบบไร้ใบมีด MicrokeratomeLASIK นวัตกรรมการผ่าตัดแก้ไขสายตาแบบใช้ใบมีด หรือจะเป็นวิธี ICL ที่แก้ไขปัญหาสายตาด้วยการใส่เลนส์เสริมถาวร เลสิกที่ไหนดี? ปัจจัยสำคัญที่ควรตรวจสอบก่อนตัดสินใจเลือกโรงพยาบาลทำเลสิก ได้แก่ ใบอนุญาตและมาตรฐานสถานพยาบาล ความพร้อมของทีมแพทย์เฉพาะทาง เทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่ทันสมัย ทางเลือกในการรักษาที่หลากหลาย รีวิวที่น่าเชื่อถือ ความสะดวกในการเดินทาง และราคาที่สมเหตุสมผลเหมาะสมกับคุณภาพการบริการที่ได้รับ     รู้จักการทำเลสิก (LASIK) คืออะไร? การทำเลสิก(Laser In Situ Keratomileusis: LASIK) คือการผ่าตัดที่ใช้เลเซอร์เอ็กไซเมอร์ (Excimer Laser) ปรับความโค้งของกระจกตา เพื่อแก้ไขปัญหาสายตาผิดปกติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสายตาสั้น สายตายาวโดยกำเนิด หรือสายตาเอียง โดยเลเซอร์จะยิงเข้าไปในลูกตาเพื่อปรับแต่งกระจกตาให้สามารถหักเหแสงไปตกยังจุดรับภาพได้พอดี ทำให้ผู้รับการผ่าตัดสามารถมองเห็นภาพในระยะต่างๆ ได้ชัดเจนเป็นปกติ   เทคนิคการทำเลสิก เลือกแบบไหนดีให้เหมาะกับปัญหาสายตา? เทคนิคการรักษาด้วยวิธีการทำเลสิกจึงมีทั้งเลสิกสายตาสั้นเลสิกสายตายาวและเลสิกสายตาเอียง ขึ้นอยู่กับลักษณะความผิดปกติของสายตาที่ต้องการแก้ไข ดังนี้     1.NanoRelex(สำหรับสายตาสั้นและเอียงเท่านั้น) NanoRelex เป็นนวัตกรรมขั้นสูงของการผ่าตัดแผลเล็กที่ใช้เทคโนโลยี Femtosecond Laser ความแม่นยำสูง โดยปรับแต่งเนื้อเยื่อในชั้น Stroma ของกระจกตาด้วยการคำนวณชิ้นเนื้อกระจกตาเป็นรูป 3 มิติ (Lenticule) ตามค่าสายตาของแต่ละบุคคล จากนั้นนำ Lenticule ออกผ่านแผลขนาดเพียง 2 - 3 มิลลิเมตร ข้อดีคือใช้พลังงานต่ำระดับนาโนจูลย์ ทำให้กระทบกระเทือนดวงตาน้อยและฟื้นตัวเร็วขึ้น การผ่าตัดด้วยวิธี NanoRelex ใช้เวลาผ่าตัดน้อย ลดอาการตาแห้งหลังการรักษา และเนื่องจากแผลมีขนาดเล็ก ทำให้กระจกตายังคงรูปร่างและความแข็งแรงหลังการผ่าตัด   NanoRelex คลิกเลย       2.SMILE Pro(สำหรับสายตาสั้นและเอียงเท่านั้น) SMILE Pro คือเทคโนโลยีการผ่าตัดแก้ไขสายตาที่ทันสมัยที่สุดด้วยนวัตกรรม Femtosecond Laser ผ่านเครื่อง Visumax 800 ที่ทำงานเร็วกว่าแบบเดิมถึง 3 เท่า โดยใช้เวลาเพียง 8 - 10 วินาทีต่อตา กระบวนการทำงานคือการแยกชั้นเนื้อเยื่อกระจกตาส่วนกลางเป็นแผ่นบางๆ เรียกว่า “เลนส์ติคูล” แล้วดึงออกผ่านแผลเล็กขนาดเพียง 2 - 4 มิลลิเมตร เพื่อปรับรูปร่างกระจกตาให้แสงตกกระทบจอประสาทตาได้พอดี การผ่าตัดแบบแผลเล็กนี้ช่วยลดภาวะแทรกซ้อน แผลหายไว ใช้สายตาได้เร็ว และคงความแข็งแรงของกระจกตาได้มากกว่าวิธีเลสิกทั่วไป จึงได้รับการยอมรับว่ามีความแม่นยำและปลอดภัยสูง   SMILE Pro คลิกเลย       3. ReLEx SMILE (สำหรับสายตาสั้นและเอียงเท่านั้น) ReLEx SMILE (Refractive Lenticule Extraction and Small Incision Lenticule Extraction) เป็นนวัตกรรมการผ่าตัดสายตาที่เปลี่ยนจากวิธีการใช้ใบมีดมาเป็นการใช้เลเซอร์ในการปรับรูปทรงกระจกตา ซึ่งพัฒนามาจากเทคนิคเลสิกแบบเดิม ทำให้มีความปลอดภัยและแม่นยำขึ้น เทคนิคนี้เป็นการผ่าตัดที่ไม่เจ็บ แผลเล็ก ใช้เวลาน้อย และสามารถแก้ไขปัญหาสายตาสั้นได้ถึง -10.00 ไดออปเตอร์ พร้อมทั้งลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการผ่าตัดแบบเก่า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทางเลือกใหม่ในการรักษาสายตา แม้จะเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยน้อยกว่า Smile Pro แต่ด้วยความปลอดภัย ReLEx SMILE จึงกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการแก้ไขปัญหาสายตาในปัจจุบัน     4.NanoLASIK(สำหรับสายตาสั้น ยาว และเอียง) NanoLASIK เป็นการพัฒนาขึ้นมาอีกขั้นจาก FemtoLASIK ซึ่งเป็นการรักษาสายตาผิดปกติที่ใช้เลเซอร์ในทุกขั้นตอน โดยใช้ Femtosecond Laser ที่มีความเร็วสูงและพลังงานต่ำในการแยกชั้นกระจกตา ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้ใบมีด จึงไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดหรือความไม่สบายตา และมีความแม่นยำ ปลอดภัยสูงสุด Laser Vision International LASIK Centerถือเป็นศูนย์รักษาสายตาเอกชนแห่งแรกของประเทศไทยที่ติดตั้งเครื่อง Femtosecond Laser นี้และนำมาใช้ในการรักษาจนประสบความสำเร็จ ได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง   NanoLASIK คลิกเลย       5.Nano NV LASIK(สำหรับสายตายาวเท่านั้น) Nano NV LASIK คือการพัฒนาต่อยอดจาก FemtoLASIK ที่ใช้เลเซอร์ความเร็วสูงและพลังงานต่ำระดับนาโนจูลในทุกขั้นตอน โดยเทคโนโลยี Femtosecond Laser ช่วยแยกชั้นกระจกตาโดยไม่ต้องใช้ใบมีด ทำให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือไม่สบายตา ถือเป็นการรักษาที่มีความแม่นยำและปลอดภัยสูงสุด Laser Vision International LASIK Centerนับเป็นศูนย์รักษาสายตาเอกชนแห่งแรกในประเทศไทยที่นำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในการรักษาและประสบความสำเร็จอย่างน่าพอใจ   Nano NV LASIK คลิกเลย       6.FemtoLASIK(สำหรับสายตาสั้น ยาว และเอียง) FemtoLASIK หรือเลสิกไร้ใบมีด (Bladeless LASIK) เป็นเทคนิคการผ่าตัดแก้ไขสายตาผิดปกติที่ใช้ Femtosecond Laser ในการแยกชั้นและเปิดฝากระจกตาอย่างแม่นยำ ก่อนใช้ Excimer Laser ปรับแต่งความโค้งของกระจกตาทีละจุดเพื่อให้ได้ค่าสายตาปกติ วิธีนี้แตกต่างจากเลสิกแบบดั้งเดิมที่ใช้ใบมีด โดย Femtosecond Laser สามารถปล่อยพัลส์สั้นระดับ 1 เฟมโตวินาที (1 ในพันล้านวินาที) ทำให้การผ่าตัดมีความแม่นยำสูง ไม่ทำลายเนื้อเยื่อโดยรอบ อ่อนโยนต่อดวงตา ใช้เวลาพักฟื้นสั้น และช่วยให้ผู้ป่วยมองเห็นได้อย่างมีคุณภาพรวดเร็วยิ่งขึ้น   FemtoLASIK คลิกเลย       7.NV LASIK(สำหรับสายตายาวเท่านั้น) ก่อนจะไปดูว่าเลสิกสายตายาวที่ไหนดี? มาดูเทคนิค NV LASIK หรือ Near Vision LASIK นวัตกรรมการรักษาสายตายาวตามอายุด้วยเทคนิคเลสิกที่อาศัยหลักการ Blended Vision โดยแพทย์จะปรับให้ตาข้างหนึ่งมองเห็นระยะไกลชัดเจน ส่วนอีกข้างจะถูกปรับให้มีสายตาสั้นเล็กน้อยเพื่อการมองระยะใกล้ได้ดี เมื่อใช้ตาทั้งสองข้างพร้อมกัน สมองจะประมวลผลให้มองเห็นได้ชัดทั้งระยะใกล้และไกล ช่วยลดการพึ่งพาแว่นในชีวิตประจำวัน แม้ว่าผู้รับการรักษาจะต้องใช้เวลาปรับตัวระยะหนึ่งเพื่อให้เกิดความคุ้นเคยกับการมองเห็นรูปแบบใหม่นี้   NV LASIK คลิกเลย       8.LASIK(สำหรับสายตาสั้น ยาว และเอียง) LASIK หรือ Laser In Situ Keratomileusis เป็นเทคโนโลยีการแก้ไขสายตาที่มีความก้าวหน้าและแม่นยำสูง โดยใช้เครื่องมือพิเศษที่เรียกว่า Microkeratome หรือเลเซอร์ เพื่อสร้างแผ่นกระจกตาบางพิเศษหนาประมาณ 100 - 120 ไมครอน ซึ่งจะถูกยกขึ้นอย่างระมัดระวังเพื่อเปิดชั้นในของกระจกตา จากนั้นจะใช้เลเซอร์ Excimer ส่องไปที่เนื้อเยื่อกระจกตาด้านใน เพื่อปรับแก้ความโค้งให้ตรงกับค่าสายตาที่ต้องการแก้ไขอย่างแม่นยำ และเมื่อปรับแก้เสร็จจะปิดแผ่นกระจกตากลับคืนสู่ตำแหน่งเดิม ซึ่งทำหน้าที่เป็นแผ่นปิดธรรมชาติเพื่อช่วยให้การหายของแผลเป็นไปอย่างรวดเร็วและราบรื่น     9.TransPRK(สำหรับสายตาสั้น ยาว และเอียง) TransPRK (Transepithelial Photorefractive Keratectomy) เป็นวิธีแก้ไขสายตาด้วยเลเซอร์ที่พัฒนาต่อยอดจาก PRK แบบดั้งเดิม ใช้รักษาสายตาสั้น ยาว หรือเอียง โดยใช้ Excimer Laser ลอกผิวกระจกตาและปรับความโค้งในขั้นตอนเดียวกัน ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ขูดผิวกระจกตาเหมือน PRK แบบเดิม จุดเด่นสำคัญคือไม่ต้องสัมผัสดวงตาโดยตรงในขั้นตอนใดๆ ทำให้ลดอาการระคายเคืองหลังทำ แผลหายเร็วขึ้น และลดความเสี่ยงในการติดเชื้อที่ดวงตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ   TransPRK LASIK คลิกเลย       10.PRK(สำหรับสายตาสั้น ยาว และเอียง) PRK (Photorefractive Keratectomy) เป็นวิธีแรกในการแก้ไขภาวะสายตาผิดปกติด้วยเลเซอร์ โดยใช้เทคนิคการลอกผิวกระจกตาชั้นนอกสุด (Epithelium) ออกด้วยเอ็กไซเมอร์เลเซอร์หรือสารละลายแอลกอฮอล์เจือจาง แล้วจึงปรับความโค้งของกระจกตาชั้นในด้วยเลเซอร์เพื่อให้สายตาเป็นปกติ หลังผ่าตัดผู้ป่วยต้องใส่คอนแท็กต์เลนส์ชนิดพิเศษแบบไม่มีค่าสายตาประมาณ 5 - 7 วัน เพื่อลดอาการระคายเคืองระหว่างที่ร่างกายสร้างผิวกระจกตาชั้นนอกใหม่ PRK เหมาะสำหรับผู้ที่มีกระจกตาบางหรือมีอาการตาแห้งซึ่งไม่เหมาะกับการทำเลสิก ข้อดีคือไม่ต้องใช้เลเซอร์เปิดฝากระจกตา ช่วยรักษาความแข็งแรงตามธรรมชาติของกระจกตาไว้ได้   PRK LASIK คลิกเลย       ทำเลสิกที่ไหนดี? รวมข้อควรรู้ก่อนเลือกโรงพยาบาล หลังจากรู้จักแต่ละเทคนิคการทำเลสิกไปแล้ว มาพิจารณาอย่างรอบคอบดูว่าควรทำเลสิกที่ไหนดี? การตัดสินใจเลือกโรงพยาบาลที่มีคุณภาพมีความสำคัญ เพราะดวงตาเป็นอวัยวะสำคัญในชีวิตประจำวัน หากเลือกไม่ดีอาจทำให้มีปัญหาที่แก้ไขได้ยาก เพื่อป้องกันการตัดสินใจผิดพลาดและปัญหาหลังการผ่าตัด บทความนี้ได้รวบรวมเทคนิคการเลือกโรงพยาบาลทำเลสิกที่มีคุณภาพ เพื่อให้พิจารณาก่อนตัดสินใจเข้ารับบริการ โรงพยาบาลได้มาตรฐาน มีใบอนุญาต การมีเลขที่ใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาลเป็นสิ่งสำคัญที่การันตีว่าสถานพยาบาลนั้นได้จัดตั้งขึ้นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ผ่านการตรวจสอบทั้งด้านอาคาร สิ่งแวดล้อม เครื่องมือ และมีผู้ประกอบวิชาชีพที่มีคุณสมบัติตามกำหนด ดังนั้น เมื่อพิจารณาว่า “เลสิกที่ไหนดี” เลขที่ใบอนุญาตจึงเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ ที่ควรตรวจสอบ โดยคุณสามารถดูได้จากที่สถานพยาบาลต้องติดแสดงไว้อย่างชัดเจน หรือตรวจสอบเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลสะอาด มีมาตรฐานความปลอดภัย การเลือกสถานพยาบาลที่มีความสะอาดและได้มาตรฐานความปลอดภัยระดับสากลเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อเข้ารับบริการที่ศูนย์เลสิก เนื่องจากเป็นการผ่าตัดที่ต้องได้รับการดูแลอย่างพิถีพิถัน หากสถานที่ขาดความสะอาดหรือมาตรฐานความปลอดภัยที่เหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น การติดเชื้อที่ดวงตาหรือการสูญเสียการมองเห็น ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่ไม่ควรประมาทเลย มีแพทย์เฉพาะทางการทำเลสิก หลายคนคงสงสัยว่าควรทำเลสิกที่ไหนดีและกับหมอคนไหน? เริ่มต้นง่ายๆ คุณควรเลือกจากแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านเลสิกและมีประสบการณ์การผ่าตัดแก้ไขสายตามามาก แพทย์ที่ดีต้องจบการศึกษาจากคณะแพทย์ศาสตร์ 6 ปี และเรียนต่อเฉพาะทางด้านจักษุวิทยาในหน่วยที่เกี่ยวข้องกับกระจกตาและการผ่าตัดแก้ไขสายตา พร้อมทั้งมีใบประกอบวิชาชีพที่ถูกต้อง โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อแพทย์ได้จากฐานข้อมูลแพทยสภา อุปกรณ์ครบ เทคโนโลยีการรักษาทันสมัย การทำเลสิกเป็นการผ่าตัดที่สำคัญต่อดวงตาซึ่งจำเป็นต้องใช้เครื่องมือเฉพาะทาง ไม่ว่าจะเป็นใบมีดจากเครื่อง Microkeratome ในการทำเลสิกทั่วไป หรือเลเซอร์จากเครื่อง Femtosecond Laser สำหรับเฟมโตเลสิกและรีแลกซ์ ดังนั้น การเลือกสถานพยาบาลที่มีความพร้อมทั้งด้านเทคโนโลยีทันสมัยที่ได้มาตรฐานสากล รวมถึงบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ พร้อมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกและสถานที่ที่เหมาะสมในการรองรับผู้ป่วยจำนวนมาก จึงเป็นสิ่งที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ มีบริการทำเลสิกที่หลากหลายให้เลือก เลสิกสายตายาวที่ไหนดี? เลสิกสายตาเอียงที่ไหนดี? ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป หากเลือกสถานพยาบาลที่มีทางเลือกในการทำเลสิกที่หลากหลาย เพราะเลสิกมีรูปแบบการแก้ไขปัญหาสายตาที่แตกต่างกัน โดยแต่ละประเภทมีเอกลักษณ์และข้อจำกัดเฉพาะตัว ซึ่งแต่ละคนก็เหมาะสมกับวิธีการที่แตกต่างกันไป ดังนั้น เมื่อต้องตัดสินใจว่า “เลสิกที่ไหนดี?” การเลือกศูนย์เลสิกที่มีตัวเลือกการรักษาหลากหลายจึงเป็นข้อได้เปรียบสำคัญ เพราะสามารถให้บริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เข้ารับบริการได้อย่างครอบคลุมทุกรูปแบบ มีรีวิวที่น่าเชื่อถือ ในการเลือกว่าจะทำเลสิกที่ไหนดี นอกจากการศึกษารายละเอียดต่างๆ แล้ว รีวิวจากผู้เคยรับการรักษามีความสำคัญอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ควรเลือกอ่านรีวิวจากแหล่งที่น่าเชื่อถือและใช้วิจารณญาณพิจารณา เนื่องจากรีวิวเป็นความคิดเห็นส่วนตัวที่อาจมีทั้งจริงและปลอม การอ่านรีวิวที่เชื่อถือได้จะช่วยให้ทราบข้อมูลที่สถานพยาบาลอาจไม่ได้แจ้งไว้ และเป็นประสบการณ์ตรงที่หาไม่ได้จากแหล่งอื่น เดินทางสะดวกสบาย ตำแหน่งที่ตั้งของสถานพยาบาลเป็นเกณฑ์สำคัญในการพิจารณาว่าเลสิกที่ไหนดี เนื่องจากหลังทำเลสิก การมองเห็นจะไม่ชัดชั่วคราวและต้องกลับไปพักฟื้น อีกทั้งผู้ป่วยจำเป็นต้องกลับมาพบจักษุแพทย์เป็นระยะเพื่อติดตามผลหรือหากมีภาวะแทรกซ้อน ดังนั้น ควรเลือกสถานพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่พักหรือที่ทำงาน มีการเดินทางสะดวกทั้งรถส่วนตัว (มีที่จอดรถเพียงพอ) หรือรถสาธารณะที่มีหลากหลายเส้นทาง ราคาสมเหตุสมผล การเลือกโรงพยาบาลทำเลสิกที่เหมาะสมนั้นจำเป็นต้องพิจารณาทั้งด้านค่าใช้จ่ายและคุณภาพการบริการที่ได้รับ โดยสถานพยาบาลที่ดีควรมีการแจกแจงรายละเอียดค่าใช้จ่ายอย่างชัดเจนเพื่อป้องกันค่าใช้จ่ายบานปลาย ราคาการทำเลสิกในแต่ละสถานพยาบาลจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับประเภทการรักษาและรายละเอียดบริการ บางแห่งรวมค่าตรวจทั้งหมดแล้ว ขณะที่บางแห่งอาจคิดเฉพาะค่าผ่าตัดและมีค่าใช้จ่ายอื่นเพิ่มเติม ผู้สนใจจึงควรศึกษาเงื่อนไขอย่างละเอียดและเปรียบเทียบโปรโมชันระหว่างสถานพยาบาลต่างๆ ที่ศูนย์รักษาตา Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) มีบริการทำเลสิกหลายประเภท ดังนี้ ประเภทการรักษาและราคา NanoRelexราคาปกติ 148,000 บาท Smile Proราคาปกติ 148,000 บาท NanoLASIKราคาปกติ 148,000 บาท Nano NV LASIKราคาปกติ 148,000 บาท FemtoLASIKราคาปกติ 118,000 บาท NV LASIKราคาปกติ 88,000 บาท LASIKราคาปกติ 78,000 บาท TransPRKราคาปกติ 78,000 บาท PRKราคาปกติ 78,000 บาท   ตรวจสอบโปรโมชั่นได้ที่              คลิก ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ค่าตรวจประเมินสภาพสายตาโดยละเอียด 3,500 บาท อัตราค่าบริการตรวจและรักษาสายตาเป็นค่าบริการสำหรับการรักษา 2 ตาในวันเดียวกัน โดยค่าบริการรวมค่ายาและเวชภัณฑ์ที่ใช้ในการผ่าตัด และค่าบริการตรวจติดตามผลหลังการผ่าตัด 5 ครั้ง ภายในระยะเวลา 1 ปี (1 วัน 1 อาทิตย์ 1 เดือน 6 เดือน และ 1 ปี) เท่านั้น ทำเลสิกที่ Laser Vision International LASIK Center ศูนย์รักษาตา Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร หากใครสนใจทำเลสิก มาปรึกษาและรักษาได้ที่ Laser Vision International LASIK Center ศูนย์รักษาสายตานานาชาติ เลเซอร์วิชั่น Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) เป็นศูนย์รักษาสายตาผิดปกติ ที่มีครบทุกทางเลือก เน้นการรักษาที่มีประสิทธิภาพ และการบริการที่ประทับใจ ด้วยจักษุแพทย์ผู้มากความรู้เกี่ยวกับดวงตาและทีมงานที่มีประสบการณ์ และจุดเด่นดังนี้ ศูนย์เลสิกเเห่งแรกที่ในเอเชีย ที่ได้ผ่านการรับรองมาตรฐาน AACI (Ameican Accreditation Comission Internataional) ทีมแพทย์มีประสบการณ์กว่า 27 ปี ผ่าตัดมาแล้วมากกว่า 100,000 ตา ทีมเเพทย์เฉพาะทางด้านกระจกตาและการผ่าตัดแก้ไขสายตาผิดปกติ นำโดย รศ.นพ. อนันต์ วงศ์ทองศรี แพทย์ไทยท่านแรกที่ใช้นวัตกรรมเลสิกแบบไร้ใบมีด ที่เดียวในไทยที่มีเทคโนโลยีเลสิกใหม่ล่าสุด มีรูปแบบการทำเลสิกให้เลือกหลากหลายที่สุด สามารถแก้ไขสายตาได้ครบทุกรูปแบบการรักษา ด้วยเทคโนโลยี Nano Relex, NanoLASIK หรือ SMILE Pro บริการโดย Patient Experience Executive Team พร้อมให้บริการทั้งชาวไทยและต่างประเทศแบบครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง เทคโนโลยีสำหรับการทำเลสิกสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย สรุป การทำเลสิกเป็นการผ่าตัดด้วยเลเซอร์เอ็กไซเมอร์เพื่อปรับความโค้งของกระจกตา แก้ไขปัญหาสายตาผิดปกติทั้งสายตาสั้น สายตายาวโดยกำเนิด และสายตาเอียง ทำให้สามารถมองเห็นได้ชัดเจนในระยะต่างๆ เมื่อต้องการเลือกว่าเลสิกที่ไหนดี? ควรพิจารณาปัจจัยสำคัญ เช่น ใบอนุญาตและมาตรฐานสถานพยาบาล ความเชี่ยวชาญของแพทย์ ความทันสมัยของเทคโนโลยีและอุปกรณ์ ทางเลือกในการรักษาที่หลากหลาย รีวิวที่น่าเชื่อถือ ความสะดวกในการเดินทาง และความคุ้มค่าของราคากับคุณภาพบริการที่ได้รับ หากใครสนใจทำเลสิก มาปรึกษาและรักษาได้ที่ ศูนย์เลเซอร์วิชั่น Bangkok Eye Hospital โรงพยาบาลเฉพาะทางที่มีทีมแพทย์มากประสบการณ์ อุปกรณ์ที่ทันสมัย ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล มั่นใจได้ว่าการรักษาเป็นไปอย่างถูกต้อง แม่นยำ และปลอดภัย
ศูนย์รักษาจอประสาทตา
ศูนย์รักษาจักษุประสาทวิทยา

หนังตากระตุกเกิดจากอะไร? และเคล็ดลับดูแลสายตาเพื่อป้องกันอาการ

หนังตากระตุกคืออาการที่กล้ามเนื้อบริเวณเปลือกตาขยับหรือกระตุกโดยไม่ตั้งใจ โดยมักเกิดที่เปลือกตาบนและเกิดขึ้นเป็นระยะๆ อาจเป็นเพียงชั่วขณะหรือเกิดบ่อยๆ เป็นอาการที่ไม่รุนแรง หนังตากระตุกมักเกิดจากความเครียดหรือวิตกกังวล นอนหลับไม่เพียงพอ ใช้สายตามากเกินไป ขาดแมกนีเซียม โรคพาร์กินสัน หรือการติดเชื้อที่เปลือกตา อาการเปลือกตากระตุกที่ควรพบจักษุแพทย์ ได้แก่ กระตุกตาต่อเนื่องเกิน 2-3 สัปดาห์ มีอาการปวด หรือทำให้ลืมตาลำบาก ตาแดงหรือมีขี้ตา กระตุกเกิดร่วมกับการเกร็งของกล้ามเนื้อใบหน้า หากมีอาการหนังตากระตุกต่อเนื่องหรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ควรพบจักษุแพทย์ที่ Bangkok Eye Hospital เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม   การที่หนังตากระตุกเป็นอาการที่หลายคนคุ้นเคย ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ บางครั้งก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล แต่ในบางกรณีอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ควรใส่ใจ มาดูกันว่าอาการนี้เกิดจากอะไร และเราจะดูแลตัวเองเพื่อป้องกันอาการนี้ได้อย่างไร     อาการหนังตากระตุกคืออะไร? ตากระตุก (Eye Twitching) คืออาการที่หนังตาขยับหรือหนังใต้ตากระตุกอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจเกิดขึ้นแค่เพียงเล็กน้อยหรือถี่จนทำให้เกิดความรำคาญได้ อาการนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งที่เปลือกตาบนและล่าง แต่พบมากที่เปลือกตาบน โดยทั่วไปแล้วอาการตากระตุกมักไม่รุนแรงและไม่มีความเจ็บปวด     สาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการหนังตากระตุก อาการหนังตากระตุกสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตประจำวันหรือสภาวะร่างกาย ดังนี้ ความเครียดและความวิตกกังวลสะสมเป็นเวลานาน นอนหลับไม่เป็นเวลาหรือนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ ใช้สายตามากเกินไป เช่น การมองจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟนเป็นเวลานานๆ โดยไม่พักสายตา ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมากเกินไป สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์มากในปริมาณมาก แสงสว่างที่จ้าเกินไป ลม หรือมลพิษทางอากาศ การขาดวิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารบางชนิด เช่น แมกนีเซียม วิตามินบี 12 หรือวิตามินดี การระคายเคืองที่เปลือกตาด้านใน หรือโรคภูมิแพ้ โรคตาที่ทำให้เกิดการระคายเคือง เช่น ตาแห้ง ที่อาจทำให้เปลือกตากระตุกหรือเกร็งจากการพยายามรักษาความชุ่มชื้นให้กับตา โรคทางระบบประสาท เช่น โรคพาร์กินสัน หรือผลข้างเคียงจากยาที่ใช้ในการรักษา     อาการหนังตากระตุกบ่อยๆ บ่งบอกถึงอะไร? แม้ว่าอาการหนังตากระตุกจะเป็นอาการที่ไม่รุนแรงและสามารถหายได้เองในหลายกรณี แต่หากเกิดขึ้นบ่อยๆ หรือมีอาการที่รุนแรงขึ้น ควรสังเกตให้ดี เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคต่างๆ เช่น โรคทูเร็ตต์ (Tourette's Disorder) โรคอัมพาตใบหน้า (Bell’s Palsy) โรคกล้ามเนื้อบิดเกร็ง (Dystonia) โรคกล้ามเนื้อใบหน้าบิดเกร็ง (Facial Dystonia) โรคคอบิดเกร็ง (Cervical dystonia) โรคกล้ามเนื้อช่องปากหรือขากรรไกรบิดเกร็ง (Oromandibular Dystonia) โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis)     วิธีการรักษาเปลือกตากระตุกและการบรรเทาอาการ การรักษาและบรรเทาอาการเปลือกตากระตุกสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ ดังนี้ รับประทานยา การใช้กลุ่มยาคลายกล้ามเนื้อหรือกลุ่มยานอนหลับ อาจช่วยบรรเทาอาการหนังตากระตุกชั่วคราว เช่น ยาลอราซีแพม (Lorazepam) ยาไตรเฮกซีเฟนิดิล (Trihexyphenidyl) และยาโคลนาซีแพม (Clonazepam) อย่างไรก็ตาม ยาเหล่านี้อาจมีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ จึงควรใช้ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด รักษาตามปัจจัยที่กระตุ้นให้กล้ามเนื้อเปลือกตาเกร็งกระตุก การจัดการกับปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดการเกร็งหรือกระตุกของกล้ามเนื้อเปลือกตา เช่น การใช้น้ำตาเทียมอาการกล้ามเนื้อเปลือกตากระตุกอาจเกิดจากตาแห้ง การใช้น้ำตาเทียมช่วยให้ความชุ่มชื้น ลดการระคายเคือง และป้องกันการกระตุกของกล้ามเนื้อเปลือกตา การรักษาเปลือกตาอักเสบหากการกระตุกเกิดจากการอักเสบ เช่น โรคภูมิแพ้หรือการติดเชื้อ การใช้ยาฆ่าเชื้อหรือยาสเตียรอยด์จะช่วยลดอาการอักเสบและทำให้การกระตุกหายไป การใช้แว่นตาดำ (FL-41)ช่วยกรองแสงจ้า เช่น แสงจากจอคอมพิวเตอร์หรือแสงแดด ลดการกระตุกของกล้ามเนื้อเปลือกตา โดยช่วยให้ตารู้สึกสบายและลดอาการกระตุก ฉีดโบท็อกซ์ การฉีดโบท็อกซ์ได้รับการรับรองในการรักษาอาการกล้ามเนื้อหดเกร็งที่ควบคุมไม่ได้ และปัจจุบันเป็นวิธีที่นิยมและแนะนำมากที่สุดในการรักษาอาการเปลือกตากระตุก แพทย์จะฉีดโบท็อกซ์ลงไปบริเวณกล้ามเนื้อรอบดวงตาที่มีอาการกระตุก เพื่อทำให้กล้ามเนื้อเหล่านั้นอ่อนแรงชั่วคราว และไม่สามารถหดเกร็งได้ โบท็อกซ์จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อและบล็อกสัญญาณจากเส้นประสาทที่กระตุ้นการกระตุก เมื่อฉีดโบท็อกซ์แล้วอาการตากระตุกจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ผลของโบท็อกซ์จะอยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือน เมื่อยาหมดฤทธิ์ อาการอาจกลับมา จึงแนะนำให้กลับไปพบแพทย์หากอาการยังคงมีอยู่ การผ่าตัด การผ่าตัดสำหรับอาการตากระตุกจะพิจารณาในกรณีที่อาการไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยโบท็อกซ์หรือวิธีอื่นๆ โดยการผ่าตัดอาจจะทำการตัดเส้นประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อเปลือกตา เพื่อหยุดการกระตุกที่ไม่สามารถควบคุมได้     หนังตากระตุกหายได้เองไหม? และเมื่อไรที่ควรพบแพทย์? โดยทั่วไปแล้วอาการกล้ามเนื้อเปลือกตากระตุกมักหายได้เองหากหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น แต่หากมีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบพบแพทย์ทันที หนังตากระตุกที่เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจนรบกวนหรือมีผลต่อชีวิตประจำวันและการทำงาน อาการเปลือกตากระตุกที่ไม่หายไปภายใน 2-3 สัปดาห์ เปลือกตากระตุกที่ทำให้ลืมตายากหรือเปลือกตาปิดสนิท อาการตาเกร็งหรือกะพริบตาค้างจนไม่สามารถลืมตาขึ้นได้เอง ตาแดง หรือมีขี้ตา รวมถึงเปลือกตาตก มีการกระตุกบริเวณอื่นของใบหน้าหรือร่างกายร่วมด้วย     วิธีป้องกันไม่ให้เกิดเปลือกตากระตุก การป้องกันอาการเปลือกตากระตุกสามารถทำได้โดยการหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดการเกร็งของกล้ามเนื้อเปลือกตา ดังนี้ ลดเวลาในการอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ นอนหลับ พักผ่อนให้เพียงพอ ลดหรือหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ งดการสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หาสิ่งที่ช่วยให้ผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิ หรือการฝึกหายใจเพื่อลดความเครียด นวดกล้ามเนื้อรอบดวงตาเพื่อช่วยคลายความตึงเครียด ประคบร้อนหรืออุ่นบริเวณดวงตาประมาณ 10 นาที หากเกิดอาการตาแห้งหรือระคายเคือง สามารถหยอดน้ำตาเทียมเพื่อบรรเทาอาการ   สรุป หนังตากระตุกคืออาการที่กล้ามเนื้อเปลือกตาขยับโดยไม่ตั้งใจ มักเกิดที่เปลือกตาบน สาเหตุรวมถึงความเครียด การนอนน้อย การใช้สายตานาน ขาดสารอาหาร หรือแสงจ้า โดยวิธีรักษา ได้แก่ ใช้ยาคลายกล้ามเนื้อ น้ำตาเทียม แว่นตากรองแสง โบท็อกซ์ หรือการผ่าตัดในกรณีที่จำเป็น หากมีอาการหนังตากระตุกต่อเนื่องหรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ควรพบจักษุแพทย์ที่Bangkok Eye Hospitalเพื่อรับคำปรึกษาและการรักษาที่เหมาะสม
ศูนย์รักษาจอประสาทตา

เส้นเลือดฝอยในตาแตกอันตรายไหม? สังเกตอาการและวิธีรักษาที่ควรรู้

การพบจุดแดงหรือรอยเลือดคล้ายเส้นเลือดฝอยแตกในดวงตาอาจสร้างความกังวลว่าเป็นอาการร้ายแรงหรือไม่ ถ้าเส้นเลือดฝอยในตาแตกอันตรายมากไหม? บทความนี้พามาดูว่าอาการแบบไหนที่ควรกังวลและรีบพบแพทย์ พร้อมวิธีรักษาที่มีประสิทธิภาพและแนวทางป้องกันที่เหมาะสม เพื่อสุขภาพตาที่ดีในระยะยาว ลักษณะเส้นเลือดฝอยในตาแตก คือการมีจุดแดงบริเวณตาขาวเกิดจากเส้นเลือดฝอยบริเวณเยื่อบุตาแตก มักไม่ทำให้เจ็บปวดหรือมีผลต่อการมองเห็น บางรายอาจมีอาการระคายเคืองเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่หายได้เองโดยไม่ต้องรักษา สาเหตุของเส้นเลือดฝอยในตาแตก มักเกิดจากแรงดันในร่างกายที่เพิ่มขึ้นจากการไอ จาม ยกของหนัก หรือท้องผูก อุบัติเหตุที่กระทบดวงตา โทรศัพท์หล่นใส่ตาขณะเล่นโทรศัพท์ ความดันโลหิตสูง การใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด รวมถึงโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น เบาหวานหรือภาวะเลือดออกง่าย การรักษาและการดูแลตัวเอง มักไม่จำเป็นต้องรักษาเพราะหายได้เองภายใน 2 - 3 สัปดาห์ ระหว่างรอหายให้ประคบเย็นบริเวณตา หลีกเลี่ยงการขยี้ตา ให้ดวงตาพักผ่อน หรือใช้น้ำตาเทียมเพื่อบรรเทาอาการระคายเคือง อาการที่ควรพบแพทย์ คือเมื่อเส้นเลือดฝอยในตาแตกไม่หายภายใน 2 - 3 สัปดาห์ มีอาการปวดตา การมองเห็นผิดปกติ มีเลือดออกในจุดอื่นของดวงตา หรือเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ควรได้รับการตรวจวินิจฉัย   สังเกตอาการเส้นเลือดฝอยในตาแตกมีลักษณะอย่างไร เส้นเลือดฝอยในตาแตก (Subconjunctival Hemorrhage) เป็นภาวะที่เกิดจากการแตกของเส้นเลือดฝอยบริเวณเยื่อบุตาขาว ทำให้เลือดออกและมองเห็นเป็นจุดแดงในตา การมีเส้นเลือดฝอยใต้เยื่อบุตาแตกเป็นภาวะที่พบได้บ่อย ผู้ที่มีภาวะนี้บางรายอาจมีความรู้สึกระคายเคืองที่ตาร่วมด้วย แต่ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการเจ็บปวดหรือการมองเห็นผิดปกติแต่อย่างใด ภาวะนี้มักหายได้เองภายในระยะเวลาหนึ่งโดยไม่ต้องรักษา อย่างไรก็ตาม หากมีอาการรุนแรงหรือเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่อาจเกี่ยวข้อง     เส้นเลือดฝอยในตาแตกเกิดจากอะไร? โดยปกติแล้วภาวะนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อการมองเห็นหรือทำให้เกิดความเจ็บปวดแต่อย่างใด แล้วเส้นเลือดฝอยในตาแตกมักเกิดจากสาเหตุอะไร? เช่น แรงดันในร่างกายที่เพิ่มขึ้นจากการไอแรง จามแรง ยกของหนัก หรือท้องผูก อุบัติเหตุที่กระทบกระเทือนดวงตา โทรศัพท์หล่นใส่ตาขณะเล่นโทรศัพท์ ความดันโลหิตสูงที่ทำให้เส้นเลือดฝอยเปราะและแตกง่าย การใช้ยาบางชนิดเช่นยาต้านการแข็งตัวของเลือด รวมถึงโรคประจำตัวบางอย่างเช่นเบาหวานหรือภาวะเลือดออกง่าย เส้นเลือดฝอยในตาแตกอันตรายไหม? เป็นสัญญาณของโรคอะไร โดยปกติแล้ว เส้นเลือดฝอยในตาแตกเพียงครั้งคราวมักไม่เป็นอันตราย แต่หากเกิดขึ้นบ่อยครั้ง อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ควรได้รับการตรวจเช็ก เช่น ความดันโลหิตสูง ภาวะเลือดออกง่ายผิดปกติ โรคเบาหวาน หรือผลจากการใช้ยาละลายลิ่มเลือด ซึ่งล้วนส่งผลต่อหลอดเลือดในร่างกายรวมถึงที่ดวงตา ดังนั้น หากพบว่ามีอาการนี้บ่อยครั้ง ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็วเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและป้องกันปัญหาสุขภาพร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต     เส้นเลือดฝอยในตาแตกรักษาอย่างไรดี? เส้นเลือดฝอยในตาแตกมักไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาเนื่องจากไม่ส่งผลต่อการมองเห็น ไม่ทำให้เจ็บปวด และมักหายได้เองภายใน 2 - 3 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับขนาดของหย่อมสีแดงบริเวณตาขาว ระหว่างรอให้หาย ผู้ป่วยสามารถบรรเทาอาการด้วยการประคบเย็นที่ดวงตาหรือหยดน้ำตาเทียมเพื่อลดอาการบวมและระคายเคือง อย่างไรก็ตาม หากเกิดจากปัญหาสุขภาพหรืออุบัติเหตุ ควรไปพบแพทย์เพื่อรักษาต้นเหตุอย่างถูกวิธี การป้องกันเส้นเลือดฝอยในตาแตก การดูแลดวงตาให้มีสุขภาพดีและปลอดภัยจากบาดเจ็บเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงของเส้นเลือดฝอยในตาแตก เริ่มจากการหลีกเลี่ยงการขยี้ตา ไอหรือจามรุนแรง และการยกของหนักเป็นประจำ รวมถึงการสวมอุปกรณ์ป้องกันดวงตาเมื่อทำงานที่มีความเสี่ยง พร้อมทั้งหมั่นพักสายตาด้วยสูตร 20-20-20 เมื่อต้องจ้องจอนาน ออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อป้องกันโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง และสวมแว่นกันแดดเมื่ออยู่กลางแจ้งเพื่อป้องกันอันตรายจากรังสียูวี     คำแนะนำในการดูแลตัวเองเมื่อเส้นเลือดฝอยในตาแตก หากคุณมีอาการเส้นเลือดฝอยในตาแตก วิธีดูแลตัวเองเบื้องต้นมีดังนี้ ให้ดวงตาได้พักผ่อนและหลีกเลี่ยงการเพ่งสายตามากเกินไป ใช้ผ้าเย็นประคบเบาๆ เพื่อลดอาการอักเสบหรืออาการบวมที่อาจเกิดขึ้น ควรหลีกเลี่ยงการขยี้ตาหรือสัมผัสดวงตาบ่อยๆ เพื่อป้องกันการระคายเคือง อาการเส้นเลือดฝอยในตาแตกแบบไหนที่ควรพบแพทย์ หากเส้นเลือดฝอยที่แตกในตาไม่หายภายใน 2 - 3 สัปดาห์ หรือมีอาการปวดตา การมองเห็นผิดปกติ มีปัญหาสายตา มีเลือดออกในจุดอื่นของดวงตา หรือเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริงและรับการรักษาโดยเร็ว บางรายอาจจำเป็นต้องปรึกษาจักษุแพทย์หรือแพทย์เฉพาะทางเพิ่มเติม โดยเฉพาะในกรณีที่มีสาเหตุจากการบาดเจ็บบริเวณช่องลูกตาหรือจอประสาทตา รักษาอาการเส้นเลือดฝอยในตาแตก ที่ศูนย์รักษาตา Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร หากมีอาการเส้นเลือดฝอยแตกในตา มาปรึกษาและรักษาได้ที่ศูนย์รักษาตา Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) เพื่อการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ด้วยจักษุแพทย์ผู้มากความรู้เกี่ยวกับดวงตาและและทีมงานที่มีประสบการณ์ และจุดเด่นดังนี้ โรงพยาบาลมีจักษุแพทย์มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย พร้อมให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง สรุป เส้นเลือดฝอยในตาแตกอาจสร้างความกังวลให้กับผู้พบเห็น แม้ในหลายกรณีจะไม่ใช่อันตรายร้ายแรง แต่ไม่ควรละเลย โดยเฉพาะหากพบบ่อยครั้งหรือมีอาการผิดปกติอื่นร่วมด้วย เช่น ตาพร่ามัว ปวดตารุนแรง หรือมีการเปลี่ยนแปลงของการมองเห็น การพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยวินิจฉัยสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือความผิดปกติของหลอดเลือด การตรวจและรักษาอย่างทันท่วงทีจะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและปัญหาสุขภาพตาที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว หากมีความผิดปกติของดวงตา มาเช็กสุขภาพตาอย่างละเอียดที่Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ)โรงพยาบาลเฉพาะทางที่มีทีมแพทย์มากประสบการณ์ อุปกรณ์ที่ทันสมัย ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล มั่นใจได้ว่าการรักษาเป็นไปอย่างถูกต้อง แม่นยำ และปลอดภัย
ศูนย์รักษาจอประสาทตา

สังเกตอาการจอประสาทตาบวมน้ำ สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม!

ดวงตาเป็นอวัยวะที่สำคัญและซับซ้อน ซึ่งมีส่วนประกอบหลายอย่างที่ทำงานร่วมกันเพื่อให้เรามองเห็นได้อย่างชัดเจน หนึ่งในส่วนที่สำคัญที่สุดของดวงตาคือ “จอประสาทตา” ซึ่งทำหน้าที่รับแสงและส่งสัญญาณไปยังสมอง หากเกิดปัญหากับจอประสาทตา อาจส่งผลต่อการมองเห็นอย่างมาก หนึ่งในภาวะที่พบได้บ่อยและอาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็นคือ “จอประสาทตาบวมน้ำ” ซึ่งเป็นภาวะที่ควรได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง บทความนี้พามาทำความเข้าใจสัญญาณเตือนของจอประสาทตาบวมน้ำที่อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพตาร้ายแรง เกิดจากอะไร มีอาการอย่างไร พร้อมแนวทางการรักษาและดูแลตัวเองเบื้องต้น   จอประสาทตาบวมน้ำมีสาเหตุหลักจากโรคเบาหวานขึ้นตา ภาวะจุดรับภาพบวมน้ำ เส้นเลือดจอประสาทตาอุดตัน การอักเสบของจอประสาทตา และผลข้างเคียงจากการผ่าตัดตา อาการสำคัญได้แก่ การมองเห็นพร่ามัว การรับรู้สีผิดเพี้ยน เห็นภาพบิดเบี้ยว มีเงามืดในลานสายตา และการมองเห็นที่แย่ลงอย่างต่อเนื่อง การรักษามีหลายวิธี ทั้งการใช้ยา การรักษาด้วยเลเซอร์ และการผ่าตัด ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและสาเหตุที่แท้จริง การป้องกันทำได้โดยควบคุมระดับน้ำตาลและความดันโลหิต รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เลิกสูบบุหรี่ และตรวจสุขภาพตาอย่างสม่ำเสมอ     จอประสาทตาบวมน้ำเกิดจากอะไร? จอประสาทตาบวมน้ำเป็นภาวะที่ของเหลวสะสมอยู่ในบริเวณชั้นของจอประสาทตา ทำให้เกิดอาการบวมขึ้น ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุหลัก ดังนี้ 1. โรคเบาหวานขึ้นตา (Diabetic Retinopathy) ผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนทางตา โดยเฉพาะการรั่วของหลอดเลือดฝอยที่จอประสาทตา ภาวะนี้เกิดขึ้นเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเป็นเวลานานทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยอ่อนแอและเกิดการรั่วซึม ส่งผลให้ของเหลวและโปรตีนรั่วออกมาสะสมในบริเวณจอประสาทตา ก่อให้เกิดอาการบวมน้ำที่จอประสาทตา หรือที่เรียกว่าภาวะจอประสาทตาบวมน้ำ ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่ปัญหาการมองเห็นที่รุนแรงหรือตาบอดได้ในที่สุด 2. ภาวะจุดรับภาพบวมน้ำ (Macular Edema) จุดรับภาพบวมน้ำเกิดจากความผิดปกติของบริเวณจุดรับภาพ (Macula) ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญที่ทำหน้าที่รับภาพคมชัดที่สุดในดวงตา สาเหตุมักมาจากโรคตาหลายชนิด โดยเฉพาะภาวะเส้นเลือดดำในจอประสาทตาเกิดการอุดตันหรือการอักเสบเรื้อรังของจอประสาทตา ทำให้เกิดการรั่วซึมของของเหลวและโปรตีนออกจากเส้นเลือดฝอย ส่งผลให้จุดรับภาพบวมและบกพร่องในการทำงาน ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้ 3. ภาวะเส้นเลือดจอประสาทตาอุดตัน (Retinal Vein Occlusion) เมื่อเส้นเลือดดำหลักที่ทำหน้าที่หล่อเลี้ยงจอประสาทตาเกิดการอุดตัน ระบบการไหลเวียนของเลือดและของเหลวในบริเวณดังกล่าวจะถูกขัดขวาง ส่งผลให้ของเหลวไม่สามารถระบายออกจากเนื้อเยื่อจอประสาทตาได้ตามปกติ เมื่อเวลาผ่านไป ของเหลวเหล่านี้จะสะสมอยู่ในชั้นของจอประสาทตามากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดภาวะบวมน้ำของจอประสาทตา ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อการมองเห็นและนำไปสู่ภาวะตาบอดได้ในที่สุด 4. ภาวะอักเสบของจอประสาทตา (Retinal Inflammation/Uveitis) การอักเสบของจอประสาทตาหรือม่านตาเป็นภาวะที่ควรให้ความสำคัญ เนื่องจากอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง เมื่อเกิดการอักเสบ หลอดเลือดในจอประสาทตาอาจมีการรั่วซึมของของเหลว ส่งผลให้เนื้อเยื่อบริเวณดังกล่าวเกิดอาการบวมน้ำ ภาวะนี้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็นในระยะยาว และในบางกรณีอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร ดังนั้น หากสังเกตพบความผิดปกติเกี่ยวกับการมองเห็น ควรปรึกษาจักษุแพทย์โดยเร็วที่สุด 5. ผลข้างเคียงจากการผ่าตัดตา การผ่าตัดตาบางประเภท โดยเฉพาะการผ่าตัดต้อกระจก อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ในบางราย นั่นคือภาวะจอประสาทตาบวมน้ำ แม้จะพบได้ไม่บ่อยนัก แต่ผู้ป่วยควรตระหนักถึงความเสี่ยงนี้ก่อนตัดสินใจรับการผ่าตัด ภาวะดังกล่าวเกิดจากการอักเสบหลังการผ่าตัดซึ่งทำให้มีของเหลวสะสมในบริเวณจอตา ส่งผลให้การมองเห็นลดลงหรือเบลอชั่วคราว การติดตามอาการอย่างใกล้ชิดและการพบจักษุแพทย์ตามนัดเป็นสิ่งสำคัญเพื่อการรักษาที่ทันท่วงที     อาการของจอประสาทตาบวมน้ำ ผู้ที่มีภาวะจอประสาทตาบวมน้ำมักแสดงอาการทางสายตาที่ควรสังเกต ดังนี้ การมองเห็นพร่ามัวไม่ชัดเจน การรับรู้สีที่ผิดเพี้ยนไปจากปกติ เห็นภาพบิดเบี้ยวหรือมีเงามืดปรากฏในลานสายตา การมองเห็นเส้นตรงกลายเป็นเส้นบิดเบี้ยว การมองเห็นค่อยๆ แย่ลงอย่างต่อเนื่อง   ภาวะนี้ต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างทันท่วงที ไม่เช่นนั้นอาจลุกลามจนส่งผลให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร โดยเฉพาะในรายที่มีสาเหตุจากโรครุนแรง เช่น เบาหวานขึ้นตาหรือภาวะเส้นเลือดในจอประสาทตาเกิดการอุดตัน จอประสาทตาบวมน้ำหายเองได้ไหม? อาการบวมน้ำที่จอประสาทตาในบางกรณี เช่น หลังการผ่าตัดต้อกระจก มีโอกาสหายได้เองตามระยะเวลา แต่ทั้งนี้ผู้ป่วยควรเข้ารับการตรวจอย่างละเอียดจากจักษุแพทย์โดยไม่ควรรอช้า การวินิจฉัยที่รวดเร็วและถูกต้องมีความสำคัญมาก เนื่องจากอาจมีสาเหตุร้ายแรงที่อาจทำลายการมองเห็นอย่างถาวรได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที การพบจักษุแพทย์จึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยคัดกรองและป้องกันความเสียหายต่อสุขภาพตาในระยะยาว     วิธีการรักษาจอประสาทตาบวมน้ำ วิธีการรักษาจอประสาทตาบวมน้ำสามารถรักษาได้ตามความร้ายแรงของอาการ ดังนี้ การใช้ยา การรักษาจอประสาทตาบวมน้ำจำเป็นต้องใช้ยาที่เหมาะสม ซึ่งมีทั้งยาหยอดตาและยารับประทานที่ช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการบวม โดยจักษุแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาเลือกใช้ให้เหมาะกับสภาวะของผู้ป่วยแต่ละราย ในกรณีที่มีอาการรุนแรง แพทย์อาจพิจารณาการรักษาด้วยการฉีดยาเข้าในลูกตาโดยตรง ทั้งยากลุ่ม Anti-VEGF หรือสเตียรอยด์ ซึ่งมีประสิทธิภาพในการลดการรั่วของหลอดเลือดและควบคุมอาการบวมน้ำได้ดี ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดเพื่อให้การรักษาเกิดประสิทธิภาพสูงสุด การรักษาด้วยเลเซอร์ (Laser Photocoagulation) การรักษาด้วยเลเซอร์ (Laser Photocoagulation) เป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสำหรับภาวะจอประสาทตาบวมน้ำ โดยแพทย์จะใช้ลำแสงเลเซอร์พลังงานสูงยิงไปที่บริเวณหลอดเลือดที่รั่วซึมในจอประสาทตา ทำให้เกิดแผลเป็นขนาดเล็กซึ่งช่วยปิดรอยรั่วและป้องกันการรั่วซึมของของเหลวออกมาสะสมในชั้นจอประสาทตา กระบวนการนี้ช่วยลดอาการบวมน้ำและปรับปรุงการมองเห็นให้ดีขึ้น แม้จะไม่สามารถแก้ไขความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว แต่สามารถป้องกันไม่ให้อาการแย่ลงและรักษาการมองเห็นที่เหลืออยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การผ่าตัด จอประสาทตาบวมน้ำที่มีความรุนแรงอาจจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด ซึ่งแพทย์จะพิจารณาดำเนินการเพื่อระบายของเหลวที่สะสมอยู่ออกจากบริเวณจอตา การผ่าตัดนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขความผิดปกติที่เกิดขึ้นและป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อาจส่งผลต่อการมองเห็นในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจผ่าตัดจะขึ้นอยู่กับการประเมินของจักษุแพทย์เฉพาะทาง โดยพิจารณาจากระดับความรุนแรงของอาการ สาเหตุที่แท้จริง และปัจจัยเสี่ยงของผู้ป่วยแต่ละราย     วิธีป้องกันการเกิดจอประสาทตาบวมน้ำ แม้ว่าอาการจอประสาทตาบวมน้ำอาจเกิดขึ้นจากปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ แต่ยังมีวิธีที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงได้ ไปดูกัน! ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ผู้ป่วยเบาหวานต้องให้ความสำคัญกับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมและสม่ำเสมอ เนื่องจากเป็นปัจจัยหลักในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนทางตาที่รุนแรง โดยเฉพาะเบาหวานขึ้นตาและภาวะจอประสาทตาบวมน้ำ การตรวจน้ำตาลสม่ำเสมอ ร่วมกับการรับประทานยาตามแพทย์สั่ง ควบคุมอาหาร และออกกำลังกายอย่างเหมาะสม จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดความผิดปกติของหลอดเลือดที่จอประสาทตา ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการสูญเสียการมองเห็นในผู้ป่วยเบาหวาน การพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจตาประจำปีจึงเป็นอีกหนึ่งมาตรการสำคัญในการเฝ้าระวังและป้องกันภาวะแทรกซ้อนดังกล่าว ควบคุมความดันโลหิตและไขมันในเลือด การควบคุมระดับความดันโลหิตและไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงต่อภาวะเส้นเลือดจอประสาทตาอุดตัน เมื่อความดันและไขมันสูงเกินไป จะเพิ่มแรงกดดันต่อผนังหลอดเลือดและส่งเสริมการสะสมของคราบไขมัน ซึ่งอาจนำไปสู่การตีบตันของเส้นเลือดฝอยในจอประสาทตา การรักษาสมดุลของค่าเหล่านี้ด้วยการรับประทานอาหารสุขภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์ จะช่วยปกป้องหลอดเลือดในดวงตาและรักษาสุขภาพจอประสาทตาให้แข็งแรงในระยะยาว ทั้งนี้ การตรวจสุขภาพตาเป็นประจำยังเป็นมาตรการเชิงป้องกันที่สำคัญสำหรับผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคตาชนิดนี้ รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ อาหารที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะผักใบเขียวอย่างเช่น คะน้า ผักโขม และบร็อกโคลี ล้วนมีบทบาทสำคัญในการปกป้องและฟื้นฟูจอประสาทตา นอกจากนี้ อาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 สูง อย่างปลาแซลมอน ปลาทูน่า เมล็ดเจีย และวอลนัท ช่วยลดการอักเสบและสนับสนุนการทำงานของเซลล์ประสาทตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ การรับประทานอาหารเหล่านี้เป็นประจำไม่เพียงช่วยบำรุงจอประสาทตาเท่านั้น แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคตาต่างๆ รวมถึงภาวะจอประสาทตาเสื่อมที่เกี่ยวข้องกับอายุได้อีกด้วย เลิกสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพดวงตา โดยเฉพาะความเสี่ยงต่อการเกิดอาการจอประสาทตาบวมน้ำ สารพิษในบุหรี่ไม่เพียงแต่ทำลายหลอดเลือดฝอยในดวงตา แต่ยังรบกวนการไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงจอประสาทตา ส่งผลให้เกิดการรั่วซึมของของเหลวและโปรตีนเข้าสู่ชั้นจอประสาทตา นำไปสู่ภาวะบวมน้ำ งานวิจัยล่าสุดยังพบว่าผู้ที่สูบบุหรี่จัดมีโอกาสเกิดภาวะจอประสาทตาบวมน้ำสูงกว่าคนทั่วไปถึง 2 - 3 เท่า และการเลิกสูบบุหรี่สามารถลดความเสี่ยงนี้ได้ ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ การตรวจตาอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพดวงตาในระยะยาว เนื่องจากช่วยให้แพทย์สามารถตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม ก่อนที่อาการจะแสดงให้เห็นชัดเจน การวินิจฉัยที่รวดเร็วนี้ช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่อาจส่งผลต่อการมองเห็นอย่างถาวร โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงอย่างผู้ป่วยเบาหวาน ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีประวัติโรคตาในครอบครัว การพบจักษุแพทย์ตามกำหนดจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับสุขภาพตาในอนาคต รักษาอาการจอประสาทตาบวมน้ำ ที่ศูนย์รักษาจอประสาทตา Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร หากมีอาการจอประสาทตาบวมน้ำ มาปรึกษาและรักษาได้ที่ศูนย์รักษาจอประสาทตา Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ที่นี่โดดเด่นด้านการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ด้วยจักษุแพทย์ผู้มากความรู้เกี่ยวกับดวงตาและและทีมงานที่มีประสบการณ์ และจุดเด่นดังนี้ โรงพยาบาลมีจักษุแพทย์มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย พร้อมให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง สรุป จอประสาทตาบวมน้ำเป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น โรคเบาหวานขึ้นตา การอุดตันของเส้นเลือด หรือภาวะอักเสบของจอประสาทตา หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นถาวรได้ ดังนั้น การตรวจสุขภาพตาเป็นประจำและการดูแลสุขภาพโดยรวมจึงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันภาวะนี้ สำหรับคนที่มีปัญหาดวงตา มาที่Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ)โรงพยาบาลเฉพาะทางที่มีทีมแพทย์มากประสบการณ์ อุปกรณ์ที่ทันสมัย ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล มั่นใจได้ว่าการรักษาเป็นไปอย่างถูกต้อง แม่นยำ และปลอดภัย
ศูนย์รักษาจอประสาทตา

จอประสาทตาเป็นรูเกิดจากอะไร? อาการที่ควรรีบพบแพทย์ และวิธีรักษา

จอประสาทตาเป็นรูคือภาวะที่จอประสาทตาฉีกขาดหรือมีรูเกิดขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดความผิดปกติในการรับภาพ จอประสาทตาเป็นรูเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การเสื่อมสภาพของวุ้นตาเมื่ออายุมากขึ้น สายตาสั้นมาก อุบัติเหตุ หรือผลจากการผ่าตัดตา อาการจอประสาทตาเป็นรูที่ควรพบแพทย์ ได้แก่ ตามัว เห็นแสงแฟลช จุดดำลอยไปมา หรือเห็นม่านบังตา หากมีอาการจอประสาทตาเป็นรู ควรรีบพบจักษุแพทย์ที่ศูนย์รักษาจอประสาทตา Bangkok Eye Hospital เพื่อรับคำปรึกษาและการรักษาที่เหมาะสม     การเข้าใจอาการและการดูแลรักษาภาวะจอประสาทตาเป็นรูเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสี่ยงต่อการสูญเสียการมองเห็น หากคุณสงสัยว่าอาการมองเห็นผิดปกติของคุณอาจเกี่ยวข้องกับภาวะนี้ บทความนี้จะช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุ อาการ และวิธีการรักษาที่เหมาะสม     ภาวะจอประสาทตาเป็นรูคืออะไร? ในลูกตาของเรามีของเหลวใสคล้ายไข่ขาวที่เรียกว่าวุ้นตา ซึ่งจะยึดติดกับจอประสาทตา เมื่ออายุมากขึ้น วุ้นตาจะเริ่มเหลวและหดตัวออกจากจอประสาทตา ทำให้เกิดแรงดึงรั้งที่อาจทำให้จอประสาทตาฉีกขาด เป็นรู หากน้ำในวุ้นตารั่วผ่านรูที่ฉีกขาดเข้าไป ก็อาจทำให้จอประสาทตาหลุดลอก ซึ่งจะทำให้เซลล์รับภาพเสื่อมและอาจส่งผลให้สูญเสียการมองเห็นถาวรได้     จอประสาทตาเป็นรูเกิดจากอะไร? สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง จอประสาทตาเป็นรูเกิดจากความเสียหายที่เกิดขึ้นกับจอตา ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรับภาพ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่อาจเพิ่มโอกาสในการเกิดภาวะนี้ เช่น อุบัติเหตุ แรงกระแทกที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุจะส่งผลถึงบริเวณจอประสาทตา ทำให้เกิดการฉีกขาดอย่างเฉียบพลันที่จุดรับภาพ ซึ่งเป็นส่วนที่บางที่สุดของจอประสาทตา ทำให้จอประสาทตาเป็นรู ส่วนประกอบของน้ำวุ้นในลูกตาเปลี่ยน เมื่ออายุมากขึ้น วุ้นตาจะเริ่มเหลวและหดตัว แยกออกจากจอรับภาพที่ด้านหลัง โดยทั่วไปการแยกตัวนี้จะไม่ทำให้เกิดปัญหา แต่ในบางกรณี วุ้นตาอาจติดแน่นกับจอตาเกินไป ทำให้เกิดแรงดึงเมื่อวุ้นตาหดตัวจนทำให้จอประสาทตาเป็นรูที่จุดรับภาพ สายตาสั้น ผู้ที่มีสายตาสั้นมาก โดยเฉพาะที่มีค่ากำลังสายตาสูงกว่า 700 มักจะมีจอประสาทตาบางกว่าคนปกติ ซึ่งทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดจอประสาทตาเป็นรูได้ การผ่าตัดตา การผ่าตัดตา เช่น การผ่าตัดแก้ไขสายตาสั้นหรือการผ่าตัดต้อกระจก อาจเพิ่มความเสี่ยงที่จอประสาทตาเป็นรูได้ เนื่องจากการผ่าตัดอาจทำให้เกิดแรงกระแทกหรือการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของตา ซึ่งอาจทำให้จอประสาทตาฉีกขาด โดยเฉพาะในผู้ที่มีจอประสาทตาบางหรือมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่ทำให้จอประสาทตาอ่อนแอลง คนในครอบครัวมีปัญหาเกี่ยวกับจอประสาทตา การที่คนในครอบครัวมีปัญหาเกี่ยวกับจอประสาทตาอาจเพิ่มความเสี่ยงที่บุคคลในครอบครัวจะเกิดปัญหาจอประสาทตาเป็นรูได้ เนื่องจากบางปัญหาของจอประสาทตาอาจมีลักษณะทางพันธุกรรม เช่น การมีจอประสาทตาบางหรือความผิดปกติของเนื้อเยื่อในจอตา ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดรูที่จอประสาทตาได้     การวินิจฉัยตรวจหาจอประสาทตาเป็นรู ก่อนการทดสอบเพื่อตรวจดูอาการจอประสาทตาเป็นรู แพทย์จะหยอดยาขยายรูม่านตาเพื่อให้สามารถตรวจจอตาได้ชัดเจน หลังจากนั้นผู้ป่วยอาจมีอาการตามัวและไม่สามารถสู้แสงได้ประมาณ 4-6 ชั่วโมงจนกว่ารูม่านตาจะหดกลับเป็นปกติ จากนั้นแพทย์จะทำการทดสอบ Optical Coherence Tomography (OCT) ซึ่งเป็นการทดสอบที่ไม่เจ็บปวด โดยใช้คลื่นแสงถ่ายภาพจอประสาทตาอย่างละเอียด     ทางเลือกและวิธีการรักษาจอประสาทตาเป็นรู การรักษาจอประสาทตาเป็นรูขึ้นอยู่กับขนาดและความรุนแรงของอาการ ซึ่งมีหลายวิธีที่สามารถช่วยป้องกันการสูญเสียการมองเห็นและช่วยให้จอตาฟื้นฟูได้ เช่น ฉีดฟองก๊าซเพื่อปิดรูฉีดก๊าซบางชนิดเข้าไปในตาผ่านกระจกตา ซึ่งจะช่วยให้เกิดฟองก๊าซที่ดันให้ส่วนของจอตาที่ฉีกขาดหรือหลุดลอกกลับมาประกบกัน ผ่าตัดวุ้นตาแพทย์จะนำวุ้นตาส่วนที่อยู่ในตาออกมาเพื่อลดแรงดึงรั้งจากวุ้นตาที่อาจทำให้รูจอตาเกิดขึ้น จากนั้นจะทำการปิดรูที่จอตาและใส่ฟองก๊าซหรือของเหลวเพื่อช่วยจอตาประกบกัน เย็บหนุนซิลิโคนด้านนอกลูกตาโดยใช้ซิลิโคนแผ่นบางๆ เย็บติดด้านนอกของลูกตาเพื่อช่วยยึดจอประสาทตาให้ติดกันหลังจากที่มีการฉีกขาดหรือหลุดลอก วิธีนี้ช่วยเสริมความแข็งแรงและป้องกันไม่ให้จอตาหลุดลอกอีก ยิงเลเซอร์เพื่อปิดรูการยิงเลเซอร์ที่รอบๆ รูในจอประสาทตาจะทำให้เกิดแผลเป็นช่วยปิดรูนั้น ใช้เวลาประมาณ 10-20 นาที และผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ทันที แผลเลเซอร์มักจะแข็งแรงภายใน 2-4 สัปดาห์     จอประสาทตาเป็นรู มีโอกาสรักษาให้หายขาดได้ไหม การรักษาจอประสาทตาเป็นรูสามารถหายขาดได้หากได้รับการรักษาในระยะเริ่มต้น โดยมีโอกาสหายเองได้ถึง 50% แต่หากจอตาลอกมานาน แม้การผ่าตัดจะช่วยให้จอตาราบลงได้ แต่ระดับสายตาอาจไม่ดีขึ้นมากนัก ความเสี่ยงอาจที่เกิดขึ้นหากไม่รักษาจอประสาทตาเป็นรู ภาวะจอประสาทตาเป็นรูมักไม่มีอาการและสามารถรักษาได้หากตรวจพบในระยะแรก แต่หากปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษา อาจนำไปสู่ภาวะจอประสาทตาลอก ซึ่งอาจทำให้การมองเห็นเสียหายได้     วิธีดูแลสุขภาพตาและป้องกันจอประสาทตาเป็นรู การดูแลสุขภาพตาเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันปัญหาตาต่างๆ รวมถึงการเกิดจอประสาทตาเป็นรู โดยมีวิธีการดูแลที่ควรทำดังนี้ ควรตรวจเช็กจอประสาทตาทุกปี โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่มีสายตาสั้น หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคจอประสาทตา ไม่ควรกดนวดหรือขยี้ตา เพราะอาจทำให้เกิดแรงกดหรือการบาดเจ็บที่ตา ซึ่งสามารถเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดจอประสาทตาเป็นรู หากมีปัญหาสายตาสั้น ควรได้รับการรักษาหรือการแก้ไขสายตาให้ถูกต้องเพื่อป้องกันภาวะจอตาเป็นรูจากความดันภายในตา รักษาภาวะที่เกี่ยวข้องกับตา เช่น เบาหวานหรือความดันโลหิตสูงจะช่วยป้องกันภาวะต่างๆ ที่อาจทำให้จอประสาทตาเสียหาย ป้องกันตาจากการบาดเจ็บ เช่น สวมอุปกรณ์ป้องกันในกิจกรรมที่มีความเสี่ยง หรือการระมัดระวังเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่อาจเกิดอันตราย     สัญญาณของอาการจอประสาทตาเป็นรู ที่ควรรีบพบจักษุแพทย์ การรู้สัญญาณเตือนและอาการของจอประสาทตาเป็นรูคือสิ่งสำคัญ ควรไปพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม หากมีอาการดังนี้ เห็นเงาดำหรือจุดดำลอยไปมาจำนวนมาก มีแสงสว่างคล้ายฟ้าแลบหรือแสงเหมือนไฟแฟลชจากกล้องถ่ายรูปเกิดขึ้นในตา มีลานสายตาผิดปกติหรือแคบลง อาจเกิดจากจอประสาทตาฉีกขาดและหลุดลอก ซึ่งมักเกิดที่ขอบจอประสาทตาก่อน ทำให้ขอบภาพหายไปหรือมีลานสายตาแคบลง ตามัวลงหรือเห็นเหมือนมีม่านมาบังที่ด้านใดด้านหนึ่งของตา สรุป จอประสาทตาเป็นรู คือภาวะที่จอประสาทตาฉีกขาดหรือเกิดรู ส่งผลให้การรับภาพผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดจากการเสื่อมของวุ้นตาหรืออุบัติเหตุ สาเหตุหลักๆ ได้แก่ อายุที่เพิ่มขึ้น สายตาสั้น หรือการผ่าตัดตา การรักษาขึ้นอยู่กับขนาดและระยะเวลา เช่น การยิงเลเซอร์ การฉีดฟองก๊าซ หรือการผ่าตัดวุ้นตา หากมีอาการตามัว เห็นแสงแฟลช หรือเห็นม่านบังตา ควรพบจักษุแพทย์เพื่อรับคำปรึกษาและการรักษาที่ศูนย์รักษาจอประสาทตาโรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ พร้อมค่ารักษาบริการที่เหมาะสมกับแต่ละกรณี
calling
ติดต่อเรา : +662 511 2111