มุมสุขภาพตา : #กระจกตา

เรียงตาม

ตาแห้งมีอาการอย่างไร วิธีรักษา ป้องกัน และพฤติกรรมที่ช่วยลดอาการตาแห้ง

อาการตาแห้ง คือภาวะตาขาดความชุ่มชื้นเพราะการผลิตน้ำตาน้อยเกินไปหรือคุณภาพน้ำตาไม่ดี ทำให้เกิดอาการระคายเคืองและไม่สบายตาได้ ตาแห้งเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น อายุที่มากขึ้นทำให้การผลิตน้ำตาน้อยลง การสวมใส่คอนแท็กต์เลนส์นานเกินไป การจ้องจอคอมพิวเตอร์นานๆ รวมถึงผลข้างเคียงจากยาบางชนิด การรักษาตาแห้งทำได้หลายวิธี เช่น ยาหยอดตา น้ำตาเทียม การประคบอุ่น และการรักษาด้วยยาลดการอักเสบ รักษาอาการตาแห้งที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ได้รับการดูแลจากจักษุแพทย์ พร้อมเทคโนโลยีทันสมัยและการรักษาที่เหมาะสมกับอาการ   ตาแห้งเป็นโรคที่ทำให้ตารู้สึกแห้งและระคายเคือง เนื่องจากการผลิตน้ำตาลดลงหรือคุณภาพของน้ำตาไม่ดีพอ ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย หากดูแลอย่างถูกวิธี จะช่วยลดอาการและป้องกันภาวะตาแห้งในระยะยาว มาหาสาเหตุของอาการตาแห้ง วิธีรักษา รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันอาการตาแห้งได้ในบทความนี้     อาการตาแห้ง คืออะไร? ก่อนทำความรู้จักกับอาการตาแห้ง ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ‘น้ำตา’ กันก่อน โดยน้ำตามีความสำคัญต่อดวงตา เป็นตัวช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา ทำให้มองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวได้อย่างชัดเจน หล่อเลี้ยงเลี้ยงกระจกตาด้วยออกซิเจน และป้องกันการติดเชื้อและสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้ามาทำร้ายดวงตา ตาแห้ง เป็นอาการที่ปริมาณน้ำตาที่เข้ามาหล่อเลี้ยงผิวตามีไม่เพียงพอส่งผลให้ผิวตาอักเสบได้ โดยอาการของตาแห้งอาจเริ่มจากการแสบตา หรือรู้สึกระคายเคืองเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในตา รวมถึงอาจพบอาการตาแดง เจ็บ หรือมีการพร่ามัวที่ดีขึ้นเมื่อกะพริบตา นอกจากนี้ยังอาจรู้สึกฝืดๆ หนักๆ ที่ตา หรือลืมตาลำบาก และบางครั้งอาจมีอาการตาล้าหรือมีน้ำตาไหลมากผิดปกติ     ทำไมถึงมีอาการตาแห้งได้ ตาแห้งเป็นปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อความสบายของดวงตาและการมองเห็น โดยเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่ พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟนเป็นเวลานานเกินไป อาการภูมิแพ้ที่ตาซึ่งอาจเกิดจากสิ่งแวดล้อมที่มีฝุ่น ควัน หรือมลภาวะ อยู่ในที่ร้อน ลมแรง หรือความชื้นต่ำ ความผิดปกติของต่อมไขมันขอบตา การพบตัวไร (Demodex blepharitis) บริเวณโคนขนตา ซึ่งเกิดจากการอักเสบของต่อมน้ำตา การใช้ยาบางประเภท เช่น ยาคุมกำเนิด ยาแก้แพ้ ยาต้านซึมเศร้า ยาลดความดันโลหิตบางชนิด ฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล โดยเฉพาะในเพศหญิงที่อาจทำให้คุณภาพของน้ำตาลดลง     อาการตาแห้งเกิดจากอะไร มีปัจจัยอะไรบ้าง ปัจจัยที่ส่งผลต่อการผลิตน้ำตาหรือการทำงานของต่อมน้ำตา หากมีลักษณะดังต่อไปนี้ จะทำให้เกิดอาการตาแห้งได้ง่ายขึ้น สร้างน้ำตาได้น้อยกว่าปกติ  (Aqueous Tear Deficiency) กลุ่มคนที่มีความผิดปกติหรือปัจจัยที่ส่งผลให้สามารถสร้างน้ำตาได้น้อย ได้แก่   กลุ่มคนที่เป็นโรค Sjogren’s Syndrome โรครูมาตอยด์ โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือภาวะที่ไม่พบสาเหตุชัดเจน เช่น Primary Sjogren’s Syndrome กลุ่มคนที่ไม่เป็นโรค Sjogren’s Syndrome เช่น ต่อมน้ำตาทำงานผิดปกติตั้งแต่เกิด โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง การแพ้ยารุนแรง หรือการอักเสบที่ทำให้ท่อน้ำตาตัน กลุ่มคนที่ฮอร์โมนเปลี่ยน มักพบในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่ส่งผลให้การผลิตน้ำตาและสารคัดหลั่งอื่นๆ ในร่างกายลดลง การกินยาบางประเภท เช่น ยาแก้หวัด ยาแก้แพ้ ยาลดความดันโลหิต หรือยาคลายเครียดบางชนิด ที่มีสารกันเสียเป็นส่วนประกอบ อาจทำให้ตาแห้งมากขึ้น เนื่องจากสารเหล่านี้สามารถลดการผลิตน้ำตาได้ น้ำตาระเหยเร็ว (Evaporative Dry Eyes)  ปัจจัยที่ส่งผลให้การระเหยของน้ำตาเกิดขึ้นเร็วกว่าปกติ ได้แก่   ต่อมไขมันที่เปลือกตาทำงานผิดปกติ เปลือกตาอักเสบที่เกิดจากความผิดปกติของชั้นไขมัน จะทำให้การสร้างน้ำตาชั้นน้ำมันลดลง ซึ่งทำให้เกิดการระเหยของน้ำตาได้เร็วขึ้น ความผิดปกติของเปลือกตา การปิดตาไม่สนิทหรือการกะพริบตาน้อยผิดปกติ ซึ่งทำให้การกระจายน้ำตาผิดปกติ และเพิ่มการระเหยของน้ำตา โดนสารเคมีหรือแพ้ยารุนแรง การอักเสบของเยื่อบุตาอาจทำให้เกิดแผลเป็น ซึ่งส่งผลต่อการสร้างน้ำตาชั้นเมือกที่ติดกับกระจกตา ทำให้การสร้างน้ำตาผิดปกติ การใช้สายตามาก พบมากในวัยทำงานจากพฤติกรรมจ้องจอคอมพิวเตอร์นานๆ โดยไม่ค่อยกะพริบตา และการใส่คอนแท็กต์เลนส์ที่ดูดน้ำออกจากดวงตา ทำให้การผลิตน้ำตาลดลงและน้ำตาระเหยเร็ว     วิธีรักษาหรือวิธีแก้โรคตาแห้ง วิธีรักษาโรคตาแห้งจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและอาการของแต่ละบุคคล โดยใช้วิธีต่างๆ รวมทั้งการใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการ ดังนี้ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ตาแห้ง ควรหลีกเลี่ยงการโดนลมแรง ฝุ่นควัน หรือแสงจ้า โดยการใส่แว่นกันแดดและแว่นกันลม เพื่อป้องกันสิ่งแวดล้อมที่อาจทำให้ตาแห้งขึ้น นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงการใส่คอนแท็กต์เลนส์เป็นเวลานานๆ เพื่อไม่ให้สูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงจากดวงตาที่อาจทำให้อาการตาแห้งแย่ลงได้ ใช้น้ำตาเทียม ในการรักษาอาการตาแห้ง น้ำตาเทียมเป็นตัวช่วยที่ดี โดยมี 2 ชนิดให้เลือกใช้ ได้แก่   น้ำตาเทียมที่มีสารกันเสีย ในรูปแบบขวด ควรใช้ไม่เกิน 4-5 ครั้งต่อวัน อาจแบ่งการใช้ยาเพิ่มน้ำตาตามช่วงเวลาของวัน เช่น เช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน ซึ่งเหมาะสำหรับอาการตาแห้งที่ไม่รุนแรง น้ำตาเทียมที่ไม่มีสารกันเสีย แบบกระเปาะ เปิดแล้วมีอายุ 24 ชั่วโมง หรือขวดที่มีระบบวาล์วพิเศษใช้ได้นาน 6 เดือน ใช้บ่อยได้ตามต้องการ เช่น ทุก 1-2 ชั่วโมง เหมาะกับผู้ที่มีอาการตาแห้งรุนแรง  ใช้ยาหยอดตาเพิ่มปริมาณน้ำตา มียาหยอดตาที่ช่วยเพิ่มน้ำตาและรักษาอาการตาแห้งได้ โดยแต่ละชนิดจะช่วยรักษาตามอาการที่แตกต่างกัน ดังนี้   ยา Diquafosol ช่วยเพิ่มการสร้างน้ำตาชั้นเมือกและชั้นน้ำเพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ดวงตาและลดอาการแห้ง ยาปฏิชีวนะ Doxycycline ยาลดการอักเสบของเปลือกตาช่วยลดการอักเสบและอาการระคายเคืองที่เกิดจากตาแห้ง ยากลุ่ม Steroids โดยยานี้ช่วยบรรเทาการอักเสบของผิวตาและลดอาการระคายเคืองที่เกิดจากการขาดน้ำตา ยา Cyclosporine ยากดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressant) ชนิดหยอดตา ช่วยลดการอักเสบในตาและเพิ่มการผลิตน้ำตา โดยการปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ซึ่งสามารถช่วยลดอาการตาแห้งได้ การทำความสะอาดเปลือกตา การทำความสะอาดเปลือกตาและประคบอุ่นด้วยแชมพูเด็กผสมเจือจางหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเปลือกตาช่วยลดการอุดตันของต่อมไขมันในเปลือกตา ทำให้ชั้นไขมันที่เคลือบน้ำตาทำงานได้ดีขึ้น ช่วยป้องกันน้ำตาระเหยเร็วและลดอาการตาแห้ง ใช้ Autologous Serum การรักษาอาการตาแห้งชนิดรุนแรงโดยใช้สารที่ช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อทำได้โดยการเจาะเลือดจากผู้ป่วยไปปั่นแยกเป็น Serum และนำมาหยอดร่วมกับการใช้น้ำตาเทียม ซึ่งจะช่วยลดการอักเสบของเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ และส่งเสริมการฟื้นตัวของเนื้อเยื่อให้กลับสู่สภาพปกติได้ดีขึ้น การอุดท่อระบายน้ำตาที่หัวตา (Punctal Plug) การรักษาอาการตาแห้งที่รุนแรงทำได้โดยการอุดช่องทางที่น้ำตาไหลออกจากตา (Punctum) ซึ่งมีทั้งชนิดอุดชั่วคราวและชนิดอุดถาวร โดยการใส่ Silicone Plug หรือ Punctal Cautery ซึ่งเป็นการจี้บริเวณช่องทางที่น้ำตาระบายออกจากตา วิธีนี้ช่วยให้ดวงตาเก็บน้ำตาไว้ได้นานขึ้น ลดการระเหยของน้ำตา และช่วยบรรเทาอาการตาแห้งได้ในกรณีที่อาการรุนแรงมาก     การปรับพฤติกรรมเพื่อป้องกันอาการตาแห้ง การป้องกันอาการตาแห้งทำได้ง่ายๆ ด้วยการปรับพฤติกรรมบางอย่างในชีวิตประจำวัน ดังนี้    หยุดพักจากการใช้งานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือมือถือทุกๆ 20 นาที โดยการหลับตาสัก 20 วินาที หรือมองสิ่งที่อยู่ไกลประมาณ 20 ฟุต เพื่อให้ตาได้พักและผ่อนคลาย งดการใช้คอนแท็กต์เลนส์ต่อเนื่อง ควรสลับใส่แว่นในระหว่างวันเพื่อให้ดวงตาได้พัก ใช้งานคอมพิวเตอร์หรือมือถือในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ เพื่อช่วยลดความเครียดของดวงตา เตือนตัวเองให้กะพริบตาบ่อยๆ เพื่อให้น้ำตาเคลือบตาและช่วยลดการระเหยของน้ำตา หากอยู่ในที่ที่มีอากาศแห้ง ร้อน หรือมีลมแรง ควรสวมแว่นกันแดดกันลมเพื่อปกป้องตาจากสภาพแวดล้อม กินอาหารที่ครบทุกหมู่ โดยเฉพาะผัก ผลไม้ ปลา หรืออาหารที่มีโอเมกา 3 ซึ่งช่วยต้านอนุมูลอิสระและลดการอักเสบของตา  ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อวัน สรุป ตาแห้งคืออาการที่น้ำตาผลิตไม่เพียงพอหรือระเหยเร็วเกินไป ทำให้ดวงตารู้สึกแห้ง ระคายเคือง และอาจเกิดการอักเสบได้ รักษาได้หลายวิธี เช่น ใช้น้ำตาเทียม ประคบอุ่น ใช้ยาเพื่อเพิ่มการสร้างน้ำตาหรือลดการอักเสบ และป้องกันตาแห้งได้ด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้ดวงตา รวมถึงการใช้ยาเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของดวงตา  สำหรับผู้ที่มีอาการตาแห้งรุนแรง รับการรักษาได้ที่ ศูนย์โรคจักษุประสาทวิทยา Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ซึ่งให้การดูแลปัญหาตาแห้งที่ส่งผลต่อการมองเห็นและระบบประสาท โดยจักษุแพทย์ในการวินิจฉัยและรักษาภาวะตาแห้งอย่างครบวงจร
อ่านเพิ่มเติม
ศูนย์รักษากระจกตา

ขี้ตาเยอะเกิดจากอะไร? ทำไมถึงเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพดวงตา

ขี้ตาเยอะคืออาการที่มีขี้ตาสะสมบริเวณหัวตาหรือเปลือกตามากผิดปกติ เกิดจากเมือก เซลล์ผิวหนัง น้ำมัน และฝุ่นผง โดยอาจเป็นเรื่องปกติ แต่หากเป็นต่อเนื่องหลายวัน อาจเป็นสัญญาณของการบาดเจ็บหรือติดเชื้อที่ดวงตาได้ ขี้ตาเยอะผิดปกติ เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น เยื่อบุตาอักเสบ (ตาแดง) ตากุ้งยิง ภูมิแพ้ ตาแห้ง และการอุดตันของท่อน้ำตา เป็นต้น วิธีรักษาขี้ตาเยอะ เช่น ใช้ยาหยอดตา ประคบอุ่น และใช้น้ำตาเทียม หากมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับขี้ตาเยอะจนส่งผลกระทบต่อกระจกตา ควรรีบไปรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาที่ศูนย์รักษากระจกตา โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพโดยเร็วที่สุด การที่มีขี้ตาเยอะอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพดวงตา ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การผลิตน้ำตาหรือมูกที่มากเกินไป หรืออาจเกิดจากการติดเชื้อหรือการระคายเคืองในดวงตา เมื่อเกิดปัญหานี้อาจทำให้เกิดความไม่สบายตา และในบางกรณีอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงขึ้นได้ ดังนั้นการเข้าใจสาเหตุและอาการของขี้ตาที่ผิดปกติจะช่วยให้คุณสามารถดูแลและป้องกันปัญหาสุขภาพตาได้อย่างทันท่วงที     สาเหตุของปัญหาขี้ตาเยอะ ที่ไม่ควรมองข้าม ขี้ตาเยอะคืออาการที่มีขี้ตาสะสมบริเวณหัวตาหรือเปลือกตามากผิดปกติ เกิดจากเมือก เซลล์ผิวหนัง น้ำมัน และฝุ่นผง โดยอาจเป็นเรื่องปกติ แต่หากเป็นต่อเนื่องหลายวัน อาจเป็นสัญญาณของการบาดเจ็บหรือติดเชื้อที่ดวงตาได้ สาเหตุของขี้ตาเยอะมีหลายอย่าง ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้ ท่อน้ำตาอุดตัน เด็กทารกแรกเกิดมักมีท่อน้ำตาขนาดเล็กที่อุดตันได้ง่าย ทำให้เกิดการสะสมของขี้ตาสีขาวหรือเหลือง ซึ่งอาจดูคล้ายหนองได้ อย่างไรก็ตามหากทารกมีขี้ตาเยอะแต่ไม่มีอาการตาแดงร่วมด้วย ก็อาจไม่ใช่สัญญาณของการติดเชื้อเสมอไป เยื่อบุตาอักเสบจากไวรัส เยื่อบุตาอักเสบจากไวรัสแพร่กระจายได้ง่าย เกิดจากไวรัส เช่น ไวรัสหวัด หรือไวรัสเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ (Herpes simplex)ขี้ตาเยอะที่เกิดจากเยื่อบุตาอักเสบจากไวรัส มักมีลักษณะใสและเหลว หรืออาจมีเมือกสีขาวหรือเหลืองอ่อน เยื่อบุตาอักเสบจากแบคทีเรีย เยื่อบุตาอักเสบจากแบคทีเรีย เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งอาจส่งผลร้ายแรงต่อการมองเห็นหากไม่ได้รับการรักษาทันที ขี้ตาเยอะจากเยื่อบุตาอักเสบจากแบคทีเรียมักมีลักษณะหนากว่าและคล้ายหนองมากกว่าขี้ตาจากเยื่อบุตาอักเสบจากไวรัส และมักมีสีเหลือง เขียว หรือเทา บ่อยครั้งที่ขี้ตาเหนียวๆ จะทำให้เปลือกตาติดกันแน่นหลังตื่นนอนในตอนเช้า เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ ขี้ตาเยอะที่เกิดจากเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ เกิดจากการตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้ เช่น เกสรดอกไม้ ขนสัตว์ ฝุ่น และสารระคายเคืองอื่นๆ ที่พบได้ทั่วไป นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่อมลพิษ สารเคมี เครื่องสำอาง น้ำยาคอนแท็กต์เลนส์ และยาหยอดตาได้ด้วย เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ มักทำให้เกิดขี้ตาที่มีลักษณะเหลว ไม่แพร่เชื้อ และมักเกิดกับตาทั้งสองข้างพร้อมกัน ตากุ้งยิง ตากุ้งยิง เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในต่อมไขมันใต้เปลือกตา ทำให้ต่อมไขมันอุดตันและเกิดตุ่มนูนคล้ายสิวที่ขอบเปลือกตา โดยมักมีอาการร่วม เช่น ตาแดง เปลือกตาบวม เจ็บเมื่อสัมผัส มีหนองสีเหลือง มีสะเก็ดแข็งที่เปลือกตา ไม่สบายตาเมื่อกระพริบตา และอาจมีขี้ตาเยอะร่วมกับตุ่มหนองที่สร้างความเจ็บปวดได้ ภาวะเปลือกตาอักเสบ เปลือกตาอักเสบ คือ ภาวะเรื้อรังที่เปลือกตาเกิดการอักเสบ โดยอาจเกิดจากการอักเสบของรูขุมขนขนตา หรือการผลิตไขมันจากต่อมไขมันที่ขอบเปลือกตามากเกินไป ต่อมไขมันที่เปลือกตาทำงานผิดปกติ ต่อมไขมันที่เปลือกตาทำงานผิดปกติ (Meibomian Gland Dysfunction, MGD) อาจทำให้เกิดขี้ตาเป็นฟองเยอะ สะเก็ดแข็งที่เปลือกตา และหนองสีเหลืองหรือเขียว ร่วมกับอาการระคายเคืองและเจ็บปวด อาการตาแห้ง การผลิตน้ำตาไม่เพียงพอหรือต่อมไขมันที่เปลือกตาทำงานผิดปกติ อาจนำไปสู่ภาวะตาแห้ง ซึ่งเป็นภาวะเรื้อรังที่ทำให้ผิวตาไม่ได้รับการหล่อลื่นอย่างเหมาะสม ส่งผลให้เกิดการระคายเคืองและการอักเสบ อาการของตาแห้งมีหลากหลาย เช่น ตาแดง มีเส้นเลือดในตา แสบร้อน ตามัว และรู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในตา บางครั้งตาแห้งอาจทำให้มีขี้ตาเหลวออกมาเยอะได้ ถุงน้ำตาอักเสบและติดเชื้อ เมื่อท่อน้ำตาอุดตัน ถุงน้ำตาที่ระบายน้ำตาลงจมูกอาจอักเสบและติดเชื้อ ทำให้เกิดตุ่มบวมเจ็บใต้เปลือกตาด้านใน อาการที่พบบ่อยคือ ปวดตา ตาแดง ตาแฉะ มีขี้ตาเยอะ และตามัว มีแผลที่กระจกตา แผลที่กระจกตาคือการติดเชื้อคล้ายหนองที่กระจกตา ซึ่งอาจส่งผลร้ายแรงต่อการมองเห็น มักเกิดจากการบาดเจ็บที่ตา หรือการติดเชื้อที่ไม่ได้รับการรักษา หากไม่ได้รับการรักษาทันที อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นถาวรได้ อาการที่พบ ได้แก่ ปวดตา ตาแดง เปลือกตาบวม และมีขี้ตาเยอะ หนองในตาอาจรุนแรงจนทำให้กระจกตาขุ่นมัว และการมองเห็นลดลง บาดเจ็บที่ตา หากมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา เช่น ฝุ่นผง เศษผง หรือสารเคมี หรือมีการบาดเจ็บที่ตา ร่างกายจะตอบสนองด้วยการผลิตขี้ตาเหลวๆ ออกมา เพื่อปกป้องดวงตาตามธรรมชาติ แต่หากมีหนองในตา หรือมีเลือดออกในตาหลังจากการบาดเจ็บ ควรรีบไปพบจักษุแพทย์ทันที เพราะการบาดเจ็บที่ตาถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ ใส่คอนแท็กต์เลนส์ หากใส่คอนแท็กต์เลนส์แล้วมีขี้ตามากกว่าปกติ อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ติดเชื้อที่ตาจ ตาแห้งและระคายเคือง หรือขยี้ตาบ่อยขึ้น หากมีขี้ตาเยอะขึ้นขณะใส่คอนแท็กต์เลนส์ ควรหยุดใส่ทันที และปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุของอาการผิดปกติ     ขี้ตาเยอะผิดปกติ มีลักษณะอย่างไร ขี้ตาเยอะผิดปกติเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความผิดปกติของดวงตา สามารถสังเกตได้ดังนี้ ขี้ตามีลักษณะข้น เหนียว และมีสีเขียวหรือเหลืองเข้ม ขี้ตาเยอะจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้ มีขี้ตาพร้อมกับอาการน้ำตาไหลออกมามาก มองเห็นไม่ชัดเพราะขี้ตาเยอะ ขี้ตาเยอะ ร่วมกับอาการตาบวมหรือตาแดง ตาแพ้แสง มองแสงจ้าไม่ได้     ขี้ตาเยอะในเด็ก เกิดจากอะไรได้บ้าง? หากลูกมีขี้ตาเยอะ อาจเกิดจากโรคตาแดง โดยเริ่มจากอาการคันตา ขยี้ตาบ่อย ตาแดงชัดเจน มีขี้ตา น้ำตาไหล กระพริบตาบ่อย เจ็บตา และมีขี้ตามาก ทั้งสีขาว เหลือง หรือเขียว ทำให้ลืมตาได้ลำบากตอนเช้า เปลือกตาบวมแดง อาจเริ่มที่ตาข้างเดียวแล้วลามไปอีกข้าง     วิธีรักษาขี้ตาเยอะตามสาเหตุ ขี้ตาเยอะผิดปกติอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพตาที่แตกต่างกัน การรักษาที่ถูกต้องขึ้นอยู่กับสาเหตุ เพื่อดูแลดวงตาได้อย่างเหมาะสม มาดูวิธีรักษาตามสาเหตุ ดังนี้ แพทย์อาจแนะนำให้ใช้น้ำตาเทียมหยอดตา เพื่อรักษาอาการแพ้และอาการตาแห้ง ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและลดการระคายเคือง หากขี้ตาเยอะจากการติดเชื้อแบคทีเรีย แพทย์จะสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะ ยาป้ายตาหรือยาหยอดตา เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อและลดโอกาสเกิดอาการแทรกซ้อน ควรล้างมือให้สะอาดก่อนใช้ยาทุกครั้ง สวมใส่แว่นตาแทนการใส่คอนแท็กต์เลนส์จนกว่าอาการขี้ตาเยอะจะดีขึ้น เพื่อลดการระคายเคืองและป้องกันการติดเชื้อ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นแล้วประคบลงบนเปลือกตา เพื่อช่วยบรรเทาความเจ็บปวดจากปัญหาสุขภาพตา     การป้องกันและดูแลดวงตาให้ห่างไกลปัญหาขี้ตาเยอะ ดวงตาเป็นอวัยวะที่บอบบางและสำคัญ จึงควรดูแลรักษาดวงตาให้สะอาดและมีสุขภาพดี เพื่อป้องกันปัญหาขี้ตาเยอะและโรคตาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น มาดูกันว่าเราจะสามารถป้องกันและดูแลดวงตาได้อย่างไรบ้าง ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือขยี้ตา เพื่อป้องกันการระคายเคืองและการแพร่กระจายของเชื้อโรค เพื่อสุขภาพดวงตาที่ดี ควรเลือกใช้น้ำตาเทียมที่ไม่มีสารกันเสีย ก่อนใส่คอนแท็กต์เลนส์ต้องล้างมือให้สะอาด ตรวจสอบว่าเลนส์สะอาดและผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว เปลี่ยนตลับคอนแท็กต์เลนส์บ่อยๆ และเปลี่ยนคอนแท็กต์เลนส์เมื่อหมดอายุ เพื่อลดเชื้อโรคและสิ่งสกปรก หากมีปัญหาสุขภาพตา ควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม สรุป ขี้ตาเยอะเกิดจากการสะสมของเมือก น้ำมัน เซลล์ผิวหนัง และฝุ่นที่สะสมในขณะนอนหลับ หรือจากการติดเชื้อและระคายเคือง การรักษาและป้องกันสามารถทำได้โดยการรักษาความสะอาดดวงตา หลีกเลี่ยงการสัมผัสตา และหากมีอาการผิดปกติจนส่งผลกระทบกระจกตา ควรเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสมที่ศูนย์รักษากระจกตาโรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ
ศูนย์รักษากระจกตา

สัญญาณเยื่อบุตาอักเสบแบบไหนที่ควรพบแพทย์? กับวิธีรักษาที่ควรรู้

เยื่อบุตาอักเสบ (Conjunctivitis) เป็นภาวะที่พบได้บ่อยและอาจเกิดขึ้นได้กับทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นจากการติดเชื้อ แพ้ หรือสิ่งกระตุ้นอื่นๆ อาการของเยื่อบุตาอักเสบอาจทำให้รู้สึกไม่สบายตา แสบตา หรือมีขี้ตาผิดปกติ บทความนี้พามาสังเกตสัญญาณเตือน ที่บอกว่าเยื่อบุตาอักเสบอาจรุนแรงและต้องพบแพทย์โดยด่วน พร้อมข้อควรปฏิบัติและวิธีรักษาที่ถูกต้อง ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ เยื่อบุตาอักเสบคือการอักเสบของเยื่อบางๆ ที่ปกคลุมดวงตาส่วนหน้าและด้านในของเปลือกตา ติดต่อผ่านการสัมผัสน้ำตาที่ปนเปื้อนเชื้อ ไม่ใช่ผ่านการมอง อากาศ หรือการรับประทานอาหารร่วมกัน สาเหตุจากเชื้อไวรัสอาจทำให้มีอาการเจ็บคอ ไข้สูง และหายใจเหนื่อย พบบ่อยในเด็กเล็กที่ชอบหยิบจับสิ่งของแล้วขยี้ตา หรือสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรียที่มักจะแพร่กระจายผ่านการสัมผัสตาหรือสิ่งที่มีเชื้อปนเปื้อน ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ อย่างสารเคมีในเครื่องสำอาง น้ำยาล้างคอนแท็กต์เลนส์ การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน ภูมิแพ้ฝุ่น PM2.5 ควันพิษ และแว่นตาที่ไม่สะอาด วิธีรักษาเยื่อบุตาอักเสบสามารถทำได้โดยการหยอดน้ำตาเทียม ใช้ยาแก้แพ้ ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านไวรัสตามสาเหตุ แล้วพักการใช้สายตา งดขยี้ตา และหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางและคอนแท็กต์เลนส์ วิธีป้องกันทำได้ด้วยการล้างมือให้สะอาด หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วย งดใช้สิ่งของร่วมกัน ไม่ใช้มือสัมผัสบริเวณดวงตาและใบหน้า เยื่อบุตาอักเสบ (Conjunctivitis) คืออะไร? เนื้อเยื่อบุตาอักเสบ หรือ Conjunctivitis คือการอักเสบของเยื่อบางๆ ที่ปกคลุมดวงตาส่วนหน้าและด้านในของเปลือกตา การติดต่อเกิดจากการสัมผัสน้ำตาผ่านมือหรือสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อแล้วไปสัมผัสตา แต่ไม่ติดต่อผ่านการมอง อากาศ หรือการรับประทานอาหารร่วมกัน มักระบาดในฤดูฝนตามชุมชนที่มีคนอยู่รวมกัน เช่น โรงเรียน สถานรับเลี้ยงเด็ก ที่ทำงาน และสระว่ายน้ำ พบได้ทุกช่วงอายุ โดยระบาดในเด็กได้ง่ายกว่าเพราะขาดความรู้ในการป้องกัน อย่างไรก็ตาม โรคนี้ไม่รุนแรงและสามารถหายเองได้     อาการที่สังเกตได้ของเยื่อบุตาอักเสบ อาการของโรคนี้จะปรากฏหลังสัมผัสเชื้อทางตา 1 - 2 วัน โดยเยื่อบุตาจะเกิดการอักเสบ บวม เคืองตา น้ำตาไหล เจ็บตา และมีขี้ตามาก ซึ่งอาจเป็นเมือกใสหรือสีเหลืองอ่อนหากมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย มักเป็นที่ตาข้างใดข้างหนึ่งก่อนแต่มักแพร่ไปอีกข้างได้ง่าย อาการจะรุนแรงในช่วง 4 - 7 วันแรก และหายได้เองภายใน 7 - 14 วัน การรักษาเน้นตามอาการและป้องกันการแพร่เชื้อ โดยใช้ยาปฏิชีวนะหากมีขี้ตามาก และยาลดไข้หรือยาแก้ปวดหากมีอาการทางระบบ สาเหตุของภาวะเยื่อบุตาอักเสบ โรคเนื้อเยื่อบุตาอักเสบมีสาเหตุที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย ดังนี้     ติดเชื้อไวรัส อาการอักเสบจากการติดเชื้อไวรัส โดยเฉพาะเชื้อไวรัสอะดีโน (Adenovirus) มักทำให้เกิดอาการเจ็บคอ ไข้สูง และบางครั้งมีอาการหายใจเหนื่อย สามารถติดต่อผ่านการสัมผัสโดยเฉพาะในเด็กเล็กที่ชอบหยิบจับสิ่งของรอบตัว เชื้อจะติดมากับมือแล้วเด็กอาจเผลอสัมผัสบริเวณใบหน้าหรือขยี้ตา ทำให้เด็กเป็นโรคเยื่อบุตาอักเสบได้ง่ายและพบบ่อยกว่าในผู้ใหญ่     ติดเชื้อแบคทีเรีย การเชื้อแบคทีเรียบางชนิด เช่น สแตฟิโลค็อกคัส ออเรียส (Staphylococcus Aureus) และสเตรปโตค็อกคัส นิวโมเนียอี (Streptococcus Pneumoniae) ก่อให้เกิดโรคเยื่อบุตาอักเสบได้ โดยแพร่กระจายผ่านการสัมผัสตาหรือสิ่งที่มีเชื้อปนเปื้อน ผู้ที่สัมผัสน้ำมูกหรือน้ำตาจากผู้ป่วยมีความเสี่ยงสูง นอกจากนี้ ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ยังรวมถึงการสัมผัสสารเคมีในเครื่องสำอางหรือน้ำยาล้างคอนแท็กต์เลนส์ การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในร่างกาย ภาวะภูมิแพ้โดยเฉพาะต่อฝุ่น PM2.5 และสภาพแวดล้อมที่มีควันหรือการใช้แว่นตาที่ไม่สะอาด อาการที่พบได้แก่ ตาแดง ตามัว ตามีขี้ตา และการระคายเคืองในตา เยื่อบุตาอักเสบหายเองได้ไหม ใช้เวลานานเท่าไร เยื่อบุตาอักเสบหายเองได้ไหม? กรณีที่เกิดจากไวรัสมักหายได้เองภายใน 7 - 14 วัน โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยา แต่หากมีสาเหตุจากแบคทีเรีย อาจจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อช่วยให้หายเร็วขึ้นและป้องกันภาวะแทรกซ้อน สำหรับเยื่อบุตาอักเสบที่เกิดจากอาการแพ้ สภาวะจะดีขึ้นเมื่อหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้และใช้ยาต้านฮีสตามีนตามคำแนะนำของแพทย์     เยื่อบุตาอักเสบมีวิธีการรักษาอย่างไร วิธีการรักษาเยื่อบุตาอักเสบสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้ การหยอดน้ำตาเทียมเพื่อช่วยลดการระคายเคืองตา การใช้ยาแก้แพ้ชนิดรับประทานและยาแก้แพ้หยอดตา ในกรณีที่มีสาเหตุจากเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ หากเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียจะต้องใช้ยาปฏิชีวนะหยอดตาหรือขี้ผึ้งป้ายตา ในรายที่มีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสจะใช้ยาต้านไวรัสชนิดรับประทาน นอกจากนี้ การรักษาควรทำควบคู่ไปกับการพักใช้สายตา หลีกเลี่ยงการขยี้ตาหรือใส่เลนส์สัมผัส รวมถึงหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางและคอนแท็กต์เลนส์ชั่วคราว เพื่อป้องกันสิ่งระคายเคืองตาและช่วยให้อาการหายเร็วขึ้นด้วย วิธีป้องกันภาวะเยื่อบุตาอักเสบ วิธีป้องกันโรคเนื้อเยื่อบุตาอักเสบ สามารถทำได้ง่ายๆ ดังนี้ หมั่นล้างมือด้วยสบู่และน้ำให้สะอาดอยู่เสมอก่อนสัมผัสหรือขยี้ตา หลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วยตาแดง และล้างมือทันทีหลังสัมผัส งดใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วย เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว หรือหมอน ไม่ใช้มือแคะ แกะ เกา บริเวณดวงตาและใบหน้า หากมีฝุ่นละอองหรือน้ำสกปรกเข้าตา ให้รีบล้างตาด้วยน้ำสะอาดทันที ระวังไม่ให้แมลงหวี่หรือแมลงวันตอมบริเวณดวงตา ดูแลรักษาความสะอาดของร่างกายและสิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัวอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำในช่วงที่มีการระบาดของโรคตาแดง คนกลุ่มไหนมีภาวะเสี่ยงเป็นเยื่อบุตาอักเสบบ้าง? ภาวะเยื่อบุตาอักเสบอาจเกิดได้กับทุกคน แต่จะมีคนบางกลุ่มที่เสี่ยงมากกว่าคนกลุ่มอื่นๆ ดังนี้ เด็กและผู้สูงอายุ เพราะเด็กจะรับเชื้อได้ง่ายจากโรงเรียนซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีคนเยอะ ส่วนผู้สูงอายุมีระบบภูมิคุ้มกันร่างกายที่อ่อนแอกว่า ผู้ป่วยติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ผู้ป่วยไข้หวัด ผู้ป่วยโรคเบาหวาน มีระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายอ่อนแอและเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายกว่าคนทั่วไป ผู้ที่ใช้ยาสเตียรอยด์ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ ผู้ที่เปลือกตาอักเสบ อาจมีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งทำให้เกิดเยื่อบุตาอักเสบได้ ผู้ที่อยู่ในที่มีคนหนาแน่น เช่น บนรถไฟฟ้า ค่ายทหาร และโรงเรียนประจำ     อาการเยื่อบุตาอักเสบแบบไหนที่ควรพบแพทย์ ควรรีบพบแพทย์หากมีอาการเยื่อบุตาอักเสบดังต่อไปนี้ อาการรุนแรงขึ้นแม้จะรักษาด้วยตัวเองแล้ว ปวดตารุนแรงหรือมองเห็นไม่ชัด ขี้ตามีสีเขียว เหลือง หรือเป็นหนองปริมาณมาก มีไข้ร่วมกับอาการตาแดง ตาบวมผิดปกติหรือมีอาการไวต่อแสงอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านดวงตาเพื่อรับการตรวจและรักษาอย่างถูกต้อง ปลอดภัย ไม่เสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายตามมา รักษาเยื่อบุตาอักเสบ ที่ศูนย์รักษาตา Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร หากอาการเยื่อบุตาอักเสบเสี่ยงอันตราย และเข้าขั้นต้องไปพบแพทย์โดยด่วน แนะนำให้เข้ามาปรึกษาและรักษาอาการเหล่านี้ได้ที่ศูนย์รักษาตา Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ที่นี่โดดเด่นด้านการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ด้วยทีมบุคลากรมากความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับดวงตา รวมถึงจุดเด่นต่างๆ ดังนี้ โรงพยาบาลมีจักษุแพทย์มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย พร้อมให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง สรุป เยื่อบุตาอักเสบคือการอักเสบของเยื่อบางๆ ที่ปกคลุมดวงตาและด้านในของเปลือกตา ซึ่งติดต่อผ่านการสัมผัสน้ำตาที่ปนเปื้อนเชื้อ ไม่ใช่ผ่านการมอง อากาศ หรืออาหาร มีสาเหตุจากเชื้อไวรัสที่ทำให้มีไข้ เจ็บคอ หรือเชื้อแบคทีเรีย รวมถึงสารเคมี ฮอร์โมน ภูมิแพ้ฝุ่น PM2.5 และอุปกรณ์ที่ไม่สะอาด การรักษาทำได้โดยหยอดน้ำตาเทียม ใช้ยาตามสาเหตุ พักสายตา งดขยี้ตาและใช้เครื่องสำอาง ส่วนการป้องกันคือล้างมือให้สะอาด หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วย และไม่ใช้มือสัมผัสบริเวณดวงตา สำหรับคนที่มีปัญหาดวงตา แนะนำมาที่Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ)โรงพยาบาลเฉพาะทางที่มีทีมแพทย์มากประสบการณ์ อุปกรณ์ที่ทันสมัย ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล มั่นใจได้ว่าการรักษาเป็นไปอย่างถูกต้อง แม่นยำ และปลอดภัย

โรคตาแดงเกิดจากอะไร? การรักษาโรคตาแดงทำได้อย่างไร

โรคตาแดงเป็นอาการเยื่อบุตาส่วนที่เป็นตาขาวอักเสบ เกิดจากการติดเชื้อ เช่น เชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย ติดต่อกันได้ง่าย จึงต้องระมัดระวังการใช้ชีวิตเป็นพิเศษเพื่อเลี่ยงอันตราย บทความนี้พามาดูวิธีการป้องกันและวิธีการรักษาที่ถูกต้อง ตาแดงคือภาวะเยื่อบุตาอักเสบ ทำให้เกิดตาแดง คัน น้ำตาไหล รู้สึกมีสิ่งแปลกปลอมในตา และอาจมีขี้ตามากขึ้น โดยสาเหตุหลักมาจากการติดเชื้อ การแพ้ หรือการระคายเคือง โรคตาแดงจากเชื้อไวรัสมักหายเองได้ภายใน 7 - 10 วัน โดยไม่ต้องใช้ยา เพียงพักผ่อนและรักษาความสะอาด แต่ตาแดงจากแบคทีเรียอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษา อาการที่ต้องรีบพบจักษุแพทย์ ได้แก่ อาการรุนแรงไม่ดีขึ้นภายใน 2 - 3 วัน ปวดตามาก ตามัว หรือเกิดในผู้ป่วยที่สวมคอนแท็กต์เลนส์ ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการขยี้ตาเพราะจะทำให้อาการรุนแรงขึ้น ควรระวังการแพร่กระจายเชื้อ โดยไม่ใช้ของร่วมกับผู้อื่น และหมั่นล้างมือบ่อยๆ ตาแดงคืออะไร หายเองได้ไหม? ตาแดงคือภาวะที่เยื่อบุตาเกิดการอักเสบ ทำให้ตาแดงและมีอาการคัน น้ำตาไหล รู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในตา และอาจมีขี้ตามากขึ้น สาเหตุหลักมาจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย การแพ้ หรือการระคายเคือง ตาแดงส่วนใหญ่สามารถหายเองได้ โดยเฉพาะตาแดงจากเชื้อไวรัสมักหายได้เองภายใน 7 - 10 วัน โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยา แต่ควรพักผ่อนและดูแลความสะอาด อย่างไรก็ตาม ตาแดงจากแบคทีเรียอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะรักษา หากอาการรุนแรงหรือไม่ดีขึ้นภายใน 2 - 3 วัน มีอาการปวดมาก ตามัว หรือเกิดในผู้ป่วยที่สวมคอนแท็กต์เลนส์ ควรรีบไปพบจักษุแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม     อาการตาแดงเป็นอย่างไร โดยปกติในผู้ป่วยโรคตาแดง จะพบอาการความผิดปกติดังนี้ คันตา ระคายเคืองผู้ป่วยมักรู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมติดอยู่ในดวงตา ทำให้เกิดความรำคาญและมีเกิดอยากขยี้ตาตลอดเวลา ซึ่งการขยี้ตาอาจทำให้อาการรุนแรงขึ้นได้ ตาขาวเปลี่ยนสีบริเวณตาขาวจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูเข้มหรือแดงเกิดจากเส้นเลือดขยายตัว บางรายอาจมีเลือดออกใต้เยื่อบุตาทำให้เห็นเป็นปื้นสีแดงชัดเจนกระจายบนพื้นตาขาว น้ำตาและขี้ตาผิดปกติดวงตาผลิตน้ำตามากกว่าปกติจนไหลตลอดเวลา หรือมีขี้ตาเหนียวสีเหลืองหรือสีขาวปริมาณมากโดยเฉพาะในตอนเช้าหลังตื่นนอน ซึ่งบางครั้งอาจทำให้เปลือกตาติดกัน เปลือกตาบวมแดงการอักเสบลามไปถึงเปลือกตาทำให้เกิดอาการบวมแดง บางรายอาจพบว่าเปลือกตาหนาตัวขึ้น และมีความรู้สึกหนักตาร่วมด้วย ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงเช่น ตามัว มีฝ้าขาวที่กระจกตาดำ ต่อมน้ำเหลืองหน้าหูโตกดเจ็บ ปวดตารุนแรง หรือปวดศีรษะ ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายที่ต้องพบจักษุแพทย์ทันที     สาเหตุอาการตาแดงเกิดจากอะไร มาดูสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคตาแดงทั้ง 3 สาเหตุหลักๆ กัน 1. การติดเชื้อ เชื้อไวรัสเป็นสาเหตุหลักของโรคตาแดงที่พบบ่อยที่สุด ผู้ป่วยมักมีอาการน้ำตาไหลมาก ตาแดงทั้งสองข้าง รู้สึกเคืองตา คันตา และมีขี้ตาใสปริมาณน้อย มักติดต่อได้ง่ายและอาจต้องใช้เวลาหายเอง เชื้อแบคทีเรียตาแดงจากแบคทีเรียมีลักษณะเด่นคือมีขี้ตาข้นสีเหลืองหรือเขียวปริมาณมาก เปลือกตามักบวมแดง และอาจมีอาการปวดตาร่วมด้วย การติดเชื้อชนิดนี้ต้องได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะอย่างเหมาะสม 2. การแพ้และระคายเคือง ฝุ่น ควัน หรือสารเคมีการสัมผัสสิ่งระคายเคืองในอากาศทำให้เกิดอาการตาแดง น้ำตาไหล และระคายเคือง อาการมักดีขึ้นเมื่อหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น การหยอดน้ำตาเทียมช่วยบรรเทาอาการและล้างสิ่งระคายเคืองออกจากตาได้ การแพ้เครื่องสำอางหรือน้ำยาคอนแท็กต์เลนส์ผลิตภัณฑ์ที่ใช้บริเวณดวงตาอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ ทำให้ตาแดง คัน และบวม ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่สงสัยทันที และใช้น้ำสะอาดล้างตาเพื่อลดการอักเสบ 3. อาการของโรคตาอื่นๆ ตาแห้งเรื้อรังภาวะที่ดวงตาผลิตน้ำตาไม่เพียงพอหรือน้ำตามีคุณภาพไม่ดี ทำให้เกิดอาการตาแดง แสบตา และรู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในตา การใช้น้ำตาเทียมเป็นประจำช่วยบรรเทาอาการได้ ภูมิแพ้ขึ้นตาเกิดจากการแพ้สารก่อภูมิแพ้ เช่น เกสรดอกไม้ หรือขนสัตว์ ทำให้ตาแดง คันตามาก น้ำตาไหล และอาจมีอาการจามหรือคัดจมูกร่วมด้วย ยาต้านฮิสตามีนช่วยบรรเทาอาการได้ กระจกตาอักเสบเป็นภาวะที่กระจกตา (ส่วนใสด้านหน้าของตา) อักเสบ ทำให้มีอาการปวดตารุนแรง ตาแดง กลัวแสง และตาแดงจนมองไม่ชัด ต้องได้รับการรักษาโดยจักษุแพทย์อย่างเร่งด่วนเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน ตาแดงแบบไหนที่สามารถติดต่อได้? โรคตาแดงเป็นโรคติดต่อที่แพร่กระจายได้ง่ายผ่านการสัมผัสโดยตรงกับน้ำตาหรือขี้ตาของผู้ป่วย การใช้สิ่งของร่วมกัน หรือการไอจามรดกัน เชื้อมักระบาดในพื้นที่ที่มีคนหนาแน่น เช่น รถโดยสารสาธารณะ โรงพยาบาล และโรงเรียน โดยพบบ่อยในกลุ่มเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากเด็กมักมีพฤติกรรมป้องกันตัวเองจากเชื้อโรคที่ไม่เคร่งครัดเท่าผู้ใหญ่     การรักษาโรคตาแดง เนื่องจากโรคตาแดงเกิดจากเชื้อไวรัสจึงยังไม่มียารักษาโดยตรง และยาต้านไวรัสที่มีอยู่ไม่ได้ผลกับเชื้อชนิดนี้ การรักษาจึงเน้นตามอาการ เช่น ให้ยาปฏิชีวนะหยอดตาเพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน โดยหยอดเฉพาะตาข้างที่เป็นเท่านั้น วิธีรักษาตาอักเสบแดงหรือโรคตาแดง แพทย์อาจพิจารณาให้ยาหยอดแก้อักเสบและยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอลหากมีอาการเจ็บตา ควรใช้สำลีชุบน้ำสะอาดเช็ดขี้ตา ใส่แว่นกันแดดเพื่อลดอาการเคืองแสง และควรงดใส่คอนแท็กต์เลนส์จนกว่าจะหายอักเสบ พร้อมพักผ่อนให้เพียงพอและหลีกเลี่ยงการใช้สายตามากเกินไป     แนวทางการดูแลตัวเองสำหรับคนที่เป็นตาแดง แนวทางเบื้องต้นในการดูแลตัวเองของอาการตาแดงหรือตาอักเสบ เพื่อป้องกันและบรรเทาไม่ให้อาการแย่ลง สามารถทำได้ดังนี้ หลีกเลี่ยงการสัมผัสตา ไม่ขยี้ตาหรือสัมผัสดวงตาโดยตรง เพราะจะทำให้อาการแย่ลงหรือทำให้ดวงตาอีกข้างติดเชื้อได้ หมั่นล้างมือด้วยสบู่บ่อยๆ และล้างทันทีหากสัมผัสใบหน้า ดวงตา หรือสิ่งของเครื่องใช้ของผู้ป่วย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ ใช้ผ้าหรือสำลีชนิดนุ่มชุบน้ำอุ่นเช็ดตา ซับน้ำตา หรือเช็ดขี้ตาออกเบาๆ โดยใช้สำลีแผ่นใหม่ทุกครั้ง แล้วอย่าลืมทิ้งในถังขยะที่ปิดมิดชิด หยอดตาเฉพาะข้างที่มีอาการเท่านั้น ไม่ควรหยอดตาทั้งสองข้างด้วยยาหยอดตาขวดเดียวกัน หลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ร่วมกัน ไม่ใช้ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว หรือหมอนร่วมกับผู้อื่น หยุดใช้คอนแท็กต์เลนส์ชั่วคราว เปลี่ยนไปใช้แว่นตาจนกว่าอาการจะหายดี งดว่ายน้ำในสระว่ายน้ำในช่วงที่โรคตาแดงระบาด งดใช้เครื่องสำอางรอบดวงตา และหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีฝุ่น ควัน หรือสารเคมี พักเรียนหรือพักงานอย่างน้อย 1 สัปดาห์เพื่อไม่ให้โรคแพร่กระจายสู่ผู้อื่น พักการใช้สายตา และพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่จำเป็นต้องปิดตา เว้นแต่กรณีที่กระจกตาอักเสบหรือเคืองตามาก อาจปิดตาชั่วคราวหรือสวมแว่นกันแดดแทน การรักษาโรคตาแดง ที่ศูนย์รักษาตา Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร หากมีอาการของโรคตาแดง แล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือมีอาการรุนแรง แนะนำให้เข้ามาปรึกษาและรักษาอาการเหล่านี้ได้ที่ศูนย์รักษาตา Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ที่นี่โดดเด่นด้านการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ด้วยจักษุแพทย์มากความรู้และทีมงานมากประสบการณ์ที่พร้อมดูแลและแก้ปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับดวงตา ทางโรงพยาบาลยังมีจุดเด่นดังนี้ โรงพยาบาลมีทีมจักษุแพทย์มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย พร้อมให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง สรุป ตาแดงเป็นภาวะเยื่อบุตาอักเสบที่ทำให้เกิดอาการตาแดง คัน น้ำตาไหล รู้สึกมีสิ่งแปลกปลอมในตา และอาจมีขี้ตามากขึ้น สาเหตุหลักมาจากการติดเชื้อไวรัส (มักหายเองใน 7-10 วัน) แบคทีเรีย (อาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะ) การแพ้ หรือการระคายเคือง ควรรีบพบจักษุแพทย์หากอาการรุนแรงไม่ดีขึ้นภายใน 2 - 3 วัน มีอาการปวดตามาก ตามัว หรือเกิดในผู้สวมคอนแท็กต์เลนส์ ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการขยี้ตาและระวังการแพร่กระจายเชื้อโดยไม่ใช้ของร่วมกับผู้อื่นและหมั่นล้างมือบ่อยๆ สำหรับคนที่มีปัญหาดวงตา แนะนำมาที่Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ)โรงพยาบาลเฉพาะทางที่มีแพทย์มากประสบการณ์ อุปกรณ์ที่ทันสมัย ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล มั่นใจได้ว่าการรักษาเป็นไปอย่างถูกต้อง แม่นยำ และปลอดภัย

Keratoconus คืออะไร? สัญญาณเตือนกระจกตาย้วยที่ต้องรู้ก่อนลุกลาม

โรคกระจกตาย้วยหรือโรคกระจกตาโก่ง ที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อโรคกระจกตาป้อแป้ เป็นภาวะผิดปกติของโครงสร้างกระจกตาที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการมองเห็น ด้วยความที่ดวงตาเป็นอวัยวะสำคัญที่มีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ภาวะผิดปกตินี้จึงถือเป็นปัญหาที่ร้ายแรงและจำเป็นต้องทำความเข้าใจเพื่อนำไปสู่การดูแลรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสมต่อไป มาทำความเข้าใจโรค Keratoconus หรือภาวะกระจกตาย้วย โรคทางกระจกตาที่ควรรู้จักไว้ เพราะอาจทำให้เกิดความผิดปกติทางการมองเห็นได้ มาดูอาการเริ่มต้น การวินิจฉัย และแนวทางการรักษาที่มีประสิทธิภาพกันในบทความนี้เลย! กระจกตาย้วย (Keratoconus) เป็นภาวะที่กระจกตาผิดปกติ โดยกระจกตาจะค่อยๆ บางลงและเปลี่ยนรูปร่างจากทรงกลมหรือรีเล็กน้อย กลายเป็นรูปทรงโก่งนูนคล้ายกรวยที่ยื่นออกมาด้านหน้า ส่งผลให้การมองเห็นผิดปกติและอาจรุนแรงขึ้นหากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม โรคนี้มีสาเหตุหลักมาจากปัจจัยทางพันธุกรรมและสภาพแวดล้อม โดยผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้จะมีความเสี่ยงสูง นอกจากนี้พฤติกรรมเสี่ยงอย่างการขยี้ตาบ่อยๆ การสัมผัสรังสี UV เป็นเวลานาน รวมถึงผู้ที่มีภาวะภูมิแพ้หรือกลุ่มอาการดาวน์ ก็มีโอกาสเกิดโรคนี้สูงกว่าคนทั่วไป เมื่อพบความผิดปกติในการมองเห็นหรือมีอาการผิดปกติที่ดวงตา เช่น ตาแดงหรือระคายเคืองอย่างรุนแรง ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์โดยทันที เพราะโรคกระจกตาย้วยเป็นโรคที่มีอาการแตกต่างกันในแต่ละคน การรักษาตั้งแต่เริ่มมีอาการจะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ การป้องกันโรคกระจกตาย้วยสำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นมาแต่กำเนิดมีหลายวิธี เช่น หลีกเลี่ยงการขยี้ตาแรงๆ ป้องกันดวงตาจากแสงแดดและแสงสีฟ้า ถอดคอนแท็กต์เลนส์ก่อนนอน และพักสายตาอย่างถูกวิธี รวมถึงการรับประทานอาหารเสริมตามคำแนะนำของแพทย์และการสังเกตการเปลี่ยนแปลงของค่าสายตาอย่างสม่ำเสมอ กระจกตาย้วย (Keratoconus) คืออะไร? กระจกตาย้วย หรือที่เรียกในทางการแพทย์ว่า Keratoconus เป็นภาวะความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับกระจกตา โดยมีลักษณะเฉพาะคือกระจกตาจะค่อยๆ บางลงและมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างจากปกติที่ควรจะเป็นทรงกลมหรือรีเล็กน้อย กลายเป็นรูปทรงที่โก่งนูนยื่นออกมาด้านหน้าคล้ายรูปกรวย สาเหตุของภาวะนี้เกิดจากความผิดปกติของเส้นใยคอลลาเจนในกระจกตา ซึ่งเป็นโครงสร้างสำคัญที่ช่วยให้กระจกตามีความแข็งแรง เมื่อเส้นใยคอลลาเจนผิดปกติ จึงทำให้กระจกตาไม่สามารถคงรูปร่างปกติไว้ได้และถูกแรงดันจากภายในลูกตาดันให้โก่งนูนออกมา     สาเหตุของกระจกตาย้วย การเกิดโรคกระจกตาย้วยนั้นมีสาเหตุหลักมาจากปัจจัยทางพันธุกรรมและสภาพแวดล้อม โดยผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคกระจกตาย้วยจะมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคนี้เช่นกัน นอกจากนี้ พฤติกรรมและสภาพแวดล้อมก็มีส่วนสำคัญ โดยเฉพาะการขยี้ตาบ่อยๆ และรุนแรงที่อาจทำให้กระจกตาเสื่อมสภาพและผิดรูปได้ การสัมผัสรังสี UV เป็นเวลานานก็เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลต่อโครงสร้างของกระจกตา รวมถึงผู้ที่มีภาวะภูมิแพ้หรือโรคบางชนิด เช่น กลุ่มอาการดาวน์ ก็มีแนวโน้มที่จะเกิดโรคนี้ได้มากกว่าคนทั่วไป ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิด Keratoconus ในปี 2562 การศึกษาโดยจักษุแพทย์จากราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทยได้พบความสัมพันธ์ระหว่างโรคกระจกตาย้วยกับการลดลงของปริมาณคอลลาเจนในกระจกตา โดยมีปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่สัมพันธ์กับภาวะนี้ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนโดยเฉพาะในสตรีมีครรภ์มีผลให้โรคกระจกตาย้วยรุนแรงขึ้น งานวิจัยพบว่าเพศหญิงมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระจกตาย้วยมากกว่าเพศชาย ในอัตราส่วน 2:1 ผู้ป่วยที่มีโรคภูมิแพ้และมีอาการคันตามีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระจกตาย้วย พฤติกรรมการขยี้ตาบ่อยๆ เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคกระจกตาย้วยได้ ผู้ที่ผ่านการทำเลสิกมีความเสี่ยงต่อโรคกระจกตาย้วยสูงกว่าคนทั่วไป เนื่องจากกระจกตาถูกฝนให้บางลง     สังเกตอาการ Keratoconus โรคกระจกตาย้วยมักเริ่มแสดงอาการตั้งแต่อายุ 13 ปีขึ้นไป และมีการดำเนินของโรคต่อเนื่องยาวนาน 10 - 20 ปี โดยมีอาการที่สังเกตได้ดังนี้ สายตาเริ่มมัวลงและมองเห็นไม่ชัดตั้งแต่วัยรุ่น มักมีสายตาสั้นและเอียงในระดับที่สูง ทำให้ต้องเปลี่ยนแว่นสายตาบ่อยครั้ง มีอาการเคืองตา แสบตา และไวต่อแสง ร่วมกับอาการปวดศีรษะและปวดตา ในรายที่มีอาการรุนแรง กระจกตาจะบางลงจนเกิดการบวมน้ำและแตก ส่งผลให้เกิดแผลเป็นที่กระจกตาและการมองเห็นแย่ลง ใครที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นกระจกตาย้วย? โรคกระจกตาย้วยเป็นภาวะที่กระจกตามีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ทำให้กระจกตาบางและโก่ง ส่งผลให้มีสายตาสั้น สายตาเอียง พบได้ตั้งแต่อายุ 10 ปี และมักรุนแรงช่วง 20 - 39 ปี โดยกลุ่มเสี่ยงมีดังนี้ ผู้ที่ขยี้ตาบ่อย โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ที่มีอาการคันตามาก ผู้ที่ใส่คอนแท็กต์เลนส์เป็นเวลานานมีความเสี่ยง เนื่องจากอาจทำให้คอลลาเจนในกระจกตาบางลง ผู้ที่มีสายตาสั้นหรือเอียงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (ประมาณ 100 หรือ -1.0 ต่อปี) จนต้องเปลี่ยนแว่นบ่อย ผู้ป่วยโรคดาวน์ซินโดรมมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป ผู้ป่วยโรคเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เช่น โรคกล้ามเนื้อ หลอดเลือด น้ำเหลือง และเส้นประสาท มีความเสี่ยงเนื่องจากอาจมีการเรียงตัวของคอลลาเจนผิดปกติ ผู้ป่วยโรคแต่กำเนิด เช่น โรคหนังยืดผิดปกติ โรคกระดูกเปราะกรรมพันธุ์ หรือโรคครูซอง มีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป     อาการกระจกตาย้วยแบบไหนที่ควรพบแพทย์? หากสังเกตพบความผิดปกติในการมองเห็น หรือมีอาการผิดปกติที่ดวงตา ไม่ว่าจะเป็นอาการตาแดงหรือระคายเคืองอย่างรุนแรง สิ่งสำคัญคือต้องรีบปรึกษาจักษุแพทย์โดยทันที เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมตามสาเหตุของอาการ โดยเฉพาะในกรณีของโรคกระจกตาย้วย ซึ่งเป็นโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดและมีอาการแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละราย การพบแพทย์ตั้งแต่เริ่มมีอาการจะช่วยให้แพทย์สามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงของกระจกตาและให้การรักษาที่เหมาะสมได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้โรคลุกลามจนเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงในอนาคต     การวินิจฉัย Keratoconus โรคกระจกตาย้วยมักถูกพบโดยบังเอิญในระหว่างที่ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาโรคตาอื่นๆ หรือมาปรึกษาเพื่อทำเลสิก โดยจักษุแพทย์อาจสังเกตเห็นความผิดปกติที่บ่งชี้ถึงภาวะกระจกตาย้วย จึงทำการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมด้วยเครื่อง Corneal topography ซึ่งเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่สามารถวิเคราะห์แผนที่ความโค้งนูนของกระจกตาได้อย่างละเอียด ในการวินิจฉัยโรค จักษุแพทย์จะทำการซักประวัติผู้ป่วยอย่างครอบคลุม ทั้งประวัติส่วนตัวและประวัติครอบครัวที่อาจมีความเกี่ยวข้องกับโรคกระจกตาย้วย พร้อมทั้งตรวจร่างกายและประเมินความโค้งนูนของกระจกตาด้วยวิธีการทางการแพทย์ที่เหมาะสม เพื่อให้การวินิจฉัยที่แม่นยำและวางแผนการรักษาที่มีประสิทธิภาพต่อไปดังนี้ 1. การตรวจวัดความโค้งของกระจกตา การตรวจวัดด้วยเครื่องเคอราโตมิเตอร์ (Keratometer) เป็นขั้นตอนสำคัญในการวินิจฉัยโรคกระจกตาย้วย โดยเครื่องจะส่องลำแสงไปที่กระจกตาเพื่อวัดความโค้งในจุดต่างๆ ทำให้แพทย์สามารถประเมินความผิดปกติของรูปร่างกระจกตาได้อย่างแม่นยำ 2. การถ่ายภาพกระจกตาของผู้ป่วย แพทย์จะทำการถ่ายภาพกระจกตาด้วยกล้องพิเศษที่ให้ภาพความละเอียดสูง เพื่อบันทึกลักษณะความผิดปกติและใช้ในการติดตามการเปลี่ยนแปลงของโรค นอกจากนี้ภาพถ่ายยังช่วยในการวางแผนการรักษาและประเมินผลการรักษาในระยะยาว 3. การส่องกล้องจุลทรรศน์ดวงตา การตรวจด้วยเครื่อง Slit-lamp เป็นการตรวจละเอียดที่ช่วยให้แพทย์มองเห็นโครงสร้างกระจกตาในระดับลึก สามารถสังเกตความผิดปกติของรูปร่าง การบางตัวของกระจกตา และความผิดปกติของเนื้อเยื่อโดยรอบ ทำให้การวินิจฉัยมีความแม่นยำมากขึ้น 4. การใช้เครื่องวัดกำลังสายตา การตรวจด้วยเครื่องเรติโนสโคป (Retinoscope) เป็นการประเมินค่าการหักเหแสงของดวงตาอย่างละเอียด ช่วยให้แพทย์เข้าใจถึงผลกระทบของโรคต่อการมองเห็น พร้อมทั้งตรวจสอบสภาพของจอประสาทตา ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีความสำคัญในการวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย     วิธีการรักษาโรคกระจกตาย้วย วิธีรักษาโรคกระจกตาย้วยจะเป็นการรักษาตามความรุนแรงของโรค เช่น หากอาการไม่รุนแรงมากอาจแก้ไขด้วยวิธีทำให้มองเห็นได้ดีขึ้นด้วยการใส่แว่น หรือหากมีอาการรุนแรงขึ้นอาจปฏิบัติตามวิธีการรักษาต่อไปนี้ 1. ใส่คอนแท็กต์เลนส์ การใส่คอนแท็กต์เลนส์เป็นวิธีการรักษาในระยะแรกที่อาการยังไม่รุนแรงมาก โดยแพทย์จะให้ผู้ป่วยใส่คอนแท็กต์เลนส์แบบพิเศษหลายชนิด เช่น Scleral Lens หรือ RGP Lens ซึ่งออกแบบมาเฉพาะสำหรับผู้ป่วยโรคกระจกตาย้วย เพื่อช่วยปรับแก้สายตาให้มองเห็นได้ชัดเจนขึ้น 2. ฉายแสงร่วมกับวิตามินบี 2 การฉายแสงร่วมกับวิตามินบี 2 เป็นวิธีการรักษาแบบต่อเนื่องด้วยการฉายแสงอัลตราไวโอเลตร่วมกับวิตามินบี (Collagen Cross Linking) ที่กระจกตา เพื่อเสริมความแข็งแรงให้เส้นใยคอลลาเจน ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่ที่มีประสิทธิภาพและช่วยหลีกเลี่ยงการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา อย่างไรก็ตาม วิธีนี้อาจไม่เหมาะกับผู้ป่วยบางราย เช่น ผู้ที่มีกระจกตาบางกว่า 400 ไมครอน หรือมีประวัติติดเชื้อเริมที่กระจกตา 3. การผ่าตัดนำอุปกรณ์ใส่ไว้ในกระจกตา การผ่าตัดใส่อุปกรณ์ในกระจกตาเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้วงแหวนขึงกระจกตาให้แบนลงและมีความโค้งใกล้เคียงปกติ ทำให้สามารถใส่แว่นหรือคอนแท็กต์เลนส์แก้ไขสายตาได้ดีขึ้น วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการโรคกระจกตาย้วยมากเกินกว่าจะแก้ไขด้วยแว่นหรือคอนแท็กต์เลนส์ธรรมดา 4. การผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตา การผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตาเป็นการรักษาแบบดั้งเดิมที่มีความซับซ้อนและต้องรอกระจกตาจากผู้บริจาค ซึ่งอาจใช้เวลานานถึง 3 ปี วิธีนี้จะเลือกใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีกระจกตาย้วยขั้นรุนแรงหรือมีแผลเป็นที่กระจกตาร่วมด้วย และไม่สามารถรักษาด้วยวิธีอื่นได้ผล การผ่าตัดจะช่วยแก้ไขความโค้งของกระจกตาให้กลับมาใกล้เคียงภาวะปกติมากที่สุด     วิธีป้องกันโรคกระจกตาย้วย วิธีป้องกันโรคกระจกตาย้วย สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นโรคนี้มาตั้งแต่กำเนิดและไม่มีปัญหาสายตาอื่นๆ ร่วมด้วย วิธีป้องกันที่ทางจักษุแพทย์แนะนำมีดังนี้ เลี่ยงการขยี้ตาแรงๆ เพราะทำให้กระจกตาเกิดการเสียดสีและได้รับแรงกดดันมากเกินไป ส่งผลให้โครงสร้างของกระจกตาอ่อนแอและเกิดการโก่งผิดรูป ป้องกันดวงตาจากแสงแดดจัดและแสงสีฟ้า ควรสวมแว่นกันแดดเมื่ออยู่กลางแจ้งและใช้ฟิลเตอร์กรองแสงสีฟ้าเมื่อใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ควรถอดคอนแท็กต์เลนส์ทุกครั้งก่อนนอน และทำความสะอาดอย่างถูกวิธี เมื่อรู้สึกเมื่อยล้าสายตา แนะนำให้พักสายตาด้วยการกลอกตาเบาๆ หรือมองวัตถุที่อยู่ไกลๆ สลับกัน แทนการกดหรือนวดดวงตาโดยตรง ซึ่งอาจเป็นอันตราย รับประทานอาหารเสริมบำรุงสายตาภายใต้คำแนะนำของจักษุแพทย์ เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่เหมาะสมและปลอดภัยสำหรับสภาพร่างกายของแต่ละคน หากพบว่าค่าสายตามีการเปลี่ยนแปลงเกิน 50 - 100 องศาภายในหนึ่งปี ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างทันท่วงที สำหรับเด็กอายุ 10 ปีขึ้นไปควรตรวจสุขภาพตาประจำปีอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แพทย์สามารถตรวจพบความผิดปกติของดวงตาและโรคกระจกตาย้วยได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น รักษาอาการกระจกตาย้วย (Keratoconus) ที่ศูนย์รักษากระจกตา Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร หากมีอาการ แนะนำให้เข้ามาปรึกษาและรักษาอาการเหล่านี้ได้ที่ศูนย์รักษาโรคกระจกตา Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ที่นี่โดดเด่นด้านการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ด้วยทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีจุดเด่นดังนี้ โรงพยาบาลมีทีมจักษุแพทย์มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย พร้อมให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง สรุป กระจกตาย้วยหรือ Keratoconus เป็นภาวะที่กระจกตาบางลงและเปลี่ยนรูปร่างจากทรงกลมหรือรีเล็กน้อย กลายเป็นรูปทรงโก่งนูนคล้ายกรวย โดยมีสาเหตุหลักจากพันธุกรรมและสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะในผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้ ผู้ที่ขยี้ตาบ่อย สัมผัสรังสี UV นาน หรือมีภาวะภูมิแพ้ ล้วนมีความเสี่ยงสูง เมื่อพบความผิดปกติในการมองเห็นหรือมีอาการตาแดง ระคายเคืองรุนแรง ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อรับการรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มต้น สำหรับการป้องกัน ควรหลีกเลี่ยงการขยี้ตา ป้องกันดวงตาจากแสงแดดและแสงสีฟ้า พักสายตาอย่างถูกวิธี และสังเกตการเปลี่ยนแปลงของค่าสายตาอย่างสม่ำเสมอ เพราะหากไม่รักษาโรคกระจกตาย้วยตั้งแต่เนิ่นๆ นอกจากจะเสี่ยงอันตรายแล้ว ยังทำให้ค่ารักษาบานปลายได้ สำหรับคนที่มีปัญหาดวงตา แนะนำมาที่Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ)โรงพยาบาลเฉพาะทางที่มีทีมแพทย์มากประสบการณ์ อุปกรณ์ที่ทันสมัย ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล มั่นใจได้ว่าการรักษาเป็นไปอย่างถูกต้อง แม่นยำ และปลอดภัย

กระจกจาโก่ง กระจกตาย้วย มาหาสาเหตุ ฃอาการ และแนวทางการรักษา

กระจกตาโก่งหรือกระจกตาย้วยส่งผลให้การมองเห็นผิดปกติไป หากปล่อยไว้นานอาจสายเกินแก้อาจนำไปสู่อาการสายตาสั้นหรือสายตาเอียง บทความนี้จะพามาหาสาเหตุ อาการ และแนวทางการรักษา เพื่อให้สามารถดูแลและลดความเสี่ยงต่อปัญหากระจกตาโก่งได้อย่างถูกต้อง   กระจกตาโก่ง เป็นภาวะที่กระจกตาบางลงเป็นรูปทรงกรวยหรือโก่งนูน จนแสงหักเหเข้าสู่ดวงตาอย่างผิดปกติ กระจกตาโก่งจะส่งผลให้การมองเห็นถดถอย มองเห็นภาพไม่ชัด ผิดเพี้ยน และมีค่าสายตาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กลุ่มเสี่ยงเป็นโรคกระจกตาโก่ง คือกลุ่มวัยรุ่นที่มีโครงสร้างกระจกตาเปลี่ยนแปลงมากที่สุด ผู้ที่ขยี้ตาแรงบ่อยๆ รวมถึงกลุ่มผู้ป่วยเป็นโรคบางชนิด เช่น ดาวน์ซินโดรม ควรรีบพบแพทย์เมื่อมีอาการกระจกตาโก่งร่วมกับการเคืองตา ตาแดง ปวดศีรษะ และการมองเห็นแย่ลงอย่างรวดเร็ว     กระจกตาโก่ง คืออะไร โดยปกติแล้วกระจกตาจะมีความหนาโดยเฉลี่ยที่ 530-550 ไมครอน หรือประมาณ 0.5 มิลลิเมตร และมีรูปทรงโค้งที่สม่ำเสมอ ซึ่งทำให้แสงหักเหอย่างถูกต้อง ส่งผลให้เห็นภาพที่คมชัด แต่กระจกตาโก่งหรือกระจกตาย้วย (Keratoconus) คือภาวะที่กระจกตาเริ่มบางลงและเปลี่ยนรูปไปเป็นรูปทรงกรวยหรือโก่งนูนผิดปกติ ทำให้แสงหักเหเข้าสู่ดวงตาได้ไม่ถูกต้อง มองเห็นเป็นภาพเบลอ บิดเบี้ยว ซึ่งถ้าหากปล่อยไว้นาน อาจมีอาการรุนแรงขึ้นจนมีปัญหาด้านการมองเห็นได้ ผลกระทบจากกระจกตาโก่ง อาการกระจกตาโก่งหรือกระจกตาย้วยส่งผลต่อการมองเห็นได้ การที่กระจกตาที่บางและเปลี่ยนเป็นรูปทรงกรวยนั้น ทำให้การหักเหแสงผิดพลาด ไม่รวมจุดโฟกัสให้เป็นภาพเดียว ทำให้มองเห็นภาพเบลอ ผิดเพี้ยน เกิดเป็นปัญหาสายตาเอียง สายตาสั้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องเปลี่ยนแว่นสายตาบ่อยๆ นอกจากนี้อาการกระจกตาโก่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้ จากการที่โครงสร้างกระจกตาเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น เป็นแผลที่กระจกตากระจกตาติดเชื้อกระจกตาบางจนบวมน้ำและแตกออก หรือเกิดวงแหวนในกระจกตา ซึ่งภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ส่งผลต่อการมองเห็นให้ถดถอยลงอย่างมาก และอาจทำให้สูญเสียการมองเห็นได้     สังเกตอาการกระจกตาโก่งได้อย่างไร กระจกตาโก่งหรือกระจกตาย้วยจะเริ่มแสดงอาการชัดเจนขึ้นเมื่อมีอายุ 13 ปี หรือเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น และจะแสดงอาการยาวนานจนถึง 10 - 20 ปี โดยผู้ที่มีภาวะกระจกตาโก่ง โดยสังเกตได้จากอาการเหล่านี้ ภาพที่มองเห็นมีความเบลอ มัว และผิดเพี้ยนตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น ต้องเปลี่ยนแว่นสายตาหรือคอนแท็กต์เลนส์บ่อยครั้ง เนื่องจากค่าสายตาเอียง สายตาสั้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตาไวต่อแสง ไม่สามารถมองสู้แสงได้ มีอาการเคืองตา แสบตา มีอาการปวดตาร่วมกับปวดศีรษะ หากมีอาการหนักจนเกิดแผลที่กระจกตา หรือกระจกตาบวมน้ำจนแตก การมองเห็นจะเสื่อมลงอย่างรุนแรง สาเหตุของอาการกระจกตาโก่ง กระจกตาโก่งหรือกระจกตาย้วยเกิดจากความผิดปกติของเส้นใยคอลลาเจนของกระจกตา ที่มีความอ่อนแอลง หรือมีการเรียงตัวที่ไม่สม่ำเสมอ กระจกตาจึงไม่แข็งแรง เมื่อปล่อยไว้นาน กระจกตาจะบางลงเรื่อยๆ และโก่งนูนออกมา ซึ่งที่มาของการเกิดโรคกระจกตาโก่งนั้นยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่ปัจจัยบางอย่างอาจก่อให้เกิดอาการกระจกตาโก่งได้ เช่น เกิดจากพันธุกรรม ครอบครัวมีประวัติการเป็นกระจกตาโก่ง การขยี้ตาแรงๆ บ่อยๆ เป็นเวลานาน ซึ่งพบได้บ่อยในผู้ที่มีโรคภูมิแพ้ขึ้นตา ที่มักจะคันตาอยู่เสมอ ได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดดมากเกินไป มีอาการกระจกตาโก่งร่วมกับบางโรค เช่น ดาวน์ซินโดรม โรคหนังยืดผิดปกติ โรคหืด     กลุ่มเสี่ยงกระจกตาโก่ง มีใครบ้าง กลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระจกตาโก่งนั้น มักเป็นกลุ่มที่มีการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของกระจกตา เช่น ผู้ที่อยู่ในช่วงวัยรุ่น ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกระจกตามากที่สุด ผู้ที่ขยี้ตาแรงๆ บ่อยๆ จากโรคภูมิแพ้ขึ้นตา หรือเมื่อมีอาการคันตา ผู้ที่ใส่คอนแท็กต์เลนส์เป็นเวลานาน ซึ่งทำให้กระจกตาบางลงได้ ผู้ที่มีปัญหาสายตาเอียงหรือสายตาสั้น ร่วมกับมีค่าสายตาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนต้องเปลี่ยนแว่นสายตาบ่อยๆ ผู้ป่วยดาวน์ซินโดรม มีแนวโน้มเกิดอาการกระจกตาโก่งได้มากกว่าปกติ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคที่มีความเกี่ยวข้องกับการเรียงตัวของคอลลาเจน เช่น ผู้ป่วยกล้ามเนื้อ หลอดเลือด น้ำเหลือง และเส้นประสาท ผู้ที่ป่วยเป็นโรคบางโรคตั้งแต่กำเนิด เช่น โรคครูซอง โรคหนังยืดผิดปกติ โรคกระดูกเปราะพันธุกรรม เป็นต้น อาการกระจกตาโก่งแบบไหนต้องรีบพบแพทย์ หากการมองเห็นแย่ลงอย่างรวดเร็ว หรือมีอาการผิดปกติบนดวงตา เช่น เคืองตา ตาแดง ควรรีบพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อรับการักษาอย่างทันท่วงที เนื่องจากโรคกระจกตาโก่งยังไม่สามารถระบุสาเหตุได้อย่างแน่ชัด หากแพทย์พบการเปลี่ยนแปลงของกระจกตาได้เร็วเท่าไร ก็จะยิ่งรักษาได้เร็วเท่านั้น     วินิจฉัยกระจกตาโก่งโดยแพทย์ โรคกระจกตาโก่งมักตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจประเมินสภาพดวงตาเพื่อทำเลสิก หรือเพื่อรักษาโรคทางตาอื่นๆ เมื่อแพทย์พบว่าผู้ป่วยมีแนวโน้มที่จะเป็นกระจกตาโก่ง จะตรวจวัดสายตาอย่างละเอียดด้วยเครื่องตรวจวัดพื้นผิวและความหนากระจกตา (Corneal topography) ต่อมาการวินิจฉัยโรคกระจกตาโก่งเริ่มต้นด้วยการซักประวัติโรคทางตาของคนในครอบครัว สอบถามเกี่ยวกับอาการที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย รวมถึงตรวจสายตาด้วยวิธีการต่างๆ ดังนี้ 1. ทดสอบความสามารถในการมองเห็น (Visual Acuity) เป็นการทดสอบด้วยการอ่านแผนภูมิวัดสายตา Snellen Chart ซึ่งเป็นแผนภูมิที่มีชุดตัวเลข 8 แถว และจะมีขนาดเล็กลงไปเรื่อยๆ ในแต่ละแถว โดยจะวาง Snellen Chart ห่างออกในระยะ 6 เมตร จากนั้นเริ่มวัดสายตาทีละข้าง เพื่อประเมินระดับการมองเห็นที่แท้จริง นอกจากนี้ยังมีการทดสอบสายตาด้วยการใช้เครื่องมือ Phoropter ที่เปลี่ยนเลนส์เพื่อแก้ไขการหักเหแสงของดวงตาได้ เมื่อผู้ที่รับการตรวจด้วย Phoropter เริ่มรู้สึกว่ามองเห็นชัดขึ้นตามปกติ แพทย์ก็จะนำค่าสายตาที่วัดได้ไปอ้างอิงในการตัดแว่นสายตาหรือคอนแท็กต์เลนส์ต่อไป ผู้ที่มีอาการกระจกตาโก่งมักจะมีปัญหาสายตาสั้น สายตาเอียง การทดสอบความสามารถในการมองเห็นเหล่านี้ จะช่วยระบุได้ว่ามีสายตาที่ผิดปกติอย่างไร และมีค่าสายตาเท่าใด 2. วัดความโค้งกระจกตา (Keratometry) การตรวจโดยใช้เครื่องมือที่ชื่อว่าเคอราโตมิเตอร์ (Keratometer) ส่องแสงเข้าไปในกระจกตา เพื่อดูการหักเหของแสง และวัดความโค้งของกระจกตาจากการสะท้อนของแสง ผู้ที่มีความโค้งหรือรูปร่างกระจกตาที่ผิดปกติ จะมีปัญหาสายตาต่างๆ เช่น สายตาสั้น สายตาเอียง และมีแนวโน้มที่จะเป็นกระจกตาโก่งได้ 3. การส่องกล้องจุลทรรศน์ดวงตา (Slit Lamp Examination) Slit Lamp คือกล้องจุลทรรศน์ชนิดพิเศษที่ส่องดวงตาให้เห็นทั้งภายนอกและภายในเป็นรูปแบบสามมิติ โดยผู้เข้ารับการตรวจจะวางคางและหน้าผากให้แนบชิดกับเครื่อง จากนั้นแพทย์จะบังคับกล้องไปยังจุดที่ต้องการตรวจ แล้วปรับลำแสงให้กว้างขึ้นหรือแคบลงตามความต้องการเพื่อตรวจดูส่วนต่างๆ ของดวงตาอย่างชัดเจน หากผู้เข้ารับการตรวจมีลักษณะดวงตาที่เปลี่ยนไป ก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระจกตาโก่งได้ 4. วัดกำลังสายตา (Retinoscope) เรติโนสโคป (Retinoscope) เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินการหักเหของแสงในดวงตา โดยการใช้แสงจากเครื่องส่องไปที่ดวงตาของผู้เข้ารับการตรวจ แล้วสังเกตการสะท้อนกลับจากกระจกตา เพื่อประเมินว่าแสงถูกหักเหอย่างไรบ้าง ซึ่งมีหลักการคล้ายกับการตรวจด้วย Keratometer แตกต่างกันที่ Keratometer นั้นใช้ในการวัดรูปร่างและความโค้งของกระจกตา แต่ Retinoscope ใช้เพื่อตรวจดูความผิดปกติของการหักเหแสงในดวงตา ซึ่งผู้ที่มีอาการกระจกตาโก่ง ก็จะมีการหักเหของแสงในดวงตาที่ผิดเพี้ยนไป     แนวทางการรักษากระจกตาโก่ง แนวทางการรักษากระจกตาโก่งขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของอาการ โดยหลังจากแพทย์ประเมินอาการและแล้วจะเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมได้ดังนี้ 1. การสวมใส่คอนแท็กต์เลนส์ หากอาการกระจกตาโก่งยังอยู่ในระยะเริ่มต้น สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยการสวมใส่แว่นสายตา หรือคอนแท็กต์เลนส์ชนิดพิเศษ ซึ่งมีด้วยกันหลายชนิด เช่น Scleral Lens, RGP Lens เป็นต้น การจะใช้คอนแท็กต์เลนส์ชนิดใดนั้นขึ้นอยู่กับความเหมาะสมตามที่แพทย์ประเมินให้ 2. การฉายแสง การฉายแสงที่กระจกตา (Corneal Cross-Linking) เป็นวิธีการรักษากระจกตาโก่งโดยใช้แสงอัลตราไวโอเลตร่วมกับวิตามินบี (Riboflavin) เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของเส้นใยคอลลาเจนในกระจกตา เป็นวิธีการรักษาที่ไม่ต้องผ่าตัด และยังให้ผลลัพธ์การรักษาที่มีประสิทธิภาพด้วย ทั้งนี้ การฉายแสงเหมาะสำหรับผู้ที่กระจกตายังคงมีความหนาและไม่มีแผลที่ผิวกระจกตาเท่านั้น ผู้ที่มีกระจกตาหนาน้อยกว่า 400 ไมครอน หรือเคยมีการติดเชื้อที่กระจกตา ไม่เหมาะแก่การรักษาด้วยวิธีนี้ 3. การผ่าตัดใส่วงแหวนขึงกระจกตา การใส่วงแหวนขึงกระจกตา เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีกระจกตาโก่งมาก หรือสายตาเอียงมากจนไม่สามารถสวมใส่คอนแท็กต์เลนส์ได้ วิธีนี้ที่ช่วยปรับรูปร่างของกระจกตาให้แบนลงและกลับมาใกล้เคียงกับกระจกตาปกติ เพื่อให้ผู้ที่มีกระจกตาโก่งมากสวมใส่แว่นหรือคอนแท็กต์เลนส์แก้ไขปัญหาสายตาได้ และจะรักษาด้วยการสวมใส่คอนแท็กต์เลนส์หรือแว่นต่อไป 4. การผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตา ในกรณีที่อาการกระจกตาโก่งมีความรุนแรงมาก มีแผลเป็นที่กระจกตา และการรักษาด้วยวิธีการอื่นๆ ไม่ได้ผล อาจต้องทำการผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตา ซึ่งเป็นการรักษาที่ช่วยให้ความโค้งของกระจกตากลับมาใกล้เคียงกับปกติและช่วยให้มองเห็นได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การปลูกถ่ายกระจกตานั้นมีความซับซ้อน และต้องรอรับการบริจาคกระจกตา อีกทั้งยังต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูกระจกตานานมากกว่า 1 ปี การดูแลตัวเองเพื่อป้องกันอาการกระจกตาโก่ง อาการกระจกตาโก่งไม่สามารถป้องกันได้ แต่ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ด้วยการดูแลตัวเองดังนี้ หลีกเลี่ยงการขยี้ตาแรงๆ บ่อยๆ ไม่สวมใส่คอนแท็กต์เลนส์ข้ามคืน ลดการใช้สายตาหนักๆ จนตาล้า บริหารดวงตาด้วยการกลอกตาไปมา แทนการใช้นิ้วกดหรือนวดไปที่ดวงตา ปกป้องดวงตาจากแสงแดด และแสงสีฟ้าจากหน้าจอคอมพิวเตอร์และมือถือ หมั่นตรวจสุขภาพตา และสังเกตการเปลี่ยนแปลงของค่าสายตาว่าเพิ่มขึ้นผิดปกติหรือไม่ รักษาอาการกระจกตาโก่ง ที่ศูนย์โรคกระจกตา Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร หากมีอาการที่เข้าข่ายเป็นโรคกระจกตาโก่ง แนะนำให้เข้ามาปรึกษา วินิจฉัย และรักษาได้ที่ศูนย์โรคกระจกตา Bangkok Eye Hospitalศูนย์เฉพาะทางด้านการดูแลสุขภาพดวงตา ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยมีจุดเด่นดังนี้ ทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาและแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสมกับอาการ ใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย พร้อมเครื่องมือมาตรฐานระดับสากล เพื่อความแม่นยำและความปลอดภัยในการรักษา ให้บริการแบบครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง การบริการที่ใส่ใจ พร้อมบรรยากาศโรงพยาบาลที่อบอุ่นและเป็นกันเอง สรุป โรคกระจกตาโก่งหรือกระจกตาย้วย เป็นภาวะที่กระจกตาบางลงจนโก่งนูน ส่งผลให้มองเห็นเป็นภาพเบลอ ผิดเพี้ยน โดยสาเหตุการเกิดโรคนี้ยังไม่แน่ชัด แต่มีความเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม การขยี้ตา และการป่วยเป็นโรคบางชนิด ซึ่งการรักษากระจกตาโก่งทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ ตั้งแต่การสวมใส่คอนแท็กต์เลนส์ การฉายแสง ไปจนถึงการผ่าตัดใส่วงแหวน หรือผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตา หากกำลังสงสัยว่ามีอาการเข้าข่ายกระจกตาโก่ง แนะนำให้เข้ารับคำปรึกษาที่ศูนย์โรคกระจกตา Bangkok Eye Hospitalที่นี่มีทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และการบริการที่ครบวงจร เพื่อให้ดวงตาคู่สำคัญได้รับการดูแลที่ดีและปลอดภัย

แผลที่กระจกตาเสี่ยงกระจกตาติดเชื้อ! รวมอาการ สาเหตุ และการรักษา

แผลที่กระจกตาอันตรายมากกว่าที่คิด อาจทำให้กระจกตาติดเชื้อจนอาจทำให้สูญเสียการมองเห็นถาวรได้! บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาการกระจกตาเป็นแผลว่าคืออะไร มีอาการอย่างไร พร้อมหาสาเหตุและแนวทางการรักษาที่เหมาะสม ตลอดจนการดูแลดวงตาเพื่อลดความเสี่ยงเป็นแผลที่กระจกตา หาคำตอบได้ที่นี่   แผลที่กระจกตา คือ การที่กระจกตาได้รับบาดเจ็บจนเกิดเป็นแผล มักมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เป็นต้น แผลที่กระจกตามีระดับความรุนแรงที่แตกต่างกันออกไป หากเป็นแผลเพียงเล็กน้อยจะรักษาได้ด้วยการทานยา แต่หากมีอาการรุนแรงก็สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด แต่หากปล่อยไว้ไม่รักษา อาจทำให้สูญเสียการมองเห็นได้ แผลที่กระจกตาที่สังเกตได้ เช่น ปวดตา ตาอักเสบ ตาแดง มีน้ำตาไหลออกมา หรือมีหนองในดวงตา เป็นต้น ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่อาจเกิดจากแผลที่กระจกตา เช่น การติดเชื้อภายในลูกตา โรคต้อหิน หรือกระจกตาทะลุ ตลอดจนเป็นสาเหตุที่ทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร การรักษากระจกตาเป็นแผลทำได้ 2 วิธี คือ การรักษากระจกตาเป็นแผลด้วยยาในกรณีที่อาการไม่รุนแรง และการรักษากระจกตาเป็นแผลด้วยการผ่าตัดในกรณีที่มีอาการติดเชื้ออย่างรุนแรง     ทำความรู้จักแผลที่กระจกตา คืออะไร กระจกตาของคนเราเปรียบเหมือนกระจกหน้ารถยนต์ที่เป็นเกราะป้องกันอันตรายจากภายนอก เมื่อเกิดอุบัติเหตุ หรือเกิดการติดเชื้อขึ้น อาจส่งผลให้กระจกตาเป็นแผลได้ โดยแผลที่กระจกตาคือรอยโรคที่เกิดขึ้นบริเวณกระจกตา ซึ่งเป็นส่วนที่ใสและโค้งของผิวดวงตา มีหน้าที่ช่วยในการหักเหแสง หากเป็นแผลจะทำให้รู้สึกปวดตา ตาแดง และมองเห็นผิดปกติได้ ดังนั้นการรักษาแผลที่กระจกตาเป็นสิ่งที่จำเป็น และควรรีบซ่อมแซมอย่างรวดเร็วที่สุด เพื่อให้ด่านหน้าที่ช่วยป้องกันดวงตาสามารถกลับมาทำงานได้อย่างสมบูรณ์อีกครั้ง อาการแผลที่กระจกตา เป็นอย่างไร อาการกระจกตาเป็นแผล สังเกตได้จากอาการผิดปกติเหล่านี้   ปวดตา โดยเฉพาะเวลาที่อยู่ในที่ที่มีแสงสว่างมาก ระคายเคือง คันบริเวณรอบดวงตา ตาอักเสบ ตาแดง เปลือกตาบวม แสบตา น้ำตาไหลอยู่ตลอด มีหนองในตา หรือมีของเหลวไหลออกจากดวงตา บางรายอาจพบว่ามีจุดสีขาว หรือสีเทาขนาดเล็กในดวงตา     หาสาเหตุแผลที่กระจกตา เกิดจากอะไรได้บ้าง แผลที่กระจกตาเกิดได้จากหลายสาเหตุใดบ้าง? โดยปกติแล้วสามารถแบ่งสาเหตุของการเกิดแผลที่กระจกตาได้ ดังนี้ แผลที่กระจกตาจากการติดเชื้อ แผลที่กระจกตาที่เกิดจากการติดเชื้อ โดยสามารถแบ่งเชื้อโรคได้หลายชนิด ได้แก่ แผลที่กระจกตาที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเช่น เชื้อไวรัสโรคงูสวัด เชื้อเริม แผลที่กระจกตาที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียแบคทีเรียจะผลิตสารที่เป็นพิษเข้าไปทำลายดวงตา ทำให้เกิดการอักเสบ เกิดแผลที่กระจกตาได้ แผลที่กระจกตาที่เกิดจากการติดเชื้อรามักเกิดในกรณีที่กระจกตาถูกกระทบจากสิ่งแปลกปลอม เช่น ใบไม้ ใบหญ้าเข้าตา แผลที่กระจกตาที่เกิดจากการติดเชื้อปรสิตเช่น เชื้ออะมีบา ทั้งนี้การเกิดแผลที่กระจกตาจากการติดเชื้ออะมีบานั้น เกิดขึ้นได้ค่อนข้างน้อย แต่เมื่อเกิดแล้ว จะมีอันตรายมากกว่าการติดเชื้อแบบอื่นๆ แผลที่กระจกตาจากปัจจัยอื่น ปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลให้เกิดแผลที่กระจกตา ได้แก่ ผู้ที่มีขนตายาวมากจนขนตาทิ่มเข้าไปในดวงตา เกิดการระคายเคืองจนส่งผลให้เกิดแผลที่กระจกตา ผู้ที่สวมคอนแท็กต์เลนส์เกิดจากการดูแลรักษาความสะอาดที่ไม่เพียงพอ ทำให้ดวงตาอักเสบหรือติดเชื้อ ผู้ที่ประสบอุบัติเหตุได้รับการกระทบกระเทือนที่ดวงตา เช่น ฝุ่นหรือก้อนหินกระเด็นเข้าตา หรือมีสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ กระเด็นเข้ามาที่ดวงตา ผู้ที่มีภาวะตาแห้งร่างกายสร้างน้ำตาหล่อลื่นได้น้อยกว่าปกติ ทำให้ดวงตาระคายเคืองได้ง่าย ส่งผลทำให้เกิดแผลที่กระจกตาได้     ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากแผลที่กระจกตา ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากแผลที่กระจกตา มีดังนี้ กระจกตาทะลุคือการที่กระจกตาได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจนกระจกตาทะลุ กระจกตาติดเชื้อคือการที่เกิดการติดเชื้อที่กระจกตา ไม่ว่าจะเป็นเชื้อไวรัส แบคทีเรียต่างๆ ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดตา ตาแดง ตามัว ไม่สามารถสู้แสงได้ โรคต้อหินคือการที่ร่างกายมีค่าความดันลูกตาสูงกว่าปกติ ผู้ป่วยโรคต้อหินส่วนใหญ่จะไม่รู้ตัวว่าเป็น จนกว่าจะเริ่มมีอาการอื่นๆ เช่น เริ่มมองเห็นไม่ชัด มองเห็นได้ในระยะแคบลง หรือในกรณีที่เกิดโรคต้อหินชนิดเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตา ตาแดง มองเห็นเฉพาะทางตรง ภาวะม่านตาอักเสบคือภาวะที่มีการอักเสบบริเวณเนื้อเยื่อส่วนกลางภายในลูกตา ซึ่งเนื้อเยื่อส่วนนี้ประกอบไปด้วยเส้นเลือดจำนวนมาก เมื่อเกิดการอักเสบจึงส่งผลต่อการมองเห็นเป็นอย่างมาก การวินิจฉัยแผลที่กระจกตาโดยแพทย์ เมื่อเกิดแผลที่กระจกตา คนไข้จะมีอาการเจ็บที่ตา หรือตาอักเสบได้ ซึ่งอาจเป็นอาการของโรคทางดวงตาโดยทั่วไป ทั้งนี้แพทย์จะเริ่มทำการวินิจฉัยโดยอิงจากขั้นตอน ดังต่อไปนี้ แพทย์ซักประวัติเบื้องต้นเช่น โรคประจำตัว ประวัติแพ้ยา หรือประวัติการใช้ยาต่างๆ แพทย์สืบหาสาเหตุเช่น มีอาการผิดปกติจากอะไร พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เสี่ยงทำให้เกิดแผลที่กระจกตา แพทย์ตรวจตาอย่างละเอียดด้วยกล้องตรวจตาชนิดลำแสงแคบ (Slit lamp biomicroscope) เพื่อดูความเสียหายที่เกิดขึ้น แพทย์ขูดกระจกตาเพื่อนำตัวอย่างเชื้อออกมา แล้วนำส่งห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจหาต้นตอของการติดเชื้อว่ามาจากเชื้อชนิดใด แพทย์แจ้งผลการวินิจฉัยพร้อมแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสมกับคนไข้มากที่สุด แนวทางการรักษาแผลที่กระจกตา สำหรับแนวทางการรักษาแผลที่กระจกตา สามารถรักษาได้ทั้งหมด 2 วิธี ได้แก่ การรักษาแผลที่กระจกตาด้วยยา การรักษาแผลที่กระจกตาด้วยการผ่าตัด โดยมีรายละเอียดดังนี้ การรักษาแผลที่กระจกตาด้วยยา วิธีการรักษาแผลที่กระจกตาด้วยยาเป็นวิธีการรักษาแบบเบื้องต้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีแผลที่กระจกตาเพียงเล็กน้อย มีรอยแผลตื้น กระจกตาไม่ได้ถูกฉีกขาดอย่างหนัก สามารถทานยาปฏิชีวนะหรือยาต้านไวรัสเพื่อรักษาให้กลับมาเป็นปกติได้ การรักษาแผลที่กระจกตาด้วยการผ่าตัด วิธีการรักษาแผลที่กระจกตาด้วยการผ่าตัดเป็นการรักษาในกรณีที่ผู้ป่วยมีการติดเชื้ออย่างรุนแรง โดยแพทย์จะนำเนื้อเยื่อกระจกตาเดิมออก จากนั้นทำการเปลี่ยนเนื้อเยื่อกระจกตาใหม่ด้วยการใช้เนื้อเยื่อกระจกตาของผู้ที่บริจาคเข้าไปแทน     ดูแลดวงตาอย่างไร ให้ห่างไกลแผลที่กระจกตา วิธีการดูแลรักษาดวงตาเพื่อลดความเสี่ยงกระจกตาเป็นแผล มีดังนี้ สวมอุปกรณ์ป้องกันรอบดวงตาเมื่อต้องทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยง เช่น งานช่าง งานสัมผัสสารเคมี เป็นต้น หมั่นดูแลรักษาความสะอาดบริเวณดวงตา หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือลูบคลำบริเวณรอบดวงตา สำหรับผู้ที่สวมคอนแท็กต์เลนส์ ล้างมือให้สะอาดก่อนสวมใส่และควรทำความสะอาดเลบนส์หลังใช้งานทุกครั้ง ล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสบริเวณใบหน้า เพื่อลดโอกาสเกิดการติดเชื้อ รักษาแผลที่กระจกตา ที่ศูนย์โรคกระจกตา Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร หากมีอาการแผลที่กระจกตา เข้ามารักษาได้ที่ศูนย์โรคกระจกตา Bangkok Eye Hospitalเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางที่เชี่ยวชาญด้านการดูแลรักษาดวงตาอย่างครบวงจร โดดเด่นด้านการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ด้วยทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีจุดเด่นดังนี้ โรงพยาบาลมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มากประสบการณ์ ที่พร้อมดูแลตลอดทุกขั้นตอนจนถึงการติดตามผลการรักษา โรงพยาบาลมีเทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย โรงพยาบาลพร้อมให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ โรงพยาบาลใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศที่เป็นกันเอง สรุป แผลที่กระจกตา คืออาการกระจกตาได้รับบาดเจ็บจนเกิดเป็นแผล มีสาเหตุจากหลากหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็นเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ตลอดจนพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ หากเป็นแผลขนาดเล็กสามารถรักษาได้ด้วยการทานยา แต่ถ้าหากมีอาการรุนแรง ร่วมกับการติดเชื้อ แพทย์จะแนะนำให้่าตัดเพื่อรักษา อาการกระจกตาเป็นแผลไม่ควปล่อยไว้ เพราะอาจเป็นสาเหตุของภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ซึ่งรวมไปถึงต้อหินและการสูญเสียการมองเห็นได้ เข้ามารักษาอาการแผลที่กระจกตาได้ที่ศูนย์โรคกระจกตา Bangkok Eye Hospitalที่นี่โดดเด่นด้านการรักษาด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มากประสบการณ์ พร้อมบุคลากรทางการแพทย์ที่ให้บริการด้วยความใส่ใจตั้งแต่ขั้นตอนการวินิจฉัย การรักษา ตลอดจนการติดตามผล
calling
ติดต่อเรา : +662 511 2111