Blogs : #กระจกตา

Sort

Dry eyes

Dry eyes Tears play a crucial role in keeping our eyes moist, ensuring clear vision by letting light effectively pass through the eye's lens, and supplying oxygen to nourish the eye. They also help fend off infections and keep foreign substances at bay.   Now, when it comes to dry eyes, it's a pretty common issue that can stem from abnormal tear production or tears evaporating too quickly. This can lead to discomfort, irritation, that feeling like there's something foreign in your eye, redness, pain, blurry vision that gets better with blinking, or even feeling like your eyes are tired and heavy. What causes dry eyes can vary—getting older, being a woman (yeah, we're more prone to it), certain allergy medications, spending loads of time on screens, being in places with dust and smoke, gusty winds, and bright lights, they can all have a hand in it.   But hey, the good news is there are ways to tackle dry eyes:   Keep away from things that can make it worse, like strong winds and dust, by popping on some sunglasses and protecting those peepers. Remember to take breaks or blink more often, especially when you're glued to screens for a while. You've got these cool eye drops called artificial tears. There's a type for daytime (more watery) and nighttime (a bit thicker). Which one to use depends on how serious your dry eye situation is. Sometimes your doc might suggest special eye drops that encourage your eyes to make more tears. Give your eyes a treat with warm, clean cloths over your closed eyelids to help them feel better. If the dry eye struggle is real and isn't improving, it's wise to chat with an eye doctor.   All in all, dry eyes can be a bother, but there are solutions out there. It's important to take good care of your eyes, especially when it's all dry outside. If you suspect you've got dry eyes, having a chat with an eye care expert is a smart move.      
Read More
Cornea Center

Excessive Eye Discharge: Causes and Treatment | Bangkok Eye Hospital

Understanding Excessive Eye Discharge Excessive eye discharge, or abnormal eye mucus, can be a sign of an underlying eye condition, such as infections, allergies, or dry eyes. While some discharge is normal, persistent or excessive mucus buildup may indicate a need for medical attention. At Bangkok Eye Hospital, we specialize in diagnosing and treating eye discharge to ensure optimal eye health. Common Causes of Excessive Eye Discharge What Triggers Eye Discharge? Bacterial or Viral Infections – Conjunctivitis (pink eye) is a common cause. Allergic Reactions – Seasonal allergies can lead to watery, mucus-like discharge. Dry Eyes – Insufficient tear production can result in thicker eye discharge. Blocked Tear Ducts – Prevents proper drainage, leading to mucus buildup. Foreign Particles in the Eye – Dust or debris can cause irritation and discharge. Who Is at Risk? People with frequent allergies or sinus issues. Contact lens users who may have poor lens hygiene. Individuals exposed to pollutants or irritants. Those with weakened immune systems prone to infections. Symptoms Associated with Excessive Eye Discharge Thick, yellow, or green mucus around the eyes. Crusty eyelids upon waking up. Redness and irritation in the eyes. Blurred vision due to sticky discharge. Increased tear production or watery eyes. Diagnosis and Treatment Options How Is Excessive Eye Discharge Diagnosed? Comprehensive Eye Examination – Identifies infection or inflammation. Tear Duct Evaluation – Checks for blockages. Allergy Testing – Determines if allergies are the cause. Treatment for Excessive Eye Discharge Antibiotic or Antiviral Eye Drops – Used for bacterial or viral infections. Antihistamines – Helps reduce allergy-related discharge. Artificial Tears – Relieves dry eye symptoms. Warm Compresses – Helps loosen crusty buildup. Proper Eyelid Hygiene – Prevents bacteria accumulation. Preventing Excessive Eye Discharge Practice good eye hygiene by washing hands before touching eyes. Avoid rubbing your eyes to reduce irritation and infection risks. Clean contact lenses properly and avoid overuse. Protect your eyes from dust and allergens. Seek medical care early if symptoms persist or worsen. Why Choose Bangkok Eye Hospital for Eye Discharge Treatment? Expert Ophthalmologists specializing in eye infections and allergies. State-of-the-Art Diagnostic Equipment for precise treatment. Comprehensive Eye Care Services tailored to each patient’s needs. Personalized Treatment Plans for long-term eye health. Schedule an Appointment Today If you are experiencing excessive eye discharge or other eye-related symptoms, contact Bangkok Eye Hospital for expert diagnosis and treatment.
Cornea Center

Allergic Conjunctivitis | Bangkok Eye Hospital

เยื่อบุตาอักเสบ (Conjunctivitis) เป็นภาวะที่พบได้บ่อยและอาจเกิดขึ้นได้กับทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นจากการติดเชื้อ แพ้ หรือสิ่งกระตุ้นอื่นๆ อาการของเยื่อบุตาอักเสบอาจทำให้รู้สึกไม่สบายตา แสบตา หรือมีขี้ตาผิดปกติ บทความนี้พามาสังเกตสัญญาณเตือน ที่บอกว่าเยื่อบุตาอักเสบอาจรุนแรงและต้องพบแพทย์โดยด่วน พร้อมข้อควรปฏิบัติและวิธีรักษาที่ถูกต้อง ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ เยื่อบุตาอักเสบคือการอักเสบของเยื่อบางๆ ที่ปกคลุมดวงตาส่วนหน้าและด้านในของเปลือกตา ติดต่อผ่านการสัมผัสน้ำตาที่ปนเปื้อนเชื้อ ไม่ใช่ผ่านการมอง อากาศ หรือการรับประทานอาหารร่วมกัน สาเหตุจากเชื้อไวรัสอาจทำให้มีอาการเจ็บคอ ไข้สูง และหายใจเหนื่อย พบบ่อยในเด็กเล็กที่ชอบหยิบจับสิ่งของแล้วขยี้ตา หรือสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรียที่มักจะแพร่กระจายผ่านการสัมผัสตาหรือสิ่งที่มีเชื้อปนเปื้อน ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ อย่างสารเคมีในเครื่องสำอาง น้ำยาล้างคอนแท็กต์เลนส์ การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน ภูมิแพ้ฝุ่น PM2.5 ควันพิษ และแว่นตาที่ไม่สะอาด วิธีรักษาเยื่อบุตาอักเสบสามารถทำได้โดยการหยอดน้ำตาเทียม ใช้ยาแก้แพ้ ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านไวรัสตามสาเหตุ แล้วพักการใช้สายตา งดขยี้ตา และหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางและคอนแท็กต์เลนส์ วิธีป้องกันทำได้ด้วยการล้างมือให้สะอาด หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วย งดใช้สิ่งของร่วมกัน ไม่ใช้มือสัมผัสบริเวณดวงตาและใบหน้า เยื่อบุตาอักเสบ (Conjunctivitis) คืออะไร? เนื้อเยื่อบุตาอักเสบ หรือ Conjunctivitis คือการอักเสบของเยื่อบางๆ ที่ปกคลุมดวงตาส่วนหน้าและด้านในของเปลือกตา การติดต่อเกิดจากการสัมผัสน้ำตาผ่านมือหรือสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อแล้วไปสัมผัสตา แต่ไม่ติดต่อผ่านการมอง อากาศ หรือการรับประทานอาหารร่วมกัน มักระบาดในฤดูฝนตามชุมชนที่มีคนอยู่รวมกัน เช่น โรงเรียน สถานรับเลี้ยงเด็ก ที่ทำงาน และสระว่ายน้ำ พบได้ทุกช่วงอายุ โดยระบาดในเด็กได้ง่ายกว่าเพราะขาดความรู้ในการป้องกัน อย่างไรก็ตาม โรคนี้ไม่รุนแรงและสามารถหายเองได้     อาการที่สังเกตได้ของเยื่อบุตาอักเสบ อาการของโรคนี้จะปรากฏหลังสัมผัสเชื้อทางตา 1 - 2 วัน โดยเยื่อบุตาจะเกิดการอักเสบ บวม เคืองตา น้ำตาไหล เจ็บตา และมีขี้ตามาก ซึ่งอาจเป็นเมือกใสหรือสีเหลืองอ่อนหากมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย มักเป็นที่ตาข้างใดข้างหนึ่งก่อนแต่มักแพร่ไปอีกข้างได้ง่าย อาการจะรุนแรงในช่วง 4 - 7 วันแรก และหายได้เองภายใน 7 - 14 วัน การรักษาเน้นตามอาการและป้องกันการแพร่เชื้อ โดยใช้ยาปฏิชีวนะหากมีขี้ตามาก และยาลดไข้หรือยาแก้ปวดหากมีอาการทางระบบ สาเหตุของภาวะเยื่อบุตาอักเสบ โรคเนื้อเยื่อบุตาอักเสบมีสาเหตุที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย ดังนี้     ติดเชื้อไวรัส อาการอักเสบจากการติดเชื้อไวรัส โดยเฉพาะเชื้อไวรัสอะดีโน (Adenovirus) มักทำให้เกิดอาการเจ็บคอ ไข้สูง และบางครั้งมีอาการหายใจเหนื่อย สามารถติดต่อผ่านการสัมผัสโดยเฉพาะในเด็กเล็กที่ชอบหยิบจับสิ่งของรอบตัว เชื้อจะติดมากับมือแล้วเด็กอาจเผลอสัมผัสบริเวณใบหน้าหรือขยี้ตา ทำให้เด็กเป็นโรคเยื่อบุตาอักเสบได้ง่ายและพบบ่อยกว่าในผู้ใหญ่     ติดเชื้อแบคทีเรีย การเชื้อแบคทีเรียบางชนิด เช่น สแตฟิโลค็อกคัส ออเรียส (Staphylococcus Aureus) และสเตรปโตค็อกคัส นิวโมเนียอี (Streptococcus Pneumoniae) ก่อให้เกิดโรคเยื่อบุตาอักเสบได้ โดยแพร่กระจายผ่านการสัมผัสตาหรือสิ่งที่มีเชื้อปนเปื้อน ผู้ที่สัมผัสน้ำมูกหรือน้ำตาจากผู้ป่วยมีความเสี่ยงสูง นอกจากนี้ ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ยังรวมถึงการสัมผัสสารเคมีในเครื่องสำอางหรือน้ำยาล้างคอนแท็กต์เลนส์ การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในร่างกาย ภาวะภูมิแพ้โดยเฉพาะต่อฝุ่น PM2.5 และสภาพแวดล้อมที่มีควันหรือการใช้แว่นตาที่ไม่สะอาด อาการที่พบได้แก่ ตาแดง ตามัว ตามีขี้ตา และการระคายเคืองในตา เยื่อบุตาอักเสบหายเองได้ไหม ใช้เวลานานเท่าไร เยื่อบุตาอักเสบหายเองได้ไหม? กรณีที่เกิดจากไวรัสมักหายได้เองภายใน 7 - 14 วัน โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยา แต่หากมีสาเหตุจากแบคทีเรีย อาจจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อช่วยให้หายเร็วขึ้นและป้องกันภาวะแทรกซ้อน สำหรับเยื่อบุตาอักเสบที่เกิดจากอาการแพ้ สภาวะจะดีขึ้นเมื่อหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้และใช้ยาต้านฮีสตามีนตามคำแนะนำของแพทย์     เยื่อบุตาอักเสบมีวิธีการรักษาอย่างไร วิธีการรักษาเยื่อบุตาอักเสบสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้ การหยอดน้ำตาเทียมเพื่อช่วยลดการระคายเคืองตา การใช้ยาแก้แพ้ชนิดรับประทานและยาแก้แพ้หยอดตา ในกรณีที่มีสาเหตุจากเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ หากเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียจะต้องใช้ยาปฏิชีวนะหยอดตาหรือขี้ผึ้งป้ายตา ในรายที่มีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสจะใช้ยาต้านไวรัสชนิดรับประทาน นอกจากนี้ การรักษาควรทำควบคู่ไปกับการพักใช้สายตา หลีกเลี่ยงการขยี้ตาหรือใส่เลนส์สัมผัส รวมถึงหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางและคอนแท็กต์เลนส์ชั่วคราว เพื่อป้องกันสิ่งระคายเคืองตาและช่วยให้อาการหายเร็วขึ้นด้วย วิธีป้องกันภาวะเยื่อบุตาอักเสบ วิธีป้องกันโรคเนื้อเยื่อบุตาอักเสบ สามารถทำได้ง่ายๆ ดังนี้ หมั่นล้างมือด้วยสบู่และน้ำให้สะอาดอยู่เสมอก่อนสัมผัสหรือขยี้ตา หลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วยตาแดง และล้างมือทันทีหลังสัมผัส งดใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วย เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว หรือหมอน ไม่ใช้มือแคะ แกะ เกา บริเวณดวงตาและใบหน้า หากมีฝุ่นละอองหรือน้ำสกปรกเข้าตา ให้รีบล้างตาด้วยน้ำสะอาดทันที ระวังไม่ให้แมลงหวี่หรือแมลงวันตอมบริเวณดวงตา ดูแลรักษาความสะอาดของร่างกายและสิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัวอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำในช่วงที่มีการระบาดของโรคตาแดง คนกลุ่มไหนมีภาวะเสี่ยงเป็นเยื่อบุตาอักเสบบ้าง? ภาวะเยื่อบุตาอักเสบอาจเกิดได้กับทุกคน แต่จะมีคนบางกลุ่มที่เสี่ยงมากกว่าคนกลุ่มอื่นๆ ดังนี้ เด็กและผู้สูงอายุ เพราะเด็กจะรับเชื้อได้ง่ายจากโรงเรียนซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีคนเยอะ ส่วนผู้สูงอายุมีระบบภูมิคุ้มกันร่างกายที่อ่อนแอกว่า ผู้ป่วยติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ผู้ป่วยไข้หวัด ผู้ป่วยโรคเบาหวาน มีระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายอ่อนแอและเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายกว่าคนทั่วไป ผู้ที่ใช้ยาสเตียรอยด์ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ ผู้ที่เปลือกตาอักเสบ อาจมีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งทำให้เกิดเยื่อบุตาอักเสบได้ ผู้ที่อยู่ในที่มีคนหนาแน่น เช่น บนรถไฟฟ้า ค่ายทหาร และโรงเรียนประจำ     อาการเยื่อบุตาอักเสบแบบไหนที่ควรพบแพทย์ ควรรีบพบแพทย์หากมีอาการเยื่อบุตาอักเสบดังต่อไปนี้ อาการรุนแรงขึ้นแม้จะรักษาด้วยตัวเองแล้ว ปวดตารุนแรงหรือมองเห็นไม่ชัด ขี้ตามีสีเขียว เหลือง หรือเป็นหนองปริมาณมาก มีไข้ร่วมกับอาการตาแดง ตาบวมผิดปกติหรือมีอาการไวต่อแสงอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านดวงตาเพื่อรับการตรวจและรักษาอย่างถูกต้อง ปลอดภัย ไม่เสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายตามมา รักษาเยื่อบุตาอักเสบ ที่ศูนย์รักษาตา Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร หากอาการเยื่อบุตาอักเสบเสี่ยงอันตราย และเข้าขั้นต้องไปพบแพทย์โดยด่วน แนะนำให้เข้ามาปรึกษาและรักษาอาการเหล่านี้ได้ที่ศูนย์รักษาตา Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ที่นี่โดดเด่นด้านการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ด้วยทีมบุคลากรมากความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับดวงตา รวมถึงจุดเด่นต่างๆ ดังนี้ โรงพยาบาลมีจักษุแพทย์มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย พร้อมให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง สรุป เยื่อบุตาอักเสบคือการอักเสบของเยื่อบางๆ ที่ปกคลุมดวงตาและด้านในของเปลือกตา ซึ่งติดต่อผ่านการสัมผัสน้ำตาที่ปนเปื้อนเชื้อ ไม่ใช่ผ่านการมอง อากาศ หรืออาหาร มีสาเหตุจากเชื้อไวรัสที่ทำให้มีไข้ เจ็บคอ หรือเชื้อแบคทีเรีย รวมถึงสารเคมี ฮอร์โมน ภูมิแพ้ฝุ่น PM2.5 และอุปกรณ์ที่ไม่สะอาด การรักษาทำได้โดยหยอดน้ำตาเทียม ใช้ยาตามสาเหตุ พักสายตา งดขยี้ตาและใช้เครื่องสำอาง ส่วนการป้องกันคือล้างมือให้สะอาด หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วย และไม่ใช้มือสัมผัสบริเวณดวงตา สำหรับคนที่มีปัญหาดวงตา แนะนำมาที่Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ)โรงพยาบาลเฉพาะทางที่มีทีมแพทย์มากประสบการณ์ อุปกรณ์ที่ทันสมัย ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล มั่นใจได้ว่าการรักษาเป็นไปอย่างถูกต้อง แม่นยำ และปลอดภัย

Eye Infection | Bangkok Eye Hospital

Understanding Eye Infections Eye infections occur when bacteria, viruses, fungi, or parasites invade different parts of the eye, leading to redness, pain, swelling, and vision problems. At Bangkok Eye Hospital, we offer comprehensive diagnosis and treatment to help you recover quickly and prevent complications. Causes and Risk Factors Common Causes of Eye Infections Bacterial Infections – Often result from poor hygiene or contaminated contact lenses Viral Infections – Such as conjunctivitis (pink eye), commonly caused by adenoviruses Fungal Infections – Can occur from exposure to contaminated water or soil Parasitic Infections – Including Acanthamoeba keratitis from contact lens misuse Who is at Risk? Contact lens users who do not follow proper hygiene Individuals with weakened immune systems People exposed to contaminated water or environments Those who rub their eyes frequently Patients with pre-existing eye conditions Symptoms of Eye Infections Redness and irritation Pain or discomfort in the eye Excessive tearing or discharge Blurry vision or light sensitivity Swelling of the eyelids Itching or burning sensation Diagnosis and Treatment Options How Are Eye Infections Diagnosed? Comprehensive Eye Examination – Evaluates symptoms and severity Laboratory Tests – Identifies bacteria, viruses, or fungi causing the infection Fluorescein Staining – Detects corneal damage or ulcers Treatment for Eye Infections Bacterial Eye Infections Antibiotic eye drops or ointments to eliminate infection Oral antibiotics in severe cases Viral Eye Infections Cold compresses to reduce discomfort Artificial tears for relief Antiviral medications for severe cases like herpes simplex keratitis Fungal Eye Infections Antifungal eye drops or oral medication Hospitalization in severe cases Parasitic Eye Infections Specialized antiparasitic treatment Discontinuation of contact lens use until recovery Prevention and Eye Care Tips Practice good hygiene – Wash hands before touching your eyes Avoid sharing eye makeup or contact lenses Use clean and properly disinfected contact lenses Wear protective eyewear in high-risk environments Seek medical attention immediately if symptoms persist Why Choose Bangkok Eye Hospital for Eye Infection Treatment? Experienced Ophthalmologists – Specialists in diagnosing and treating various eye infections Advanced Diagnostic Technology – Ensuring accurate detection and treatment Comprehensive Eye Care – Personalized treatments for quick recovery 24/7 Emergency Eye Services – Immediate care for severe infections Schedule an Eye Screening Today Protect your vision with early detection and expert care. Book a consultation with our eye specialists at Bangkok Eye Hospital today.

Keratoconus Treatment at Bangkok Eye Hospital: Comprehensive Care for Corneal Disorders

Keratoconus Treatment at Bangkok Eye Hospital: Comprehensive Care for Corneal Disorders Keratoconus (กระจกตาย้วย) is a progressive eye condition that affects the cornea, causing it to thin and bulge into a cone-like shape. This distortion can lead to significant visual impairment and discomfort, impacting daily activities and quality of life. At Bangkok Eye Hospital, we offer specialized diagnosis and treatment for keratoconus, utilizing advanced technology and techniques to help patients manage this condition effectively and preserve their vision. Understanding Keratoconus (กระจกตาย้วย) Keratoconus is a non-inflammatory eye disorder characterized by the progressive thinning and bulging of the cornea—the clear, dome-shaped front surface of your eye. The cornea plays a crucial role in focusing light that enters your eye, and when its shape becomes distorted, your vision becomes blurred and distorted as well. This condition typically begins during puberty or early adulthood and can progress for 10-20 years before stabilizing. Without proper management, keratoconus can lead to significant visual impairment and may eventually require corneal transplantation in severe cases. What Causes Keratoconus? The exact cause of keratoconus remains partially understood, but research suggests several contributing factors: Genetic predisposition: About 10% of keratoconus patients have a family history of the condition. Enzymatic imbalances: Abnormal levels of enzymes within the cornea may make it more vulnerable to oxidative damage. Chronic eye rubbing: Vigorous and persistent eye rubbing may trigger or worsen keratoconus in susceptible individuals. Underlying systemic conditions: Keratoconus is associated with certain conditions like Down syndrome, Ehlers-Danlos syndrome, and atopic diseases. Environmental factors: Excessive UV exposure and chronic eye irritation may contribute to the development of keratoconus. Symptoms and Progression Keratoconus typically develops gradually, with symptoms that worsen over time. Early signs may be subtle and often include: Mild blurring of vision Slight distortion of vision Increased sensitivity to light and glare Mild eye redness or swelling As the condition progresses, patients may experience: Increasing nearsightedness and astigmatism Frequent changes in eyeglass prescription Difficulty driving at night Ghost images or double vision Halos around lights Eye strain and headaches Inability to wear contact lenses comfortably Risk Factors Certain factors may increase your risk of developing keratoconus: Age: Onset typically occurs between the ages of 10 and 25 Family history: Having relatives with keratoconus increases your risk Ethnicity: Some studies suggest higher prevalence in certain ethnic groups Allergic conditions: Hay fever, eczema, asthma, and other allergic conditions Eye rubbing: Habitual, aggressive eye rubbing Connective tissue disorders: Conditions like Marfan syndrome and Ehlers-Danlos syndrome Diagnosis of Keratoconus Early detection and diagnosis of keratoconus are crucial for effective management and preventing severe vision loss. At Bangkok Eye Hospital, we utilize state-of-the-art diagnostic technologies to accurately identify and assess the severity of keratoconus. Advanced Diagnostic Technologies Our comprehensive eye examination for keratoconus includes: Corneal Topography and Tomography This non-invasive imaging technique creates a detailed three-dimensional map of the cornea's surface, revealing irregularities and asymmetric bulging characteristic of keratoconus. Our hospital employs the latest topography systems, providing highly accurate measurements of corneal shape and thickness. Anterior Segment OCT (Optical Coherence Tomography) This advanced imaging technology provides cross-sectional views of the cornea with microscopic detail, allowing our specialists to precisely measure corneal thickness and identify areas of thinning. Scheimpflug Imaging This specialized photography technique provides precise measurements of the entire cornea, helping to detect even subtle changes in corneal shape and thickness. Wavefront Analysis This technology measures how light waves travel through your eye, detecting even minor optical irregularities that may indicate early keratoconus before it's visible through other methods. Diagnosis Process at Bangkok Eye Hospital When you visit our hospital with concerns about keratoconus, you can expect: Comprehensive eye examination: Including visual acuity testing, refraction assessment, and slit-lamp examination Advanced corneal mapping: Using the technologies described above Detailed assessment: Our specialists will evaluate the severity and progression rate of your condition Personalized consultation: Discussion of your diagnosis, treatment options, and expected outcomes Treatment Options for Keratoconus Bangkok Eye Hospital offers a comprehensive range of treatment options for keratoconus, tailored to the severity and progression of each patient's condition. Our approach focuses on halting disease progression, improving vision, and enhancing quality of life. Early Stage Management For mild to moderate keratoconus, we offer several non-surgical approaches: Specialized Contact Lenses Rigid Gas Permeable (RGP) Lenses: These special contact lenses provide a smooth optical surface to correct vision distortions. Scleral Lenses: These larger-diameter lenses vault over the entire corneal surface, providing exceptional comfort and visual clarity for patients with advanced keratoconus. Hybrid Lenses: Combining the optical quality of RGP lenses with the comfort of soft lenses, these are an excellent option for patients who find traditional RGP lenses uncomfortable. Our contact lens specialists work closely with each patient to find the optimal lens type and fit. Prescription Eyeglasses For patients with mild keratoconus or those who cannot tolerate contact lenses, specially designed eyeglasses may help improve vision. Advanced Treatments For progressive keratoconus or more advanced cases, we offer several interventional options: Corneal Collagen Cross-linking (CXL) This revolutionary procedure strengthens the corneal structure by creating new cross-links between collagen fibers, effectively halting keratoconus progression. Bangkok Eye Hospital offers both the standard "epi-off" protocol and the newer "epi-on" technique, selecting the most appropriate approach based on individual patient needs. The procedure involves: Application of riboflavin (vitamin B2) eye drops to the cornea Controlled exposure to UV-A light Strengthening of corneal structure through the formation of new collagen bonds Benefits include: Stopping the progression of keratoconus Preventing further visual deterioration Potentially avoiding the need for corneal transplantation Minimal recovery time (1-2 weeks) Intracorneal Ring Segments (ICRS) These tiny, clear plastic segments are inserted into the cornea to flatten the cone-shaped bulge and improve vision. This minimally invasive procedure can: Improve vision quality Reduce astigmatism Enhance contact lens tolerance Be combined with cross-linking for comprehensive treatment Topography-Guided PRK For selected patients, this specialized laser treatment can smooth corneal irregularities to improve vision and contact lens fit. Surgical Interventions for Advanced Keratoconus In cases of severe keratoconus where other treatments are insufficient, our experienced surgeons may recommend: Deep Anterior Lamellar Keratoplasty (DALK) This advanced partial corneal transplant technique replaces only the diseased layers of the cornea while preserving the patient's healthy endothelial layer, reducing rejection risk and improving outcomes. Penetrating Keratoplasty (PK) A full-thickness corneal transplant may be necessary for the most advanced cases. Our surgical team utilizes the latest techniques and technology to maximize success rates and minimize recovery time. Our Expert Medical Team At Bangkok Eye Hospital, our keratoconus patients receive care from a multidisciplinary team of specialists dedicated to corneal disorders: Corneal Specialists Our board-certified ophthalmologists specialize in corneal diseases and have extensive experience in the diagnosis and treatment of keratoconus. They stay at the forefront of advances in the field through continuous education and research. Contact Lens Specialists Our dedicated contact lens experts have specialized training in fitting complex corneal conditions, ensuring optimal visual outcomes and comfort for keratoconus patients. Surgical Team Our corneal surgeons are highly skilled in all surgical interventions for keratoconus, from cross-linking to advanced transplantation techniques. Patient Journey at Bangkok Eye Hospital We understand that receiving a keratoconus diagnosis can be concerning. Our patient-centered approach ensures you receive comprehensive support throughout your treatment journey: Initial Consultation and Diagnosis Thorough examination and advanced diagnostic testing Clear explanation of your condition and treatment options Opportunity to ask questions and discuss concerns Personalized Treatment Plan Collaborative decision-making with your specialist Tailored approach based on your specific needs Comprehensive information about expected outcomes and recovery Follow-up and Long-term Care Regular monitoring of your condition Adjustments to treatment as needed Ongoing support for contact lens wearers Lifestyle and eye care guidance Appointment Information Bangkok Eye Hospital makes accessing specialized keratoconus care simple and convenient: How to Schedule Phone: Call our dedicated appointment line at [Phone Number] Online: Book through our website at www.bangkokeyehospital.com Email: Contact appointments@bangkokeyehospital.com What to Bring Previous medical records, especially eye-related Current eyeglasses or contact lenses List of current medications Health insurance information Referral letter (if applicable) Insurance and Costs Bangkok Eye Hospital works with numerous insurance providers and offers transparent pricing for all procedures. Our financial counselors can provide detailed information about: Coverage verification for your insurance plan Expected out-of-pocket costs Available payment plans Special packages for keratoconus treatment Frequently Asked Questions about Keratoconus Is keratoconus a common condition? Keratoconus affects approximately 1 in 2,000 people worldwide, making it relatively uncommon but not rare. The prevalence may be higher in certain populations and regions. Can keratoconus cause blindness? While keratoconus can cause significant visual impairment, complete blindness is uncommon with modern treatment options. Early diagnosis and appropriate management can effectively preserve vision in most patients. At what age does keratoconus typically develop? Keratoconus usually begins during puberty or the late teenage years, with most diagnoses occurring between ages 10-25. The condition typically progresses for 10-20 years before stabilizing naturally. Is keratoconus hereditary? There appears to be a genetic component to keratoconus. Approximately 10-15% of patients have a family history of the condition, suggesting that genetic factors play a role in susceptibility. How successful is corneal cross-linking in stopping keratoconus progression? Studies show that corneal cross-linking is effective in halting keratoconus progression in over 95% of cases, with many patients experiencing improved vision as well. How long is the recovery period after cross-linking? Most patients experience initial discomfort for 3-5 days and can return to normal activities within 1-2 weeks. Complete visual stabilization may take 3-6 months. Can I still wear contact lenses after being diagnosed with keratoconus? Yes, specialized contact lenses are actually a primary treatment option for keratoconus. Your eye care provider will recommend the most appropriate type based on your condition's severity. Are there activities I should avoid with keratoconus? You should avoid rubbing your eyes, as this can worsen the condition. Otherwise, most normal activities are safe, though protective eyewear is recommended for sports and activities that risk eye injury. How often should I have eye exams with keratoconus? Patients with keratoconus should have comprehensive eye examinations every 6-12 months, or more frequently if the condition is progressing or if you experience changes in vision. Can keratoconus affect both eyes? Yes, keratoconus typically affects both eyes, though often asymmetrically, with one eye more severely affected than the other. Why Choose Bangkok Eye Hospital for Keratoconus Treatment Cutting-edge technology: Our hospital is equipped with the latest diagnostic and treatment technology Specialized expertise: Our team includes corneal specialists with extensive experience treating keratoconus Comprehensive approach: From early intervention to advanced surgical options, we offer the full spectrum of care Personalized treatment: Each patient receives a customized treatment plan based on their unique needs Supportive environment: Our staff provides compassionate care and ongoing support throughout your treatment journey   Don't let keratoconus impact your quality of life. Contact Bangkok Eye Hospital today to schedule a consultation with our specialists and take the first step toward preserving your vision and eye health.

What Is Keratoconus?

กระจกตาโก่งหรือกระจกตาย้วยส่งผลให้การมองเห็นผิดปกติไป หากปล่อยไว้นานอาจสายเกินแก้อาจนำไปสู่อาการสายตาสั้นหรือสายตาเอียง บทความนี้จะพามาหาสาเหตุ อาการ และแนวทางการรักษา เพื่อให้สามารถดูแลและลดความเสี่ยงต่อปัญหากระจกตาโก่งได้อย่างถูกต้อง   กระจกตาโก่ง เป็นภาวะที่กระจกตาบางลงเป็นรูปทรงกรวยหรือโก่งนูน จนแสงหักเหเข้าสู่ดวงตาอย่างผิดปกติ กระจกตาโก่งจะส่งผลให้การมองเห็นถดถอย มองเห็นภาพไม่ชัด ผิดเพี้ยน และมีค่าสายตาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กลุ่มเสี่ยงเป็นโรคกระจกตาโก่ง คือกลุ่มวัยรุ่นที่มีโครงสร้างกระจกตาเปลี่ยนแปลงมากที่สุด ผู้ที่ขยี้ตาแรงบ่อยๆ รวมถึงกลุ่มผู้ป่วยเป็นโรคบางชนิด เช่น ดาวน์ซินโดรม ควรรีบพบแพทย์เมื่อมีอาการกระจกตาโก่งร่วมกับการเคืองตา ตาแดง ปวดศีรษะ และการมองเห็นแย่ลงอย่างรวดเร็ว     กระจกตาโก่ง คืออะไร โดยปกติแล้วกระจกตาจะมีความหนาโดยเฉลี่ยที่ 530-550 ไมครอน หรือประมาณ 0.5 มิลลิเมตร และมีรูปทรงโค้งที่สม่ำเสมอ ซึ่งทำให้แสงหักเหอย่างถูกต้อง ส่งผลให้เห็นภาพที่คมชัด แต่กระจกตาโก่งหรือกระจกตาย้วย (Keratoconus) คือภาวะที่กระจกตาเริ่มบางลงและเปลี่ยนรูปไปเป็นรูปทรงกรวยหรือโก่งนูนผิดปกติ ทำให้แสงหักเหเข้าสู่ดวงตาได้ไม่ถูกต้อง มองเห็นเป็นภาพเบลอ บิดเบี้ยว ซึ่งถ้าหากปล่อยไว้นาน อาจมีอาการรุนแรงขึ้นจนมีปัญหาด้านการมองเห็นได้ ผลกระทบจากกระจกตาโก่ง อาการกระจกตาโก่งหรือกระจกตาย้วยส่งผลต่อการมองเห็นได้ การที่กระจกตาที่บางและเปลี่ยนเป็นรูปทรงกรวยนั้น ทำให้การหักเหแสงผิดพลาด ไม่รวมจุดโฟกัสให้เป็นภาพเดียว ทำให้มองเห็นภาพเบลอ ผิดเพี้ยน เกิดเป็นปัญหาสายตาเอียง สายตาสั้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องเปลี่ยนแว่นสายตาบ่อยๆ นอกจากนี้อาการกระจกตาโก่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้ จากการที่โครงสร้างกระจกตาเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น เป็นแผลที่กระจกตากระจกตาติดเชื้อกระจกตาบางจนบวมน้ำและแตกออก หรือเกิดวงแหวนในกระจกตา ซึ่งภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ส่งผลต่อการมองเห็นให้ถดถอยลงอย่างมาก และอาจทำให้สูญเสียการมองเห็นได้     สังเกตอาการกระจกตาโก่งได้อย่างไร กระจกตาโก่งหรือกระจกตาย้วยจะเริ่มแสดงอาการชัดเจนขึ้นเมื่อมีอายุ 13 ปี หรือเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น และจะแสดงอาการยาวนานจนถึง 10 - 20 ปี โดยผู้ที่มีภาวะกระจกตาโก่ง โดยสังเกตได้จากอาการเหล่านี้ ภาพที่มองเห็นมีความเบลอ มัว และผิดเพี้ยนตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น ต้องเปลี่ยนแว่นสายตาหรือคอนแท็กต์เลนส์บ่อยครั้ง เนื่องจากค่าสายตาเอียง สายตาสั้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตาไวต่อแสง ไม่สามารถมองสู้แสงได้ มีอาการเคืองตา แสบตา มีอาการปวดตาร่วมกับปวดศีรษะ หากมีอาการหนักจนเกิดแผลที่กระจกตา หรือกระจกตาบวมน้ำจนแตก การมองเห็นจะเสื่อมลงอย่างรุนแรง สาเหตุของอาการกระจกตาโก่ง กระจกตาโก่งหรือกระจกตาย้วยเกิดจากความผิดปกติของเส้นใยคอลลาเจนของกระจกตา ที่มีความอ่อนแอลง หรือมีการเรียงตัวที่ไม่สม่ำเสมอ กระจกตาจึงไม่แข็งแรง เมื่อปล่อยไว้นาน กระจกตาจะบางลงเรื่อยๆ และโก่งนูนออกมา ซึ่งที่มาของการเกิดโรคกระจกตาโก่งนั้นยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่ปัจจัยบางอย่างอาจก่อให้เกิดอาการกระจกตาโก่งได้ เช่น เกิดจากพันธุกรรม ครอบครัวมีประวัติการเป็นกระจกตาโก่ง การขยี้ตาแรงๆ บ่อยๆ เป็นเวลานาน ซึ่งพบได้บ่อยในผู้ที่มีโรคภูมิแพ้ขึ้นตา ที่มักจะคันตาอยู่เสมอ ได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดดมากเกินไป มีอาการกระจกตาโก่งร่วมกับบางโรค เช่น ดาวน์ซินโดรม โรคหนังยืดผิดปกติ โรคหืด     กลุ่มเสี่ยงกระจกตาโก่ง มีใครบ้าง กลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระจกตาโก่งนั้น มักเป็นกลุ่มที่มีการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของกระจกตา เช่น ผู้ที่อยู่ในช่วงวัยรุ่น ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกระจกตามากที่สุด ผู้ที่ขยี้ตาแรงๆ บ่อยๆ จากโรคภูมิแพ้ขึ้นตา หรือเมื่อมีอาการคันตา ผู้ที่ใส่คอนแท็กต์เลนส์เป็นเวลานาน ซึ่งทำให้กระจกตาบางลงได้ ผู้ที่มีปัญหาสายตาเอียงหรือสายตาสั้น ร่วมกับมีค่าสายตาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนต้องเปลี่ยนแว่นสายตาบ่อยๆ ผู้ป่วยดาวน์ซินโดรม มีแนวโน้มเกิดอาการกระจกตาโก่งได้มากกว่าปกติ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคที่มีความเกี่ยวข้องกับการเรียงตัวของคอลลาเจน เช่น ผู้ป่วยกล้ามเนื้อ หลอดเลือด น้ำเหลือง และเส้นประสาท ผู้ที่ป่วยเป็นโรคบางโรคตั้งแต่กำเนิด เช่น โรคครูซอง โรคหนังยืดผิดปกติ โรคกระดูกเปราะพันธุกรรม เป็นต้น อาการกระจกตาโก่งแบบไหนต้องรีบพบแพทย์ หากการมองเห็นแย่ลงอย่างรวดเร็ว หรือมีอาการผิดปกติบนดวงตา เช่น เคืองตา ตาแดง ควรรีบพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อรับการักษาอย่างทันท่วงที เนื่องจากโรคกระจกตาโก่งยังไม่สามารถระบุสาเหตุได้อย่างแน่ชัด หากแพทย์พบการเปลี่ยนแปลงของกระจกตาได้เร็วเท่าไร ก็จะยิ่งรักษาได้เร็วเท่านั้น     วินิจฉัยกระจกตาโก่งโดยแพทย์ โรคกระจกตาโก่งมักตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจประเมินสภาพดวงตาเพื่อทำเลสิก หรือเพื่อรักษาโรคทางตาอื่นๆ เมื่อแพทย์พบว่าผู้ป่วยมีแนวโน้มที่จะเป็นกระจกตาโก่ง จะตรวจวัดสายตาอย่างละเอียดด้วยเครื่องตรวจวัดพื้นผิวและความหนากระจกตา (Corneal topography) ต่อมาการวินิจฉัยโรคกระจกตาโก่งเริ่มต้นด้วยการซักประวัติโรคทางตาของคนในครอบครัว สอบถามเกี่ยวกับอาการที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย รวมถึงตรวจสายตาด้วยวิธีการต่างๆ ดังนี้ 1. ทดสอบความสามารถในการมองเห็น (Visual Acuity) เป็นการทดสอบด้วยการอ่านแผนภูมิวัดสายตา Snellen Chart ซึ่งเป็นแผนภูมิที่มีชุดตัวเลข 8 แถว และจะมีขนาดเล็กลงไปเรื่อยๆ ในแต่ละแถว โดยจะวาง Snellen Chart ห่างออกในระยะ 6 เมตร จากนั้นเริ่มวัดสายตาทีละข้าง เพื่อประเมินระดับการมองเห็นที่แท้จริง นอกจากนี้ยังมีการทดสอบสายตาด้วยการใช้เครื่องมือ Phoropter ที่เปลี่ยนเลนส์เพื่อแก้ไขการหักเหแสงของดวงตาได้ เมื่อผู้ที่รับการตรวจด้วย Phoropter เริ่มรู้สึกว่ามองเห็นชัดขึ้นตามปกติ แพทย์ก็จะนำค่าสายตาที่วัดได้ไปอ้างอิงในการตัดแว่นสายตาหรือคอนแท็กต์เลนส์ต่อไป ผู้ที่มีอาการกระจกตาโก่งมักจะมีปัญหาสายตาสั้น สายตาเอียง การทดสอบความสามารถในการมองเห็นเหล่านี้ จะช่วยระบุได้ว่ามีสายตาที่ผิดปกติอย่างไร และมีค่าสายตาเท่าใด 2. วัดความโค้งกระจกตา (Keratometry) การตรวจโดยใช้เครื่องมือที่ชื่อว่าเคอราโตมิเตอร์ (Keratometer) ส่องแสงเข้าไปในกระจกตา เพื่อดูการหักเหของแสง และวัดความโค้งของกระจกตาจากการสะท้อนของแสง ผู้ที่มีความโค้งหรือรูปร่างกระจกตาที่ผิดปกติ จะมีปัญหาสายตาต่างๆ เช่น สายตาสั้น สายตาเอียง และมีแนวโน้มที่จะเป็นกระจกตาโก่งได้ 3. การส่องกล้องจุลทรรศน์ดวงตา (Slit Lamp Examination) Slit Lamp คือกล้องจุลทรรศน์ชนิดพิเศษที่ส่องดวงตาให้เห็นทั้งภายนอกและภายในเป็นรูปแบบสามมิติ โดยผู้เข้ารับการตรวจจะวางคางและหน้าผากให้แนบชิดกับเครื่อง จากนั้นแพทย์จะบังคับกล้องไปยังจุดที่ต้องการตรวจ แล้วปรับลำแสงให้กว้างขึ้นหรือแคบลงตามความต้องการเพื่อตรวจดูส่วนต่างๆ ของดวงตาอย่างชัดเจน หากผู้เข้ารับการตรวจมีลักษณะดวงตาที่เปลี่ยนไป ก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระจกตาโก่งได้ 4. วัดกำลังสายตา (Retinoscope) เรติโนสโคป (Retinoscope) เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินการหักเหของแสงในดวงตา โดยการใช้แสงจากเครื่องส่องไปที่ดวงตาของผู้เข้ารับการตรวจ แล้วสังเกตการสะท้อนกลับจากกระจกตา เพื่อประเมินว่าแสงถูกหักเหอย่างไรบ้าง ซึ่งมีหลักการคล้ายกับการตรวจด้วย Keratometer แตกต่างกันที่ Keratometer นั้นใช้ในการวัดรูปร่างและความโค้งของกระจกตา แต่ Retinoscope ใช้เพื่อตรวจดูความผิดปกติของการหักเหแสงในดวงตา ซึ่งผู้ที่มีอาการกระจกตาโก่ง ก็จะมีการหักเหของแสงในดวงตาที่ผิดเพี้ยนไป     แนวทางการรักษากระจกตาโก่ง แนวทางการรักษากระจกตาโก่งขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของอาการ โดยหลังจากแพทย์ประเมินอาการและแล้วจะเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมได้ดังนี้ 1. การสวมใส่คอนแท็กต์เลนส์ หากอาการกระจกตาโก่งยังอยู่ในระยะเริ่มต้น สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยการสวมใส่แว่นสายตา หรือคอนแท็กต์เลนส์ชนิดพิเศษ ซึ่งมีด้วยกันหลายชนิด เช่น Scleral Lens, RGP Lens เป็นต้น การจะใช้คอนแท็กต์เลนส์ชนิดใดนั้นขึ้นอยู่กับความเหมาะสมตามที่แพทย์ประเมินให้ 2. การฉายแสง การฉายแสงที่กระจกตา (Corneal Cross-Linking) เป็นวิธีการรักษากระจกตาโก่งโดยใช้แสงอัลตราไวโอเลตร่วมกับวิตามินบี (Riboflavin) เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของเส้นใยคอลลาเจนในกระจกตา เป็นวิธีการรักษาที่ไม่ต้องผ่าตัด และยังให้ผลลัพธ์การรักษาที่มีประสิทธิภาพด้วย ทั้งนี้ การฉายแสงเหมาะสำหรับผู้ที่กระจกตายังคงมีความหนาและไม่มีแผลที่ผิวกระจกตาเท่านั้น ผู้ที่มีกระจกตาหนาน้อยกว่า 400 ไมครอน หรือเคยมีการติดเชื้อที่กระจกตา ไม่เหมาะแก่การรักษาด้วยวิธีนี้ 3. การผ่าตัดใส่วงแหวนขึงกระจกตา การใส่วงแหวนขึงกระจกตา เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีกระจกตาโก่งมาก หรือสายตาเอียงมากจนไม่สามารถสวมใส่คอนแท็กต์เลนส์ได้ วิธีนี้ที่ช่วยปรับรูปร่างของกระจกตาให้แบนลงและกลับมาใกล้เคียงกับกระจกตาปกติ เพื่อให้ผู้ที่มีกระจกตาโก่งมากสวมใส่แว่นหรือคอนแท็กต์เลนส์แก้ไขปัญหาสายตาได้ และจะรักษาด้วยการสวมใส่คอนแท็กต์เลนส์หรือแว่นต่อไป 4. การผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตา ในกรณีที่อาการกระจกตาโก่งมีความรุนแรงมาก มีแผลเป็นที่กระจกตา และการรักษาด้วยวิธีการอื่นๆ ไม่ได้ผล อาจต้องทำการผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตา ซึ่งเป็นการรักษาที่ช่วยให้ความโค้งของกระจกตากลับมาใกล้เคียงกับปกติและช่วยให้มองเห็นได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การปลูกถ่ายกระจกตานั้นมีความซับซ้อน และต้องรอรับการบริจาคกระจกตา อีกทั้งยังต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูกระจกตานานมากกว่า 1 ปี การดูแลตัวเองเพื่อป้องกันอาการกระจกตาโก่ง อาการกระจกตาโก่งไม่สามารถป้องกันได้ แต่ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ด้วยการดูแลตัวเองดังนี้ หลีกเลี่ยงการขยี้ตาแรงๆ บ่อยๆ ไม่สวมใส่คอนแท็กต์เลนส์ข้ามคืน ลดการใช้สายตาหนักๆ จนตาล้า บริหารดวงตาด้วยการกลอกตาไปมา แทนการใช้นิ้วกดหรือนวดไปที่ดวงตา ปกป้องดวงตาจากแสงแดด และแสงสีฟ้าจากหน้าจอคอมพิวเตอร์และมือถือ หมั่นตรวจสุขภาพตา และสังเกตการเปลี่ยนแปลงของค่าสายตาว่าเพิ่มขึ้นผิดปกติหรือไม่ รักษาอาการกระจกตาโก่ง ที่ศูนย์โรคกระจกตา Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร หากมีอาการที่เข้าข่ายเป็นโรคกระจกตาโก่ง แนะนำให้เข้ามาปรึกษา วินิจฉัย และรักษาได้ที่ศูนย์โรคกระจกตา Bangkok Eye Hospitalศูนย์เฉพาะทางด้านการดูแลสุขภาพดวงตา ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยมีจุดเด่นดังนี้ ทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาและแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสมกับอาการ ใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย พร้อมเครื่องมือมาตรฐานระดับสากล เพื่อความแม่นยำและความปลอดภัยในการรักษา ให้บริการแบบครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง การบริการที่ใส่ใจ พร้อมบรรยากาศโรงพยาบาลที่อบอุ่นและเป็นกันเอง สรุป โรคกระจกตาโก่งหรือกระจกตาย้วย เป็นภาวะที่กระจกตาบางลงจนโก่งนูน ส่งผลให้มองเห็นเป็นภาพเบลอ ผิดเพี้ยน โดยสาเหตุการเกิดโรคนี้ยังไม่แน่ชัด แต่มีความเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม การขยี้ตา และการป่วยเป็นโรคบางชนิด ซึ่งการรักษากระจกตาโก่งทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ ตั้งแต่การสวมใส่คอนแท็กต์เลนส์ การฉายแสง ไปจนถึงการผ่าตัดใส่วงแหวน หรือผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตา หากกำลังสงสัยว่ามีอาการเข้าข่ายกระจกตาโก่ง แนะนำให้เข้ารับคำปรึกษาที่ศูนย์โรคกระจกตา Bangkok Eye Hospitalที่นี่มีทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และการบริการที่ครบวงจร เพื่อให้ดวงตาคู่สำคัญได้รับการดูแลที่ดีและปลอดภัย

What Is a Corneal Ulcer?

แผลที่กระจกตาอันตรายมากกว่าที่คิด อาจทำให้กระจกตาติดเชื้อจนอาจทำให้สูญเสียการมองเห็นถาวรได้! บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาการกระจกตาเป็นแผลว่าคืออะไร มีอาการอย่างไร พร้อมหาสาเหตุและแนวทางการรักษาที่เหมาะสม ตลอดจนการดูแลดวงตาเพื่อลดความเสี่ยงเป็นแผลที่กระจกตา หาคำตอบได้ที่นี่   แผลที่กระจกตา คือ การที่กระจกตาได้รับบาดเจ็บจนเกิดเป็นแผล มักมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เป็นต้น แผลที่กระจกตามีระดับความรุนแรงที่แตกต่างกันออกไป หากเป็นแผลเพียงเล็กน้อยจะรักษาได้ด้วยการทานยา แต่หากมีอาการรุนแรงก็สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด แต่หากปล่อยไว้ไม่รักษา อาจทำให้สูญเสียการมองเห็นได้ แผลที่กระจกตาที่สังเกตได้ เช่น ปวดตา ตาอักเสบ ตาแดง มีน้ำตาไหลออกมา หรือมีหนองในดวงตา เป็นต้น ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่อาจเกิดจากแผลที่กระจกตา เช่น การติดเชื้อภายในลูกตา โรคต้อหิน หรือกระจกตาทะลุ ตลอดจนเป็นสาเหตุที่ทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร การรักษากระจกตาเป็นแผลทำได้ 2 วิธี คือ การรักษากระจกตาเป็นแผลด้วยยาในกรณีที่อาการไม่รุนแรง และการรักษากระจกตาเป็นแผลด้วยการผ่าตัดในกรณีที่มีอาการติดเชื้ออย่างรุนแรง     ทำความรู้จักแผลที่กระจกตา คืออะไร กระจกตาของคนเราเปรียบเหมือนกระจกหน้ารถยนต์ที่เป็นเกราะป้องกันอันตรายจากภายนอก เมื่อเกิดอุบัติเหตุ หรือเกิดการติดเชื้อขึ้น อาจส่งผลให้กระจกตาเป็นแผลได้ โดยแผลที่กระจกตาคือรอยโรคที่เกิดขึ้นบริเวณกระจกตา ซึ่งเป็นส่วนที่ใสและโค้งของผิวดวงตา มีหน้าที่ช่วยในการหักเหแสง หากเป็นแผลจะทำให้รู้สึกปวดตา ตาแดง และมองเห็นผิดปกติได้ ดังนั้นการรักษาแผลที่กระจกตาเป็นสิ่งที่จำเป็น และควรรีบซ่อมแซมอย่างรวดเร็วที่สุด เพื่อให้ด่านหน้าที่ช่วยป้องกันดวงตาสามารถกลับมาทำงานได้อย่างสมบูรณ์อีกครั้ง อาการแผลที่กระจกตา เป็นอย่างไร อาการกระจกตาเป็นแผล สังเกตได้จากอาการผิดปกติเหล่านี้   ปวดตา โดยเฉพาะเวลาที่อยู่ในที่ที่มีแสงสว่างมาก ระคายเคือง คันบริเวณรอบดวงตา ตาอักเสบ ตาแดง เปลือกตาบวม แสบตา น้ำตาไหลอยู่ตลอด มีหนองในตา หรือมีของเหลวไหลออกจากดวงตา บางรายอาจพบว่ามีจุดสีขาว หรือสีเทาขนาดเล็กในดวงตา     หาสาเหตุแผลที่กระจกตา เกิดจากอะไรได้บ้าง แผลที่กระจกตาเกิดได้จากหลายสาเหตุใดบ้าง? โดยปกติแล้วสามารถแบ่งสาเหตุของการเกิดแผลที่กระจกตาได้ ดังนี้ แผลที่กระจกตาจากการติดเชื้อ แผลที่กระจกตาที่เกิดจากการติดเชื้อ โดยสามารถแบ่งเชื้อโรคได้หลายชนิด ได้แก่ แผลที่กระจกตาที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเช่น เชื้อไวรัสโรคงูสวัด เชื้อเริม แผลที่กระจกตาที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียแบคทีเรียจะผลิตสารที่เป็นพิษเข้าไปทำลายดวงตา ทำให้เกิดการอักเสบ เกิดแผลที่กระจกตาได้ แผลที่กระจกตาที่เกิดจากการติดเชื้อรามักเกิดในกรณีที่กระจกตาถูกกระทบจากสิ่งแปลกปลอม เช่น ใบไม้ ใบหญ้าเข้าตา แผลที่กระจกตาที่เกิดจากการติดเชื้อปรสิตเช่น เชื้ออะมีบา ทั้งนี้การเกิดแผลที่กระจกตาจากการติดเชื้ออะมีบานั้น เกิดขึ้นได้ค่อนข้างน้อย แต่เมื่อเกิดแล้ว จะมีอันตรายมากกว่าการติดเชื้อแบบอื่นๆ แผลที่กระจกตาจากปัจจัยอื่น ปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลให้เกิดแผลที่กระจกตา ได้แก่ ผู้ที่มีขนตายาวมากจนขนตาทิ่มเข้าไปในดวงตา เกิดการระคายเคืองจนส่งผลให้เกิดแผลที่กระจกตา ผู้ที่สวมคอนแท็กต์เลนส์เกิดจากการดูแลรักษาความสะอาดที่ไม่เพียงพอ ทำให้ดวงตาอักเสบหรือติดเชื้อ ผู้ที่ประสบอุบัติเหตุได้รับการกระทบกระเทือนที่ดวงตา เช่น ฝุ่นหรือก้อนหินกระเด็นเข้าตา หรือมีสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ กระเด็นเข้ามาที่ดวงตา ผู้ที่มีภาวะตาแห้งร่างกายสร้างน้ำตาหล่อลื่นได้น้อยกว่าปกติ ทำให้ดวงตาระคายเคืองได้ง่าย ส่งผลทำให้เกิดแผลที่กระจกตาได้     ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากแผลที่กระจกตา ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากแผลที่กระจกตา มีดังนี้ กระจกตาทะลุคือการที่กระจกตาได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจนกระจกตาทะลุ กระจกตาติดเชื้อคือการที่เกิดการติดเชื้อที่กระจกตา ไม่ว่าจะเป็นเชื้อไวรัส แบคทีเรียต่างๆ ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดตา ตาแดง ตามัว ไม่สามารถสู้แสงได้ โรคต้อหินคือการที่ร่างกายมีค่าความดันลูกตาสูงกว่าปกติ ผู้ป่วยโรคต้อหินส่วนใหญ่จะไม่รู้ตัวว่าเป็น จนกว่าจะเริ่มมีอาการอื่นๆ เช่น เริ่มมองเห็นไม่ชัด มองเห็นได้ในระยะแคบลง หรือในกรณีที่เกิดโรคต้อหินชนิดเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตา ตาแดง มองเห็นเฉพาะทางตรง ภาวะม่านตาอักเสบคือภาวะที่มีการอักเสบบริเวณเนื้อเยื่อส่วนกลางภายในลูกตา ซึ่งเนื้อเยื่อส่วนนี้ประกอบไปด้วยเส้นเลือดจำนวนมาก เมื่อเกิดการอักเสบจึงส่งผลต่อการมองเห็นเป็นอย่างมาก การวินิจฉัยแผลที่กระจกตาโดยแพทย์ เมื่อเกิดแผลที่กระจกตา คนไข้จะมีอาการเจ็บที่ตา หรือตาอักเสบได้ ซึ่งอาจเป็นอาการของโรคทางดวงตาโดยทั่วไป ทั้งนี้แพทย์จะเริ่มทำการวินิจฉัยโดยอิงจากขั้นตอน ดังต่อไปนี้ แพทย์ซักประวัติเบื้องต้นเช่น โรคประจำตัว ประวัติแพ้ยา หรือประวัติการใช้ยาต่างๆ แพทย์สืบหาสาเหตุเช่น มีอาการผิดปกติจากอะไร พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เสี่ยงทำให้เกิดแผลที่กระจกตา แพทย์ตรวจตาอย่างละเอียดด้วยกล้องตรวจตาชนิดลำแสงแคบ (Slit lamp biomicroscope) เพื่อดูความเสียหายที่เกิดขึ้น แพทย์ขูดกระจกตาเพื่อนำตัวอย่างเชื้อออกมา แล้วนำส่งห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจหาต้นตอของการติดเชื้อว่ามาจากเชื้อชนิดใด แพทย์แจ้งผลการวินิจฉัยพร้อมแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสมกับคนไข้มากที่สุด แนวทางการรักษาแผลที่กระจกตา สำหรับแนวทางการรักษาแผลที่กระจกตา สามารถรักษาได้ทั้งหมด 2 วิธี ได้แก่ การรักษาแผลที่กระจกตาด้วยยา การรักษาแผลที่กระจกตาด้วยการผ่าตัด โดยมีรายละเอียดดังนี้ การรักษาแผลที่กระจกตาด้วยยา วิธีการรักษาแผลที่กระจกตาด้วยยาเป็นวิธีการรักษาแบบเบื้องต้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีแผลที่กระจกตาเพียงเล็กน้อย มีรอยแผลตื้น กระจกตาไม่ได้ถูกฉีกขาดอย่างหนัก สามารถทานยาปฏิชีวนะหรือยาต้านไวรัสเพื่อรักษาให้กลับมาเป็นปกติได้ การรักษาแผลที่กระจกตาด้วยการผ่าตัด วิธีการรักษาแผลที่กระจกตาด้วยการผ่าตัดเป็นการรักษาในกรณีที่ผู้ป่วยมีการติดเชื้ออย่างรุนแรง โดยแพทย์จะนำเนื้อเยื่อกระจกตาเดิมออก จากนั้นทำการเปลี่ยนเนื้อเยื่อกระจกตาใหม่ด้วยการใช้เนื้อเยื่อกระจกตาของผู้ที่บริจาคเข้าไปแทน     ดูแลดวงตาอย่างไร ให้ห่างไกลแผลที่กระจกตา วิธีการดูแลรักษาดวงตาเพื่อลดความเสี่ยงกระจกตาเป็นแผล มีดังนี้ สวมอุปกรณ์ป้องกันรอบดวงตาเมื่อต้องทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยง เช่น งานช่าง งานสัมผัสสารเคมี เป็นต้น หมั่นดูแลรักษาความสะอาดบริเวณดวงตา หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือลูบคลำบริเวณรอบดวงตา สำหรับผู้ที่สวมคอนแท็กต์เลนส์ ล้างมือให้สะอาดก่อนสวมใส่และควรทำความสะอาดเลบนส์หลังใช้งานทุกครั้ง ล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสบริเวณใบหน้า เพื่อลดโอกาสเกิดการติดเชื้อ รักษาแผลที่กระจกตา ที่ศูนย์โรคกระจกตา Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร หากมีอาการแผลที่กระจกตา เข้ามารักษาได้ที่ศูนย์โรคกระจกตา Bangkok Eye Hospitalเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางที่เชี่ยวชาญด้านการดูแลรักษาดวงตาอย่างครบวงจร โดดเด่นด้านการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ด้วยทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีจุดเด่นดังนี้ โรงพยาบาลมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มากประสบการณ์ ที่พร้อมดูแลตลอดทุกขั้นตอนจนถึงการติดตามผลการรักษา โรงพยาบาลมีเทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย โรงพยาบาลพร้อมให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ โรงพยาบาลใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศที่เป็นกันเอง สรุป แผลที่กระจกตา คืออาการกระจกตาได้รับบาดเจ็บจนเกิดเป็นแผล มีสาเหตุจากหลากหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็นเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ตลอดจนพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ หากเป็นแผลขนาดเล็กสามารถรักษาได้ด้วยการทานยา แต่ถ้าหากมีอาการรุนแรง ร่วมกับการติดเชื้อ แพทย์จะแนะนำให้่าตัดเพื่อรักษา อาการกระจกตาเป็นแผลไม่ควปล่อยไว้ เพราะอาจเป็นสาเหตุของภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ซึ่งรวมไปถึงต้อหินและการสูญเสียการมองเห็นได้ เข้ามารักษาอาการแผลที่กระจกตาได้ที่ศูนย์โรคกระจกตา Bangkok Eye Hospitalที่นี่โดดเด่นด้านการรักษาด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มากประสบการณ์ พร้อมบุคลากรทางการแพทย์ที่ให้บริการด้วยความใส่ใจตั้งแต่ขั้นตอนการวินิจฉัย การรักษา ตลอดจนการติดตามผล
calling
Contact Us : +66 84 979 3594