ជ្រុងនៃសុខភាពភ្នែក : #จอประสาทตา

តម្រៀប

Dry eyes

Dry eyes ទឹកភ្នែកដើរតួនាទីយ៉ាងសំខាន់ក្នុងការរក្សាភ្នែករបស់យើងឱ្យមានសំណើម, ធានាឱ្យឃើញច្បាស់ដោយអនុញ្ញាតឱ្យពន្លឺឆ្លងកាត់កែវភ្នែកប្រកបដោយប្រសិទ្ធភាព និងផ្គត់ផ្គង់អុកស៊ីហ្សែនចិញ្ចឹមភ្នែក។ វាក៏ជួយការពារការឆ្លងមេរោគនិងសារធាតុផ្សេងៗផងដែរ។    នៅពេលដែលភ្នែកស្ងួត, វាជាបញ្ហាទូទៅមួយដែលអាចកើតឡើងពីការផលិតទឹកភ្នែកមិនប្រក្រតីឬទឹកភ្នែកមានការហួតលឿនពេក។ វាអាចធ្វើអោយមានភាពមិនស្រណុក, ក្រហាយ, មានអារម្មណ៍ថាដូចមានអ្វីនៅក្នុងភ្នែករបស់អ្នក, ភ្នែកមានសភាពក្រហម, រោយ, មើលឃើញព្រិលៗដែលទទួលភាពប្រសើរជាមួយការព្រិចភ្នែក, ឬសូម្បីតែមានអារម្មណ៍ថារោយភ្នែក។ ហេតុផលដែលមានភ្នែកស្ងួតអាចមានការប្រែប្រួលនៅពេលកាន់តែចាស់ឬជាស្រ្ដី (យេស៎, យើងងាយនឹងរងនូវភ្នែកស្ងួត) ការអាលាក់ហ្សីជាមួយថ្នាំ, ការចំណាយជាច្រើនពេលទៅលើ Screens, នៅទីកន្លែងដែលមានដី ផ្សែង ឬ មានខ្យល់ខ្លាំងនិងមានពន្លឺច្រើន, រួមបញ្ចូលទាំងអស់។    ប៉ុន្ដែមានដំណឹងល្អនោះគឺជាពិធីនៃការព្យាបាលភ្នែកស្ងួត:   ការចៀសឆ្ងាយពីអ្វីដែលអាចធ្វើអោយវាកាន់តែអាក្រក់ដូចជាខ្យល់ខ្លាំងនិងធូលីដីដោយគ្រាន់តែពាក់វែនតានិងការការពារភ្នែក។ ចងចាំថាត្រូវសំរាកឬព្រិចភ្នែកអោយបានញឹកញាប់ ជាពិសេសនៅពេលអ្នកជាប់ជាមួយ Screen ខណៈណាមួយ។  អ្នកទទួលបាននូវថ្នាំបណ្ដក់ភ្នែកដែលហៅថាទឹកភ្នែកសុប្បនិមិត្ត។ មានពីប្រភេទគឺសម្រាប់ពេលថ្ងៃ (ទឹកច្រើន) និងពេលយប់ (ក្រាស់បន្ដិច) ដែលត្រូវប្រើអាស្រ័យទៅលើស្ថានភាពភ្នែកស្ងួតរបស់អ្នក។  ពេលខ្លះពេទ្យរបស់អ្នកអាចនែនាំថ្នាំបណ្ដក់ភ្នែកពិសេសដែលជំរុញអោយភ្នែករបស់អ្នកបង្កើតទឹកភ្នែកបានច្រើន។  ផ្ដល់ការព្យាបាលភ្នែករបស់អ្នកជាមួយក្រណាត់ស្អាតហើយក្ដៅឧន្ឌៗ រួចស្អំលើភ្នែកដើម្បីជូយអោយមានអារម្មណ៍ល្អប្រសើរ។ ប្រសិនបើភ្នែកស្ងួតកាន់តែខ្លាំងហើយមិនប្រសើរឡើង ការជជែកជាមួយគ្រូពេទ្យភ្នែកគឺជារឿងល្អ។   សរុបមក ភ្នែកស្ងួតអាចជាបញ្ហារំខានមួយ ប៉ុន្តែមានដំណោះស្រាយនៅទីនោះ។ វាជារឿងសំខាន់ក្នុងការថែរក្សាភ្នែករបស់អ្នកឱ្យបានល្អ ជាពិសេសនៅពេលដែលមានសភាពស្ងួតនៅខាងក្រៅ (អាកាសធាតុស្ងួត)។ ប្រសិនបើអ្នកសង្ស័យថាអ្នកមានបញ្ហាភ្នែកស្ងួត ការជជែកជាមួយអ្នកជំនាញផ្នែកថែរក្សាភ្នែកគឺជាទង្វើដ៏ឆ្លាតវៃ។
អាន​បន្ថែម

วุ้นในตาเสื่อม อันตรายต่อการมองเห็น มาหาสาเหตุและวิธีการรักษา

วุ้นในตาเสื่อม คือภาวะที่วุ้นในตาเปลี่ยนสภาพเป็นน้ำและหลุดออกจากจอประสาทตา ซึ่งอาจทำให้เกิดความผิดปกติในการมองเห็นได้ ผู้ที่มีอาการวุ้นในตาเสื่อมอาจมองเห็นเงาดำลอยไปมา แสงวาบในตา หรือมีปัญหาการมองเห็น หากปล่อยทิ้งไว้อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร วุ้นในตาเสื่อมเกิดจากหลายปัจจัย เช่น อายุที่เพิ่มขึ้น สายตาสั้นมาก การอักเสบในตา และอุบัติเหตุทางตา วุ้นในตาเสื่อม โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องรักษาเว้นแต่พบจอตาฉีกขาด ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยเลเซอร์หรือการจี้เย็น หรือแนวทางการรักษาวุ้นในตาเสื่อมแบบอื่น ๆ ศูนย์จอประสาทตา Bangkok Eye Hospital ให้บริการตรวจและรักษาโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัย พร้อมที่จะช่วยป้องกันและรักษาโรคดวงตาได้อย่างปลอดภัย   อาการวุ้นในตาเสื่อมอาจดูเหมือนเป็นเพียงเรื่องเล็ก แต่แท้จริงแล้วอาจอันตรายกว่าที่คิดและอาจนำไปสู่ปัญหาสายตาที่ร้ายแรง ส่งผลต่อการมองเห็น ทำให้สูญเสียการมองเห็นระยะยาวได้หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษาอย่างทันท่วงที มารู้ถึงสาเหตุ วิธีการรักษา และแนวทางป้องกันวุ้นในตาเสื่อมได้ในบทความนี้       วุ้นในตาเสื่อม คืออะไร วุ้นในตา (Vitreous) เป็นองค์ประกอบสำคัญของดวงตา มีลักษณะเป็นเจลใสที่ประกอบด้วยน้ำประมาณ 99% และโปรตีนเส้นใย เช่น คอลลาเจน กรดไฮยาลูโรนิก และสารเกลือแร่ต่างๆ โดยวุ้นในตาจะมีหน้าที่ช่วยรักษารูปร่างของลูกตาให้กลม และช่วยให้แสงผ่านเข้าสู่จอประสาทตาเพื่อให้มองเห็นได้อย่างชัดเจน   อาการวุ้นในตาเสื่อม (Vitreous Degeneration) คือภาวะที่วุ้นในตาเริ่มสูญเสียความหนืดและเปลี่ยนสภาพจากเจลใสเป็นของเหลวเหมือนน้ำเมื่ออายุมากขึ้น โดยวุ้นตาเสื่อมมักมาพร้อมกับการหลุดลอกออกจากจอประสาทตา ซึ่งเรียกว่าภาวะ "Posterior Vitreous Detachment (PVD)" อาการวุ้นในตาเสื่อม เป็นอย่างไร อาการวุ้นในตาเสื่อมที่พบได้ทั่วไป มีดังนี้   มองเห็นเงาดำหรือจุดดำลอยไปมาในสายตา อาจมีลักษณะเป็นเส้น เส้นขด หรือวงกลม เงาที่มองเห็นมักเกิดจากการที่เส้นใยโปรตีนในวุ้นตาจับตัวกันเป็นตะกอนขุ่น เกิดอาการเห็นแสงไฟวาบในตา ซึ่งมักบ่งชี้ถึงแรงดึงที่เกิดขึ้นระหว่างวุ้นตาและจอประสาทตา สาเหตุวุ้นในตาเสื่อม เกิดจากอะไร สาเหตุที่ทำให้วุ้นในตาเสื่อมอาจเกิดได้จากหลากหลายปัจจัย ดังนี้ 1. อายุที่เพิ่มมากขึ้น วุ้นตาจะเสื่อมสภาพและกลายเป็นของเหลวตามกาลเวลา ยิ่งอายุมากขึ้น ความเสื่อมนี้ก็ยิ่งชัดเจน ส่งผลให้เกิดเงาดำหรือจุดลอยในสายตามากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากอายุ 50 ปีขึ้นไป 2. ค่าสายตาสั้น ตามสถิติพบว่าผู้ที่มีสายตาสั้นมากกว่า 400 จะมีความเสี่ยงเกิดภาวะวุ้นในตาเสื่อมสูงกว่าคนทั่วไปถึง 2 เท่า เนื่องจากโครงสร้างของดวงตาที่มีสายตาสั้นมักเปราะบางและเสื่อมง่ายกว่าปกติ 3. อาการอักเสบในลูกตา การได้รับอุบัติเหตุที่กระทบดวงตาในอดีตสามารถส่งผลต่อโครงสร้างของวุ้นตา ทำให้วุ้นในตาอ่อนแอและเสื่อมสภาพเร็วขึ้น เช่น การถูกของแข็งกระแทกหรือบาดเจ็บอย่างรุนแรง 4. อุบัติเหตุทางดวงตา ภาวะอักเสบในลูกตา เช่น Uveitis สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของวุ้นในตา การอักเสบนี้อาจทำให้วุ้นตาเกิดการลอยตัว หรือหลุดลอกจากจอประสาทตา ส่งผลให้เกิดวุ้นในตาเสื่อมในที่สุด 5. ภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดต้อกระจก การผ่าตัดต้อกระจกอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของดวงตา การใส่เลนส์ตาเทียมแทนเลนส์เดิมอาจทำให้วุ้นในตาหลุดลอกและเร่งการเสื่อมสภาพให้เร็วขึ้น วุ้นในตาเสื่อม ปล่อยทิ้งไว้อันตรายกว่าที่คิด วุ้นในตาเสื่อมเป็นปัญหาที่ไม่ร้ายแรงในตัวเอง แต่หากเกิดอาการแทรกซ้อนแล้วไม่ดูแลให้ถูกต้องหรือไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ อาการนี้อาจนำไปสู่ปัญหาที่ร้ายแรงต่อสุขภาพดวงตาและการมองเห็นในระยะยาว โดยผลกระทบจากอาการวุ้นในตาเสื่อมก็จะมีอยู่ดังนี้ 1. สร้างความรำคาญตา เมื่อเกิดภาวะวุ้นในตาเสื่อม ผู้ป่วยมักเห็นจุดดำ เงา หรือเส้นลอยไปมาขณะมองสิ่งต่างๆ ซึ่งอาจรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในที่ที่มีแสงจ้าหรือขณะทำกิจกรรมที่ต้องใช้สายตา เช่น อ่านหนังสือหรือทำงานกับคอมพิวเตอร์เป็นประจำ จนอาจก่อความรำคาญหรือการขยี้ตาซึ่งอาจทำให้สุขภาพตายิ่งแย่ลงไปอีก 2. เกิดเงาในจอตา วุ้นในตาที่เสื่อมสภาพจนเกิดรูรั่วหรือรอยฉีกขาดในจอประสาทตา ก็จะก่อให้เกิดการสะท้อนแสงหรือการบิดเบือนของภาพทำให้เห็นเงาดำหรือแสงวาบในจอตาได้ ซึ่งหากปล่อยไว้รูรั่วก็อาจจะขยายใหญ่ขึ้นจนนำไปสู่ปัญหาต่อๆ ไป 3. จอประสาทตาฉีกขาด หากปล่อยให้เกิดเงาในจอตาแล้วไม่มีการรักษาจนอาการเสื่อมรุนแรงขึ้น วุ้นตาที่หลุดลอกจากจอประสาทตาอาจดึงรั้งจอประสาทตาอย่างรุนแรงจนเกิดการฉีกขาดได้ และอาจนำไปสู่ปัญหาจอตาหลุดลอกซึ่งเป็นภาวะร้ายแรงที่ต้องรักษาอย่างเร่งด่วน 4. เสียสุขภาพตา ภาวะวุ้นในตาเสื่อมส่งผลต่อสุขภาพตาโดยรวม โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดการอักเสบหรือมีโรคอื่นๆ แทรกซ้อน เช่น โรคเบาหวานขึ้นตา บาดแผลในดวงตา หรือการติดเชื้อในดวงตา ซึ่งจะยิ่งทำให้การรักษามีความซับซ้อนและอาการอาจรุนแรงมากขึ้น 5. สูญเสียการมองเห็นถาวร หากปล่อยให้ปัญหาวุ้นในตาเสื่อมลุกลามโดยไม่ได้รับการดูแลเป็นเวลานาน จนจอตาหลุดลอกหรือเกิดอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ก็อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นแบบถาวรขึ้นได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพชีวิตและการดำเนินชีวิตประจำวัน อาการวุ้นในตาเสื่อม หายเองได้ไหม อาการวุ้นในตาเสื่อมจะค่อยๆ บรรเทาลงภายในระยะเวลาประมาณ 3 เดือนและสามารถหายได้เองหากไม่มีอาการแทรกซ้อนรุนแรงอย่างรูรั่วหรือรอยฉีกขาดในจอประสาทตา แต่หากเกิดอาการดังกล่าว ผู้ป่วยต้องรีบเข้ารับการรักษาเพื่อป้องกันไม่ให้การฉีกขาดขยายตัวมากขึ้นจนทำลายดวงตา ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยจึงควรไปพบจักษุแพทย์ให้วินิจฉัยอาการเพื่อรักษาวุ้นในตาเสื่อมอย่างเหมาะสม วินิจฉัยอาการวุ้นในตาเสื่อม ผู้ที่มีภาวะวุ้นตาเสื่อมควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยจากจักษุแพทย์ โดยแพทย์จะเริ่มตรวจดวงตาส่วนหน้า จากนั้นแพทย์จะหยอดยาขยายรูม่านตาเพื่อตรวจวุ้นตาและจอตา โดยหลังหยอดยาดวงตาจะรู้สึกพร่ามัว มองแสงจ้าไม่ได้ และจะไม่สามารถมองเห็นในระยะใกล้ประมาณ 4-6 ชั่วโมง ดังนั้นผู้ที่เข้ารับการวินิจฉัยจึงควรพกแว่นกันแดดและมีคนขับรถไปด้วย   แนวทางการรักษาวุ้นในตาเสื่อม แนวทางในการรักษาวุ้นในตาเสื่อมทำได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการวุ้นในตาเสื่อม โดยจะแบ่งแนวทางการรักษาโดยคร่าวๆ ได้ดังนี้   ปล่อยให้อาการดีขึ้นเองโดยทั่วไปภาวะวุ้นในตาเสื่อมจะไม่จำเป็นต้องรับการรักษา โดยอาการเงาดำหรือแสงวาบที่เห็นจะค่อยๆ ลดลงและหายไปในที่สุดในช่วง 3 เดือน โดยในระหว่างนั้นผู้ป่วยเพียงต้องปรับตัวการใช้ชีวิตให้เหมาะสมและสังเกตอาการอย่างต่อเนื่องก็เพียงพอ รักษาด้วยเลเซอร์ใช้ในกรณีที่พบรอยฉีกขาดในจอตา โดยเลเซอร์จะถูกใช้ยิงไปยังบริเวณรอยฉีกขาดของจอตา เพื่อสร้างความร้อนที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการยึดติดระหว่างจอตากับเนื้อเยื่อรอบข้าง รักษาด้วยการจี้เย็น (Cryopexy)ใช้ในกรณีที่พบรอยฉีกขาดในจอตา โดยจะใช้หัวอุปกรณ์ที่ปล่อยความเย็นไปยังบริเวณที่จอตาฉีกขาด ความเย็นจะกระตุ้นให้เนื้อเยื่อรอบรอยฉีกขาดแข็งตัวและติดกัน รักษาโรคทางตาอื่นๆ ที่เป็นต้นเหตุบางครั้งอาการวุ้นในตาเสื่อมก็อาจเกิดขึ้นจากโรคหรืออาการอื่นๆ เช่น การอักเสบในดวงตาหรือโรคเบาหวานขึ้นตา ดังนั้นจึงต้องรักษาต้นเหตุไปด้วยระหว่างการรักษาวุ้นในตาเสื่อม เพื่อป้องกันอาการวุ้นตาเสื่อมแทรกซ้อน ปรึกษาจักษุแพทย์ในกรณีฉุกเฉินหากมีอาการแสงวาบเพิ่มขึ้น หรือมีเงาดำจำนวนมากปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วอาจเป็นสัญญาณของปัญหาร้ายแรง เช่น ภาวะจอตาหลุดลอก ดังนั้นหากพบเจอกับอาการเหล่านี้ควรเข้าพบแพทย์โดยทันที แนวทางการป้องกันวุ้นในตาเสื่อม การป้องกันวุ้นในตาเสื่อม ทำได้ด้วยการดูแลสุขภาพของดวงตาโดยทั่วไป โดยมีแนวทางการป้องกันวุ้นในตาเสื่อมดังนี้   รักษาสุขภาพดวงตาหลีกเลี่ยงการขยี้ตาแรงๆ หรือทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บของดวงตา ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำเข้ารับการตรวจสุขภาพตากับจักษุแพทย์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยเฉพาะผู้ที่อายุเกิน 40 ปี ใส่แว่นตาป้องกันแสง UVใช้แว่นตากันแดดคุณภาพดีที่สามารถป้องกันรังสียูวีได้ เพื่อช่วยลดผลกระทบจากแสงแดดที่อาจทำลายดวงตา รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อดวงตาเพิ่มอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ ซี อี ลูทีน และซีแซนทีน เช่น ผักใบเขียว ปลาแซลมอน และแครอท ควบคุมโรคประจำตัวอื่นๆควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตสำหรับผู้ที่มีโรคเบาหวานหรือความดันโลหิตสูง ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพจอประสาทตาให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ลดการใช้งานดวงตาหนักเกินไปพักสายตาทุกๆ 20 นาทีเมื่อใช้งานจอคอมพิวเตอร์หรือจอโทรศัพท์เป็นเวลานาน โดยให้หลับตาแล้วมองไปยังจุดที่มืดของห้องหรือใช้มือป้องแสงเป็นเวลา 1-2นาทีก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่การสูบบุหรี่สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะวุ้นในตาเสื่อมได้ รักษาวุ้นในตาเสื่อม ที่ศูนย์รักษาจอประสาทตา Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร   หากมีอาการวุ้นในตาเสื่อม แนะนำให้เข้ามาปรึกษาและรักษาอาการวุ้นในตาเสื่อมได้ที่ศูนย์รักษาจอประสาทตา Bangkok Eye Hospital ที่นี่โดดเด่นด้านการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ด้วยทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีจุดเด่นดังนี้   โรงพยาบาลมีทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย พร้อมให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง สรุป วุ้นในตาเสื่อม คือภาวะที่วุ้นตาเสื่อมสภาพจนกลายเป็นน้ำและหลุดออกจากจอประสาทตา ทำให้ผู้ป่วยมีอาการเห็นเงาดำลอยไปมา หรือแสงวาบในตาได้ ซึ่งโดยทั่วไปจะไม่เป็นอันตรายร้ายแรง แต่ในบางกรณีอาจทำให้จอประสาทตาฉีกขาดหรือหลุดลอกได้ จนหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษาก็อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นได้อย่างถาวร โดยการป้องกันที่ดีก็จะเป็นการดูแลสุขภาพดวงตาและเข้ารับการตรวจเป็นประจำ   หากกังวลเรื่องวุ้นในตาเสื่อม ที่ศูนย์รักษาจอประสาทตา Bangkok Eye Hospitalพร้อมให้บริการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรควุ้นในตาเสื่อมด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมความมุ่งมั่นในการดูแลดวงตาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การป้องกัน รักษา ไปจนถึงฟื้นฟูสุขภาพตา เพื่อให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมั่นใจ

จอประสาทตาฉีกขาด หลุดลอก มีอาการอย่างไร หาสาเหตุและวิธีรักษา

จอประสาทตาฉีกขาดหรือจอประสาทตาหลุดลอก ต้นตอของปัญหาตาพร่ามัว การมองเห็นผิดปกติ และอาจส่งผลให้เลือดออกในตา บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับจอประสาทตาฉีกขาดให้มากขึ้น ตั้งแต่นิยาม อาการ สาเหตุ กลุ่มเสี่ยง ตลอดจนแนวทางการรักษาจอประสาทตาฉีกขาดอย่างเหมาะสม รวมถึงวิธีการป้องกันเพื่อลดความเสี่ยงและเตรียมพร้อมรับมือกับภาวะจอประสาทตาฉีกขาดได้ในบทความนี้   จอประสาทตาฉีกขาด คือภาวะเนื้อเยื่อจอประสาทตาหรือ Retina ซึ่งมีหน้าที่รับสัญญาณภาพและส่งไปประมวลผลที่สมองเกิดรูหรือฉีกขาด ส่งผลต่อการมองเห็นที่ผิดปกติ เมื่อจอประสาทตาฉีกขาดจะมีอาการตาพร่ามัว เกิดตะกอนสีดำในดวงตา เวลามองจะเห็นจุดดำ เส้นสีดำ เห็นแสงคล้ายไฟกะพริบหรือฟ้าแล่บ และมีอาการเลือดออกในดวงตา การรักษาจอประสาทตาฉีกขาดแบบไม่ผ่าตัด ใช้รักษาในกรณีที่อาการยังไม่รุนแรง ม่านตายังไม่เกิดรู หรือการฉีกขาด ทำได้ 3 วิธี ได้แก่ การฉายแสงเลเซอร์ การใช้ความเย็นจี้ และการฉีดแก๊ส การรักษาจอประสาทตาฉีกขาดแบบผ่าตัด เหมาะสำหรับการรักษาจอประสาทตาฉีกขาดที่มีอาการรุนแรง ทำได้ 2 แบบ ได้แก่ การผ่าตัดจอประสาทตา และการผ่าตัดโดยการส่องกล้องผ่าตัดวุ้นตาและจอประสาทตา รักษาจอประสาทตาฉีกขาดที่ศูนย์รักษาจอประสาทตา Bangkok Eye Hospital ที่นี่มีจักษุแพทย์และทีมงานรักษาที่เชี่ยวชาญด้านโรคตาโดยเฉพาะเทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัยครบวงจร จอประสาทตาฉีกขาด คืออะไร จอประสาทตา หรือ จอตา (Retina) เป็นเนื้อเยื่อประสาทที่มีลักษณะเป็นชั้นบางอยู่ในลูกตา ทำหน้าที่รับภาพและส่งสัญญาณไปที่สมองเพื่อประมวลผล โดยที่เนื้อเยื่อจะมีตัวกลางเรียกว่าวุ้นตา ซึ่งในคนที่มีอายุน้อยส่วนของวุ้นตาจะมีลักษณะขาวใสสีไข่ขาวดิบ เมื่ออายุมากขึ้นวุ้นตาจะสูญเสียการคงตัวและมีลักษณะเหลวขึ้น หากมีการขยับดวงตาแรงก็อาจเกิดการฉีกขาดและทำให้ ‘วุ้นตาเสีย’ และทำให้จอประสาทตาฉีกขาด ตามมาด้วยปัญหาการมองเห็นที่ผิดปกติ ส่งผลกระทบกับชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตามภาวะจอประสาทตาฉีกขาดไม่ได้เกิดขึ้นจากปัจจัยเรื่องอายุเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดขึ้นได้จากอีกหลายสาเหตุเช่นกัน อาการจอประสาทตาฉีกขาด เป็นอย่างไร เมื่อมีภาวะอาการจอประสาทตาฉีกขาด มักจะส่งผลต่อดวงตาและส่งผลกับการมองเห็น โดยมีลักษณะอาการที่สังเกตได้ชัดเจนมีดังต่อไปนี้ มีอาการตาพร่ามัว มีตะกอนสีดำในดวงตา มีจุดดำหรือเส้นสีดำขวางการมองเห็น มีอาการมองเห็นภาพไฟกะพริบหรือฟ้าแล่บ มีอาการเลือดออกในดวงตา     จอประสาทตาฉีกขาด เกิดจากสาเหตุใด อย่างที่รู้กันไปแล้วว่าภาวะจอประสาทตาฉีกขาดมีสาเหตุจากปัญหาวุ้นตาสูญเสียการคงตัวและทำให้จอตาฉีกขาดหากขยับดวงตาแรง ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลให้เกิดจอประสาทตาฉีกขาดร่วมด้วย ดังนี้ มีภาวะสายตาสั้นมาก ๆ คนในครอบครัวมีประวัติจอประสาทตาลอก เคยมีประวัติผ่าตัดลูกตา ปัจจัยด้านสุขภาพ อย่างโรคเบาหวาน อักเสบติดเชื้อในลูกตา เนื้องอกบริเวณลูกตา มะเร็งในลูกตา หรือโรคจอประสาทตาหลุดลอก เกิดอุบัติเหตุกระทบกับดวงตาอย่างรุนแรง ใครเสี่ยงเป็นจอประสาทตาฉีกขาดบ้าง ภาวะจอประสาทตาฉีกขาดเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ ทำให้ภาวะนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่สำหรับคนที่มีความเสี่ยงสูงมากกว่าคนปกติ ได้แก่ กลุ่มคนที่มีปัญหาสายตาสั้น กลุ่มคนที่เคยเข้ารับการผ่าตัดดวงตา กลุ่มคนที่เคยมีประวัติเป็นโรคจอประสาทตาลอก หรือคนที่มีคนในครอบครัวพบภาวะโรคจอประสาทตาฉีกขาด วินิจฉัยอาการจอประสาทตาฉีกขาด เนื่องจากภาวะจอประสาทตาฉีกขาด เป็นภาวะที่ไม่สามารถมองเห็นได้จากการสังเกตภายนอกและสังเกตอาการได้ยาก เพราะมีอาการคล้ายกับโรคตาอื่นๆ จักษุแพทย์จึงต้องอาศัยเครื่องมือเฉพาะในการตรวจจอประสาทตาฉีกขาด ได้แก่ เครื่องมือตรวจจอประสาทตา Ophthalmoscope ที่มีแสงสว่างและกำลังขยายสูงในการตรวจหรือใช้รวมกับเครื่องมือชนิดพิเศษอื่น ๆ เช่น กล้องจุลทรรศน์ (Slit Lamp) ประกอบกับการใช้คอนแท็กต์เลนส์พิเศษ เครื่องตรวจตาความถี่สูง (Ultrasound) หรือการถ่ายภาพอัลตราซาวนด์กรณีที่มีปัญหาเลือดออกในตา     การรักษาจอประสาทตาฉีกขาดแบบไม่ผ่าตัด กรณีที่มีจอประสาทตาฉีกขาดอาการที่ไม่รุนแรง ม่านตายังไม่เกิดรู หรือการฉีกขาด สามารถรักษาอาการจอประสาทตาฉีกโดยไม่จำเป็นต้องผ่าตัด ดังนี้ การฉายแสงเลเซอร์หรือ Photocoagulation หรือ Laser surgery เป็นการรักษาโดยการยิงเลเซอร์ไปยังรอยขาดของจอประสาทตา ซึ่งข้อดีของการรักษาด้วยแสงเลเซอร์คือ มีความเสี่ยงน้อยเพราะไม่ใช่วิธีการผ่าตัด ผู้เข้ารับการรักษาไม่จำไม่ต้องนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาล เดินทางกลับบ้านได้ทันทีหลังรักษาเสร็จ การใช้ความเย็นจี้หรือ Cryopexy เป็นการรักษาด้วยการใช้ความเย็นจี้ไปยังบริเวณที่ฉีกขาดเช่นเดียวกับการฉายแสงเลเซอร์ การฉีดแก๊สหรือ Pneumatic Retinopexy เป็นการรักษาด้วยการฉีกแก๊สหรืออากาศเข้าสู่ดวงตา เพื่อหยุดของเหลวไม่ให้ไหลเข้าไปในช่องว่างหลังจากประสาทตาทำร่วมกับการรักษาด้วยการฉายแสงเลเซอร์หรือการจี้ด้วยความเย็น และทำในผู้ป่วยจอประสาทตาฉีกขาดบางราย ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์เท่านั้น การรักษาจอประสาทตาฉีกขาดแบบผ่าตัด สำหรับการรักษาจอประสาทตาฉีกขาดด้วยการผ่าตัดเป็นการรักษาในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการรุนแรง ม่านตาเกิดการฉีกขาด โดยปัจจุบันการรักษาด้วยการผ่าตัดมีด้วยกัน 2 วิธี ได้แก่ การผ่าตัดจอประสาทตาหรือ Scleral Buckling เป็นการผ่าตัดเพื่อดันให้ผนังดวงตากลับมาติดกับจอประสาทตา โดยใช้วัสดุมาหนุนที่รอบนอกของดวงตา แต่ในการผ่าตัดแพทย์อาจทำร่วมกับการฉายเลเซอร์หรือใช้ความเย็นเพื่อปิดรอยฉีกขาด การผ่าตัดโดยการส่องกล้องผ่าตัดวุ้นตาและจอประสาทตาหรือ Aitrectomy Machine เป็นการผ่าตัดรักษาจอประสาทตาฉีกขาดด้วยการใช้เครื่องมือสอดเข้าไปในตาดำหลังจากได้รับยาสลบ ซึ่งจุดเด่นของการผ่าตัดด้วยวิธีนี้คือ เครื่องมือที่ใช้มีขนาดเล็ก จึงไม่ต้องเย็บแผลให้เกิดการระคายเคือง อีกทั้งยังไม่ต้องพักฟื้นอีกด้วย     ป้องกันจอประสาทตาฉีกขาดได้อย่างไร เนื่องด้วยจอประสาทตาฉีกขาดเป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้เมื่ออายุมากขึ้น จึงทำให้หลีกเลี่ยงได้ยาก เพราะฉะนั้นจึงควรป้องกันและลดความเสี่ยงด้วยการสวมแว่นตานิรภัยหรืออุปกรณ์ป้องกันทุกครั้งที่อยู่ในสถานที่เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุเกี่ยวกับดวงตา นอกจากนั้นควรตรวจสุขภาพดวงตาเพื่อประเมินความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ หากพบว่าปัญหาจอประสาทตาฉีกขาดให้รีบปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษาก่อนที่อาการจะมีความรุนแรงและกระทบกับการมองเห็น รักษาประสาทตาฉีกขาด ที่ศูนย์รักษาจอประสาทตา Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร หากมีประสาทตาฉีกขาด แนะนำให้เข้ามาปรึกษาและรักษาอาการเหล่านี้ได้ที่ศูนย์รักษาจอประสาทตา Bangkok Eye Hospital ที่นี่โดดเด่นด้านการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ด้วยทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีจุดเด่นดังนี้ โรงพยาบาลมีทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย พร้อมให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง สรุป จอประสาทตาฉีกขาดเกิดขึ้นได้กับทุกคน เพราะเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งอายุที่เพิ่มมากขึ้น ปัญหาสายตาสั้น โรคประจำตัว โรคตา และการประสบอุบัติเหตุ ด้วยเหตุนี้การป้องกันภาวะจอประสาทตาฉีกขาดที่ดีที่สุดคือ การตรวจสุขภาพตาเป็นประจำและหมั่นสังเกตอาการของตัวเอง หากมีความผิดปกติให้รีบปรึกษาจักษุแพทย์ทันที มาที่ศูนย์รักษาจอประสาทตา Bangkok Eye Hospitalที่นี่นอกจากจะมีจักษุแพทย์และทีมงานรักษาที่เชี่ยวชาญด้านโรคตาโดยเฉพาะแล้ว ยังมาพร้อมเทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัย ครบวงจร มั่นใจได้ในประสิทธิภาพการรักษาดวงตาของคุณ
Neuroophthalmology

รู้จักและเข้าใจจอประสาทตาอักเสบ-สาเหตุและการรักษาที่มีประสิทธิภาพ

โรคจอประสาทตาอักเสบ คืออาการที่เส้นประสาทตาอักเสบจนส่งผลให้การส่งข้อมูลการมองเห็นจากดวงตาไปยังสมองทำงานผิดปกติ ส่งผลให้ผู้ป่วยมองเห็นไม่ชัด ไปจนถึงอาจทำให้สูญเสียการมองเห็นแบบถาวร โรคจอประสาทตาอักเสบเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส เชื้อรา โรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และอาการบาดเจ็บของดวงตา จักษุแพทย์มีแนวทางการรักษาโรคจอประสาทตาอักเสบได้ด้วยการจ่ายยาตามสาเหตุของการเกิดโรค ทั้งยาแบบกินและแบบฉีด ส่วนกรณีที่มีอาการรุนแรง หรือมีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ร่วมด้วย จักษุแพทย์อาจพิจารณาการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดวุ้นตา (Vitrectomy) ป้องกันโรคจอประสาทตาอักเสบได้โดยการปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ล้างมือบ่อยๆ ปรับการกิน งดสูบบุหรี่ สวมถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ และควรตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ รักษาโรคจอประสาทตาอักเสบที่ศูนย์รักษาจอประสาทตา Bangkok Eye Hospitalรักษาโดยจักษุแพทย์มากประสบการณ์ พร้อมเทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัย มั่นใจได้ในผลลัพธ์การรักษาที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ   โรคจอประสาทตาอักเสบ โรคร้ายที่มาพร้อมกับเส้นประสาทตาอักเสบ เป็นตัวการของการมองเห็นภาพไม่ชัด ตาไวต่อแสง อาการปวดตา ไปจนถึงอาจสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร! บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับโรคจอประสาทตาอักเสบให้มากขึ้น ตั้งแต่อาการ สาเหตุ ตลอดจนการวินิจฉัย การรักษา และแนวทางการป้องกัน     โรคจอประสาทตาอักเสบ คืออะไร โรคจอประสาทตาอักเสบ คืออาการที่เกิดจากการอักเสบของเส้นประสาทตา ซึ่งเป็นกลุ่มของเส้นใยประสาทที่ส่งข้อมูลการมองเห็นจากดวงตาไปยังสมอง ส่งผลให้มองเห็นภาพไม่ชัด โดยเฉพาะบริเวณกลางของภาพ และอาจมีอาการปวดตาเวลาขยับลูกตาร่วมด้วย อาการแบบไหนถึงเรียกว่า จอประสาทตาอักเสบ อาการของโรคจอประสาทตาอักเสบที่พบได้บ่อย มีดังนี้ รู้สึกปวดเมื่อมีการเคลื่อนไหวบริเวณดวงตา มองเห็นจุดดำตรงกลางลานสายตา ตาแดงก่ำหรือแดงเป็นเลือด ตาไวต่อแสง รู้สึกแสบตาเมื่อโดนแสงสว่าง น้ำตาไหลมากผิดปกติ มองเห็นแสงวาบในดวงตาข้างที่มีอาการเส้นประสาทตาอักเสบ สูญเสียการมองเห็นสีบางสี มีปัญหาด้านการแยกแยะสี สูญเสียการมองเห็นด้านข้าง มองเห็นภาพเบลอข้างใดข้างหนึ่งของดวงตา สูญเสียการมองเห็นในตาข้างใดข้างหนึ่ง ไปจนถึงตาบอดสนิท     จอประสาทตาอักเสบมักเกิดจากอะไร? สาเหตุของโรคจอประสาทตาอักเสบเกิดจากสาเหตุทั้งการติดเชื้อและไม่ติดเชื้อ ดังนี้ จอประสาทตาอักเสบที่มาจากการติดเชื้อ โรคจอประสาทตาอักเสบเกิดจากตั้งแต่เกิดหรือเกิดขึ้นทีหลัง โดยมาจากเชื้อ ดังนี้ การติดเชื้อแบคทีเรียเช่น วัณโรค ซิฟิลิส การติดเชื้อราโดยเฉพาะที่เกิดจากเชื้อราแคนดิดา การติดเชื้อไวรัสเช่น เริม เอชไอวี โรคหัดเยอรมัน การติดเชื้อปรสิตเช่น โทโคพลาสโมซิส ซึ่งอาจมาจากแมว โรคภูมิต้านทานผิดปกติเช่น โรคเบห์เช็ท และซาร์คอยโดซิส จอประสาทตาอักเสบที่ไม่ได้มาจากการติดเชื้อ โรคจอประสาทตาอักเสบ ที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ ได้แก่ อาการบาดเจ็บบริเวณดวงตา โรคภูมิต้านทานผิดปกติและโรคอักเสบเช่น โรครูมาตอยด์ มะเร็งบางชนิดเช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง     การวินิจฉัยโรคจอประสาทตาอักเสบ ในการวินิจฉัยโรคจอประสาทตาอักเสบก่อนทำการรักษา จักษุแพทย์จะตรวจตาอย่างละเอียด โดยมีแนวทางการวินิจฉัย ดังนี้ การขยายม่านตาและตรวจจอประสาทตาด้วยกล้องจุลทรรศน์ (Slitlamp)โดยจักษุเเพทย์เพื่อดูจอประสาทตาและเส้นเลือดที่เลี้ยงจอประสาทตา รวมถึงการตรวจวัดความดันลูกตา การตรวจจอประสาทตาด้วยเทคนิค Optical Coherence Tomography (OCT)เป็นการวัดความหนาของจอประสาทตาและการบวมของจอประสาทตาหรือ ดูขั้วประสาทตาได้อย่างชัดเจน การตรวจจอประสาทตาด้วยการฉีดสารเรืองแสงฟลูออเรสซีนเพื่อดูการไหลเวียนของเลือดและการรั่วของหลอดเลือด การตรวจจอประสาทตาด้วยการฉีดสารเรืองอินโดไซยานีนกรีน(ICG Angiography)เพื่อดูการทำงานของหลอดเลือดขนาดเล็กในจอประสาทตา     จอประสาทตาอักเสบ รักษาได้อย่างไร การรักษาจอประสาทตาอักเสบ ทำได้ทั้งแบบใช้ยาและผ่าตัด โดยแพทย์จะพิจารณาตามระดับความรุนแรงของอาการ โดยมีรายละเอียดดังนี้ การใช้ยา การรักษาจอประสาทตาอักเสบด้วยการใช้ยา โดยปกติแล้วจะใช้ยาตามสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ โดยมีตัวยาที่จักษุแพทย์พิจารณาจ่ายให้ผู้ป่วยโรคจอประสาทตาอักเสบ มีดังนี้ การให้สเตียรอยด์ทางหลอดเลือดดำเป็นการรักษาเริ่มต้นมาตรฐานสำหรับผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่เป็นโรคจอประสาทตาอักเสบและเส้นประสาทตาอักเสบ ช่วยลดการอักเสบของเส้นประสาทตาและช่วยเร่งการฟื้นตัวของการมองเห็น สเตียรอยด์ชนิดรับประทานในบางกรณีอาจมีการสั่งจ่ายสเตียรอยด์ชนิดรับประทานหลังจากการรักษาทางหลอดเลือดดำครั้งแรก เพื่อลดการอักเสบและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ การแลกเปลี่ยนพลาสมา (PLEX)หากสเตียรอยด์ทางหลอดเลือดดำไม่ได้ผล อาจพิจารณาทำ PLEX โดยเอาส่วนที่เป็นของเหลวในเลือด (พลาสมา) ออก จากนั้นแทนที่ด้วยสารทดแทนพลาสมา หรือพลาสมาที่ได้รับบริจาค ยาปรับเปลี่ยนโรค (DMTs)หากโรคเส้นประสาทตาอักเสบเกี่ยวข้องกับโรคประจำตัว เช่น โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง อาจแนะนำให้ใช้ DMTs เพื่อจัดการกับโรคประจำตัวและป้องกันไม่ให้เกิดโรคจอประสาทตาอักเสบในอนาคต   การผ่าตัด การรักษาจอประสาทตาอักเสบด้วยการผ่าตัด จักษุแพทย์จะพิจารณาผ่าตัดวุ้นตา (Vitrectomy) ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงและไม่สามารถควบคุมอาการได้ด้วยวิธีการจ่ายยาทั่วไป รวมถึงผู้ป่วยที่มีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ อย่าง มีเลือดออกในวุ้นตา หรือมีพังผืดดึงรั้งจอประสาทตา เป็นต้น โดยการผ่าตัดวุ้นตา (Vitrectomy) คือการผ่าตัดภายในลูกตา เพื่อนำวุ้นตา (Vitreous) ที่เป็นของเหลวใสภายในลูกตาออก และกำจัดสิ่งแปลกปลอมหรือเนื้อเยื่อที่ผิดปกติที่อาจกดทับหรือดึงรั้งจอประสาทตาออกไป โดยหลังจากการผ่าตัด การอักเสบของจอประสาทตาจะลดลง ลดอาการระคายเคืองของจอประสาทตา หรือในบางกรณียังช่วยฟื้นฟูการมองเห็นที่สูญเสียจากจอประสาทตาอักเสบได้ด้วยเช่นกัน     จอประสาทตาอักเสบสามารถป้องกันได้ไหม? เนื่องจากอาการจอประสาทตาอักเสบเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ บางสาเหตุอาจป้องกันได้แต่บางสาเหตุก็ป้องกันไม่ได้ จึงมีแนวทางการดูแลสุขภาพดวงตาเพื่อลดโอกาสเกิดโรคจอประสาทตาอักเสบ ดังนี้ ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่และน้ำ หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ก่อนสัมผัสดวงตา พบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพดวงตาเป็นประจำ รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หากมีอาการโรคจอประสาทตาอักเสบ สิ่งสำคัญคือต้องรีบไปพบแพทย์โดยเร็วเพื่อทำการวินิจฉัยให้ได้รับการรักษาแต่เนิ่นๆ ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งในการมีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันโรคติดต่อที่อาจส่งผลให้เกิดจอประสาทตาอักเสบ รักษาโรคจอประสาทตาอักเสบ ที่ศูนย์รักษาจอประสาทตา Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร หากมีอาการโรคจอประสาทตาอักเสบ แนะนำให้เข้ามาปรึกษาและรักษาอาการเหล่านี้ได้ที่ศูนย์รักษาจอประสาทตา Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) โดดเด่นด้านการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตาครบทุกด้าน ด้วยทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีจุดเด่นดังนี้ โรงพยาบาลเฉพาะทางฯ มีทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติทางดวงตา สายตา และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย พร้อมให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง สรุป อาการโรคจอประสาทตาอักเสบ เกิดจากเส้นประสาทตาที่อักเสบจนส่งผลให้การส่งข้อมูลการมองเห็นจากตาไปยังสมองทำงานผิดปกติ ผู้ป่วยมักมีอาการปวดตา ตาแดง ตาไวต่อแสง มองเห็นจุดดำกลางลานสายตา มองเห็นภาพเบลอ หรืออาจสูญเสียการมองเห็นแบบถาวร ผู้ป่วยโรคจอประสาทตาอักเสบจึงควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสม โดยจักษุแพทย์จะพิจารณาการรักษาตามอาการของผู้ป่วยตั้งแต่การจ่ายยาไปจนถึงการผ่าตัด เพื่อให้ผลลัพธ์การรักษาออกมาปลอดภัย ควรเลือกโรงพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญในการรักษาโรค พร้อมด้วยเทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัย เพื่อให้การรักษาปลอดภัย และได้ประสิทธิภาพสูงสุด แนะนำมาที่ศูนย์รักษาจอประสาทตา Bangkok Eye Hospital(โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ที่นี่มีจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่มีประสบการณ์ในการดูแลคนไข้โรคเฉพาะทางดวงตาคอยให้การดูแล ตั้งแต่ขั้นตอนการปรึกษาตลอดจนการรักษา และยังมีเทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัยเพื่อให้ประสิทธิภาพการรักษาออกมาปลอดภัยและเหมาะสมอีกด้วย

จอประสาทตาลอกคืออะไร มีอาการอย่างไร พร้อมวิธีรักษาและป้องกัน

รู้จักอาการและปัจจัยเสี่ยงของจอประสาทตาเสื่อม พร้อมวิธีการดูแลรักษา

Retina Center

5 สุดยอดอาหารบำรุงจอประสาทตา

5 สุดยอดอาหารบำรุงจอประสาทตา :  เสริมแกร่งสายตาคู่ใจ เพื่อการมองเห็นที่คมชัด จอประสาทตา คือ อวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่รับภาพและส่งสัญญาณไปยังสมอง ทำให้เรามองเห็นโลกอันสวยงามรอบตัวเรา การดูแลรักษาจอประสาทตาจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะหากเกิดความเสียหายขึ้น อาจส่งผลต่อการมองเห็นอย่างถาวรได้ นอกจากการตรวจสุขภาพตาเป็นประจำแล้ว การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยบำรุงและเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับจอประสาทตาได้ อาหาร 5 ชนิด ที่ช่วยบำรุงจอประสาทตา และความสำคัญของสารอาหารแต่ละชนิดในอาหาร 1.    ผักใบเขียวเข้ม : ผักใบเขียว เช่น คะน้า ตำลึง ผักโขม และผักบุ้ง อุดมไปด้วยลูทีนและซีแซนทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องจอประสาทตาจากแสงสีฟ้าและรังสียูวี o    ลูทีนและซีแซนทีน : ทำหน้าที่เป็นเหมือน “แว่นกันแดดภายใน” ช่วยกรองแสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายต่อดวงตา และยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อมตามอายุ (Age-related Macular Degeneration - AMD) อ้างอิงจากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Journal of Ophthalmology 2.    ปลาที่มีไขมันสูง : ปลาแซลมอน ปลาทูน่า และปลาแมคเคอเรล เป็นแหล่งของกรดไขมันโอเมก้า-3 ซึ่งมีส่วนสำคัญในการรักษาสุขภาพของจอประสาทตา o    กรดไขมันโอเมก้า-3 : ช่วยลดการอักเสบและป้องกันจอประสาทตาแห้ง นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าโอเมก้า-3 อาจช่วยชะลอการลุกลามของโรคจอประสาทตาเสื่อมได้ อ้างอิงจากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Archives of Ophthalmology 3.    ไข่ : ไข่แดงอุดมไปด้วยลูทีน ซีแซนทีน และสังกะสี o    สังกะสี : ช่วยในการขนส่งวิตามินเอไปยังจอประสาทตา ซึ่งวิตามินเอมีบทบาทสำคัญในการมองเห็นในที่แสงน้อย การขาดสังกะสีอาจนำไปสู่ภาวะตาบอดกลางคืนได้ 4.    ผลไม้ตระกูลเบอร์รี : บลูเบอร์รี สตรอว์เบอร์รี และราสเบอร์รี เป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ o    สารต้านอนุมูลอิสระ : ช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตาจากความเสียหาย และยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังดวงตา ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพตาโดยรวม 5.    ถั่วและเมล็ดพืช : อัลมอนด์ วอลนัท และเมล็ดทานตะวัน เป็นแหล่งของวิตามินอี o    วิตามินอี : เป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกชนิดหนึ่งที่ช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตา วิตามินอียังช่วยลดความเสี่ยงของโรคต้อกระจกและจอประสาทตาเสื่อมตามที่ระบุในวารสารทางการแพทย์หลายฉบับ เมนูอาหารบำรุงสายตาที่คุณสามารถทำเองได้ง่ายๆ สลัดผักโขมกับปลาแซลมอนย่าง : อุดมไปด้วยลูทีน ซีแซนทีน และโอเมก้า-3 ไข่เจียวใส่ผัก : ได้รับทั้งลูทีน ซีแซนทีน และสังกะสี โยเกิร์ตกับผลไม้รวมและถั่ว : รวมสารอาหารบำรุงสายตาหลายชนิดไว้ในเมนูเดียว น้ำปั่นบลูเบอร์รี : ดื่มง่าย ได้รับสารต้านอนุมูลอิสระเต็มๆ ผลงานวิจัยสนับสนุน งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Journal of Ophthalmology พบว่า การรับประทานอาหารที่มีลูทีนและซีแซนทีนสูง ช่วยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อมขั้นสูงได้ งานวิจัยในวารสาร Archives of Ophthalmology ระบุว่า ผู้ที่รับประทานปลาที่มีไขมันสูงเป็นประจำ มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมน้อยกว่าผู้ที่ไม่ค่อยรับประทาน  ที่ศูนย์รักษาจอประสาทตา โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ เรามีทีมจักษุแพทย์เฉพาะทางด้านจอประสาทตา พร้อมด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย คอยให้บริการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคทางจอประสาทตาอย่างครบวงจรหากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสุขภาพตา หรือต้องการเข้ารับการตรวจเช็คสุขภาพตา สามารถติดต่อได้ที่ 02-511-2111 ศูนย์รักษาจอประสาทตา โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ ได้ทันที เราพร้อมดูแลดวงตาของคุณ เพื่อให้คุณมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมองเห็นโลกได้อย่างชัดเจน สุขภาพตาที่ดี เริ่มต้นจากการใส่ใจ
calling
ទំនាក់ទំនងមកយើងខ្ញុំ : +662 511 2111