Blogs

Sort

Dry eyes

Dry eyes Tears play a crucial role in keeping our eyes moist, ensuring clear vision by letting light effectively pass through the eye's lens, and supplying oxygen to nourish the eye. They also help fend off infections and keep foreign substances at bay.   Now, when it comes to dry eyes, it's a pretty common issue that can stem from abnormal tear production or tears evaporating too quickly. This can lead to discomfort, irritation, that feeling like there's something foreign in your eye, redness, pain, blurry vision that gets better with blinking, or even feeling like your eyes are tired and heavy. What causes dry eyes can vary—getting older, being a woman (yeah, we're more prone to it), certain allergy medications, spending loads of time on screens, being in places with dust and smoke, gusty winds, and bright lights, they can all have a hand in it.   But hey, the good news is there are ways to tackle dry eyes:   Keep away from things that can make it worse, like strong winds and dust, by popping on some sunglasses and protecting those peepers. Remember to take breaks or blink more often, especially when you're glued to screens for a while. You've got these cool eye drops called artificial tears. There's a type for daytime (more watery) and nighttime (a bit thicker). Which one to use depends on how serious your dry eye situation is. Sometimes your doc might suggest special eye drops that encourage your eyes to make more tears. Give your eyes a treat with warm, clean cloths over your closed eyelids to help them feel better. If the dry eye struggle is real and isn't improving, it's wise to chat with an eye doctor.   All in all, dry eyes can be a bother, but there are solutions out there. It's important to take good care of your eyes, especially when it's all dry outside. If you suspect you've got dry eyes, having a chat with an eye care expert is a smart move.      
Read More

อาการคันตาเกิดจากอะไรได้บ้าง พร้อมสาเหตุที่พบบ่อยและวิธีป้องกัน

อาการคันตาเป็นหนึ่งในปัญหาที่หลายคนพบเจอในชีวิตประจำวัน และอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ภูมิแพ้ ฝุ่นละออง หรือการใช้หน้าจอนานๆ ซึ่งหากไม่ดูแลหรือบรรเทาอาการอย่างถูกวิธี อาจส่งผลต่อสุขภาพดวงตาในระยะยาว มาดูกันว่ามีสาเหตุใดบ้างที่ทำให้เกิดอาการคันตา และวิธีบรรเทาอาการเหล่านั้นอย่างมีประสิทธิภาพ   คันตาคืออาการที่เกิดจากการระคายเคืองหรือการแพ้ที่ทำให้รู้สึกคันบริเวณดวงตา สาเหตุของอาการคันตามักเกิดจากการแพ้สารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ ขนสัตว์ หรือการติดเชื้อจากแบคทีเรียหรือไวรัส รวมถึงการใช้งานตาเป็นเวลานานหรือแห้งเกินไป การรักษาอาการคันตาอาจทำได้โดยการใช้ยาหยอดตา น้ำตาเทียม การประคบเย็น หรือหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ หากอาการไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์ การรักษาอาการคันตาที่ Bangkok Eye Hospital ให้การดูแลโดยแพทย์ผู้ชำนาญการ พร้อมใช้อุปกรณ์ทันสมัยเพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่แม่นยำ ช่วยบรรเทาอาการได้เร็วและปลอดภัย     อาการคันตาคืออะไร? คันตาคืออาการที่รู้สึกคันบริเวณดวงตา ซึ่งสามารถเกิดจากหลายสาเหตุ และพบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ อาการอาจเป็นเพียงชั่วคราวหรือเกิดขึ้นเรื้อรัง ขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการ หากอาการคันตารุนแรงหรือไม่หายไป ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษา การรักษาที่เหมาะสมจะช่วยให้อาการคันตาดีขึ้นและหายขาดได้     อาการคันตาเป็นอย่างไร? ลักษณะอาการที่ควรรู้ อาการคันตามักทำให้รู้สึกคันหัวตา เปลือกตาบน หรือภายในดวงตา บางครั้งอาจคันหัวตาข้างเดียวและอาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ตาแฉะหรือมีน้ำตาไหล ตาแดงหรือระคายเคือง มีจุดเลือดเกิดขึ้นภายในดวงตา เปลือกตาบวม ปัญหาการมองเห็นหรือเห็นภาพไม่ชัด ลืมตายากหรือไม่สามารถลืมตาได้เต็มที่ ตาแพ้แสงหรือไวต่อแสง เจ็บหรือปวดตา รู้สึกเหมือนมีเศษผงอยู่ในตา     สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการคันตา คันหัวตา หรือคันเปลือกตา อาการคันตา คันหัวตา หรือคันเปลือกตาอาจเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจมีความสัมพันธ์กับสุขภาพของดวงตาหรือสภาพแวดล้อมที่เราเผชิญในชีวิตประจำวัน ดังนี้ ภูมิแพ้ อาการแพ้สามารถทำให้เกิดอาการคันตา คันหัวตา หรือคันเปลือกตาบนได้ เนื่องจากบริเวณนี้บอบบางและไวต่อการแพ้ สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่ ฝุ่น มลพิษ สบู่ น้ำยาทำความสะอาด สารเคมี เครื่องสำอางที่ใช้รอบดวงตา เช่น อายแชโดว์ หรืออายไลน์เนอร์ ครีมกันแดด และน้ำยาย้อมสีผมหรือยาทาเล็บ ระคายเคืองหรือแพ้คอนแท็กต์เลนส์ การใส่คอนแท็กต์เลนส์เป็นประจำอาจทำให้เกิดอาการคันตาหรือคันหัวตาได้ หากใส่คอนแท็กต์เลนส์เป็นระยะเวลานานโดยไม่ดูแลรักษาอย่างถูกต้อง การสะสมของเชื้อโรคหรือสารเคมีในคอนแท็กต์เลนส์สามารถกระตุ้นการระคายเคืองที่ดวงตาได้ บางรายอาจแพ้สารในน้ำยาทำความสะอาดคอนแท็กต์เลนส์ ซึ่งก็สามารถทำให้เกิดอาการคันตาได้เช่นกัน อาการตาล้า การใช้สายตานานๆ หรืออยู่ในห้องที่เปิดเครื่องปรับอากาศนานๆ อาจทำให้ดวงตาล้าและแห้ง จนเกิดอาการคันตาได้ ภาวะตาล้ามักมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ตามัว ปวดศีรษะ ปวดคอและหลัง ตาแพ้แสง ไม่มีสมาธิ และลืมตาไม่ขึ้น ภาวะตาแห้ง อาการตาแห้งอาจทำให้เกิดอาการคันตา คันหัวตา และแสบร้อน รวมถึงอาการตาแฉะ ตาแดง น้ำตาไหล หรือมีปัญหาสายตาในเวลากลางคืน เช่น ตามัว ตาแพ้แสง และตาอ่อนล้า ปัญหาขนตาทิ่มตา ขนตาที่ขึ้นใหม่มักคดหรือม้วนเข้าด้านในตา ซึ่งทำให้ขนตาสัมผัสกับผิวหนังภายในตา ส่งผลให้เกิดการระคายเคือง จนทำให้รู้สึกคันตา และอาจทำให้เกิดอาการตาแดงหรือบวมตามมาได้เช่นกัน เปลือกตาอักเสบ ภาวะนี้สามารถเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ต่อมไขมันในรูขุมขนที่บริเวณเปลือกตาอุดตัน ซึ่งทำให้เกิดการระคายเคืองจนคันที่เปลือกตาบน การติดเชื้อแบคทีเรีย ผลข้างเคียงจากการใช้ยา หรือความผิดปกติของต่อมไขมัน รวมถึงการมีตัวไรที่ขนตา การอักเสบของเปลือกตาอาจทำให้มีเมือกเหนียวในดวงตาและสะเก็ดแข็งเกาะที่บริเวณเปลือกตาและขนตา ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะรุนแรงขึ้นในเวลากลางคืน เยื่อบุตาอักเสบ เยื่อบุตาอักเสบสามารถทำให้เกิดอาการคันตาและตาแดง ซึ่งอาจติดต่อไปยังผู้อื่นได้ ดังนั้น หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาโดยด่วน กระจกตาเป็นแผล บาดแผลที่กระจกตาสามารถทำให้เกิดอาการคันตาได้ หากบาดแผลไม่ลึก อาจหายได้เองในระยะเวลาสั้นๆ แต่หากเป็นบาดแผลลึก อาจทำให้มีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น เจ็บตา ตามัว ตาแดง และตาแพ้แสง หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที อาจส่งผลให้สูญเสียความสามารถในการมองเห็นได้ ติดเชื้อที่กระจกตา ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการใส่คอนแท็กต์เลนส์ โดยเฉพาะคอนแท็กต์เลนส์ที่ไม่ถูกสุขลักษณะ อาจทำให้เกิดการติดเชื้อและทำให้ดวงตาบาดเจ็บ ตามมาด้วยการอักเสบ เจ็บตา คันตา มีหนองในตา รวมทั้งปัญหาในการมองเห็น หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาโดยด่วน เพื่อป้องกันอาการรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจทำให้สูญเสียการมองเห็นได้     แนวทางการแก้อาการคันตาเบื้องต้น คันตาเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยและเกิดจากหลายสาเหตุ การดูแลเบื้องต้นสามารถช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นก่อนพบแพทย์ หากคุณมีอาการคันตา นี่คือแนวทางที่อาจช่วยบรรเทาอาการได้ง่ายๆ ล้างตาแก้อาการคันตา วิธีแรกในการแก้อาการคันตาคือการลืมตาในน้ำอุ่นหรือน้ำไหลผ่านดวงตาเบาๆ เพื่อชำระสิ่งแปลกปลอม เช่น ฝุ่นละออง หรือขนตาที่หลุดเข้าไปในตา อีกวิธีคือใช้คอตตอนบัดหรือสำลีก้อนจุ่มน้ำผสมแชมพูเด็ก เช็ดเบาๆ ที่เปลือกตาและขนตาขณะหลับตา จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด ช่วยบรรเทาอาการคันและทำความสะอาดสะเก็ดที่เปลือกตาได้ดี ไม่ขยี้ตา การขยี้ตาเมื่อคันตาอาจทำให้ฝุ่นหรือสารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ตา ทำให้คันมากขึ้น หรือเกิดการระคายเคือง เช่น ตาแดงและตาอักเสบ นอกจากนี้ยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อและการขีดข่วนที่กระจกตา ซึ่งอาจทำให้เจ็บตาและบาดเจ็บได้ ควรหลีกเลี่ยงการขยี้ตาเพื่อป้องกันปัญหาดวงตาที่รุนแรงขึ้น ประคบเย็นที่ดวงตา การประคบเย็นที่ดวงตาช่วยลดอาการคันตาและตาบวมได้ โดยใช้ผ้าขนหนูสะอาดชุบน้ำเย็นแล้วประคบบนเปลือกตาประมาณ 10 นาที วิธีนี้ช่วยลดการไหลเวียนของเลือดและอาการบวม สามารถทำซ้ำได้ตามต้องการ กำจัดสารก่อภูมิแพ้ สารก่อภูมิแพ้ในบ้าน เช่น ไรฝุ่น ละอองเกสรดอกไม้ เชื้อรา และรังแคจากสัตว์เลี้ยง เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการคันตา ตาแดง ตาบวม และน้ำตาไหลในผู้ที่มีโรคภูมิแพ้ การทำความสะอาดบ้านและเครื่องนอนเป็นประจำ การปิดประตูหน้าต่างเมื่อมีลมแรง และการใช้เครื่องฟอกอากาศ จะช่วยบรรเทาอาการคันตาได้ ล้างหน้าและทำความสะอาดคอนแท็กต์เลนส์ให้ถูกวิธี การล้างเครื่องสำอางไม่สะอาดอาจทำให้เกิดอาการคันตา เนื่องจากฝุ่นผงจากเครื่องสำอางที่ใช้บริเวณคิ้วและตาเข้าไปในดวงตา ผู้ที่แต่งหน้าควรเช็ดเครื่องสำอางและล้างหน้าให้สะอาด และไม่ควรนอนหลับไปทั้งที่ยังไม่ได้ล้างหน้า นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการนอนหลับขณะที่ใส่คอนแท็กต์เลนส์ และทำความสะอาดคอนแท็กต์เลนส์อย่างเหมาะสม เพื่อช่วยแก้อาการคันตาและป้องกันการติดเชื้อในดวงตา ผ่อนคลายสายตาระหว่างวัน การใช้สายตาเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดอาการตาแห้ง คันตา ตาล้า และปวดตา วิธีแก้อาการคันตาง่ายๆ คือการพักสายตาตามหลัก 20:20:20 ทุก 20 นาที โดยมองออกไปไกล 20 ฟุต เป็นเวลา 20 วินาที เพื่อให้ดวงตาได้พักผ่อนและลดอาการคันตา ใช้น้ำตาเทียมรักษาความชุ่มชื้น หากมีอาการคันตาจากตาแห้ง การใช้น้ำตาเทียมที่สามารถหาซื้อได้จากร้านขายยาจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา บรรเทาอาการคันตาและลดการระคายเคืองจากการใส่คอนแท็กต์เลนส์ได้     วิธีรักษาและดูแลอาการคันตา อาการคันตาเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ และหากปล่อยไว้โดยไม่ดูแล อาจทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ได้ ดังนั้นการรักษาและดูแลอาการคันตาอย่างถูกวิธีจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ดวงตาของคุณรู้สึกสบายและลดความเสี่ยงจากการเกิดปัญหาตามมา ต่อไปนี้คือวิธีการรักษาและดูแลอาการคันตาตามสาเหตุต่างๆ รักษาตามอาการแพ้ การบรรเทาอาการคันตาจากอาการแพ้สามารถทำได้โดยหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้และใช้ยาแก้แพ้ เช่น ยารับประทานหรือยาหยอดตา ซึ่งยารับประทานบางชนิดอาจทำให้เกิดอาการง่วง ควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะหรือทำงานกับเครื่องจักรขณะใช้ยา นอกจากนี้การล้างดวงตาด้วยน้ำเกลือที่ปราศจากเชื้อจะช่วยบรรเทาอาการระคายเคือง ควรเลือกน้ำเกลือที่ผ่านการฆ่าเชื้อและบรรจุในขวดที่ปิดสนิทเพื่อป้องกันการปนเปื้อน แก้อาการคันตาจากตาแห้ง อาการคันตาจากการผลิตน้ำตาน้อยกว่าปกติสามารถบรรเทาได้ด้วยการใช้น้ำตาเทียมที่หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป นอกจากนี้หากอาการคันตาเกิดจากการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แห้ง เช่น ห้องปรับอากาศ หรือที่มีลมแรง การเปลี่ยนสถานที่หรือการสวมแว่นตาป้องกันลมก็สามารถช่วยบรรเทาอาการได้ รักษาภาวะเยื่อบุตาอักเสบ ภาวะนี้ส่วนใหญ่จะดีขึ้นได้เองโดยไม่ต้องรับการรักษาทางการแพทย์ ผู้ป่วยสามารถดูแลตัวเองได้โดยหลีกเลี่ยงการใส่คอนแท็กต์เลนส์ ล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสตา และหยอดน้ำตาเทียมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา หากอาการรุนแรงและต้องได้รับการรักษาทางการแพทย์ อาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะร่วมกับการดูแลตัวเองตามที่กล่าวมา รักษาเปลือกตาอักเสบ การรักษาเปลือกตาอักเสบขึ้นอยู่กับสาเหตุของการอักเสบ โดยเบื้องต้นแพทย์จะรักษาตามอาการเพื่อลดอาการคันตา เช่น การประคบอุ่นและทำความสะอาดเปลือกตาด้วยแชมพูหรือสบู่เด็ก นอกจากนี้หากมีการติดเชื้อ อาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะร่วมด้วย รักษาอาการติดเชื้อที่ตา สาเหตุนี้พบได้บ่อยในผู้ที่ใส่คอนแท็กต์เลนส์ โดยแพทย์มักจะแนะนำให้หยุดใช้คอนแท็กต์เลนส์ชั่วคราว และอาจสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะทั้งชนิดหยอดตาหรือชนิดรับประทาน เพื่อช่วยรักษาอาการติดเชื้อ ดูแลรักษากระจกตาเป็นรอย อาการคันตาที่มีความรุนแรงควรได้รับการดูแลจากแพทย์ เพราะการรักษาด้วยตัวเองอาจไม่เพียงพอ และหากปล่อยไว้อาจทำให้กระจกตาเกิดรอยถาวรได้ หากอาการคันตาเริ่มรุนแรงโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เนื่องจากอาการอาจลุกลามและเป็นอันตรายต่อดวงตาได้     วิธีป้องกันไม่ให้เกิดอาการคันตา วิธีป้องกันอาการคันตาที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดอาการดังกล่าว โดยหากสาเหตุเกิดจากอาการแพ้หรือโรคภูมิแพ้ ควรปฏิบัติตามวิธีดังนี้ หลีกเลี่ยงการเปิดหน้าต่างโดยไม่จำเป็น เพื่อลดการเข้ามาของฝุ่นละอองและมลพิษที่อาจกระตุ้นอาการคันตา ใช้ผ้าปูที่ป้องกันไรฝุ่น และทำความสะอาดเครื่องนอนเป็นประจำ โดยการซักด้วยน้ำร้อนเพื่อลดการสะสมของไรฝุ่นและเชื้อรา ล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง ก่อนสัมผัสคอนแท็กต์เลนส์และดวงตา เพื่อลดการปนเปื้อนของเชื้อโรคและสิ่งสกปรก ทำความสะอาดเครื่องสำอางทุกครั้งก่อนเข้านอน โดยเฉพาะบริเวณดวงตา เพื่อป้องกันการอุดตันของรูขุมขนที่อาจทำให้เกิดเปลือกตาอักเสบ ทำความสะอาดตัวกรองในเครื่องปรับอากาศเป็นประจำ เพื่อหลีกเลี่ยงการสะสมของฝุ่นและเชื้อโรคที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ในห้องที่ระบายอากาศไม่ดี เพื่อไม่ให้สารเคมีในควันบุหรี่กระตุ้นอาการคันตา สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันดวงตา เช่น แว่นกันสารเคมีหรือหน้ากากอนามัย หากทำงานในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อสารเคมีหรือมลพิษ อาบน้ำและทำความสะอาดร่างกายทุกครั้งหลังกลับบ้าน เพื่อป้องกันการนำเชื้อโรคหรือมลพิษที่ติดมากับร่างกายเข้าสู่บ้าน หลีกเลี่ยงการเกาที่ตาหรือบริเวณที่รู้สึกคัน เพราะการเกาอาจกระตุ้นให้ร่างกายปล่อยสารฮีสตามีนที่ทำให้การแพ้รุนแรงขึ้น ใช้น้ำเกลือชำระล้างดวงตา โดยใช้น้ำเกลือที่ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างถูกวิธีและไม่มีสารเติมแต่งหรือวัตถุกันเสีย เพื่อความสะอาดและปลอดภัย สรุป อาการคันตาสามารถเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การแพ้ การติดเชื้อ การใช้คอนแท็กต์เลนส์ หรือการขาดความชุ่มชื้นในดวงตา การบรรเทาอาการคันตาเบื้องต้นสามารถทำได้โดยการหลีกเลี่ยงการขยี้ตา ล้างตาด้วยน้ำเกลือ ใช้น้ำตาเทียม ประคบเย็น และพักสายตา การป้องกันสามารถทำได้โดยหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ ทำความสะอาดดวงตาและคอนแท็กต์เลนส์อย่างสม่ำเสมอ รวมถึงรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลให้ดี หากอาการรุนแรงควรพบแพทย์เพื่อการรักษาที่เหมาะสม โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพพร้อมให้บริการดูแลและรักษาอาการคันตา โดยใช้เครื่องมือที่ทันสมัยและการรักษาจากแพทย์ผู้ชำนาญการ เพื่อป้องกันไม่ให้อาการลุกลามไปสู่ปัญหาที่ร้ายแรงต่อจอประสาทตา และภาวะหรือโรคตาอื่นๆ อย่างมีประสิทธิภาพ FAQ มาดูคำถามเกี่ยวกับอาการคันตาที่พบบ่อย ซึ่งหลายคนมักสงสัยกันบ้าง เราจะมาไขข้อสงสัยและให้คำแนะนำในการดูแลเบื้องต้นเพื่อให้เข้าใจสาเหตุและวิธีการรับมือกับอาการคันตาได้ง่ายขึ้น ทำอย่างไรให้หายคันตา การแก้ไขและดูแลอาการคันตาด้วยตัวเอง เช่น ใช้น้ำตาเทียมล้างตา ประคบเย็นบรรเทาอักเสบ สวมหมวกหรือแว่นกันแดดเพื่อป้องกันละอองเกสร อาบน้ำทำความสะอาดร่างกายหลังกลับบ้าน และล้างมือก่อนสัมผัสดวงตาทุกครั้ง ทำไมถึงรู้สึกคันตาตลอดเวลา อาการคันตาตลอดเวลามักเกิดจากโรคภูมิแพ้ที่มีสารก่อภูมิแพ้ เช่น เกสรดอกไม้ ฝุ่น และขนสัตว์ ซึ่งทำให้ร่างกายปล่อยฮิสตามินทำให้ตาคัน แดง และบวม คันหัวตายิบๆ คืออาการอะไร   คันหัวตายิบๆ เป็นอาการที่พบบ่อยในคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ทางจมูก ซึ่งอาจลามขึ้นตามท่อน้ำตา ทำให้เกิดอาการคันหัวตามากๆ เมื่อภูมิแพ้กำเริบ

รู้จักกับแสงสีฟ้าในชีวิตประจำวัน และวิธีลดผลกระทบต่อสุขภาพดวงตา

แสงสีฟ้าคือคลื่นแสงพลังงานสูงที่มีความยาวคลื่นสั้น อยู่ในช่วง 415-455 นาโนเมตร พบได้ทั้งจากแหล่งธรรมชาติ เช่น แสงอาทิตย์ และจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น หน้าจอคอมพิวเตอร์ แท็บเลต สมาร์ตโฟน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อดวงตาและการนอนหลับได้ แสงสีฟ้าอาจทำให้ดวงตาล้า ตาแห้ง มองเห็นไม่ชัด เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคจอประสาทตาเสื่อม และรบกวนการหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนิน ส่งผลให้นอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท การป้องกันแสงสีฟ้าทำได้โดยปรับความสว่างหน้าจอให้เหมาะสม ใช้โหมดแสงสีโทนอุ่น สวมแว่นกรองแสงสีฟ้า พักสายตาด้วยกฎ 20-20-20 ใช้น้ำตาเทียมบรรเทาตาแห้ง และหลีกเลี่ยงการใช้หน้าจอก่อนนอน Bangkok Eye Hospital มีบริการตรวจวินิจฉัยและรักษาอาการตาล้า ตาแห้ง และปัญหาสายตาจากแสงสีฟ้า ด้วยเทคโนโลยีทันสมัยและจักษุแพทย์ผู้ชำนาญการ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมในอนาคต   ยุคที่เทคโนโลยีและการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และแท็บเล็ต เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น แสงสีฟ้าที่ปล่อยออกมาจากหน้าจอเหล่านี้กลายเป็นสิ่งที่เราสัมผัสอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าแสงสีฟ้าจะมีประโยชน์ในหลายด้าน แต่ก็มีผลกระทบต่อสุขภาพดวงตาและการนอนหลับหากได้รับในปริมาณมากเกินไป มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับแสงสีฟ้าและวิธีการลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับดวงตาและการใช้ชีวิตประจำวันกัน     แสงสีฟ้าคืออะไร? ทำไมถึงส่งผลกระทบต่อสุขภาพดวงตา แสงสีฟ้า (Blue Light) คือคลื่นแสงที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งมีความยาวคลื่นอยู่ในช่วง 415-455 nm แสงสีฟ้ามีพลังงานสูงและคล้ายคลึงกับรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) จึงสามารถทะลุผ่านอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะดวงตาและอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตา     แหล่งที่มาของแสงสีฟ้าในชีวิตประจำวัน ในชีวิตประจำวัน การหลีกเลี่ยงแสงสีฟ้าอาจเป็นเรื่องยาก เนื่องจากแสงสีฟ้ามีทั้งที่มาจากแหล่งธรรมชาติและสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ ซึ่งแต่ละแหล่งจะมีระดับความเข้มข้นของแสงสีฟ้าที่แตกต่างกันไป ดังนี้ แสงสีฟ้าจากธรรมชาติ นอกจากแสงสีฟ้าที่มาจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แล้ว แสงสีฟ้ายังสามารถพบได้จากธรรมชาติอีกด้วย เช่น แสงจากดวงอาทิตย์ที่ผ่านชั้นบรรยากาศ ซึ่งมีพลังงานสูงและความยาวคลื่นสั้น เมื่อแสงเหล่านี้ปะทะกับโมเลกุลของน้ำและอากาศ จะกระจายฟุ้งออกทั่วท้องฟ้าในเวลากลางวัน ทำให้เรามองเห็นท้องฟ้าเป็นสีฟ้า แสงสีฟ้าจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แสงสีฟ้าที่มาจากหน้าจอของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิดที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น สมาร์ตโฟน อุปกรณ์ทัชสกรีนต่างๆ หรือแม้กระทั่งหลอดไฟฟ้า ความเข้มข้นของแสงสีฟ้าในแต่ละอุปกรณ์อาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะและประเภทของอุปกรณ์นั้นๆ     ผลกระทบของแสงสีฟ้าต่อสุขภาพดวงตาและการนอนหลับ อันตรายจากแสงสีฟ้าคือการที่คลื่นพลังงานสูงสามารถทำลายเซลล์ในเลนส์ตา โดยเฉพาะจอตา (Retina) ส่งผลให้การส่งภาพไปยังประสาทตาไม่แม่นยำ ทำให้มองเห็นภาพเบลอ ตามัว หรือปรับแสงไม่ทัน ซึ่งอาจทำให้ดวงตาต้องใช้เวลาปรับตัวกับสภาพแสงใหม่ ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพดวงตาและการนอนหลับได้ดังนี้ อาการตาล้าและตาแห้ง อาการตาล้า (Asthenopia)และตาแห้ง (Dry Eyes)มักเกิดจากการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่มีรังสี UV และคลื่นแสงสีฟ้าที่มีความเข้มข้นสูง ซึ่งสามารถทำให้เกิดอาการคันตาและตาแดง หากปล่อยทิ้งไว้อาจนำไปสู่ภาวะผิวกระจกตาอักเสบพร้อมรอยแผลบนกระจกตา และทำให้พื้นผิวกระจกตามีความขรุขระ ส่งผลให้เกิดความระคายเคืองและความรำคาญขณะใช้สายตาในชีวิตประจำวัน จอประสาทตาเสื่อม โรคจอประสาทตาเสื่อม (Macular Degeneration)เกิดจากภาวะจอตาบวมและจุดภาพชัด (Macula) ที่รับคลื่นพลังงานแสงสีฟ้าจากหน้าจอ โดยไม่ใช้แว่นกรองแสงสีฟ้าหรืออุปกรณ์ป้องกันดวงตา ทำให้เกิดการเสื่อมสภาพในการส่งสัญญาณการมองเห็นไปยังเส้นประสาทตา ส่งผลให้เกิดอาการตามัวและการมองเห็นที่เสื่อมลง เช่น เห็นภาพสีเพี้ยน มองไม่ชัด หรือเห็นจุดดำตรงกลางภาพ นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดอาการแพ้แสงสีฟ้า เช่น ตาแสบ ตาร้อน และตาแห้ง หากไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่การตาบอดในที่สุด นอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท การได้รับคลื่นพลังงานแสงสีฟ้ามากเกินไปสามารถส่งผลกระทบต่อการนอนหลับ (Insomnia) โดยการรบกวนระบบนาฬิกาชีวิต (Circadian Rhythm) ของร่างกาย แสงสีฟ้าจากหน้าจอจะทำให้ต่อมไพเนียล (Pineal gland) ที่ผลิตฮอร์โมนเมลาโทนิน (Melatonin) ลดลง ส่งผลให้ผู้ป่วยนอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท ซึ่งอาจทำให้สุขภาพโดยรวมเสื่อมลงหากไม่ได้รับการดูแล     วิธีป้องกันแสงสีฟ้าจากหน้าจอ การป้องกันแสงสีฟ้าจากหน้าจอเป็นสิ่งสำคัญเพื่อช่วยถนอมดวงตาและหลีกเลี่ยงผลกระทบต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้หน้าจอนานๆ ซึ่งมีหลายวิธีที่สามารถช่วยลดการสัมผัสกับแสงสีฟ้า ได้แก่ ใส่แว่นกรองแสงสีฟ้า การเลือกใช้เลนส์กรองแสงสีฟ้าสามารถช่วยลดความเครียดของดวงตาและอาการอักเสบ เช่น ตาแดงได้ โดยควรเลือกเลนส์ที่มีประสิทธิภาพในการกรองแสงสีฟ้าระหว่าง 10-65% การทดสอบคุณภาพสามารถทำได้โดยการวัดผลสเปกตรัม RGB ทดสอบเม็ดสีของเลนส์ หรือการสะท้อนแสงสีฟ้าจากเลนส์เพื่อเช็คประสิทธิภาพการกรองแสง ปรับความสว่างหน้าจอให้พอดี ควรปรับระดับแสงจากหน้าจอให้เป็นโทน Warm light เพื่อให้สอดคล้องกับแสงในห้องที่ใช้งาน หากทำงานในเวลากลางคืน ควรเปิดโคมไฟแสงสีขาวร่วมกับการใช้งานหน้าจอคอมพิวเตอร์ พักสายตาตามหลัก 20-20-20 การถนอมสายตาด้วยกฎ 20-20-20 คือการพักดวงตาที่ได้รับรังสีแสงสีฟ้าจากการใช้งานคอมพิวเตอร์หรือทำกิจกรรมที่ใช้สายตามากเกินไป โดยเริ่มจากการหลับตาหรือมองออกไปยังทิวทัศน์ที่มีระยะห่างอย่างน้อย 20 ฟุต เป็นเวลา 20 วินาที ทุกๆ 20 นาทีในระหว่างทำกิจกรรม ติดฟิล์มกรองแสงสีฟ้า ฟิล์มกรองแสงบนจอคอมพิวเตอร์ช่วยป้องกันแสงสีฟ้าที่มีคลื่นรังสี UV และพลังงานสูง ซึ่งสามารถลดอาการตาล้า สายตามัว และตาเบลอจากการจ้องจอนานๆ นอกจากนี้ยังช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของดวงตา และเพิ่มอายุการใช้งานของสายตาให้ยาวนานขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดภาระการปรับตัวโฟกัสของสายตาจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง     หยอดน้ำตาเทียม น้ำตาเทียม (Artificial tears)เป็นสารที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับน้ำตาธรรมชาติ ช่วยหล่อลื่นและเพิ่มความชุ่มชื่นแก่ดวงตา บรรเทาอาการตาล้า ตาแห้ง และอาการแพ้แสงสีฟ้าจากการใช้จอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน โดยช่วยลดความระคายเคืองในดวงตาและทำให้อาการตาล้าบรรเทาลงได้ รับประทานอาหารบำรุงสายตา สารอาหารบำรุงสายตาที่ช่วยลดอาการตาแห้ง ตาล้า และต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ การรับสารอาหาร Omega-3 fatty acids ที่มักพบใน ปลาทะเลน้ำลึก เช่น แซลมอน ทูน่า แมคเคอเรล ปลาซาร์ดีน นอกจากนี้ยังมีสารสกัดจากบิลเบอร์รี่ที่มีสารแอนโธไซยานิน (Anthocyanins) ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตในดวงตา รวมไปถึง Lutein และ Zeaxanthin ที่มักพบในผักใบเขียว ช่วยลดอาการตาล้า และดวงตาฟื้นตัวเร็วขึ้นจากการใช้งานหนัก ตรวจสุขภาพดวงตาสม่ำเสมอ ผู้ที่ทำงานโดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นระยะเวลานาน เช่น พนักงานออฟฟิศ ฟรีแลนซ์ในสายงานดิจิทัล โปรแกรมเมอร์ และอาชีพอื่นๆ ที่ต้องจดจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์มากเกินไปอาจเกิดภาวะตาล้าสะสมได้ รวมถึงคนที่มีภาวะสายตาสั้นหรืออายุ 40 ปีขึ้นไปที่เริ่มมีอาการสายตายาว ควรนัดตรวจสุขภาพตาประจำปี เพื่อประเมินสภาพการทำงานของดวงตา พร้อมรับคำแนะนำในการถนอมสายตาจากแสงสีฟ้า เช่น การสวมแว่นตาที่มีเลนส์กรองแสงสีฟ้า และการให้ยาบำรุงสายตา   สรุป แสงสีฟ้า (Blue Light) คือแสงที่มาจากแหล่งต่างๆ ทั้งจากธรรมชาติ เช่น แสงแดด และจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ แสงสีฟ้ามีความเข้มข้นสูงและสามารถทะลุผ่านดวงตาไปยังจอตา ทำให้เกิดอาการตาล้า ตาแห้ง และเสี่ยงต่อโรคตาเสื่อมและปัญหาการนอนหลับ วิธีป้องกัน ได้แก่ การใช้เลนส์กรองแสงสีฟ้า การพักสายตา และปรับความสว่างหน้าจอให้เหมาะสม   โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพมีบริการตรวจวินิจฉัยและรักษาอาการตาล้าและตาแห้งจากแสงสีฟ้า ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อป้องกันและรักษาอาการเหล่านี้ก่อนที่จะลุกลามและกลายเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม ที่อาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็นในระยะยาว   FAQ แสงสีฟ้าที่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อดวงตาของเราในชีวิตประจำวัน หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับแสงสีฟ้า นี่คือคำตอบสำหรับคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับแสงสีฟ้า เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจและรับมือได้ดีขึ้น แสงสีฟ้าอันตรายและทำลายตาจริงไหม? แสงสีฟ้าสามารถทะลุเข้าทำลายเซลล์รับแสงในจอตา ซึ่งอาจส่งผลให้การมองเห็นในส่วนกลางของภาพเสื่อมลงได้ แว่นตัดแสงสีฟ้า จำเป็นไหม แว่นตัดแสงสีฟ้ายังไม่จำเป็นสำหรับบุคคลทั่วไป แต่เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้หน้าจอเป็นเวลานาน หรือผู้ที่มีปัญหาจอตาเสื่อมอยู่แล้ว ทำไมแสงสีฟ้าทำให้นอนไม่หลับ   เมื่อดวงตามองเห็นแสงสีฟ้า มันจะส่งสัญญาณไปยังสมองว่าเป็นเวลากลางวัน ซึ่งจะไปกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนเมลาโทนิน ฮอร์โมนนี้มีบทบาทสำคัญในการควบคุมนาฬิกาชีวิตของเรา โดยเฉพาะการนอนหลับและการตื่นนอน เมื่อมีแสงสีฟ้ามากเกินไปในช่วงเย็น จะทำให้การผลิตเมลาโทนินลดลง จึงทำให้เรานอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท

เข้าใจค่าสายตาแบบต่างๆ และผลกระทบต่อการมองเห็นในชีวิตประจำวัน

การเข้าใจค่าสายตาต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพตา เนื่องจากแต่ละประเภทของค่าสายตาจะส่งผลต่อการมองเห็นในชีวิตประจำวัน การเลือกแว่นตาหรือการรักษาที่เหมาะสมสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็นได้มากขึ้น ดังนั้นการรู้จักค่าสายตาจึงเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาสุขภาพตาอย่างถูกต้อง   ค่าสายตาคือการวัดความสามารถในการมองเห็น โดยใช้หน่วยเป็นไดออปเตอร์ (D) แสดงค่าความผิดปกติของสายตา เช่น สายตาสั้น (–) หรือสายตายาว (+) ค่าเหล่านี้จะช่วยกำหนดว่าต้องใช้แว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์เพื่อปรับการมองเห็นให้ชัดเจนขึ้น การวัดค่าสายตาทำโดยการใช้เครื่องมือที่เรียกว่า เครื่องวัดค่าสายตา (Refractometer) ซึ่งจะให้ผู้ตรวจสวมแว่นที่มีเลนส์ต่างๆ เพื่อทดสอบการมองเห็น โดยจะแสดงผลค่าสายตาในรูปแบบ SPH, CYL, AXIS และ ADD ขึ้นอยู่กับลักษณะของการมองเห็น การทำเลสิกที่ Bangkok Eye Hospital มีข้อดีคือใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยในกระบวนการรักษา รวมถึงการให้คำปรึกษาจากแพทย์ผู้ชำนาญการ สามารถแก้ไขค่าสายตาสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย     ทำความรู้จักกับค่าสายตา ค่าสายตาคือค่าที่บ่งชี้ถึงความสามารถในการมองเห็น ซึ่งวัดจากกำลังของกระจกตาและเลนส์ตารวมกัน โดยใช้หน่วยวัดเป็นไดออปเตอร์ (Diopter หรือ D.) ค่าสายตาที่เราคุ้นเคยเช่น สายตาสั้น 50, 75, 150 หรือ 200 แต่การเรียกค่าสายตาแบบนี้ไม่เป็นมาตรฐานสากล เนื่องจากจริงๆ แล้วจะใช้เลขทศนิยมสองตำแหน่งในหน่วยไดออปเตอร์ในการวัดค่าสายตา วิธีอ่านค่าสายตาเบื้องต้น วิธีอ่านค่าสายตาเบื้องต้นสามารถทำได้โดยการดูตัวเลขที่ระบุในใบสั่งแว่นตา เช่น RE -2.00 -0.50x180 โดยค่าสายตาจะมีลักษณะดังนี้ RE (Right Eye) หรือ OD (Oculus Dexter) หมายถึงค่าสายตาของตาด้านขวา ส่วน LE (Left Eye) หรือ OS (Oculus Sinister) หมายถึงค่าสายตาของตาด้านซ้าย ดังนั้นในตัวอย่างนี้ ค่าสายตาที่ระบุคือสำหรับตาด้านขวา ค่าสายตาสั้นหรือยาวจะขึ้นอยู่กับเครื่องหมายหน้าตัวเลข หากเป็นเครื่องหมายลบ (-) แสดงว่าเป็นค่าสายตาสั้น เช่น “-2.00” คือสายตาสั้น 2.00 ไดออปเตอร์ หรือสายตาสั้น 200 หากเป็นเครื่องหมายบวก (+) แสดงว่าเป็นค่าสายตายาว ค่าสายตาเอียงจะมีค่าที่บอกทั้งระดับความเอียงในหน่วยไดออปเตอร์ และมุมการเอียงในองศา เช่น จากตัวอย่าง “-0.50x180” หมายถึง สายตาเอียง -0.50 ไดออปเตอร์ ที่มุม 180 องศา     ส่วนประกอบของค่าสายตามีอะไรบ้าง ข้อมูลสำคัญที่อยู่ในใบค่าสายตาจะช่วยในการกำหนดแว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์ให้เหมาะสมกับผู้ใช้ ซึ่งประกอบด้วยหลายส่วน ได้แก่ ตัว R และ Lในใบค่าสายตา "R" หมายถึง ตาข้างขวา และ "L" หมายถึง ตาข้างซ้าย บางแห่งอาจใช้คำย่อว่า OD และ OS ซึ่งมีความหมายเดียวกัน โดยที่ OD หมายถึง ตาข้างขวา และ OS หมายถึง ตาข้างซ้าย SPHค่าสายตาจะถูกวัดในหน่วยไดออปเตอร์ โดยมีเครื่องหมายบวก (+) และลบ (-) ที่กำกับตัวเลข เครื่องหมายบวก (+) หมายถึง สายตายาว และเครื่องหมายลบ (-) หมายถึง สายตาสั้น ตัวอย่างเช่น -2.00 หมายถึง ค่าสายตาสั้น 2 ไดออปเตอร์ หรือสายตาสั้น 200 CYLค่าสายตาเอียง (Cylinder หรือ CYL) สามารถมีทั้งเครื่องหมายบวก (+) และลบ (-) เช่นเดียวกับค่า SPH (Sphere) โดยมีค่าที่บอกมุมองศาของการเอียงในระดับที่แตกต่างกัน AXISค่าสายตาเอียง (Cylinder หรือ CYL) หมายถึง องศาของการเอียงของสายตา ซึ่งจะถูกกำหนดด้วยตัวเลขที่บอกมุมองศาในการเอียงของลูกตา ADDหมายถึง ค่าสายตายาวตามวัย ซึ่งมักพบในผู้ที่อายุ 40 ปีขึ้นไป     การวัดค่าสายตาทำอย่างไร? การวัดค่าสายตาเริ่มจากการใช้เครื่องวัดสายตาระบบคอมพิวเตอร์ (Auto Refractometer) เพื่อหาค่าพื้นฐาน แต่บางครั้งค่าอาจไม่ตรงกับความเป็นจริง จึงต้องใช้การวัดแบบถามตอบ (Subjective Refraction) โดยให้ดูภาพและตอบคำถามเพื่อหาค่าสายตาที่แม่นยำขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถวัดค่าสายตาด้วยตัวเองเบื้องต้นได้ผ่านแอปพลิเคชันหรือเครื่องมือออนไลน์ที่ช่วยตรวจสอบความผิดปกติของสายตา เช่น สายตาสั้น สายตายาว หรือสายตาเอียง     ค่าสายตาสั้นมากแค่ไหนถึงจะจำเป็นต้องใส่แว่นตา ค่าสายตาสั้นมากแค่ไหนถึงจะจำเป็นต้องใส่แว่นตา? คำถามนี้หลายคนสงสัย การใส่แว่นตาจะขึ้นอยู่กับค่าสายตาและความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวัน โดยจะแบ่งค่าสายตาสั้นได้ ดังนี้ สายตาสั้น 50 สายตาสั้น 50 ไดออปเตอร์ไม่จำเป็นต้องใส่แว่นตาเสมอไป เพราะค่าสายตานี้ใกล้เคียงกับสายตาปกติ ผู้ที่มีสายตาสั้น 50 ไดออปเตอร์สามารถเลือกใส่แว่นตาในบางสถานการณ์ที่ต้องใช้สายตามากๆ เช่น การใช้โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ หรืออ่านหนังสือ หรืออาจเลือกไม่ใส่แว่นเลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับความสะดวกและความชัดเจนในการมองเห็นของแต่ละบุคคล สายตาสั้น 75-100 ค่าสายตาสั้น 75 และ 100 ไดออปเตอร์ถือว่าอยู่ในระดับก้ำกึ่ง บางคนอาจรู้สึกว่าการใช้ชีวิตประจำวันยากขึ้นเมื่อไม่ได้ใส่แว่น แต่บางคนก็ไม่ได้รู้สึกแตกต่างจากสายตาปกติ ดังนั้นการใส่แว่นหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละคน สายตาสั้น 100 ไม่ถือว่าอันตราย แต่หากมีอาการอื่นๆ ร่วม เช่น ปวดศีรษะ ปวดตา หรือค่าสายตาเปลี่ยนเร็ว ควรพบจักษุแพทย์เพื่อหาสาเหตุเพิ่มเติม สายตาสั้น 150-200 สายตาสั้น 150-200 ไดออปเตอร์ส่วนใหญ่จะเริ่มทำให้มองเห็นไม่ชัด หากส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันหรือการทำงาน ควรใส่แว่นเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ หรือหากต้องเพ่งสายตาเพื่อมองเห็น ควรใส่แว่นเพื่อลดอาการตาล้าปวดหัวจากการใช้สายตามากเกินไป สายตาสั้น 300 ขึ้นไป สายตาสั้น 300 ถือว่าค่อนข้างเยอะและมีผลกระทบต่อการมองเห็นอย่างมาก ผู้ที่มีค่าสายตาสั้น 300 ควรใส่แว่นตลอดเวลา เพื่อป้องกันอาการตาเมื่อย ตาล้า และช่วยลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุที่อาจเกิดจากการมองเห็นไม่ชัด     ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสายตาสั้น หลายคนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับสายตาสั้น ดังนั้นมาปรับความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับสายตาสั้นเพื่อการดูแลสุขภาพตาอย่างเหมาะสม และหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการมองเห็นไม่ชัดและอาการต่างๆ ที่อาจตามมา   ไม่ใส่แว่นตลอดสายตาจะสั้นลง เรื่องนี้ไม่จริงเสมอไป เพราะเกิดเฉพาะในเด็กที่ดวงตายังเติบโตได้ หากไม่ใส่แว่นตลอดเวลาจะทำให้ลูกตายืดออกผิดปกติ (Elongation) ส่งผลให้สายตาสั้นมากขึ้น ในขณะที่ผู้ใหญ่จะไม่เกิดการยืดลูกตาเพียงแค่เพ่งสายตาชั่วขณะ แต่จะทำให้เกิดอาการตาเมื่อย ตาล้า หรือปวดศีรษะแทน และไม่ทำให้สายตาสั้นขึ้นแต่อย่างใด   เด็กไม่ควรใส่แว่นตามค่าสายตา หลายคนเข้าใจผิดว่าเด็กควรหลีกเลี่ยงการใส่แว่นที่ค่าสายตามากๆ เพราะกลัวว่าจะทำให้สายตาสั้นมากขึ้น แต่ในความจริง หากเด็กไม่ใส่แว่นตามค่าสายตาที่ควรเป็น จะทำให้เด็กต้องเพ่งสายตาบ่อยๆ ซึ่งจะทำให้ลูกตายืดออกและทำให้สายตาสั้นมากขึ้น ดังนั้นการใส่แว่นตาที่เหมาะสมกับค่าสายตาตั้งแต่เริ่มต้นจึงสำคัญเพื่อป้องกันการเพิ่มขึ้นของสายตาสั้น   สายตาสั้นไม่ได้ทำให้ตาบอด จริงๆ แล้ว สายตาสั้นอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นได้ หากค่าสายตาสั้นมากและไม่ได้รับการรักษา เช่น การใส่แว่นหรือคอนแท็กต์เลนส์ หรือการทำเลสิก อาจทำให้เห็นภาพไม่ชัดเจน และในกรณีที่สายตาสั้นมาก อาจเสี่ยงต่อโรคที่ทำให้เกิดการสูญเสียการมองเห็น เช่นจอประสาทตาเสื่อมน้ำวุ้นตาเสื่อม หรือจอตาฉีกขาดได้   ค่าสายตายาวและค่าสายตาสั้นหักลบกันได้ สายตาสั้นและสายตายาวไม่สามารถหักลบกันได้ เพราะเป็นความผิดปกติที่เกิดจากส่วนต่างกันในดวงตา สายตาสั้นเกิดจากสรีระดวงตา ส่วนสายตายาวเกิดจากการเสื่อมของกล้ามเนื้อควบคุมเลนส์ตาเมื่ออายุมากขึ้น ค่าสายตาจึงอาจมีทั้งสายตาสั้นและสายตายาวพร้อมกัน เช่น “LE -1.00 +2.00 add” ในการทำแว่นตา เลนส์จะถูกแบ่งเป็นสองส่วน เพื่อให้สามารถแก้ไขทั้งสองค่าสายตาได้   สายตาสั้นน้อยลงเมื่ออายุมากขึ้น บางกรณีสำหรับเด็กที่มีสายตาสั้น เมื่อโตขึ้นอาจพบว่าค่าสายตาสั้นน้อยลง เนื่องจากการเติบโตของลูกตาที่สมดุลขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าสายตาสั้นจะหายไปเมื่ออายุมากขึ้น แม้ว่าจะมีอาการสายตายาวตามวัย สายตาสั้นและสายตายาวเป็นปัญหาคนละส่วนกัน จึงไม่สามารถหักล้างกันได้ สายตาสั้นจะไม่หายไปจากการเกิดสายตายาว     ทางเลือกในการรักษาสายตาสั้นโดยไม่ต้องใส่แว่น นอกจากการใส่แว่นแล้ว ยังมีหลายวิธีในการรักษาสายตาสั้นขึ้นอยู่กับค่าสายตาและความสะดวกของแต่ละบุคคล เช่น ใส่คอนแท็กต์เลนส์ คอนแท็กต์เลนส์เป็นวิธีที่นิยมสำหรับคนที่มีปัญหาสายตาสั้น เพราะสะดวก ไม่ต้องใส่แว่น เหมาะสำหรับสายตาสั้น 50 หรือ 200 ขึ้นไป ข้อดีคือใช้งานสะดวก แต่ก็ต้องมีวินัยในการดูแลความสะอาด หากละเลยอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรืออักเสบที่ตาได้ เลสิกรักษาค่าสายตา เลสิกเป็นการรักษาสายตาสั้นโดยการใช้เลเซอร์ปรับความโค้งของกระจกตาให้แบนลง เพื่อให้จุดตัดของแสงมาตรงที่จอตา ซึ่งช่วยแก้ไขสายตาสั้นได้สูงสุดถึง -14.00 ไดออปเตอร์ ข้อจำกัดของการทำเลสิกคือกระจกตาต้องมีความหนาพอและค่าสายตาต้องคงที่ เนื่องจากไม่สามารถทำซ้ำได้ง่ายหากมีการเปลี่ยนแปลงของค่าสายตาหลังการทำเลสิก SMILE Pro® รักษาค่าสายตา SMILE Pro® เป็นเทคโนโลยีการผ่าตัดแก้ไขสายตาด้วยเลเซอร์ที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน มอบความรวดเร็วและความแม่นยำสูง โดยใช้เลเซอร์ VisuMax 800 ซึ่งสามารถแก้ไขสายตาได้ภายในเพียง 8 วินาทีต่อข้าง โดยไม่ต้องเปิดแผลขนาดใหญ่ ทำให้เจ็บน้อย ฟื้นตัวเร็ว และลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะตาแห้ง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขสายตาอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย Femto LASIKแยกชั้นกระจกตา Femto LASIK หรือเลสิกไร้ใบมีด ใช้เลเซอร์ในการแยกชั้นกระจกตาให้มีความแม่นยำสูง โดยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด ข้อจำกัดคือจะทำให้ตาแห้งมากหลังผ่าตัด และแผลผ่าตัดจะมีขนาดใหญ่ ทำให้ต้องระมัดระวังอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ วิธีนี้สามารถแก้ไขสายตาสั้นได้ระหว่าง -1.00 ถึง -10.00 ไดออปเตอร์ PRK แก้ไขค่าสายตา PRK เป็นการแก้ไขค่าสายตาโดยการปรับความโค้งกระจกตาด้านนอกโดยไม่ต้องเปิดชั้นกระจกตา เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาชีพเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุที่ตา เช่น ตำรวจหรือทหาร อีกทั้งยังเหมาะกับผู้ที่มีข้อจำกัด เช่น ตาแห้งหรือกระจกตาบาง ข้อจำกัดของวิธีนี้คือสามารถแก้ไขสายตาสั้นได้สูงสุดที่ -5.00 ไดออปเตอร์ และหลังการผ่าตัดต้องใส่คอนแท็กต์เลนส์พิเศษเพื่อให้กระจกตาฟื้นตัว ทำICL ใส่เลนส์เทียม ICL (Implantable Collamer Lens) เป็นการรักษาสายตาด้วยการใส่เลนส์เทียมเข้าไปในตาเพื่อปรับการหักเหแสง แผลจากการผ่าตัดมีขนาดเล็กเพียง 3 มิลลิเมตร ใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 10-15 นาที   วิธีนี้ปลอดภัยมากและสามารถใช้ได้กับผู้ที่มีค่าสายตาสั้นสูง หรือผู้ที่มีตาแห้งและกระจกตาบาง ข้อจำกัดคืออาจพบความผิดปกติของความดันตาหลังการผ่าตัด แต่สามารถควบคุมได้โดยแพทย์   สรุป ค่าสายตาสั้นคือความผิดปกติของการหักเหแสงในตา ทำให้มองเห็นภาพในระยะไกลไม่ชัดเจน โดยเกิดจากดวงตาที่ยาวเกินไปหรือความโค้งของกระจกตาที่มากเกินไป การรักษาหลักๆ ได้แก่ การใส่แว่นตา คอนแท็กต์เลนส์ หรือการผ่าตัด เช่น เลสิกหรือการใส่เลนส์เทียม ICL ขึ้นอยู่กับระดับค่าสายตาและความต้องการของผู้ใช้   ศูนย์เลเซอร์วิชั่น Bangkok Eye Hospitalบริการทำเลสิกสำหรับผู้ที่มีสายตาสั้น ซึ่งเป็นวิธีการรักษาค่าสายตาด้วยการใช้เลเซอร์ปรับรูปกระจกตาให้มีความโค้งที่เหมาะสม เพื่อให้การมองเห็นในระยะไกลชัดเจน โดยไม่ต้องใส่แว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์หลังการผ่าตัด   FAQ หลายคนมักมีคำถามเกี่ยวกับค่าสายตา ในส่วนนี้เราจะตอบคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับค่าสายตา เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจค่าสายตาของตัวเองได้ง่ายขึ้น   ค่าสายตา +1.75 คืออะไร   ค่าสายตายาวจะมีเครื่องหมายบวก (+) เช่น +1.75 ซึ่งหมายความว่าผู้ที่มีค่าสายตานี้จะพบปัญหาในการมองเห็นวัตถุใกล้   ค่าสายตาปกติเท่ากับเท่าไร ค่าสายตา 0.00 หมายถึงค่าสายตาปกติ ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้แว่นตาหรือการแก้ไขใดๆ เพราะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนทั้งระยะใกล้และไกล ค่าสายตา -1.25 คือเท่าไร   ค่าสายตา -1.25 คือค่าสายตาที่เริ่มทำให้มองเห็นไม่ชัดในบางช่วง หรือจำเป็นต้องมองใกล้ขึ้น การใส่แว่นตลอดเวลาจะช่วยลดความเครียดจากการใช้สายตามากเกินไป

ใต้ตาลึกเกิดจากอะไร? พร้อมวิธีแก้ไขปัญหาใต้ตาลึกให้กลับมาสดใส

ใต้ตาลึกหรือที่บางคนเรียก "ร่องน้ำตา" นั้นเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ร่องนี้จะดูเด่นชัดขึ้นแม้ในวัยหนุ่มสาวจากไขมันที่ใต้ตาบริเวณร่องน้ำตานูนออกมา และโครงหน้ามีการแบนของกระดูกโหนกแก้ม ใต้ตาลึกเกิดจากการสูญเสียไขมัน คอลลาเจน รวมถึงการขาดน้ำ ขาดการพักผ่อน หรืออายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดร่องลึก ดวงตาดูเหนื่อยล้าและแก่ลง การรักษาร่องใต้ตาลึกแบบธรรมชาติสามารถทำได้โดยการพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ ใช้ครีมบำรุง ประคบเย็น และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การแก้ไขใต้ตาลึกที่ Bangkok Eye Hospital มีจักษุแพทย์ที่ชำนาญดูแลการรักษา ให้ผลลัพธ์ชัดเจนและยาวนาน พร้อมการดูแลที่ปลอดภัยและไม่ต้องพักฟื้นนาน   ผิวใต้ตาลึกเป็นปัญหาที่หลายคนประสบพบเจอ และทำให้ใบหน้าดูโทรมและเหนื่อยล้าได้ง่ายๆ โดยสาเหตุหลักๆ มักมาจากการนอนหลับไม่เพียงพอ ความเครียด หรือการสูญเสียไขมันใต้ผิวหนัง ซึ่งส่งผลต่อความสดใสของผิวหน้าในระยะยาว  แม้ว่าปัญหานี้อาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่หากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกวิธีก็อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นใจกับใครหลายๆ คนได้ Bangkok Eye Hospital มีวิธีการจัดการกับปัญหานี้ให้ดวงตาและใบหน้ากลับมาดูสดใสและอ่อนเยาว์อีกครั้ง      ใต้ตาลึกคืออะไร? รู้จักลักษณะของปัญหาดวงตานี้ ใต้ตาลึกคือร่องลึกที่เห็นชัดใต้ดวงตา ซึ่งบางคนเรียกว่า "ร่องน้ำตา" โดยปกติแล้ว ร่องใต้ตาจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เนื่องจากมีเอ็นยึดระหว่างผิวหนังใต้ตากับกระดูกเบ้าตาล่าง แต่เมื่อไขมันใต้ตาบริเวณร่องน้ำตานูนออกมาและโครงหน้ามีการแบนของกระดูกโหนกแก้ม ก็ทำให้ร่องนี้ดูเด่นชัดขึ้นแม้ในวัยหนุ่มสาว  นอกจากนี้ยังสามารถเกิดจากผิวใต้ตาที่คล้ำกว่าปกติ เช่น จากการนอนหลับไม่เพียงพอ หรือโรคภูมิแพ้เรื้อรัง ซึ่งทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้าและมีอายุกว่าวัย ส่งผลให้ขาดความมั่นใจและกระทบบุคลิกโดยรวม     ใต้ตาลึกเกิดจากอะไร? สาเหตุที่ทำให้ผิวใต้ตาดูเหนื่อยล้า   ปัญหาใต้ตาลึกไม่เพียงแค่ส่งผลให้ใบหน้าดูโทรม แต่ยังทำให้คนเรารู้สึกขาดความมั่นใจและดูอ่อนเพลีย จึงควรเข้าใจสาเหตุเพื่อเลือกวิธีการบำรุงและดูแลผิวใต้ตาให้ดีขึ้น โดยปัญหาใต้ตาลึกมักเกิดจากสาเหตุดังนี้ อายุที่เพิ่มขึ้น เมื่ออายุมากขึ้น ไขมันและคอลลาเจนบริเวณใต้ดวงตาจะฝ่อตัวลง คอลลาเจนช่วยให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่น แต่เมื่อร่างกายผลิตคอลลาเจนน้อยลง ผิวใต้ตาจะสูญเสียความยืดหยุ่น ทำให้ใต้ตาดูลึกและหมองคล้ำ ขาดน้ำหรือความชุ่มชื้น การขาดน้ำหรือการดื่มน้ำไม่เพียงพอเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาใต้ตาเป็นร่อง หรือที่บางคนเรียกว่า "ตาโหล" นอกจากนี้ การบริโภคเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มน้ำอัดลม ก็สามารถทำให้ร่างกายขับปัสสาวะบ่อยขึ้น ซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะขาดน้ำในร่างกายและทำให้ใต้ตาดูลึก พันธุกรรม คนที่มีประวัติครอบครัวหรือพันธุกรรมที่มีปัญหาใต้ตาลึก มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดปัญหานี้เช่นเดียวกัน เนื่องจากโครงสร้างกระดูกเบ้าตาลึกและชั้นไขมันใต้ตาน้อย ซึ่งอาจทำให้ร่องใต้ตาลึกชัดเจนตั้งแต่อายุยังน้อย ภูมิแพ้ คนที่เป็นโรคภูมิแพ้มักพบปัญหาใต้ตาลึกและขอบตาคล้ำ เนื่องจากกระบวนการอักเสบและการขยายตัวของหลอดเลือดฝอยใต้ดวงตาและโพรงจมูกจากอาการแพ้ ส่งผลให้เกิดรอยคล้ำบริเวณใต้ดวงตา ไซนัสอักเสบ ไซนัสอักเสบมีความเกี่ยวข้องกับปัญหาใต้ตาลึกได้ เนื่องจากโพรงไซนัสแม็กซิลลารี (Maxillary Sinus) อยู่ใกล้กับบริเวณใต้ตา เวลาเกิดไซนัสอักเสบ เลือดจะไหลเวียนไม่ดีในบริเวณนั้นและทำให้เกิดรอยคล้ำใต้ดวงตา ในขณะเดียวกันการอักเสบของไซนัสจะทำให้เกิดของเหลวคั่งในเนื้อเยื่อรอบดวงตา ทำให้เกิดอาการบวม เป็นปัญหาถุงใต้ตาหรือบวมใต้ตาได้ ร่างกายขาดวิตามิน วิตามินซีช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กและลดรอยคล้ำ ส่วนวิตามินเคเกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือด การขาดวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินเค และธาตุเหล็ก อาจส่งผลให้เกิดใต้ตาลึกได้ เมื่อขาดวิตามินดังกล่าว ผิวพรรณจะไม่สดใส ส่งผลต่อรอยคล้ำใต้ตาหรืออาการตาโหลได้ง่าย มีปัญหาในการนอนหลับ การพักผ่อนที่ไม่มีคุณภาพ เช่น การนอนหลับไม่เพียงพอ ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของปัญหาใต้ตาลึกและรอยดำคล้ำใต้ดวงตาได้ เพราะการนอนหลับที่ดีควรเริ่มหลับให้สนิทโดยใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที ตื่นขึ้นกลางดึกไม่เกิน 1 ครั้ง และใช้เวลาไม่นานเกิน 20 นาทีในการหลับให้สนิทอีกครั้ง สูบบุหรี่ บุหรี่มีสารพิษที่ทำให้คอลลาเจนและความยืดหยุ่นของผิวเสื่อมลง หากขาดคอลลาเจน ผิวใต้ตาจะหย่อนคล้อยและบางลง ส่งผลให้ใต้ตาดูลึกขึ้น ดังนั้นการงดสูบบุหรี่จึงเป็นวิธีที่เห็นผลในการลดปัญหาใต้ตาลึกได้ บาดเจ็บหรือประสบอุบัติเหตุ อุบัติเหตุที่ส่งผลต่อใบหน้าหรือกระดูกรอบดวงตาอาจทำให้ใต้ตาดูลึกได้ การบาดเจ็บที่ใบหน้าหรือกระดูกรอบดวงตาอาจทำให้กระดูกเบ้าตาแตก หรือในบางกรณีที่แม้กระดูกเบ้าตาจะไม่แตก แต่เกิดความเสียหายที่กระดูกพื้นกระบอกตา สาเหตุเหล่านี้ก็สามารถทำให้เกิดใต้ตาลึกได้     การรักษาร่องใต้ตาลึกด้วยวิธีธรรมชาติ ปัญหาใต้ตาลึกที่หลายคนพบเจอสามารถเกิดจากหลายสาเหตุ แต่ไม่ต้องกังวล เพราะยังมีวิธีธรรมชาติที่ช่วยบำรุงและฟื้นฟูผิวใต้ตาให้ดีขึ้นได้ ทางเรามีเคล็ดลับการรักษาร่องใต้ตาลึกด้วยวิธีธรรมชาติมาฝาก ดูแลความชุ่มชื้นใต้ดวงตา วิธีแก้ใต้ตาลึกหนึ่งคือการรักษาความชุ่มชื้นใต้ดวงตา ทำได้โดยการดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอในแต่ละวัน และลดการบริโภคเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน การดื่มน้ำอย่างน้อย 8 ถึง 10 แก้วต่อวันจะช่วยให้ดวงตาดูไม่เหนื่อยล้าและช่วยลดปัญหาใต้ตาลึกได้ พักผ่อนให้เพียงพอ ใต้ตาลึกมักเกิดจากการนอนหลับไม่เพียงพอหรือคุณภาพการนอนไม่ดี การแก้ไขคือการพักผ่อนให้เพียงพอ โดยผู้ใหญ่ควรนอน 7-9 ชั่วโมงต่อวัน ส่วนเด็กและผู้สูงอายุอาจต้องการเวลานอนมากกว่า  ทาอายครีม อีกวิธีที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้กับดวงตาคือการทาอายครีม ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ทำงานใช้สายตานาน พักผ่อนน้อย หรือออกไปเจอสิ่งแวดล้อมภายนอกบ่อยๆ ประคบเย็นรอบดวงตา การประคบเย็นช่วยลดอาการบวมและรอยคล้ำใต้ตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและลดการสะสมของของเหลวในบริเวณใต้ตา นอกจากนี้ยังสามารถช่วยลดปัญหาใต้ตาลึกได้ ด้วยการฟื้นฟูผิวและให้ความรู้สึกสดชื่น รับประทานอาหารที่ช่วยให้ผิวสุขภาพดี การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผลไม้ ผัก และโปรตีน ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนและเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ซึ่งสามารถช่วยลดใต้ตาเป็นร่องได้ โดยเฉพาะการได้รับวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระจากผลไม้และผัก ที่ช่วยบำรุงผิวและลดการเกิดริ้วรอย ขณะที่โปรตีนช่วยฟื้นฟูและเสริมสร้างความยืดหยุ่นของผิวใต้ตา     วิธีแก้ใต้ตาลึกแบบทางการแพทย์ หากวิธีธรรมชาติไม่สามารถแก้ใต้ตาลึกได้เพียงพอ ยังมีทางเลือกทางการแพทย์ที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มาดูกันว่ามีวิธีการทางการแพทย์ใดบ้างที่ได้รับความนิยมและให้ผลลัพธ์ที่ดี ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา การฉีดฟิลเลอร์ที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเติมเต็มและฟื้นฟูผิวรอบดวงตา ช่วยแก้ปัญหาถุงใต้ตา ใต้ตาคล้ำ และใต้ตาลึกได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องผ่าตัด ผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้ 6-12 เดือน โดยเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาถุงใต้ตาในระยะเริ่มต้นถึงระดับปานกลาง ฉีดไขมันใต้ตา วิธีแก้ปัญหาใต้ตาลึกและริ้วรอยชัดที่มีประสิทธิภาพคือการเติมไขมันจากร่างกายตัวเองขนาดเล็กพิเศษลงใต้ผิวหนังใต้ตา ซึ่งเป็นวิธีที่ปลอดภัยและไม่ทำให้ร่างกายต่อต้าน ผลลัพธ์ที่ได้จะดูเรียบเนียนเป็นธรรมชาติ ใต้ตาดูอิ่มฟูและทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์อีกครั้ง นอกจากนี้ การฉีดไขมันตนเองในขนาดเล็กมากหรือที่เรียกว่าการฉีดสเต็มเซลล์ยังช่วยลดความคล้ำใต้ตาได้ด้วย ศัลยกรรมใต้ตา การผ่าตัดแก้ไขใต้ตาลึกเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาจากโครงหน้าเดิม เช่น กระดูกโหนกแก้มแบน หรือตาดูนูน หรือผู้ที่มีถุงใต้ตานูนออกมาจนทำให้เห็นร่องใต้ตาชัด    การศัลยกรรมจึงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการคืนความสดใสให้ดวงตา โดยการทำแผลด้านในเพื่อตัดเอ็นที่ยึดกระดูกใต้ตากับผิวหนัง และทำการย้ายไขมันจากใต้ตาเพื่อนำมารองร่องใต้ตา เป็นการป้องกันไม่ให้ร่องกลับมาใหม่และเพิ่มความเรียบเนียนให้กับผิวใต้ตา   สรุป ใต้ตาลึกเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การนอนหลับไม่เพียงพอ การสูญเสียไขมันใต้ผิว หรือปัญหาทางพันธุกรรม ทำให้ดวงตาดูเหนื่อยล้าและแก่กว่าวัย การดูแลสามารถทำได้ทั้งการใช้ครีมบำรุง การพักผ่อนให้เพียงพอ และการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ส่วนการรักษาทางการแพทย์ เช่น การฉีดฟิลเลอร์หรือการผ่าตัดก็เป็นทางเลือกที่ช่วยแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพ โรงพยาบาลจักษุแพทย์ช่วยแก้ไขปัญหาใต้ตาลึกที่ทำให้หน้าดูโทรมได้ ด้วยการทำศัลยกรรมตา ซึ่งช่วยให้ดวงตาดูสดใสขึ้น โดยไม่ต้องพักฟื้นนานและเห็นผลลัพธ์ที่ยาวนาน   FAQ ตอบคำถามที่หลายคนสงสัยเกี่ยวกับใต้ตาลึก ทำไมใต้ตาถึงลึก? และมีวิธีไหนบ้างที่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้? การเข้าใจสาเหตุและวิธีการรักษาจะช่วยให้เรามีทางเลือกในการดูแลผิวใต้ตาได้อย่างเหมาะสม วิธีรักษาร่องใต้ตาลึกแบบธรรมชาติ มีอะไรบ้าง วิธีรักษาร่องใต้ตาลึกแบบธรรมชาติสามารถทำได้โดยการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอเพื่อคงความชุ่มชื้นให้ผิว บำรุงผิวรอบดวงตาด้วยครีมหรือเซรั่มที่เหมาะสม ประคบเย็นเพื่อลดอาการบวม รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และหลีกเลี่ยงการขยี้ตาบ่อยๆ รวมถึงการหลีกเลี่ยงแสงแดดเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวใต้ตาถูกทำร้าย ใต้ตาลึกเกิดจากอะไร ใต้ตาลึกมักเกิดจากการสูญเสียไขมันใต้ผิวหนัง การลดลงของคอลลาเจน การนอนหลับไม่เพียงพอ ความเครียด หรือพันธุกรรม ฉีดไขมันแก้ใต้ตาลึก อยู่ได้นานไหม ถ้าไขมันติดดีแล้ว ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานกว่า 1 ปี ขึ้นอยู่กับบุคคลและลักษณะร่างกาย การใช้ไขมันจากร่างกายตัวเองมีความปลอดภัยสูง ลดความเสี่ยงในการแพ้หรือการต่อต้านจากระบบภูมิคุ้มกัน แต่ในบางกรณีการผ่าตัดอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เนื่องจากให้ผลลัพธ์ที่คงทนและเห็นผลรวดเร็วกว่า

PRK: What Are They? Procedure, Benefits, and Post-Operative Care

ในปัจจุบันประชากรทั่วโลกประสบปัญหาสายตาเพิ่มขึ้น ทั้งสายตาสั้นและสายตาเอียงที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในทุกเพศทุกวัย สาเหตุสำคัญมาจากพฤติกรรมการใช้สายตาที่มากเกินความจำเป็น วิธีการใช้สายตาที่ไม่ถูกต้อง รวมถึงปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ในชีวิตประจำวัน ส่งผลให้มีความต้องการในการรักษาค่าสายตาเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการใช้แว่นตา คอนแท็กต์เลนส์ หรือแม้กระทั่งการผ่าตัดแก้ไขสายตา สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพตาอย่างถูกวิธีในยุคนี้ PRK คือการผ่าตัดแก้ไขสายตาที่ต่างจาก LASIK ทั่วไป บทความนี้พามาดูว่า แล้ว PRK กับ LASIK ต่างกันอย่างไร? พร้อมอธิบายขั้นตอนการรักษา ข้อดี-ข้อเสีย และการพักฟื้นให้เห็นแบบชัดๆ กัน   PRK และ LASIK คือการผ่าตัดแก้ไขสายตาด้วยเลเซอร์ แต่มีขั้นตอนที่แตกต่างกัน โดย PRK ไม่มีการเปิดกระจกตาในขณะที่ LASIK มีการเปิดและปิดกระจกตาหลังจากเลเซอร์ยิงแก้ไขสายตา PRK มีระยะเวลาฟื้นตัวนานกว่า LASIK เนื่องจากไม่มีการปิดกระจกตากลับเหมือน LASIK แต่มีความปลอดภัยสูงกว่าในระยะยาวสำหรับบางอาชีพหรือผู้ที่มีสายตาสั้นมาก PRK เหมาะกับผู้ที่มีกระจกตาบางหรือมีความเสี่ยงจากกิจกรรมที่ต้องใช้แรงมาก ส่วน LASIK เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นตัวเร็วและไม่ต้องทนต่ออาการระคายเคืองนาน Bangkok Eye Hospital มีแพทย์เฉพาะทางและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ให้บริการทั้ง PRK และ LASIK พร้อมคำแนะนำที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล     นวัตกรรมผ่าตัดสายตา PRK คืออะไร? PRK (Photorefractive Keratectomy) คือวิธีรักษาสายตาที่ปรับแก้กระจกตาคล้ายเลสิก แต่เลสิกมีผลข้างเคียงน้อยกว่า PRK และต่างกันที่วิธีผ่าตัด โดย PRK มีมาตั้งแต่ทศวรรษ 1980 ก่อนหน้าเลสิก และยังได้รับความนิยมอยู่เนื่องจากให้ผลถาวร PRK เป็นทางเลือกที่ดีในการแก้ปัญหาสายตาสั้น สายตาสั้นข้างเดียว และสายตาเอียง โดยสามารถแก้ไขสายตาสั้นได้ถึง 500 (5.00 Diopters) และสายตาเอียงไม่เกิน 200 (2.00 Diopters) วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีกระจกตาบางหรือมีอาการตาแห้งซึ่งไม่สามารถทำเลสิกได้ เนื่องจากเลสิกต้องตัดกระจกตาชั้นบนออกชั่วคราว ทำให้อาการตาแห้งอาจรุนแรงขึ้น สำหรับผู้ที่มีข้อจำกัดเหล่านี้ PRK จึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากกว่าในการแก้ไขปัญหาสายตา กระบวนการนี้ใช้เวลาในการหายประมาณ 5- 7 วัน และอาจมีอาการระคายตาบ้าง ข้อดี-ข้อเสียของการทำ PRK รู้จักนวัตกรรมการทำ PRK หรือ Photorefractive Keratectomy กันไปแล้ว มาเช็กข้อดีและข้อเสียของการทำ PRK กันว่ามีอะไรบ้าง ข้อดีของการทำ PRK ข้อดีของการทำ PRK คือเป็นวิธีรักษาสายตาที่ให้ผลลัพธ์ถาวรและมีผลข้างเคียงน้อยกว่าการทำเลสิก ขั้นตอนการรักษาสะดวกสบาย เพียงหยอดยาชาโดยไม่ต้องฉีดยา ไม่เจ็บระหว่างทำ และไม่ต้องเย็บแผล ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ทันทีหลังผ่าตัด PRK มีข้อจำกัดน้อยกว่าเลสิก เหมาะสำหรับผู้ที่มีกระจกตาบาง ตาแห้ง หรือเป็นโรคที่ทำเลสิกไม่ได้ และไม่มีความเสี่ยงกระจกตาเปิดเหมือนการทำเลสิก นอกจากนี้ ยังเพิ่มโอกาสในการทำงานสำหรับอาชีพนักบิน ทหาร ตำรวจ และช่วยให้ใช้ชีวิตประจำวันสะดวกขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพาแว่นตาอีกต่อไป ผลข้างเคียงของการทำ PRK ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงแรกหลังผ่าตัด PRK   อาการปวดและไม่สบายตาในช่วง 2 - 3 วันแรกอาจมีอาการปวดตา แสบตา และรู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในตา โดยอาการนี้จะค่อยๆ บรรเทาลงตามระยะเวลา อาการตาแห้งอาจคงอยู่นานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน ผู้ป่วยอาจรู้สึกถึงความแห้งในดวงตา ซึ่งสามารถบรรเทาได้ด้วยน้ำตาเทียมและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด มองเห็นภาพไม่ชัดในช่วงแรกหลังผ่าตัด การมองเห็นอาจยังไม่ชัดและต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว โดยอาจต้องใช้ระยะเวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์กว่าสายตาจะปรับตัวและมองเห็นได้อย่างชัดเจน ไวต่อแสงผู้ป่วยจะรู้สึกมีความไวต่อแสงเป็นพิเศษในช่วงระยะแรกหลังผ่าตัด ซึ่งอาจทำให้ต้องสวมแว่นกันแดดหรือหลีกเลี่ยงแสงจ้าเพื่อความสบายและป้องกันความระคายเคืองของดวงตา   ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาวหลังผ่าตัด PRK   กระจกตาเป็นฝ้า (Corneal haze)ในบางกรณีอาจเกิดฝ้าที่กระจกตาหลังผ่าตัด PRK แต่โดยทั่วไปแล้วอาการนี้จะดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป การมองเห็นแสงกระจาย (Glare) หรือแสงฟุ้ง (Halos)โดยเฉพาะในสภาวะแสงน้อยหรือเวลากลางคืน ผู้ป่วยจะรับรู้ถึงแสงที่กระจายหรือมีวงแหวนรอบแหล่งกำเนิดแสง อาการเหล่านี้จะค่อยๆ ดีขึ้น แต่ในบางกรณีอาจเป็นถาวร การมองเห็นไม่คงที่ (Fluctuating Vision)โดยเฉพาะในช่วงระยะแรกฟื้นตัว การมองเห็นอาจเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงเวลาของวัน โดยทั่วไปอาการจะค่อยๆ ดีขึ้นและคงที่ขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป การแก้ไขสายตาไม่สมบูรณ์อาจมีการแก้ไขสายตาน้อยเกินไป (Under-correction) หรือมากเกินไป (Over-correction) ทำให้ผู้ป่วยยังต้องพึ่งแว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์ในบางระดับ ในกรณีนี้ แพทย์อาจพิจารณาผ่าตัดเสริมหรือแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกับเป้าหมายมากที่สุด การกลับมาของสายตาผิดปกติ (Regression)สายตาอาจกลับมาสั้น ยาว หรือเอียงอีกครั้ง อัตราการเกิดจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับบางปัจจัย อายุ และสภาพร่างกายของผู้ป่วย การทำ PRK เหมาะกับใครบ้าง ผู้ที่เหมาะสมกับการทำ PRK ต้องมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป โดยค่าสายตาจะต้องคงที่ไม่น้อยกว่า 1 ปี กระจกตาต้องแข็งแรงไม่มีประวัติกระจกตาถลอกหรือหลุดลอก และไม่มีโรคอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการผ่าตัด เช่น เบาหวาน วิธีนี้เหมาะกับสายตาสั้นหรือเอียงในระดับที่รักษาได้ รวมถึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีกระจกตาบางกว่าปกติ ตาแห้งแบบรักษายาก หรือกระจกตาโค้งผิดรูป ผู้ที่เป็นต้อหินอาจทำได้ในบางกรณีแต่ต้องปรึกษาแพทย์ก่อน นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการประกอบอาชีพที่ต้องการสายตาดี เช่น นักบิน ตำรวจ หรือทหาร เป็นต้น     ขั้นตอนการทำ PRK หยดแอลกอฮอล์ลงบนผิวตาเพื่อละลายเยื่อหุ้มกระจกตาออก ใช้เครื่องมือผ่าตัดปรับผิวกระจกตาให้เรียบ ใช้ Excimer Laser ปรับรูปทรงกระจกตาใหม่ให้พอดีกับค่าสายตา ปิดแผลด้วยคอนแท็กต์เลนส์พิเศษเป็นเวลา 5 - 7 วัน เพื่อรอให้เยื่อหุ้มกระจกตาสร้างใหม่ ไม่จำเป็นต้องเย็บแผลผ่าตัดหลังจากนำคอนแท็กต์เลนส์ออก     เทคนิคการผ่าตัดสายตา LASIK คืออะไร? เลสิก (LASIK)คือวิธีผ่าตัดแก้ไขปัญหาสายตาผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นสายตาสั้น สายตายาวโดยกำเนิด หรือสายตาเอียง โดยใช้เทคโนโลยีเลเซอร์ปรับเปลี่ยนความโค้งของกระจกตาอย่างแม่นยำตามค่าสายตาที่คำนวณไว้ ทำให้แสงที่สะท้อนเข้าสู่ดวงตาหักเหไปรวมกันที่เรตินาได้พอดี ส่งผลให้ผู้รับการรักษากลับมามองเห็นได้ชัดเจนอีกครั้ง การรักษาด้วยเลสิกมีจุดเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1949 โดย Dr.Jose I. Barraquer จักษุแพทย์ผู้คิดค้นวิธีการผ่าตัดแบบแยกชั้นกระจกตา (Keratomileusis) ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่นำไปสู่การพัฒนาเทคนิคเลสิกที่ใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ข้อดี-ข้อเสียของการทำ LASIK แม้การทำ LASIK จะเป็นการผ่าตัดแก้ไขปัญหาสายตาผิดปกติที่เคยได้ยินกันมานาน แต่หลายคนก็ยังไม่เคยทราบถึงข้อดีและข้อเสียของการทำ LASIK เลย ซึ่งข้อดีและข้อเสียของการทำเลสิกมีดังนี้ ข้อดีของการทำ LASIK LASIK เป็นเทคโนโลยีการแก้ไขสายตาชั้นสูงที่ใช้ Femtosecond Laser และ Excimer Laser ปรับความโค้งของกระจกตาได้อย่างแม่นยำ แก้ไขสายตาสั้น ยาว เอียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ การผ่าตัดทำได้รวดเร็ว ไม่เจ็บ ไม่ต้องเย็บแผล และใช้เวลาพักฟื้นสั้นมาก สามารถใช้สายตาได้ภายใน 1 วันและเห็นชัดขึ้นใน 2 - 3 วัน ผลลัพธ์คงทนในระยะยาว ช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น ลดข้อจำกัดในการทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งการเล่นกีฬา การอ่านหนังสือ การใช้อุปกรณ์สื่อสาร หรือการขับรถได้อย่างอิสระ ผลข้างเคียงของการทำ LASIK การทำ LASIK มีข้อเสียที่ควรพิจารณาทั้งในด้านผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นและค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดสำหรับผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับตา สตรีตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร ทำให้ไม่สามารถทำได้ทุกคน ภายหลังการผ่าตัด ผู้ป่วยบางรายอาจประสบปัญหาตาแห้ง จึงจำเป็นต้องดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัดตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อให้การฟื้นฟูเป็นไปอย่างราบรื่น การทำ LASIK เหมาะกับใคร การทำ LASIK เหมาะกับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป มีค่าสายตาที่คงที่ไม่เปลี่ยนแปลงในรอบ 1 ปี และมีสุขภาพดวงตาที่แข็งแรงสมบูรณ์ โดยมีความหนาของกระจกตาที่เพียงพอสำหรับการรักษา นอกจากนี้ ยังต้องไม่มีโรคเกี่ยวกับกระจกตาหรือโรคประจำตัวที่ส่งผลต่อดวงตา เช่น โรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี หรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องต่างๆ     ขั้นตอนการทำ LASIK แยกชั้นกระจกตาด้วยเครื่องไมโครเครราโตม (Microkeratome) หรือใช้ใบมีดเพื่อสร้างชั้นกระจกตา (Flap) สำหรับเข้าถึงพื้นที่การรักษา ยกชั้นกระจกตาขึ้นเพื่อเตรียมพื้นที่ชั้นกลางของกระจกตา ทำให้พร้อมสำหรับการปรับความโค้งด้วยเลเซอร์ในขั้นตอนต่อไป ใช้ Excimer Laser ยิงไปที่ชั้นกลางของกระจกตา เพื่อปรับเปลี่ยนความโค้งให้ได้ตามการคำนวณที่ได้ออกแบบไว้ ปิดชั้นกระจกตา (Flap) กลับคืนตำแหน่งเดิม โดยกระจกตาจะสมานตัวเองได้โดยอัตโนมัติ ไม่จำเป็นต้องเย็บแผลใดๆ ทั้งสิ้น     PRK VS. LASIK เปรียบเทียบให้ชัดต่างกันอย่างไร? การทำ PRK และ LASIK เจ็บไหม? ระหว่างการทำจะไม่รู้สึกเจ็บเพราะมีการใช้ยาชาหยอดตา อย่างไรก็ตาม การทำ PRK อาจมีอาการระคายตาในช่วงฟื้นตัวมากกว่าการทำ LASIK ค่ารักษาของการทำ PRK และ LASIK ต่างกันไหม? โดยทั่วไป การทำ PRK และ LASIK มีค่าใช้จ่ายใกล้เคียงกัน แต่ขึ้นอยู่กับสถานพยาบาลและเทคโนโลยีที่ใช้ด้วย การแก้ไขสายตาด้วยเลเซอร์สามารถทำซ้ำได้ไหม? สามารถทำซ้ำได้หากมีการเปลี่ยนแปลงของสายตาในอนาคต แต่ต้องรอให้สายตาคงที่ก่อน ทำ PRK และ LASIK ที่ ศูนย์เลเซอร์วิชั่น Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร หากต้องการแก้ไขปัญหาสายตา มาปรึกษาและรักษาได้ที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) เพื่อการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ด้วยจักษุแพทย์ผู้มากความรู้เกี่ยวกับดวงตาและทีมงานที่มีประสบการณ์ และจุดเด่นดังนี้   โรงพยาบาลมีจักษุแพทย์มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย พร้อมให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง สรุป PRK และ LASIK คือวิธีผ่าตัดแก้ไขสายตาด้วยเลเซอร์ที่แตกต่างกันตรงที่การทำ PRK ไม่มีการเปิดกระจกตา ขณะที่การทำ LASIK มีการเปิดและปิดกระจกตาหลังการยิงเลเซอร์ ทำให้การทำ PRK มีระยะเวลาฟื้นตัวนานกว่าแต่มีความปลอดภัยสูงในระยะยาวสำหรับบางอาชีพหรือผู้ที่มีสายตาสั้นมาก การทำ PRK จึงเหมาะกับผู้ที่มีกระจกตาบางหรือมีความเสี่ยงจากกิจกรรมที่ต้องใช้แรงมาก ส่วนการทำ LASIK เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นตัวเร็วและไม่ต้องทนต่ออาการระคายเคืองเป็นเวลานาน หากมีความผิดปกติของดวงตา มาเช็กสุขภาพตาอย่างละเอียดที่ ศูนย์เลเซอร์วิชั่น Bangkok Eye Hospital โรงพยาบาลเฉพาะทางที่มีทีมแพทย์มากประสบการณ์ อุปกรณ์ที่ทันสมัย ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล มั่นใจได้ว่าการรักษาเป็นไปอย่างถูกต้อง แม่นยำ และปลอดภัย

The LASIK and FemtoLASIK Procedure

LASIK and FemtoLASIK: What are They? Procedure, Benefits, and Post-Operative Care Introduction LASIK (Laser-Assisted in Situ Keratomileusis) is a popular and effective refractive eye surgery designed to correct vision problems such as nearsightedness, farsightedness, and astigmatism. This procedure reshapes the cornea using laser technology, allowing light to focus properly on the retina, resulting in clearer vision. LASIK is a life-changing solution for those who wish to reduce or eliminate their dependence on glasses or contact lenses. With advancements in medical technology, FemtoLASIK has emerged as an enhanced and safer form of traditional LASIK. It uses femtosecond laser technology to create a precise corneal flap, offering improved safety, comfort, and outcomes. What is LASIK? LASIK is a minimally invasive surgical procedure that corrects refractive errors by reshaping the cornea with precision laser technology. It is one of the most commonly performed vision correction procedures worldwide due to its high success rate and quick recovery time. Who is a Candidate for LASIK? Candidates for LASIK should meet the following criteria: Be at least 18 years old Have stable vision for at least one year Have healthy corneas with sufficient thickness Not have severe dry eyes or other significant eye conditions Not be pregnant or breastfeeding FemtoLASIK: Advanced LASIK Technology FemtoLASIK is a bladeless version of LASIK that uses a femtosecond laser to create the corneal flap instead of a mechanical blade (microkeratome). This advanced method increases precision, safety, and patient comfort. Benefits of FemtoLASIK over Traditional LASIK: Greater Precision: The femtosecond laser creates a thinner and more accurate corneal flap. Increased Safety: Reduced risk of flap-related complications. Faster Healing: The precise cut leads to quicker healing and better visual outcomes. Lower Risk of Dry Eye: The bladeless technique preserves more corneal nerves. The LASIK and FemtoLASIK Procedure Both LASIK and FemtoLASIK procedures follow a similar general structure, with variations in the flap creation step. 1. Pre-Surgical Evaluation A comprehensive eye exam assesses corneal thickness, pupil size, and overall eye health to determine the most suitable method for the patient. 2. Creating the Corneal Flap LASIK: Uses a microkeratome blade. FemtoLASIK: Uses a femtosecond laser for a precise, bladeless flap. 3. Reshaping the Cornea An excimer laser reshapes the cornea to correct the refractive error. 4. Repositioning the Flap The flap is gently repositioned, where it naturally adheres without stitches. Benefits of LASIK and FemtoLASIK Surgery Enhanced Vision: Most patients achieve 20/20 vision or better. Fast Recovery: Many experience clear vision within 24 hours. Painless Experience: Minimal discomfort during and after the procedure. Permanent Correction: Long-lasting results for most vision issues. Reduced Need for Eyewear: Less dependence on glasses or contacts. Post-Operative Care and Recovery 1. Immediate Aftercare Mild irritation or sensitivity is normal. Avoid touching or rubbing the eyes. 2. First Few Days Use prescribed antibiotic and anti-inflammatory eye drops. Avoid swimming, makeup, and dusty environments. 3. Long-Term Care Attend all follow-up appointments. Use sunglasses outdoors to protect eyes from UV exposure. Avoid strenuous activities for several weeks. Why Choose Bangkok Eye Hospital for LASIK and FemtoLASIK? Expert Refractive Surgeons Our experienced ophthalmologists specialize in LASIK and FemtoLASIK using the most advanced techniques. State-of-the-Art Technology Bangkok Eye Hospital utilizes the latest excimer and femtosecond laser systems to ensure precise and safe procedures. Comprehensive Vision Correction Services We provide detailed pre-operative assessments, customized treatment plans, and dedicated post-operative care for optimal outcomes. Appointment, Costs, and Insurance Coverage Booking an Appointment Easily schedule consultations via our website or hotline. Online appointment system available for convenience. LASIK and FemtoLASIK Costs Pricing varies depending on technology and personalized treatment plans. Flexible financing options available. Insurance and Coverage These procedures are typically elective and not covered by insurance. Our staff will help review financial options and benefits. FAQ 1. What is the difference between LASIK and FemtoLASIK? FemtoLASIK uses a femtosecond laser for flap creation, offering more precision and safety compared to the blade used in traditional LASIK. 2. Is FemtoLASIK safer than LASIK? Yes, FemtoLASIK is considered safer with fewer complications and better healing due to its precision technology. 3. Does FemtoLASIK hurt? No, the procedure is painless with the use of numbing eye drops. Some mild discomfort may be experienced after surgery. 4. Can I choose between LASIK and FemtoLASIK? Yes, after a thorough eye exam, our ophthalmologists will recommend the best option based on your eye health and vision goals. 5. How long does the healing process take? Most patients resume normal activities within 1–2 days and experience improved vision quickly, with full recovery in a few weeks.

Contact Us

calling
Contact Us :