มุมสุขภาพตา

เรียงตาม

เข้าใจตาขี้เกียจในเด็ก ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงและวิธีป้องกันตั้งแต่แรกเริ่ม

โรคตาขี้เกียจในเด็ก คือภาวะที่ดวงตาข้างใดข้างหนึ่งมองเห็นไม่คมชัด เนื่องจากการพัฒนาการด้านการมองเห็นในช่วงวัยเด็กไม่ได้รับการกระตุ้นเต็มที่ โรคตาขี้เกียจในเด็กเกิดจากปัญหาการมองเห็นที่ไม่สมดุลระหว่างตาข้างซ้ายและขวา เช่น สายตาสั้น ตาเอียง หรือการที่ตาไม่สามารถโฟกัสได้เท่ากัน การรักษาตาขี้เกียจในเด็กมักจะใช้วิธีการกระตุ้นการมองเห็น เช่น การใช้แว่นสายตา การปิดตาข้างที่มองเห็นได้ดี เพื่อฝึกการใช้ตาข้างที่อ่อนแอ ใช้ยาหยอดตา และผ่าตัดดวงตา ภาวะตาขี้เกียจมักเกิดขึ้นในช่วงวัยเด็ก ซึ่งหากตรวจพบและรักษาแต่เนิ่นๆ สามารถช่วยให้การพัฒนาการมองเห็นของเด็กกลับมาเป็นปกติได้ บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดตาขี้เกียจในเด็ก พร้อมทั้งวิธีการป้องกันและดูแลลูกน้อยของคุณตั้งแต่แรกเริ่ม เพื่อให้พวกเขามีพัฒนาการทางสายตาที่ดีที่สุด     โรคตาขี้เกียจในเด็กคืออะไร? ภาวะสายตาที่เกิดขึ้นบ่อยในเด็ก ตาขี้เกียจในเด็ก (Lazy Eye) คือภาวะที่ตาข้างใดข้างหนึ่งมองเห็นไม่ชัดเท่าข้างที่เหลือ ซึ่งเกิดจากการสูญเสียพัฒนาการของการมองเห็นในช่วงวัยเด็ก โดยทั่วไปพัฒนาการการมองเห็นในเด็กจะเกิดขึ้นตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 7 ปี หากไม่ได้รับการรักษาในช่วงนี้ อาจส่งผลให้การมองเห็นผิดปกติหรือสูญเสียการมองเห็นในระยะยาว     อาการที่บ่งชี้ว่าลูกเป็นตาขี้เกียจในเด็ก โรคตาขี้เกียจในเด็กมักสังเกตได้ยาก และเด็กเองก็อาจไม่ทราบว่ามีปัญหากับการมองเห็นที่ตาข้างใดข้างหนึ่ง ยกเว้นในกรณีที่มีอาการผิดปกติอย่างชัดเจน โดยมักมีอาการดังนี้ การมองเห็นของตาข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้ง 2 ข้างลดลง มีอาการตาเหล่ เด็กอาจต้องเอียงศีรษะหรือปิดตาข้างหนึ่งเพื่อให้มองเห็นได้ชัด การกะระยะหรือการวัดระยะห่างระหว่างวัตถุทำได้ยาก ดวงตามักเบนเข้าหรือออกจากกัน ปวดศีรษะบ่อยครั้งจากการพยายามมอง     โรคตาขี้เกียจในเด็กเกิดจากอะไร? สาเหตุหลักและปัจจัยเสี่ยง การทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้เด็กเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้จะช่วยให้ผู้ปกครองสามารถตรวจสอบและป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ มาดูกันว่าสาเหตุอะไรบ้างที่สามารถทำให้เด็กเสี่ยงต่อการเกิดโรคตาขี้เกียจในเด็ก ภาวะสายตาผิดปกติที่แตกต่างกัน เด็กที่มีสายตาผิดปกติและค่าสายตาทั้งสองข้างแตกต่างกันมากอาจเสี่ยงต่อการเกิดตาขี้เกียจในเด็ก เนื่องจากแสงที่เข้าสู่เลนส์ตาทั้งสองข้างไม่เท่ากัน ทำให้สมองตอบสนองกับตาข้างที่สามารถรับแสงได้ดีขึ้น ส่วนดวงตาอีกข้างที่มองเห็นไม่ชัดจะไม่ได้รับการใช้งานเท่าที่ควร ส่งผลให้การพัฒนาการของดวงตาข้างนั้นช้ากว่าข้างที่ใช้งานมากขึ้น จึงมีโอกาสสูงที่จะเกิดโรคตาขี้เกียจได้ ตาเขและตาเหล่ การที่ดวงตาทั้งสองข้างไม่ประสานกันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดตาขี้เกียจในเด็ก โดยปกติแล้วดวงตาทั้งสองข้างจะมองตรงและรวมภาพให้เป็นหนึ่งเดียว แต่หากตาข้างใดข้างหนึ่งมองตรงในขณะที่อีกข้างมองเบี่ยงไปด้านข้าง ด้านบน หรือด้านล่าง ซึ่งเกิดจากกล้ามเนื้อตาผิดปกติ จะทำให้มองเห็นภาพซ้อน เด็กที่มีอาการตาเขหรือตาเหล่มักเลือกใช้ตาข้างที่มองตรงเพียงข้างเดียว เพื่อหลีกเลี่ยงการเห็นภาพซ้อน หากปล่อยไว้นานอาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนาการมองเห็นของเด็ก ความผิดปกติที่ทำให้การมองเห็นไม่ชัด โรคตาขี้เกียจในเด็กนี้เกิดจากสิ่งบางอย่างที่บดบังการมองเห็นของดวงตา ทำให้แสงไม่สามารถรวมตัวกันและตกลงบนจอตาได้อย่างถูกต้อง จึงทำให้มองเห็นภาพไม่ชัด เช่น การเป็นต้อกระจก หนังตาตกแต่กำเนิด หรือมีแผลที่กระจกตา     การรักษาตาขี้เกียจในเด็ก วิธีการต่างๆ ที่ช่วยให้การมองเห็นดีขึ้น แนวทางการรักษาโรคตาขี้เกียจในเด็กจะมุ่งไปที่การแก้ไขความผิดปกติที่เป็นสาเหตุของอาการ และกระตุ้นให้ผู้ป่วยใช้งานดวงตาข้างที่มีปัญหามากขึ้น เพื่อช่วยให้สมองประสานการทำงานกับดวงตาข้างนั้น เช่น สวมแว่นสายตา การสวมแว่นสายตาหรือคอนแท็กต์เลนส์สามารถช่วยแก้ไขปัญหาสายตาของผู้ป่วยที่มีความแตกต่างระหว่างสายตาทั้งสองข้างได้ โดยช่วยให้มองเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น และกระตุ้นให้สมองทำงานประสานกับดวงตาข้างที่มีปัญหาตาขี้เกียจมากขึ้น ซึ่งจะช่วยพัฒนาการทำงานของสายตาทั้งสองข้างให้มีความสมดุลและเป็นปกติ ปิดหรือครอบตา แพทย์มักแนะนำให้ผู้ป่วยสวมที่ครอบตาหรือปิดตาข้างที่ปกติเป็นระยะเวลาประมาณ 2-6 ชั่วโมงต่อวันในช่วงเวลาที่ใช้งานดวงตา เพื่อกระตุ้นให้ดวงตาเด็กข้างที่มีปัญหาตาขี้เกียจได้ใช้งานมากขึ้น วิธีนี้ช่วยกระตุ้นการพัฒนาของดวงตาข้างที่ผิดปกติจนการมองเห็นทั้งสองข้างเท่ากันได้ จักษุแพทย์จะวางแผนการรักษาและประเมินผลเป็นระยะ เนื่องจากอาการและการตอบสนองต่อการรักษาอาจแตกต่างกันไปตามอายุและความรุนแรงของโรคในเด็กแต่ละคน ใช้ยาหยอดตา ยาหยอดตาที่มีสารอะโทรปีนจะหยอดลงในตาข้างที่ปกติสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อทำให้ภาพเบลอชั่วคราว ซึ่งช่วยให้ดวงตาข้างที่มีปัญหาตาขี้เกียจได้ใช้งานมากขึ้น อย่างไรก็ตามการใช้ยานี้อาจทำให้ตาข้างที่หยอดมีความไวต่อแสงมากขึ้นในช่วงเวลานั้น ผ่าตัดดวงตา หากการรักษาด้วยวิธีที่กล่าวมาไม่ได้ช่วยให้ตำแหน่งของดวงตากลับมาเป็นปกติ แพทย์อาจแนะนำให้ทำการผ่าตัดกล้ามเนื้อดวงตา เพื่อให้ดวงตาทำงานได้ตามปกติ โดยเฉพาะในกรณีของเด็กที่มีภาวะตาเข ตาเหล่ ต้อกระจก หรือหนังตาตก ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของตาขี้เกียจในเด็ก การผ่าตัดกล้ามเนื้อดวงตาจึงช่วยให้ดวงตากลับมาทำงานได้เป็นปกติ     ป้องกันตาขี้เกียจในเด็ก ดูแลและตรวจสอบตั้งแต่แรกเริ่ม การป้องกันการเกิดตาขี้เกียจในเด็กตั้งแต่ระยะเริ่มต้นสามารถทำได้ เพื่อให้การพัฒนาการการมองเห็นเป็นไปอย่างเต็มที่ ดังนี้ สังเกตดวงตาเด็กตั้งแต่แรกเกิดว่ามีขนาดปกติหรือไม่ และตรวจสอบว่ามีสิ่งใดบดบังตาดำของเด็กหรือไม่ เมื่อเด็กอายุ 2-3 เดือน ควรสังเกตว่าเด็กสามารถจ้องมองเราขณะให้นมหรือไม่ หากไม่ ควรปรึกษาจักษุแพทย์ เมื่อเด็กอายุ 6 เดือน ควรสังเกตว่าเด็กสามารถจ้องมองตามวัตถุได้ในขณะที่ตาอยู่นิ่ง หากตาไม่คงที่ ควรปรึกษาจักษุแพทย์ เมื่อเด็กอายุประมาณ 3 ปี สายตาจะใกล้เคียงกับผู้ใหญ่ ควรทดสอบสายตาด้วยการให้มองภาพขนาดต่างๆ และพาเด็กไปพบจักษุแพทย์เพื่อประเมินระดับการมองเห็น สรุป ตาขี้เกียจในเด็ก (Lazy Eye) คือภาวะที่การมองเห็นของดวงตาข้างหนึ่งพัฒนาช้าหรือไม่ดีเท่าดวงตาข้างอื่น ซึ่งมักเกิดในช่วงอายุ 1-7 ปี สาเหตุหลักๆ ได้แก่ สายตาผิดปกติที่มีความแตกต่างกันมาก ตาเขหรือตาเหล่ และปัญหาทางกายภาพอื่นๆ เช่น ต้อกระจกหรือหนังตาตก การรักษามักเริ่มด้วยการสวมแว่นสายตาหรือใช้การปิดตา (ครอบตา) เพื่อกระตุ้นให้ดวงตาข้างที่มีปัญหาทำงานมากขึ้น ในบางกรณีอาจต้องใช้ยาหยอดตาหรือผ่าตัดเพื่อแก้ไขปัญหากล้ามเนื้อตา หากต้องการวินิจฉัยและรักษาตาขี้เกียจในเด็กBangkok Eye Hospitalมีจักษุแพทย์ที่ชำนาญการพร้อมบริการพร้อมให้บริการด้วยมาตรฐานสูง เพื่อให้ลูกของคุณได้รับการดูแลที่เหมาะสมและตรงตามความต้องการ
อ่านเพิ่มเติม
ศูนย์รักษาตาเด็ก

รู้ทันโรคตาในเด็กที่พ่อแม่ต้องเฝ้าระวัง พร้อมวิธีสังเกตอาการเบื้องต้น

ดวงตาเป็นอวัยวะสำคัญที่ช่วยให้เด็กเรียนรู้และพัฒนาได้อย่างเต็มที่ หากลูกของคุณมีปัญหาทางสายตาตั้งแต่เด็ก อาจส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้และพัฒนาการของพวกเขา ดังนั้น การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ “โรคตาในเด็ก” และวิธีดูแลรักษาสุขภาพตาจึงเป็นสิ่งสำคัญ บทความนี้พาไปรู้จักกับโรคตาในเด็กที่พบบ่อย อาการที่ต้องสังเกต วิธีรักษา และแนวทางป้องกัน เพื่อให้สามารถดูแลสุขภาพดวงตาของลูกน้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โรคตาในเด็กมีหลายประเภท เช่น ตาขี้เกียจ ตาเข และสายตาผิดปกติแต่กำเนิด ซึ่งมีสาเหตุจากพันธุกรรม พฤติกรรมการใช้สายตา และปัจจัยภายนอก สัญญาณเตือนที่ควรสังเกต ได้แก่ การขยี้ตาบ่อย การหรี่ตาหรือเอียงศีรษะเมื่อมอง อาการปวดศีรษะหรือปวดตาประจำ และการนั่งใกล้โทรทัศน์หรือถือหนังสือชิดตามากเกินไป การรักษามีหลายวิธี ทั้งการใช้แว่นตา การปิดตาข้างดี และการผ่าตัด โดยขึ้นอยู่กับประเภทของโรคและระดับความรุนแรง ควรพาเด็กตรวจตาตามช่วงวัย คือ แรกเกิดถึง 6 เดือน อายุ 3 ปี อายุ 5 - 6 ปี และหลังจากนั้นทุก 1 - 2 ปี หรือบ่อยกว่านั้นหากมีปัญหาสายตา     โรคตาในเด็กมีอะไรบ้าง? สาเหตุเกิดจากอะไร โรคตาในเด็กมีสาเหตุมากมาย ทั้งจากปัจจัยทางพันธุกรรมที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น พฤติกรรมการใช้สายตาที่ไม่ถูกต้องหรือมากเกินไป และปัจจัยภายนอกซึ่งเข้ามามีบทบาทสำคัญ เช่น การติดเชื้อที่เกิดขึ้นในดวงตาหรืออุบัติเหตุที่ส่งผลกระทบต่อดวงตาโดยตรง ซึ่งโรคตาประเภทต่างๆ เหล่านี้มักพบได้บ่อยในวัยเด็ก และมีความหลากหลายในรูปแบบของอาการและความรุนแรง ดังนี้ 1. ตาขี้เกียจ (Amblyopia) ตาขี้เกียจเป็นภาวะที่ดวงตาข้างใดข้างหนึ่งมีพัฒนาการด้านการมองเห็นที่ไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้สายตาข้างนั้นไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน แม้ไม่มีปัญหาทางกายภาพของดวงตา สาเหตุหลักของภาวะนี้มีหลายประการ ได้แก่ สายตาสั้นหรือยาวแต่กำเนิดในข้างใดข้างหนึ่ง ภาวะตาเข (Strabismus) หรือการมีโรคทางตาตั้งแต่กำเนิด เช่น ต้อกระจกแต่กำเนิด การวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ มีความสำคัญมากต่อการป้องกันปัญหาการมองเห็นในระยะยาว 2. ตาเข (Strabismus) ภาวะตาเขเกิดขึ้นเมื่อดวงตาทั้งสองข้างไม่สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างสมดุล ส่งผลให้การมองเห็นผิดปกติและมีอาการตาเหล่อย่างชัดเจน หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมและทันท่วงที อาจนำไปสู่การพัฒนาเป็นภาวะตาขี้เกียจ ซึ่งเป็นสภาวะที่สมองเลือกละเลยภาพจากตาข้างที่มีปัญหา ทำให้การมองเห็นและการประมวลผลภาพบกพร่องในระยะยาว 3. สายตาสั้นหรือสายตายาวแต่กำเนิด เด็กบางรายอาจมีภาวะสายตาสั้นหรือสายตายาวมาตั้งแต่กำเนิด ส่งผลให้ประสบปัญหาการมองเห็นไม่ชัดเจน ซึ่งอาจกระทบต่อพัฒนาการด้านการเรียนรู้ในระยะยาว หากไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัยและแก้ไขอย่างทันท่วงที ความบกพร่องทางสายตาเหล่านี้สามารถเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการรับรู้สิ่งแวดล้อม การอ่านหนังสือ และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ     อาการแบบไหนที่บ่งบอกว่าลูกมีปัญหาทางสายตา พ่อแม่ควรเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของลูกๆ อย่างใกล้ชิดเพื่อตรวจหาสัญญาณบ่งชี้ปัญหาทางสายตา สัญญาณเตือนที่พบบ่อยประกอบด้วยอะไรบ้าง ไปดูกัน! การขยี้ตาโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน การหรี่ตาหรือเอียงศีรษะเมื่อมองวัตถุ อาการปวดศีรษะหรือปวดตาที่เกิดขึ้นเป็นประจำ พฤติกรรมการนั่งใกล้โทรทัศน์หรือถือหนังสือชิดตามากเกินไป มีความยากลำบากในการมองเห็นภายใต้สภาวะแสงน้อย หากผู้ปกครองสังเกตเห็นอาการใดๆ เหล่านี้ การพาลูกไปพบหมอรักษาตาเด็กเพื่อรับการตรวจวินิจฉัยอย่างครอบคลุมเป็นสิ่งสำคัญมากเพื่อป้องกันปัญหาทางสายตาที่อาจส่งผลระยะยาว     วิธีการรักษาโรคตาในเด็ก การรักษาโรคตาในเด็กขึ้นอยู่กับประเภทของโรคและระดับความรุนแรง วิธีการรักษาที่พบบ่อยมีดังนี้ การใช้แว่นตาสำหรับเด็กที่มีปัญหาสายตาสั้น สายตายาว หรือสายตาเอียง แว่นตาช่วยปรับแก้ความผิดปกติของการหักเหแสงในดวงตา ทำให้มองเห็นได้ชัดเจนขึ้น การปิดตาข้างดีใช้ในการรักษาตาขี้เกียจ เพื่อกระตุ้นให้ตาข้างที่มีปัญหาทำงานหนักขึ้น วิธีนี้ช่วยบังคับให้สมองรับสัญญาณจากตาข้างที่อ่อนแอ เสริมสร้างการเชื่อมต่อระหว่างตาและสมอง การผ่าตัดในกรณีที่มีปัญหาต้อกระจกแต่กำเนิดหรือตาเขที่รุนแรง การผ่าตัดช่วยแก้ไขความผิดปกติทางโครงสร้าง ฟื้นฟูการมองเห็น และป้องกันภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว วิธีป้องกันโรคตาในเด็ก วิธีป้องกันโรคตาในเด็กสามารถทำได้ดังนี้ หลีกเลี่ยงการให้เด็กใช้สายตาหนักเกินไปจำกัดเวลาการใช้หน้าจอดิจิทัลและสนับสนุนให้พักสายตาทุก 20 นาทีด้วยการมองไกลอย่างน้อย 20 วินาที เพื่อลดความเมื่อยล้าและความเครียดของกล้ามเนื้อตา ให้เด็กได้รับสารอาหารที่ช่วยบำรุงสายตาเสริมอาหารที่อุดมด้วยวิตามินเอจากผักใบเขียว แคร์รอต ฟักทอง และเพิ่มแหล่งโอเมก้า-3 จากปลาทะเลน้ำลึก ถั่วและเมล็ดพืช ซึ่งช่วยในการพัฒนาและบำรุงเซลล์ประสาทตา กระตุ้นให้เด็กเล่นกลางแจ้งส่งเสริมกิจกรรมนอกบ้านอย่างน้อยวันละ 1 - 2 ชั่วโมง เนื่องจากแสงธรรมชาติและการมองในระยะไกลช่วยชะลอการเกิดสายตาสั้นและส่งเสริมการพัฒนาการมองเห็นที่สมดุล ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำพาเด็กไปพบหมอรักษาตาเด็กเพื่อตรวจวัดสายตาอย่างน้อยปีละครั้ง และทันทีที่สังเกตเห็นอาการผิดปกติ เช่น การขยี้ตาบ่อย การมองใกล้เกินไป หรือการร้องเรื่องปวดศีรษะ     อาการผิดปกติแบบไหนที่ควรไปพบแพทย์? หากลูกๆ ของคุณมีอาการต่อไปนี้ ควรพาไปพบหมอรักษาตาเด็กโดยเร็ว ตาแดง บวม หรือมีขี้ตามากผิดปกติอาการเหล่านี้อาจบ่งบอกถึงการติดเชื้อหรือการอักเสบของดวงตา ซึ่งหากปล่อยไว้อาจลุกลามและส่งผลเสียต่อการมองเห็นได้ มองเห็นภาพซ้อนภาวะมองเห็นภาพซ้อนอาจเป็นสัญญาณของปัญหาทางระบบประสาทหรือกล้ามเนื้อตา ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง ตาไวต่อแสงหรือมีน้ำตาไหลมากผิดปกติอาการแพ้แสงหรือน้ำตาไหลมากเกินปกติอาจเป็นอาการของโรคตาหลายชนิด รวมถึงภาวะตาแห้งหรือการติดเชื้อที่ต้องการการรักษา ไม่สามารถจ้องมองหรือโฟกัสสิ่งของได้ปัญหาในการโฟกัสอาจบ่งชี้ถึงความผิดปกติของการมองเห็นที่อาจส่งผลต่อพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก มีปัญหาการมองเห็นกลางคืนประสิทธิภาพการมองเห็นในที่มืดลดลงอาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติของจอประสาทตาหรือเลนส์ตา ซึ่งควรได้รับการตรวจวินิจฉัยจากจักษุแพทย์     ควรพาลูกไปตรวจตาเมื่อไร จำเป็นต้องตรวจเป็นประจำไหม? ส่วนใหญ่หมอรักษาตาเด็กจะแนะนำให้เด็กตรวจสุขภาพตาตามช่วงวัยดังนี้ แรกเกิดถึง 6 เดือนตรวจคัดกรองปัญหาทางตาตั้งแต่แรกเกิด เพื่อตรวจจับความผิดปกติเบื้องต้น เช่น ต้อกระจก หรือปัญหาโครงสร้างลูกตา ซึ่งเป็นการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต อายุ 3 ปีตรวจสุขภาพตาเพื่อดูพัฒนาการของการมองเห็น ประเมินความสามารถในการมองเห็นและสุขภาพตาโดยรวม รวมถึงตรวจหาภาวะตาเขและสายตาผิดปกติที่อาจเริ่มปรากฏในวัยนี้ อายุ 5 - 6 ปีตรวจสายตาก่อนเข้าโรงเรียน เพื่อให้แน่ใจว่าเด็กไม่มีปัญหาสายตาที่จะเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ โดยเฉพาะการอ่านและการมองกระดานในห้องเรียน หลังจากนั้นควรตรวจทุก 1 - 2 ปี หรือบ่อยกว่านั้นหากมีปัญหาสายตา เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของสายตาในช่วงเติบโต และปรับแก้ไขความผิดปกติได้ทันท่วงที โดยเฉพาะในช่วงที่มีการใช้สายตามากขึ้น รักษาโรคตาในเด็ก ที่ศูนย์รักษาตาเด็ก Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร หากต้องการรักษาโรคตาในเด็ก แนะนำมาปรึกษาและรักษาได้ที่ศูนย์รักษาตาเด็ก Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ที่นี่โดดเด่นด้านการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ด้วยจักษุแพทย์ผู้มากความรู้เกี่ยวกับดวงตาและและทีมงานที่มีประสบการณ์ และจุดเด่นดังนี้ โรงพยาบาลมีจักษุแพทย์มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย พร้อมให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง สรุป โรคตาในเด็กเป็นเรื่องที่พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากดวงตาที่แข็งแรงมีผลต่อพัฒนาการของลูก การสังเกตอาการผิดปกติ การป้องกันที่เหมาะสม และการตรวจสุขภาพตาเป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงของปัญหาสายตาได้ หากคุณสงสัยว่าลูกของคุณมีปัญหาทางสายตา ควรพาไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด และอย่าลืมดูแลสุขภาพดวงตาของลูกน้อยอย่างสม่ำเสมอ หากต้องการรักษาโรคตาในเด็ก แนะนำมาที่ศูนย์โรคตาเด็กBangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) โรงพยาบาลเฉพาะทางที่มีแพทย์มากประสบการณ์ อุปกรณ์ที่ทันสมัย ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล มั่นใจได้ว่าการรักษาเป็นไปอย่างถูกต้อง แม่นยำ และปลอดภัย
ศูนย์รักษาต้อกระจก
ศูนย์รักษาจอประสาทตา
ศูนย์เลสิก LASER VISION
ศูนย์รักษาต้อหิน
ศูนย์รักษากระจกตา
ศูนย์รักษาตาเด็ก
ศูนย์ศัลยกรรมตกแต่งรอบดวงตา
ศูนย์รักษาจักษุประสาทวิทยา

กระจกตาเป็นฝ้า : สาเหตุ วิธีการรักษา และทางเลือกที่ใช่สำหรับคุณ

กระจกตาเป็นฝ้า สาเหตุ วิธีการรักษา และทางเลือกที่ใช่สำหรับคุณ ณ ศูนย์รักษาโรคกระจกตา โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ กระจกตาเปรียบเสมือนหน้าต่างบานแรกที่แสงจะผ่านเข้าสู่ดวงตา หาก "กระจกตา" เกิดขุ่นมัว การมองเห็นย่อมได้รับผลกระทบ "กระจกตาเป็นฝ้า" เป็นภาวะที่กระจกตาสูญเสียความใส ทำให้มองเห็นภาพมัว ไม่ชัดเจน หรือเห็นภาพซ้อน ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน สาเหตุของกระจกตาเป็นฝ้า กระจกตาเป็นฝ้าอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย ได้แก่ การติดเชื้อ เช่น เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา หรือไวรัส ซึ่งอาจเกิดจากการใส่คอนแทคเลนส์ที่ไม่ถูกสุขลักษณะ หรือการบาดเจ็บที่กระจกตา แผลที่กระจกตา เกิดจากการบาดเจ็บ การระคายเคืองจากฝุ่นละออง สารเคมี หรือการติดเชื้อ โรคทางพันธุกรรม เช่น โรคกระจกตาโค้งผิดปกติ (Keratoconus) ทำให้กระจกตาบางและโป่งนูนผิดปกติ ภาวะแทรกซ้อนจากโรคตา เช่น โรคตาอักเสบ การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาสเตียรอยด์หยอดตาเป็นเวลานาน การสัมผัสสารเคมี เช่น สารฟอกขาว กรด ด่าง การขาดวิตามินเอ อาการของกระจกตาเป็นฝ้า มองเห็นภาพมัว อาจเป็นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความขุ่นมัวของกระจกตา เห็นภาพซ้อน ตาแดง ปวดตา เคืองตา น้ำตาไหล แพ้แสง วิธีการรักษากระจกตาเป็นฝ้า การรักษากระจกตาเป็นฝ้าขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรง โดยทั่วไปมีวิธีการรักษาดังนี้ การใช้ยา เช่น ยาหยอดตา ยาป้ายตา เพื่อลดการอักเสบ ฆ่าเชื้อ หรือรักษาตามสาเหตุ การผ่าตัด การปลูกถ่ายกระจกตา : ในกรณีที่กระจกตาเสียหายมาก การขัดกระจกตาด้วยเลเซอร์ : เช่น PTK การรักษาอื่นๆ เช่น การประคบอุ่น การใส่คอนแทคเลนส์ชนิดพิเศษ ศูนย์รักษาโรคกระจกตา โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ พร้อมดูแลรักษากระจกตาเป็นฝ้าอย่างครบวงจร ด้วย ทีมจักษุแพทย์เฉพาะทางด้านกระจกตา : ประสบการณ์สูง เชี่ยวชาญ พร้อมให้คำปรึกษาและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เทคโนโลยีที่ทันสมัย : เครื่องมือที่ได้มาตรฐานสากล ช่วยในการวินิจฉัยและรักษาอย่างแม่นยำ ปลอดภัย เครื่องตรวจวัดความโค้งของกระจกตา (Corneal Topography) เครื่องตรวจวัดความหนาของกระจกตา (Pachymetry) เลเซอร์ Excimer และ เลเซอร์ Femtosecond การดูแลอย่างครบวงจร : ตั้งแต่การตรวจวินิจฉัย การรักษา การติดตามผล จนกระทั่งหายเป็นปกติ บริการที่สะดวกสบาย : บรรยากาศเป็นกันเอง ใส่ใจทุกขั้นตอน คืนความใสการมองเห็นที่คมชัดให้กับดวงตาที่ศูนย์รักษาโรคกระจกตา โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและนัดหมายแพทย์ได้ที่ 02-511-2111  
ศูนย์รักษาต้อกระจก
ศูนย์รักษาจอประสาทตา
ศูนย์รักษาต้อหิน
ศูนย์รักษากระจกตา
ศูนย์รักษาตาเด็ก
ศูนย์ศัลยกรรมตกแต่งรอบดวงตา
ศูนย์รักษาจักษุประสาทวิทยา

รายชื่อประกันภัย

  บริษัทประกันภัย บริษัท ไทยประกันสุขภาพ จำกัด มหาชน บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ลูม่าแคร์ จำกัด บริษัท บลูเวนเจอร์ ทีพีเอ จำกัด บริษัท เอดับเบิลยู พี เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด Asian Assistance (Thailand) Co., Ltd. APRIL Assistance (Thailand) Co., Ltd. International SOS (Thailand) Co., Ltd. Assist International Services Co., Ltd. บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด มหาชน บริษัท ซัมซุงประกันชีวิต(ประเทศไทย) จำกัด มหาชน  บริษัท Euro-Center (Thailand) Co., Ltd. บริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) Europ Assistance (Thailand) Co., Ltd. Henner-GMC :: สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ::  แผนกประสานสิทธิ์ประกัน 02-511-2111 ต่อ 3803, 3804  UR Nurse 02-511-2111 ต่อ 3805
ศูนย์รักษาต้อกระจก
ศูนย์รักษาจอประสาทตา
ศูนย์เลสิก LASER VISION
ศูนย์รักษาต้อหิน
ศูนย์รักษากระจกตา
ศูนย์รักษาตาเด็ก
ศูนย์ศัลยกรรมตกแต่งรอบดวงตา
ศูนย์รักษาจักษุประสาทวิทยา

Understanding Pterygium: Causes, Symptoms, and Treatment Options

  How people notice and see Pterygium without knowing it is Pterygium   Have you ever looked in the mirror and noticed a small, fleshy growth on the white part of your eye, usually near the nose? It might appear slightly red, or you might feel like something’s stuck in your eye. This growth can slowly creep onto the clear, center part of your eye, known as the cornea, causing discomfort, dryness, or even blurred vision. Many people mistake these signs for simple irritation, dryness, or tired eyes, unaware that they might be dealing with a condition called pterygium.   1. What is Pterygium? Pterygium (pronounced tuh-RIJ-ee-um) is a common eye condition that looks like a triangular or wedge-shaped growth on the eye’s surface. It usually starts small but can slowly expand toward the cornea. Though it might look concerning, it’s not cancerous. For some, it’s just a minor cosmetic issue, but for others, it can cause vision problems or significant discomfort   2. Why does it happen? Pterygium happens mainly due to long-term exposure to UV light from the sun, which is why it’s often called "surfer’s eye." But you don’t have to be a surfer to get it - anyone who spends a lot of time outdoors, especially without proper eye protection, is at risk. Dust, wind, and dry environments can also irritate the eye and contribute to its development. Genetics can play a part, too, as pterygium is more common in certain families. Pinguecula and pterygium are often mistaken for each other. Pinguecula is a yellowish bump on the conjunctiva, while pterygium extends onto the cornea and can affect vision. Proper diagnosis is key.   3. What to do when you notice it? If you spot a growth on your eye or feel persistent discomfort, dryness, or redness, don’t ignore it. Make an appointment with an eye specialist, especially if it’s growing or starting to affect your vision. The doctor can diagnose pterygium with a simple eye exam and discuss whether it needs to be treated right away or monitored over time.   4. Treatment Options Observation and Protection: In mild cases, protecting your eyes from the sun with sunglasses and using lubricating eye drops can help keep symptoms in check. Medication: If the pterygium becomes red and inflamed, doctors may prescribe anti-inflammatory eye drops to reduce irritation.  Surgery: When pterygium grows too large, affects vision, or causes significant discomfort, surgery to remove the growth may be recommended. This involves removing the tissue and often placing a graft (a small piece of your own conjunctiva) to cover the area and reduce the chance of it coming back.   5. Advice from Bangkok Eye Hospital and Next Steps At Bangkok Eye Hospital, our experienced ophthalmologists often see patients who are unsure what’s causing their eye discomfort or unusual growths. It’s essential to address these concerns early to avoid complications. If surgery is necessary, one of the best innovations available today is using fibrin glue during pterygium surgery, which offers many benefits over traditional stitches.     To learn more about how fibrin glue can improve your recovery and comfort, check out our next article on this advanced treatment here. If you’re experiencing symptoms or want a consultation, don’t hesitate to reach out to Bangkok Eye Hospital - our team is here to guide you through every step of your eye care journey.
ศูนย์รักษาต้อกระจก
ศูนย์รักษาจอประสาทตา
ศูนย์รักษาต้อหิน
ศูนย์รักษากระจกตา
ศูนย์รักษาตาเด็ก
ศูนย์ศัลยกรรมตกแต่งรอบดวงตา
ศูนย์รักษาจักษุประสาทวิทยา

Monkeypox and Eye Health: What You Need to Know

Monkeypox and Eye Health: What You Need to Know Monkeypox, a rare viral disease similar to smallpox, has been making headlines due to recent outbreaks in various parts of the world. While it primarily affects the skin, the virus can also have serious implications for eye health. Understanding how monkeypox can impact your eyes and knowing the preventive measures can help protect your vision if you are at risk of exposure. What is Monkeypox? Monkeypox is caused by the monkeypox virus, which belongs to the Orthopoxvirus genus. The disease is characterized by fever, headache, muscle aches, and a distinctive rash that progresses from macules to papules, vesicles, and eventually scabs. The rash often begins on the face and spreads to other parts of the body, including the eyes. Fun Fact: Despite its name, monkeypox doesn’t actually come from monkeys. The virus was first identified in laboratory monkeys in 1958, which led to its name. However, the primary carriers of the virus in the wild are rodents, such as rats and squirrels, not monkeys. How Can Monkeypox Affect the Eyes? Monkeypox can lead to several eye-related complications, the most concerning of which is monkeypox keratitis. This condition occurs when the virus infects the cornea, the clear front part of the eye. Symptoms of monkeypox keratitis include redness, pain, blurred vision, and sensitivity to light. If not treated promptly, keratitis can cause scarring of the cornea, leading to permanent vision loss. Other potential eye complications include conjunctivitis (inflammation of the conjunctiva, the membrane covering the white part of the eye) and blepharitis (inflammation of the eyelids). These conditions can cause discomfort and, in severe cases, may also lead to vision impairment.Prevention: Protecting Your Eyes from Monkeypox Preventing monkeypox infection, including its effects on the eyes, involves several key strategies: Avoid Contact with Infected Individuals: Monkeypox spreads through close contact with an infected person’s skin lesions, body fluids, or respiratory droplets. If you are in an area with known monkeypox cases, avoid close contact with infected individuals and wear protective gear if necessary. Practice Good Hygiene: Regular handwashing with soap and water, avoiding touching your face (especially your eyes), and using alcohol-based hand sanitizers can reduce the risk of infection. Vaccination: The smallpox vaccine has been shown to be effective against monkeypox. If you are at high risk (e.g., healthcare workers, people in affected areas), getting vaccinated may provide protection. Protect Your Eyes: If you are caring for someone with monkeypox or are in an area with an outbreak, consider wearing protective eyewear to reduce the risk of the virus coming into contact with your eyes.   Solutions: What to Do If Your Eyes Are Affected If you suspect that monkeypox has affected your eyes, seek medical attention immediately. Early intervention is crucial to prevent serious complications. Treatment may include: Antiviral Medications: While there is no specific treatment for monkeypox, antiviral drugs like tecovirimat (Tpoxx) may be used under certain conditions to reduce the severity of symptoms. Topical Treatments: In cases of keratitis or conjunctivitis, antiviral eye drops or ointments may be prescribed to control the infection and prevent complications. Supportive Care: Managing symptoms like pain and inflammation through over-the-counter medications or prescribed treatments can help alleviate discomfort.   Conclusion   Monkeypox is more than just a skin disease; its effects can extend to the eyes, posing a risk to vision. By understanding how monkeypox can affect the eyes and taking preventive measures, you can protect your vision and overall health. If you experience any eye-related symptoms after exposure to monkeypox, seek medical care immediately to ensure the best possible outcome.Concerned about keratitis or other eye conditions? Don’t wait—schedule a comprehensive eye exam at [Hospital Name] today. Early detection and treatment of keratitis can preserve your vision and keep your eyes healthy. Trust your vision to the experts, call: +66982255691.
ศูนย์รักษาต้อกระจก
ศูนย์รักษาจอประสาทตา
ศูนย์เลสิก LASER VISION
ศูนย์รักษาต้อหิน
ศูนย์รักษากระจกตา
ศูนย์รักษาตาเด็ก
ศูนย์ศัลยกรรมตกแต่งรอบดวงตา
ศูนย์รักษาจักษุประสาทวิทยา

How to Keep Your Eyes Safe During Sports | Essential Eye Health Tips

  Whether you're an elite athlete or enjoy sports as a weekend hobby, your eyes are one of your most valuable assets. Good vision enhances your performance, while eye injuries can not only sideline you from the game but also affect your daily life. At Bangkok Eye Hospital, we’re dedicated to helping everyone—professional athletes and casual players alike—understand the importance of eye health in sports. This blog provides essential tips to keep your eyes safe and your vision sharp, no matter your level of activity.   Why Eye Health Matters in Sports: Performance Enhancement: Clear and precise vision is key to success in sports, from accurately judging distances to reacting quickly to fast-moving objects. Prevention from Injury: Protecting your eyes can prevent serious injuries that may not only impact your performance but also your overall quality of life. Long-Term Vision Safety: Taking care of your eyes today can prevent vision problems later in life, ensuring you can continue enjoying sports and other activities.   Common Sports-Related Eye Injuries: Blunt Trauma: Sports like basketball, football, and baseball can lead to injuries from impact, which can cause anything from minor bruising to serious conditions like retinal detachment. Serious Injuries: In contact sports like boxing, karate, or taekwondo, direct hits or accidental jabs from opponents can result in severe and dangerous injuries, including cuts, fractures, or even eye injuries that require immediate medical attention. UV Damage: Prolonged exposure to the sun during outdoor sports can lead to harmful effects on the eyes, increasing the risk of cataracts and other conditions. Tips for Keeping Your Eyes Healthy: Stay Hydrated: Proper hydration is important to keep your eyes moist and comfortable, reducing the risk of dry eyes during and after sports. Balanced Diet: Eating a diet rich in vitamins A, C, and E, along with Omega-3 fatty acids, supports eye health and can improve your visual performance. Avoid Touching Your Eyes: During sports, your hands can pick up dirt and bacteria, which can lead to eye infections if you rub your eyes. Always wash your hands thoroughly before touching your eyes.   Need Expert Eye Care? We are here for you. Comprehensive Eye Exams: Our specialists and well-trained medical teams offer detailed eye examinations tailored to your specific needs, whether you’re an athlete or enjoy sports recreationally. Personalized Vision Solutions: From prescription sports eyewear to LASIK surgery, we offer a range of treatment services designed to enhance your visual performance and protect your eyes. Innovative Eye Care Technologies: We operate on a cutting-edge smart hospital concept, integrating AI and advanced technologies to ensure the highest effectiveness in our treatment programs. Our commitment to innovation drives us to take patient care to the next level, providing you with the most advanced and personalized eye care available.   Your Eyes Deserve Expert Care — Call Now to Schedule Your Examination! Whatsapp: +66982255691 Email: info@bangkokeyehospital.com

ที่อยู่

ศูนย์โรคตาเด็ก - โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ

10/989 ซ.ประเสริญมนูกิจ 33 แขวงนวลจันทร์ เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร 10230

ช่องทางติดต่อ

calling
ติดต่อเรา :