มุมสุขภาพตา : #โรคต้อหิน

เรียงตาม

กระจกตาบางเกิดจากอะไร? อาการ ผลกระทบต่อสายตาและวิธีรักษา

กระจกตาบางคือภาวะที่กระจกตาซึ่งเป็นชั้นโปร่งใสด้านหน้าตาของดวงตามีความหนาน้อยกว่าปกติ ส่งผลต่อการมองเห็นและสุขภาพตา กระจกตาบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การเสื่อมตามวัย การขยี้ตาบ่อยๆ โรคทางพันธุกรรม หรือผลข้างเคียงจากการผ่าตัดตา เช่น เลสิก อาการของกระจกตาบางที่สังเกตได้ เช่น ตาพร่ามัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย มองเห็นภาพบิดเบี้ยว และสายตาเอียงสูงผิดปกติ กระจกตาบางคือภาวะที่ความหนาของกระจกตาลดลงกว่าปกติ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการโฟกัสแสงเข้าสู่ดวงตา ทำให้การมองเห็นมีความคมชัด หากกระจกตาบางเกินไป อาจเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสายตา เช่น สายตาผิดปกติ หรือมีผลกระทบต่อการรักษาดวงตาด้วยวิธีต่างๆ เช่น เลสิก การเข้าใจสาเหตุ อาการ และการดูแลกระจกตาบางอย่างถูกต้อง จึงช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและดูแลสุขภาพตาได้ดีขึ้น       กระจกตาคืออะไร? สิ่งสำคัญต่อการมองเห็น กระจกตา (Cornea) คือชั้นโปร่งใสและโค้งอยู่ด้านหน้าสุดของดวงตา ครอบคลุมตาดำ มีหน้าที่ช่วยหักเหแสงให้เข้าสู่ดวงตา ทำให้เรามองเห็นชัดเจน และยังเป็นเกราะป้องกันเชื้อโรคโดยตรง โดยปกติความหนาของกระจกตาจะอยู่ที่ประมาณ 520-550 ไมครอน และสามารถบางลงได้ตามอายุที่เพิ่มขึ้นด้วย       รู้จักกับกระจกตาบาง กระจกตาบางคือลักษณะของกระจกตาที่มีความหนาน้อยกว่า 500 ไมครอน (0.5 มิลลิเมตร) โดยทั่วไปไม่ถือเป็นโรคและไม่ต้องรักษา แต่กระจกตาบางจะส่งผลต่อการวินิจฉัยโรคบางอย่าง เช่น ต้อหิน เพราะทำให้วัดความดันตาต่ำกว่าความจริง รวมถึงส่งผลต่อการเลือกวิธีแก้ไขสายตา เช่น หากผู้ป่วยต้องการทำ LASIK และ มีระดับค่าสายตาที่มีผิดปกติสูง เช่น สั้น หรือ เอียงมาก โดยมีความหนาของกระจกตาน้อย เมื่อเปรียบเทียบกันกับเนื้อกระจกตาที่ต้องใช้ผ่าตัด หลังจากได้รับการตรวจจากผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียด เเพทย์ประเมินแล้วอาจจะไม่สามารถแก้ไขค่าสายตาได้หมด หรืออาจทำให้ กระจกตาเสี่ยงเป็นโรคกระจกตาอื่นๆหลังการแก้ไข เเพทย์อาจประเมินให้ผู้ป่วยทำการรักษาด้วยวิธีการอื่นๆ เช่น PRK ICL FemtoLASIK ReLEx SMILE Pro หรือ NanoLASIK  แทนการทำ LASIK แบบทั่วๆไป ซึ่งเป็นการเเก้ไขที่ใช้หรือรบกวนความหนาของกระจกตาน้อยกว่าเพราะฉะนั้น ก่อนทำเลสิกจึงต้องสังเกตและตรวจประเมินความหนาของกระจกตาอย่างละเอียด เพราะหากบางเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะสายตาเอียงผิดปกติ หรือกระจกตาย้วย ซึ่งส่งผลต่อการมองเห็นได้ นอกจากนี้หลายคนยังสงสัยว่า “ใส่คอนแท็กต์เลนส์ ทำให้กระจกตาบางจริงไหม?” คำตอบคือ โดยทั่วไปการใส่คอนแท็กต์เลนส์อย่างถูกวิธี ไม่ได้ทำให้กระจกตาบางลง แต่หากใส่นานเกินไป ไม่ถอดล้างหรือดูแลอย่างถูกต้อง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเกิดภาวะขาดออกซิเจนที่กระจกตา ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อบางลงได้เช่นกัน       กระจกตาบางเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง? กระจกตาบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ การเข้าใจสาเหตุเหล่านี้ช่วยให้สามารถป้องกันและดูแลสุขภาพตาได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น โดยสาเหตุที่พบได้บ่อย มีดังนี้   โรคทางพันธุกรรม แม้ว่าภาวะกระจกตาบางมักเกิดจากพฤติกรรมบางอย่าง แต่ในบางกรณี ความผิดปกตินี้อาจมีสาเหตุจากโรคพันธุกรรมที่ถ่ายทอดภายในครอบครัว หนึ่งในโรคที่พบบ่อย คือ กระจกตาย้วย (Keratoconus) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของภาวะกระจกตาบาง กระจกตาจะบางลงและโป่งยื่นออกมาคล้ายรูปกรวย ทำให้สายตาเอียงผิดปกติ และการมองเห็นแย่ลงเรื้อรัง มักเริ่มแสดงอาการในช่วงวัยรุ่นถึงอายุ 30 ปี โรคกระจกตาบางจากพันธุกรรมอื่นๆ (Corneal Dystrophies) เช่น Pellucid Marginal Degeneration (PMD) ซึ่งกระจกตาจะบางลงบริเวณขอบด้านล่าง   การบาดเจ็บหรือการผ่าตัดตา การผ่าตัดแก้ไขสายตาบางประเภท เช่น การทำเลสิก (LASIK) หรือ PRK อาจส่งผลให้กระจกตาบางลงได้ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการเลเซอร์เนื้อกระจกตา ออกไปมากเกินความจำเป็น ทำให้ความหนาของกระจกตาที่เหลืออยู่ไม่เพียงพอ เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น กระจกตาย้วยในอนาคต นอกจากนี้การบาดเจ็บที่กระจกตาซ้ำๆ รวมถึงการติดเชื้อที่รุนแรง เช่น แผลที่กระจกตาหรือกระจกตาอักเสบ ก็สามารถทำลายเนื้อเยื่อกระจกตาและทำให้เกิดการบางลงได้เช่นกัน โดยเฉพาะหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที   โรคอื่นๆ หรือการใช้ยา โรคทางภูมิคุ้มกันบางชนิด เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) หรือโรคเอสแอลอี (SLE) อาจส่งผลกระทบต่อกระจกตา ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และนำไปสู่ภาวะกระจกตาบางได้ในระยะยาว เนื่องจากภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเนื้อเยื่อของตาเอง ในขณะเดียวกัน การใช้ยาหยอดตาบางชนิด โดยเฉพาะยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ หากใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจมีผลข้างเคียงต่อโครงสร้างของกระจกตา ทำให้เนื้อเยื่อกระจกตาอ่อนแอและบางลงได้เช่นกัน       อาการของภาวะกระจกตาบาง ภาวะกระจกตาบางมักพัฒนาอย่างช้าๆ จนอาจไม่สังเกตเห็นได้ในระยะแรก การเรียนรู้ที่จะสังเกตอาการเบื้องต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรักษาได้อย่างทันท่วงที โดยอาการที่อาจพบมีดังนี้ การมองเห็นพร่ามัวหรือไม่ชัดเจน ค่าสายตาเปลี่ยนแปลงบ่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ มีค่าสายตาเอียงสูงกว่าปกติ มองเห็นภาพบิดเบี้ยว หรือมีลักษณะผิดรูปจากความจริง       วิธีการตรวจและวินิจฉัยกระจกตาบาง โดยปกติแล้วภาวะกระจกตาบางมักถูกตรวจพบในขั้นตอนการประเมินสายตาก่อนทำเลสิก ซึ่งแพทย์จะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Keratometerตรวจวัดความโค้งของกระจกตาและค่าสายตาเอียง โดยการสะท้อนแสงบนกระจกตาเพื่อตรวจหารูปร่างและความโค้งที่ผิดปกติ ซึ่งความโค้งที่ผิดปกตินี้ อาจสัมพันธ์กับความบางของกระจกตา นอกจากนั้นยังมีการตรวจ Corneal Tophography หรือแผนภูมิดวงตาเพื่อประเมินค่าความหนาบางและความผิดปกติของกระจกตาอื่นๆด้วย โดยอาจจะมีการวัด Tomographic Biomechanical Index หรือ ค่าความเเข็งเเรงของกระจกตา เสริมเพื่อตรวจความเสี่ยงของโรค Corneal Ectasia หรือโรคกระจกตาโป้งอีกด้วย แม้ว่าจะสามารถสังเกตอาการเบื้องต้นได้ เช่น มองเห็นไม่ชัดหรือค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย แต่การวินิจฉัยว่ามีกระจกตาบางจริงหรือไม่นั้น ต้องอาศัยการตรวจโดยจักษุแพทย์เท่านั้น เพราะการสังเกตอาการด้วยตนเองเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น ไม่สามารถยืนยันผลได้ ดังนั้นหากสงสัยว่าตนเองมีกระจกตาบาง ควรเข้ารับการตรวจอย่างละเอียดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวางแผนการดูแลและรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้น   สรุป กระจกตาบางเป็นภาวะที่หลายคนไม่รู้ตัว แต่สามารถส่งผลกระทบต่อการมองเห็น เช่น ตาพร่ามัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย หรือภาพบิดเบี้ยว ซึ่งอาจเกิดจากพันธุกรรม โรคภูมิคุ้มกัน การผ่าตัดแก้ไขสายตา หรือการใช้ยาบางชนิด การตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกจึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่วางแผนทำเลสิก ควรเข้ารับการตรวจวัดความหนาและความโค้งของกระจกตาอย่างละเอียดที่ Bangkok Eye Hospital ด้วยเครื่องมือทันสมัยและแพทย์เฉพาะทาง เพื่อป้องกันและดูแลสุขภาพดวงตาได้อย่างมั่นใจ   คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกระจกตาบาง (FAQ) หลายคนที่เพิ่งเคยได้ยินเกี่ยวกับภาวะกระจกตาบางอาจมีข้อสงสัยมากมาย เพื่อช่วยให้เข้าใจมากขึ้น เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาวะกระจกตาบาง พร้อมคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญมาฝากกันในบทความนี้   ทำอย่างไรให้กระจกตาหนาขึ้น ความหนาของกระจกตาไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากเป็นความผิดปกติที่เกิดจากโครงสร้างภายในชั้นกระจกตาเอง   ถ้าปล่อยให้กระจกตาบางแล้วไม่รักษา จะเป็นอย่างไร? สายตาพร่ามัวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถแก้ไขด้วยแว่นหรือคอนแท็กต์เลนส์ปกติได้ กระจกตาโป่งยื่นออกมามากผิดปกติ ทำให้การมองเห็นแย่ลงอย่างถาวร ในบางกรณีรุนแรงมาก อาจเกิดภาวะกระจกตาบวมน้ำฉับพลัน (Acute Hydrops) หรือกระจกตาทะลุ ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินและอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้หากไม่ได้รับการปลูกถ่ายกระจกตา   สามารถป้องกันภาวะกระจกตาบางได้ไหม หลีกเลี่ยงการขยี้ตาแรงๆ เพราะการขยี้ตาเป็นประจำและรุนแรงสามารถทำให้กระจกตาบางลงและเป็นตัวกระตุ้นให้โรคกระจกตาย้วยแย่ลง ดูแลสุขภาพตาโดยรวม เช่น ไม่ใช้คอนแท็กต์เลนส์นานเกินไป และรักษาความสะอาดของดวงตา พบจักษุแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคเกี่ยวกับกระจกตา เพื่อให้สามารถวินิจฉัยและเริ่มการรักษาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะให้ผลลัพธ์การรักษาที่ดีกว่า  
อ่านเพิ่มเติม
ศูนย์เลสิก LASER VISION

โรคต้อหินเฉียบพลัน

โรคต้อหินเฉียบพลัน ชื่อโรคก็บ่งบอกให้เรารู้อยู่แล้วว่าเฉียบพลัน "ต้อหินเฉียบพลัน" จะทำให้ผู้ป่วยตาแดง ตามัว ปวดตา และตาบอดในเวลาอันสั้น ทุกอย่างเป็นไปอย่างเฉียบพลัน      ภายในดวงตาคนเรามีน้ำทั้งชนิดใสและข้นเป็นองค์ประกอบ ทำให้ลูกตาเกิดแรงดันอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งถ้าใช้เครื่องมือไปวัดจะได้ประมาณ 10-20 มิลลิเมตรปรอท น้ำในลูกตามีการไหลเวียนแลกเปลี่ยนกับกระแสเลือด มีน้ำเข้าในและออกนอกลูกตาเป็นประจำ น้ำเข้าและออกจะสมดุลกัน สำหรับผู้ที่เป็นโรคต้อหินเฉียบพลัน เกิดจากการไหลเวียนของน้ำเข้าและออกผิดพลาด น้ำออกจากตาน้อยกว่าน้ำเข้าตา ทำให้ความดันตาขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว อาจวัดความดันตาได้สูงถึง 50-60 มิลลิเมตรปรอท ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดตา ปวดศรีษะอย่างรุนแรงในทันที แรงดันที่สูงขนาดนี้ ทำให้ กระจกตา ที่ปกติใส จะขุ่นมัวทันที ทำให้ผู้ป่วยตามัวลงอย่างทันทีด้วย      โรคต้อหินเฉียบพลันนี้เกิดขึ้นได้เฉพาะในคนที่มีรูปร่าง ลักษณะภายในของตาผิดปกติ มองข้างนอกจะเป็นลูกตาปกติ ร่วมกับภาวะแวดล้อมที่ทำให้ ม่านตา ขยายผิดปกติ เช่น จากการใช้ยาบางชนิด พบโรคนี้มากในผู้หญิงสูงอายุ เนื่องด้วยผู้หญิงมักมีขนาดดวงตาเล็กกว่าผู้ชาย เมื่ออายุมากขึ้นขนาดแก้วตาซึ่งอยู่ภายในดวงตาใหญ่ขึ้น (เพราะเนื้อเยื่อบางส่วนของตาเสื่อมลงตามวัย) จึงทำให้ช่องต่างๆ ภายในดวงตาแคบลง   อาการ      ในผู้ป่วยบางราย อาจมีอาการเตือนนำมาก่อนการเกิดต้อหินเฉียบพลัน ได้แก่ รู้สึกปวดตาเวลาใช้สายตามากๆ ทำให้ตาพร่าไปชั่วคราว ตามักพร่ามัวเวลาพลบค่ำ หรือบางครั้งอาจมองเห็นสีรุ้งรอบดวงไฟ แต่พอนอนพักอาการจะดีขึ้น แต่จะมีอาการแบบนี้บ่อยๆ ดังนั้นผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้หญิง หากมีอาการดังกล่าวควรรีบเข้าปรึกษาจักษุแพทย์ทันที หากจักษุแพทย์ตรวจพบอาการดังกล่าวร่วมกับความผิดปกติของลักษณะภายในตาที่แคบ หรือตื้น สามารถทำการป้องกันได้โดยการใช้แสงเลเซอร์รักษา ซึ่งสามารถป้องกันโรคนี้ได้อย่างถาวร   ผู้มีปัจจัยเสี่ยงที่เกิดโรคต้อหินเฉียบพลัน ถึงแม้ไม่อาจทราบสาเหตุที่แน่ชัด ที่ทำให้ความดันตาสูงขึ้นอย่างกะทันหัน แต่พอสรุปได้ว่ากลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงที่เกิดโรคต้อหินเฉียบพลันได้แก่ ผู้ป่วยบางเชื้อชาติ เช่น ชาวเอเชีย พบมากกว่าชาวยุโรป ผู้ป่วยหญิงเป็นมากกว่าผู้ชาย อายุที่มากขึ้นมีโอกาสเป็นมากขึ้น มักพบในอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป มี บิดา มารดา และ/หรือ ญาติพี่น้อง เป็นโรคนี้ กล่าวคือ เป็นโรคทางพันธุกรรม ส่วนใหญ่โรคนี้จะเป็นอย่างฉับพลัน โดยไม่มีโรคตาอื่นๆนำมาก่อน มีบ้างที่เกิดจากมีโรคตาบางอย่าง เช่น เป็น ต้อกระจก ที่ต้อแก่แล้วไม่ไปรับการผ่าตัด หรือ ได้รับอุบัติเหตุจนแก้วตาเคลื่อนไปจากเดิม      ดังได้กล่าวแล้วว่า อาการสำคัญของต้อหินเฉียบพลันมี 3 อย่าง ได้แก่ ตาแดง ตามัว และ ปวดตา อาการเหล่านี้ ถือเป็นภาวะฉุกเฉิน ต้องรีบพบจักษุแพทย์ทันที ซึ่งหากแพทย์วินิจฉัยได้เร็ว ให้ยาลดความดันตา ตามด้วยการยิงแสงเลเซอร์อาการทั้ง 3 อย่าง ข้างต้นจะหายได้ ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ โดยไม่ต้องนอนพักในโรงพยาบาลแต่อย่างใด ดังนั้นผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงควรเข้าควรเข้ารับการตรวจสุขภาพตา อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
ศูนย์เลสิก LASER VISION

อาการเริ่มต้นและสัญญาณเตือนของต้อหิน พร้อมการรักษาและป้องกัน

ต้อหินเป็นโรคที่เกิดจากความเสียหายต่อเส้นประสาทตา ซึ่งมักเกิดจากความดันในลูกตาที่สูงเกินไป ทำให้การมองเห็นค่อยๆ เสื่อมลงหากปล่อยไว้ไม่รักษา อาการของต้อหินที่มักพบ เช่น ปวดตา น้ำตาไหล การมองเห็นลดลง และเห็นวงแสงรอบดวงไฟ การรักษาต้อหินมีหลายวิธี ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรง ได้แก่ ยาหยอดตา ยาทาน เลเซอร์ และการผ่าตัด การรักษาต้อหินที่โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ ดีเพราะมีจักษุแพทย์และเทคโนโลยีทันสมัยในการดูแลและรักษาโรคต้อหินอย่างครบวงจร   ต้อหินเป็นโรคที่เกิดจากความดันในลูกตาสูงเกินไป อาจทำลายเส้นประสาทตาและนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นหากไม่ได้รับการรักษาทันเวลา อาการเริ่มต้นของต้อหินมักไม่ชัดเจน ทำให้การตรวจพบในระยะแรกยาก ในบทความนี้จะพูดถึงอาการเริ่มต้น วิธีการรักษา และวิธีการป้องกันเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดโรคนี้     ต้อหินคือโรคอะไร โรคต้อหิน เป็นโรคที่พบได้บ่อยในดวงตา แต่มีอันตรายสูง เนื่องจากอาจทำให้สูญเสียการมองเห็นถาวรหากไม่ได้รับการรักษาหรือดูแลอย่างสม่ำเสมอ โรคนี้ทำให้การมองเห็นแย่ลง ความกว้างของการมองเห็นแคบลง จนสุดท้ายอาจสูญเสียการมองเห็นทั้งหมดได้ การสูญเสียการมองเห็นจากต้อหินเป็นสิ่งถาวรและไม่สามารถฟื้นคืนกลับมาได้ ซึ่งต้อหินสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทหลัก ได้แก่ 1. ต้อหินมุมเปิด ต้อหินปฐมภูมิชนิดนี้เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดและแบ่งออกเป็นสองประเภทตามความดันลูกตา ได้แก่ ความดันลูกตาสูงและความดันลูกตาปกติ กลไกการเกิดโรคยังไม่ชัดเจน การดำเนินโรคมักเป็นไปอย่างช้าๆ ทำให้ผู้ป่วยมักไม่สังเกตเห็นความผิดปกติในระยะแรก   ส่วนใหญ่จะทราบจากการตรวจของจักษุแพทย์ เมื่อโรคดำเนินไป ผู้ป่วยอาจเริ่มสังเกตเห็นอาการตามัว มองเห็นได้แคบลง หรือความสามารถในการปรับการมองเห็นในที่สว่างและมืดลดลง 2. ต้อหินมุมปิด ต้อหินปฐมภูมิชนิดนี้พบได้บ่อยในคนเอเชียคือต้อหินมุมปิด ซึ่งเกิดจากการอุดกั้นการระบายน้ำในลูกตาที่มุมตา ทำให้ความดันลูกตาสูง แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่   ชนิดเฉียบพลันผู้ป่วยมักมีอาการปวดตา ตาแดง ตามัว เห็นรัศมีรอบดวงไฟ และอาจปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียนได้ จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีเพื่อป้องกันการทำลายขั้วประสาทตา ชนิดเรื้อรังพบได้บ่อยกว่าชนิดเฉียบพลัน ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการชัดเจน หรือมีอาการปวดตาหรือปวดศีรษะเล็กน้อย เป็นๆ หายๆ เป็นระยะเวลาหลายเดือนหรือหลายปี 3. ต้อหินจากการผิดปกติของดวงตา ต้อหินทุติยภูมิเกิดจากความผิดปกติอื่นๆ ของดวงตา เช่น เบาหวานขึ้นตา ต้อกระจกที่สุกมาก การอักเสบภายในดวงตา เนื้องอกหรือมะเร็งในลูกตา อุบัติเหตุต่อดวงตา ภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดตา และการใช้ยาบางชนิดเป็นเวลานาน เช่น ยาสเตียรอยด์ 4. ต้อหินตั้งแต่เกิดและในเด็กเล็ก ต้อหินตั้งแต่กำเนิดและในเด็กเล็ก เกิดจากความผิดปกติของดวงตาตั้งแต่ในครรภ์ ทำให้ระบบระบายน้ำในลูกตาทำงานผิดปกติ อาจเกิดเฉพาะกับดวงตาหรือมีความผิดปกติทางร่างกายร่วมด้วย อาการที่มักพบ ได้แก่ กลัวแสง เปลือกตากระตุก น้ำตาไหลเอ่อ หรือแม่อาจสังเกตเห็นลูกมีลูกตาดำใหญ่ผิดปกติหรือตาดำขุ่น     อาการตามระยะของต้อหิน อาการของต้อหินและโรคต้อหินเฉียบพลันที่พบได้บ่อย มีลักษณะแตกต่างกันไปตามชนิดของโรค โดยสามารถสังเกตได้จากอาการต่อไปนี้   อาการปวดตา ตาแดง น้ำตาไหลผิดปกติ การมองเห็นมัวลง เห็นแสงรุ้งรอบดวงไฟ การมองเห็นไม่ชัดเจน แม้จะตัดแว่นใหม่แล้วก็ตาม     ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคต้อหิน ความดันลูกตาสูงถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นปัจจัยเดียวที่สามารถควบคุมได้ หากความดันลูกตาสูงมาก ความเสี่ยงต่อการเกิดต้อหินจะเพิ่มขึ้น และยังส่งผลให้โรคดำเนินไปอย่างรวดเร็วขึ้นอีกด้วย อายุอายุที่เพิ่มขึ้นเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดต้อหิน โดยเฉพาะต้อหินปฐมภูมิมุมเปิดที่พบได้บ่อยในผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี พันธุกรรมการมีประวัติคนในครอบครัวเป็นต้อหิน จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดต้อหินได้ถึง 4-5 เท่า โรคประจำตัวโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคอื่นที่ส่งผลต่อการไหลเวียนเลือด อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดต้อหินได้ รวมถึงโรคข้อรูมาตอยด์ที่มีการอักเสบเรื้อรังที่ดวงตา ยาบางชนิดเช่น ยาแก้โรคกระเพาะ ยากันชัก ยารักษาโรคซึมเศร้า เป็นต้น อุบัติเหตุที่ลูกตาหรือมีภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดตา โรคตาเช่น เบาหวานขึ้นตา การอักเสบภายในลูกตา โรคเม็ดสีผิดปกติในดวงตา หรือภาวะต้อกระจกบางชนิด สายตาสั้นมากหรือสายตายาวมากคนที่มีสายตาสั้นมากจะมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดต้อหินมุมเปิด ส่วนคนที่มีสายตายาวมากจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการเกิดต้อหินมุมปิด การวินิจฉัยเพื่อตรวจหาต้อหิน โรคต้อหินไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า การตรวจวินิจฉัยจึงมีความสำคัญมาก โดยสามารถตรวจวินิจฉัยโรคต้อหินอย่างละเอียดตามคำแนะนำของจักษุแพทย์ ผ่านการตรวจระดับการมองเห็น การวัดค่าสายตาหักเหด้วยคอมพิวเตอร์ การตรวจตาทั่วไป การตรวจขั้วประสาทตา การตรวจมุมตา วัดความดันลูกตา ความหนาของกระจกตา การตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น การถ่ายภาพขั้วประสาทตา การใช้เครื่องสแกนวิเคราะห์จอประสาทตาและขั้วประสาทตา (Optical Coherence Tomography) และเครื่องตรวจลานสายตา (Visual Field Analyzer) ที่ช่วยให้ทราบผลตรวจได้ทันที     วิธีการรักษาโรคต้อหิน การรักษาต้อหินมีหลายวิธีที่ช่วยลดความดันลูกตาและป้องกันการสูญเสียการมองเห็นได้ ซึ่งการเลือกวิธีการรักษาจะขึ้นอยู่กับชนิดของต้อหินที่เป็นและความรุนแรงของโรค โดยมีดังนี้ ใช้ยารักษาต้อหิน การใช้ยารักษาต้อหินอาจรวมถึงการใช้ยาหยอดตาต้อหิน ยารับประทาน และยาฉีด โดยจักษุแพทย์จะทำการรักษาทีละขั้นตอนและติดตามผลการตอบสนองต่อการรักษาอย่างใกล้ชิด การรักษาด้วยเลเซอร์ การรักษาต้อหินด้วยเลเซอร์ขึ้นอยู่กับชนิดของต้อหิน โดยใช้เวลารักษาไม่นาน มักจะมีการให้ยาควบคู่กันด้วย ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษาด้วยเลเซอร์ต้อหินอาจรวมถึงตาแห้ง การไม่ทนแสง ระคายเคืองดวงตา และปวดตา อย่างไรก็ตามหลังการรักษาด้วยเลเซอร์ ผู้ป่วยมักพักฟื้นเพียง 30 นาทีและสามารถกลับบ้านได้ทันทีหลังรักษา การผ่าตัดรักษาต้อหิน เมื่อการรักษาด้วยยาและเลเซอร์ไม่ได้ผล การผ่าตัดจะเป็นทางเลือกสุดท้าย โดยขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของต้อหิน สิ่งสำคัญที่ควรเข้าใจคือการผ่าตัดรักษาต้อหินมีจุดประสงค์เพื่อลดความดันในลูกตา ไม่ใช่การกำจัดต้ออย่างถาวร เนื่องจากเมื่อเป็นต้อหินแล้ว สามารถควบคุมอาการไม่ให้แย่ลงได้เท่านั้น     ป้องกันไม่ให้เกิดต้อหิน ได้อย่างไร เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดต้อหิน การดูแลดวงตาและสุขภาพตาอย่างเหมาะสม ช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันการเกิดโรคนี้ได้ โดยทำตามวิธีง่ายๆ เช่น   ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป เพื่อป้องกันและรักษาสุขภาพดวงตาให้ดี ระวังเรื่องความสะอาด โดยการล้างมือบ่อยๆ เช็ดหน้าให้สะอาด และล้างเครื่องสำอางให้หมดจด อย่าเอามือไปขยี้ตา เพื่อป้องกันการอักเสบ ติดเชื้อ หรือระคายเคือง ระมัดระวังป้องกันการบาดเจ็บในดวงตา เช่น การใส่แว่นป้องกันการกระแทกในกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บ หลีกเลี่ยงการใช้ยาสเตียรอยด์หรือซื้อยาหยอดตามาหยอดเอง การใช้ยาควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์เท่านั้น ควบคุมโรคประจำตัว เช่น เบาหวานและความดันโลหิตสูง เพื่อป้องกันการเกิดต้อหินจากภาวะแทรกซ้อนที่ทำให้เส้นเลือดในตาผิดปกติ สรุป ต้อหินคือโรคที่เกิดจากความดันในลูกตาสูง ซึ่งสามารถทำลายเส้นประสาทตาและส่งผลต่อการมองเห็น มีหลายประเภทคือต้อหินปฐมภูมิแบบมุมเปิดและมุมปิด ต้อหินทุติยภูมิ และต้อหินตั้งแต่เกิด วิธีรักษาต้อหิน ได้แก่ ยาหยอดตา ยาเม็ด ยาฉีด การรักษาด้วยเลเซอร์ และการผ่าตัด ขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของอาการ สามารถป้องกันต้อหินได้ด้วยการดูแลดวงตา เช่น ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ หลีกเลี่ยงการใช้ยาสเตียรอยด์โดยไม่จำเป็น ระมัดระวังป้องกันการบาดเจ็บที่ดวงตา และการควบคุมโรคประจำตัวต่างๆ สำหรับผู้ที่ต้องการรักษาต้อหิน สามารถเข้ารับบริการได้ที่โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพซึ่งให้บริการดูแลและรักษาโรคและอาการที่เกี่ยวข้องกับดวงตาอย่างครบวงจร
calling
ติดต่อเรา : +662 511 2111