|
ต้อหินเป็นโรคที่เกิดจากความดันในลูกตาสูงเกินไป อาจทำลายเส้นประสาทตาและนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นหากไม่ได้รับการรักษาทันเวลา อาการเริ่มต้นของต้อหินมักไม่ชัดเจน ทำให้การตรวจพบในระยะแรกยาก ในบทความนี้จะพูดถึงอาการเริ่มต้น วิธีการรักษา และวิธีการป้องกันเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดโรคนี้
โรคต้อหิน เป็นโรคที่พบได้บ่อยในดวงตา แต่มีอันตรายสูง เนื่องจากอาจทำให้สูญเสียการมองเห็นถาวรหากไม่ได้รับการรักษาหรือดูแลอย่างสม่ำเสมอ โรคนี้ทำให้การมองเห็นแย่ลง ความกว้างของการมองเห็นแคบลง จนสุดท้ายอาจสูญเสียการมองเห็นทั้งหมดได้ การสูญเสียการมองเห็นจากต้อหินเป็นสิ่งถาวรและไม่สามารถฟื้นคืนกลับมาได้ ซึ่งต้อหินสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทหลัก ได้แก่
ต้อหินปฐมภูมิชนิดนี้เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดและแบ่งออกเป็นสองประเภทตามความดันลูกตา ได้แก่ ความดันลูกตาสูงและความดันลูกตาปกติ กลไกการเกิดโรคยังไม่ชัดเจน การดำเนินโรคมักเป็นไปอย่างช้าๆ ทำให้ผู้ป่วยมักไม่สังเกตเห็นความผิดปกติในระยะแรก
ส่วนใหญ่จะทราบจากการตรวจของจักษุแพทย์ เมื่อโรคดำเนินไป ผู้ป่วยอาจเริ่มสังเกตเห็นอาการตามัว มองเห็นได้แคบลง หรือความสามารถในการปรับการมองเห็นในที่สว่างและมืดลดลง
ต้อหินปฐมภูมิชนิดนี้พบได้บ่อยในคนเอเชียคือต้อหินมุมปิด ซึ่งเกิดจากการอุดกั้นการระบายน้ำในลูกตาที่มุมตา ทำให้ความดันลูกตาสูง แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่
ชนิดเฉียบพลันผู้ป่วยมักมีอาการปวดตา ตาแดง ตามัว เห็นรัศมีรอบดวงไฟ และอาจปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียนได้ จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีเพื่อป้องกันการทำลายขั้วประสาทตา
ชนิดเรื้อรังพบได้บ่อยกว่าชนิดเฉียบพลัน ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการชัดเจน หรือมีอาการปวดตาหรือปวดศีรษะเล็กน้อย เป็นๆ หายๆ เป็นระยะเวลาหลายเดือนหรือหลายปี
ต้อหินทุติยภูมิเกิดจากความผิดปกติอื่นๆ ของดวงตา เช่น เบาหวานขึ้นตา ต้อกระจกที่สุกมาก การอักเสบภายในดวงตา เนื้องอกหรือมะเร็งในลูกตา อุบัติเหตุต่อดวงตา ภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดตา และการใช้ยาบางชนิดเป็นเวลานาน เช่น ยาสเตียรอยด์
ต้อหินตั้งแต่กำเนิดและในเด็กเล็ก เกิดจากความผิดปกติของดวงตาตั้งแต่ในครรภ์ ทำให้ระบบระบายน้ำในลูกตาทำงานผิดปกติ อาจเกิดเฉพาะกับดวงตาหรือมีความผิดปกติทางร่างกายร่วมด้วย
อาการที่มักพบ ได้แก่ กลัวแสง เปลือกตากระตุก น้ำตาไหลเอ่อ หรือแม่อาจสังเกตเห็นลูกมีลูกตาดำใหญ่ผิดปกติหรือตาดำขุ่น
อาการของต้อหินและโรคต้อหินเฉียบพลันที่พบได้บ่อย มีลักษณะแตกต่างกันไปตามชนิดของโรค โดยสามารถสังเกตได้จากอาการต่อไปนี้
อาการปวดตา
ตาแดง
น้ำตาไหลผิดปกติ
การมองเห็นมัวลง
เห็นแสงรุ้งรอบดวงไฟ
การมองเห็นไม่ชัดเจน แม้จะตัดแว่นใหม่แล้วก็ตาม
ความดันลูกตาสูงถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นปัจจัยเดียวที่สามารถควบคุมได้ หากความดันลูกตาสูงมาก ความเสี่ยงต่อการเกิดต้อหินจะเพิ่มขึ้น และยังส่งผลให้โรคดำเนินไปอย่างรวดเร็วขึ้นอีกด้วย
อายุอายุที่เพิ่มขึ้นเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดต้อหิน โดยเฉพาะต้อหินปฐมภูมิมุมเปิดที่พบได้บ่อยในผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี
พันธุกรรมการมีประวัติคนในครอบครัวเป็นต้อหิน จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดต้อหินได้ถึง 4-5 เท่า
โรคประจำตัวโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคอื่นที่ส่งผลต่อการไหลเวียนเลือด อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดต้อหินได้ รวมถึงโรคข้อรูมาตอยด์ที่มีการอักเสบเรื้อรังที่ดวงตา
ยาบางชนิดเช่น ยาแก้โรคกระเพาะ ยากันชัก ยารักษาโรคซึมเศร้า เป็นต้น
อุบัติเหตุที่ลูกตาหรือมีภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดตา
โรคตาเช่น เบาหวานขึ้นตา การอักเสบภายในลูกตา โรคเม็ดสีผิดปกติในดวงตา หรือภาวะต้อกระจกบางชนิด
สายตาสั้นมากหรือสายตายาวมากคนที่มีสายตาสั้นมากจะมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดต้อหินมุมเปิด ส่วนคนที่มีสายตายาวมากจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการเกิดต้อหินมุมปิด
โรคต้อหินไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า การตรวจวินิจฉัยจึงมีความสำคัญมาก โดยสามารถตรวจวินิจฉัยโรคต้อหินอย่างละเอียดตามคำแนะนำของจักษุแพทย์ ผ่านการตรวจระดับการมองเห็น การวัดค่าสายตาหักเหด้วยคอมพิวเตอร์ การตรวจตาทั่วไป การตรวจขั้วประสาทตา การตรวจมุมตา วัดความดันลูกตา ความหนาของกระจกตา
การตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น การถ่ายภาพขั้วประสาทตา การใช้เครื่องสแกนวิเคราะห์จอประสาทตาและขั้วประสาทตา (Optical Coherence Tomography) และเครื่องตรวจลานสายตา (Visual Field Analyzer) ที่ช่วยให้ทราบผลตรวจได้ทันที
การรักษาต้อหินมีหลายวิธีที่ช่วยลดความดันลูกตาและป้องกันการสูญเสียการมองเห็นได้ ซึ่งการเลือกวิธีการรักษาจะขึ้นอยู่กับชนิดของต้อหินที่เป็นและความรุนแรงของโรค โดยมีดังนี้
การใช้ยารักษาต้อหินอาจรวมถึงการใช้ยาหยอดตาต้อหิน ยารับประทาน และยาฉีด โดยจักษุแพทย์จะทำการรักษาทีละขั้นตอนและติดตามผลการตอบสนองต่อการรักษาอย่างใกล้ชิด
การรักษาต้อหินด้วยเลเซอร์ขึ้นอยู่กับชนิดของต้อหิน โดยใช้เวลารักษาไม่นาน มักจะมีการให้ยาควบคู่กันด้วย ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษาด้วยเลเซอร์ต้อหินอาจรวมถึงตาแห้ง การไม่ทนแสง ระคายเคืองดวงตา และปวดตา อย่างไรก็ตามหลังการรักษาด้วยเลเซอร์ ผู้ป่วยมักพักฟื้นเพียง 30 นาทีและสามารถกลับบ้านได้ทันทีหลังรักษา
เมื่อการรักษาด้วยยาและเลเซอร์ไม่ได้ผล การผ่าตัดจะเป็นทางเลือกสุดท้าย โดยขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของต้อหิน สิ่งสำคัญที่ควรเข้าใจคือการผ่าตัดรักษาต้อหินมีจุดประสงค์เพื่อลดความดันในลูกตา ไม่ใช่การกำจัดต้ออย่างถาวร เนื่องจากเมื่อเป็นต้อหินแล้ว สามารถควบคุมอาการไม่ให้แย่ลงได้เท่านั้น
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดต้อหิน การดูแลดวงตาและสุขภาพตาอย่างเหมาะสม ช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันการเกิดโรคนี้ได้ โดยทำตามวิธีง่ายๆ เช่น
ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป เพื่อป้องกันและรักษาสุขภาพดวงตาให้ดี
ระวังเรื่องความสะอาด โดยการล้างมือบ่อยๆ เช็ดหน้าให้สะอาด และล้างเครื่องสำอางให้หมดจด อย่าเอามือไปขยี้ตา เพื่อป้องกันการอักเสบ ติดเชื้อ หรือระคายเคือง
ระมัดระวังป้องกันการบาดเจ็บในดวงตา เช่น การใส่แว่นป้องกันการกระแทกในกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
หลีกเลี่ยงการใช้ยาสเตียรอยด์หรือซื้อยาหยอดตามาหยอดเอง การใช้ยาควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์เท่านั้น
ควบคุมโรคประจำตัว เช่น เบาหวานและความดันโลหิตสูง เพื่อป้องกันการเกิดต้อหินจากภาวะแทรกซ้อนที่ทำให้เส้นเลือดในตาผิดปกติ
ต้อหินคือโรคที่เกิดจากความดันในลูกตาสูง ซึ่งสามารถทำลายเส้นประสาทตาและส่งผลต่อการมองเห็น มีหลายประเภทคือต้อหินปฐมภูมิแบบมุมเปิดและมุมปิด ต้อหินทุติยภูมิ และต้อหินตั้งแต่เกิด วิธีรักษาต้อหิน ได้แก่ ยาหยอดตา ยาเม็ด ยาฉีด การรักษาด้วยเลเซอร์ และการผ่าตัด ขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของอาการ สามารถป้องกันต้อหินได้ด้วยการดูแลดวงตา เช่น ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ หลีกเลี่ยงการใช้ยาสเตียรอยด์โดยไม่จำเป็น ระมัดระวังป้องกันการบาดเจ็บที่ดวงตา และการควบคุมโรคประจำตัวต่างๆ
สำหรับผู้ที่ต้องการรักษาต้อหิน สามารถเข้ารับบริการได้ที่โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพซึ่งให้บริการดูแลและรักษาโรคและอาการที่เกี่ยวข้องกับดวงตาอย่างครบวงจร