มุมสุขภาพตา : #โรคตาทั่วไป

เรียงตาม

กระจกตาบางเกิดจากอะไร? อาการ ผลกระทบต่อสายตาและวิธีรักษา

กระจกตาบางคือภาวะที่กระจกตาซึ่งเป็นชั้นโปร่งใสด้านหน้าตาของดวงตามีความหนาน้อยกว่าปกติ ส่งผลต่อการมองเห็นและสุขภาพตา กระจกตาบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การเสื่อมตามวัย การขยี้ตาบ่อยๆ โรคทางพันธุกรรม หรือผลข้างเคียงจากการผ่าตัดตา เช่น เลสิก อาการของกระจกตาบางที่สังเกตได้ เช่น ตาพร่ามัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย มองเห็นภาพบิดเบี้ยว และสายตาเอียงสูงผิดปกติ กระจกตาบางคือภาวะที่ความหนาของกระจกตาลดลงกว่าปกติ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการโฟกัสแสงเข้าสู่ดวงตา ทำให้การมองเห็นมีความคมชัด หากกระจกตาบางเกินไป อาจเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสายตา เช่น สายตาผิดปกติ หรือมีผลกระทบต่อการรักษาดวงตาด้วยวิธีต่างๆ เช่น เลสิก การเข้าใจสาเหตุ อาการ และการดูแลกระจกตาบางอย่างถูกต้อง จึงช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและดูแลสุขภาพตาได้ดีขึ้น       กระจกตาคืออะไร? สิ่งสำคัญต่อการมองเห็น กระจกตา (Cornea) คือชั้นโปร่งใสและโค้งอยู่ด้านหน้าสุดของดวงตา ครอบคลุมตาดำ มีหน้าที่ช่วยหักเหแสงให้เข้าสู่ดวงตา ทำให้เรามองเห็นชัดเจน และยังเป็นเกราะป้องกันเชื้อโรคโดยตรง โดยปกติความหนาของกระจกตาจะอยู่ที่ประมาณ 520-550 ไมครอน และสามารถบางลงได้ตามอายุที่เพิ่มขึ้นด้วย       รู้จักกับกระจกตาบาง กระจกตาบางคือลักษณะของกระจกตาที่มีความหนาน้อยกว่า 500 ไมครอน (0.5 มิลลิเมตร) โดยทั่วไปไม่ถือเป็นโรคและไม่ต้องรักษา แต่กระจกตาบางจะส่งผลต่อการวินิจฉัยโรคบางอย่าง เช่น ต้อหิน เพราะทำให้วัดความดันตาต่ำกว่าความจริง รวมถึงส่งผลต่อการเลือกวิธีแก้ไขสายตา เช่น หากผู้ป่วยต้องการทำ LASIK และ มีระดับค่าสายตาที่มีผิดปกติสูง เช่น สั้น หรือ เอียงมาก โดยมีความหนาของกระจกตาน้อย เมื่อเปรียบเทียบกันกับเนื้อกระจกตาที่ต้องใช้ผ่าตัด หลังจากได้รับการตรวจจากผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียด เเพทย์ประเมินแล้วอาจจะไม่สามารถแก้ไขค่าสายตาได้หมด หรืออาจทำให้ กระจกตาเสี่ยงเป็นโรคกระจกตาอื่นๆหลังการแก้ไข เเพทย์อาจประเมินให้ผู้ป่วยทำการรักษาด้วยวิธีการอื่นๆ เช่น PRK ICL FemtoLASIK ReLEx SMILE Pro หรือ NanoLASIK  แทนการทำ LASIK แบบทั่วๆไป ซึ่งเป็นการเเก้ไขที่ใช้หรือรบกวนความหนาของกระจกตาน้อยกว่าเพราะฉะนั้น ก่อนทำเลสิกจึงต้องสังเกตและตรวจประเมินความหนาของกระจกตาอย่างละเอียด เพราะหากบางเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะสายตาเอียงผิดปกติ หรือกระจกตาย้วย ซึ่งส่งผลต่อการมองเห็นได้ นอกจากนี้หลายคนยังสงสัยว่า “ใส่คอนแท็กต์เลนส์ ทำให้กระจกตาบางจริงไหม?” คำตอบคือ โดยทั่วไปการใส่คอนแท็กต์เลนส์อย่างถูกวิธี ไม่ได้ทำให้กระจกตาบางลง แต่หากใส่นานเกินไป ไม่ถอดล้างหรือดูแลอย่างถูกต้อง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเกิดภาวะขาดออกซิเจนที่กระจกตา ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อบางลงได้เช่นกัน       กระจกตาบางเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง? กระจกตาบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ การเข้าใจสาเหตุเหล่านี้ช่วยให้สามารถป้องกันและดูแลสุขภาพตาได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น โดยสาเหตุที่พบได้บ่อย มีดังนี้   โรคทางพันธุกรรม แม้ว่าภาวะกระจกตาบางมักเกิดจากพฤติกรรมบางอย่าง แต่ในบางกรณี ความผิดปกตินี้อาจมีสาเหตุจากโรคพันธุกรรมที่ถ่ายทอดภายในครอบครัว หนึ่งในโรคที่พบบ่อย คือ กระจกตาย้วย (Keratoconus) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของภาวะกระจกตาบาง กระจกตาจะบางลงและโป่งยื่นออกมาคล้ายรูปกรวย ทำให้สายตาเอียงผิดปกติ และการมองเห็นแย่ลงเรื้อรัง มักเริ่มแสดงอาการในช่วงวัยรุ่นถึงอายุ 30 ปี โรคกระจกตาบางจากพันธุกรรมอื่นๆ (Corneal Dystrophies) เช่น Pellucid Marginal Degeneration (PMD) ซึ่งกระจกตาจะบางลงบริเวณขอบด้านล่าง   การบาดเจ็บหรือการผ่าตัดตา การผ่าตัดแก้ไขสายตาบางประเภท เช่น การทำเลสิก (LASIK) หรือ PRK อาจส่งผลให้กระจกตาบางลงได้ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการเลเซอร์เนื้อกระจกตา ออกไปมากเกินความจำเป็น ทำให้ความหนาของกระจกตาที่เหลืออยู่ไม่เพียงพอ เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น กระจกตาย้วยในอนาคต นอกจากนี้การบาดเจ็บที่กระจกตาซ้ำๆ รวมถึงการติดเชื้อที่รุนแรง เช่น แผลที่กระจกตาหรือกระจกตาอักเสบ ก็สามารถทำลายเนื้อเยื่อกระจกตาและทำให้เกิดการบางลงได้เช่นกัน โดยเฉพาะหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที   โรคอื่นๆ หรือการใช้ยา โรคทางภูมิคุ้มกันบางชนิด เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) หรือโรคเอสแอลอี (SLE) อาจส่งผลกระทบต่อกระจกตา ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และนำไปสู่ภาวะกระจกตาบางได้ในระยะยาว เนื่องจากภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเนื้อเยื่อของตาเอง ในขณะเดียวกัน การใช้ยาหยอดตาบางชนิด โดยเฉพาะยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ หากใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจมีผลข้างเคียงต่อโครงสร้างของกระจกตา ทำให้เนื้อเยื่อกระจกตาอ่อนแอและบางลงได้เช่นกัน       อาการของภาวะกระจกตาบาง ภาวะกระจกตาบางมักพัฒนาอย่างช้าๆ จนอาจไม่สังเกตเห็นได้ในระยะแรก การเรียนรู้ที่จะสังเกตอาการเบื้องต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรักษาได้อย่างทันท่วงที โดยอาการที่อาจพบมีดังนี้ การมองเห็นพร่ามัวหรือไม่ชัดเจน ค่าสายตาเปลี่ยนแปลงบ่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ มีค่าสายตาเอียงสูงกว่าปกติ มองเห็นภาพบิดเบี้ยว หรือมีลักษณะผิดรูปจากความจริง       วิธีการตรวจและวินิจฉัยกระจกตาบาง โดยปกติแล้วภาวะกระจกตาบางมักถูกตรวจพบในขั้นตอนการประเมินสายตาก่อนทำเลสิก ซึ่งแพทย์จะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Keratometerตรวจวัดความโค้งของกระจกตาและค่าสายตาเอียง โดยการสะท้อนแสงบนกระจกตาเพื่อตรวจหารูปร่างและความโค้งที่ผิดปกติ ซึ่งความโค้งที่ผิดปกตินี้ อาจสัมพันธ์กับความบางของกระจกตา นอกจากนั้นยังมีการตรวจ Corneal Tophography หรือแผนภูมิดวงตาเพื่อประเมินค่าความหนาบางและความผิดปกติของกระจกตาอื่นๆด้วย โดยอาจจะมีการวัด Tomographic Biomechanical Index หรือ ค่าความเเข็งเเรงของกระจกตา เสริมเพื่อตรวจความเสี่ยงของโรค Corneal Ectasia หรือโรคกระจกตาโป้งอีกด้วย แม้ว่าจะสามารถสังเกตอาการเบื้องต้นได้ เช่น มองเห็นไม่ชัดหรือค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย แต่การวินิจฉัยว่ามีกระจกตาบางจริงหรือไม่นั้น ต้องอาศัยการตรวจโดยจักษุแพทย์เท่านั้น เพราะการสังเกตอาการด้วยตนเองเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น ไม่สามารถยืนยันผลได้ ดังนั้นหากสงสัยว่าตนเองมีกระจกตาบาง ควรเข้ารับการตรวจอย่างละเอียดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวางแผนการดูแลและรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้น   สรุป กระจกตาบางเป็นภาวะที่หลายคนไม่รู้ตัว แต่สามารถส่งผลกระทบต่อการมองเห็น เช่น ตาพร่ามัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย หรือภาพบิดเบี้ยว ซึ่งอาจเกิดจากพันธุกรรม โรคภูมิคุ้มกัน การผ่าตัดแก้ไขสายตา หรือการใช้ยาบางชนิด การตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกจึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่วางแผนทำเลสิก ควรเข้ารับการตรวจวัดความหนาและความโค้งของกระจกตาอย่างละเอียดที่ Bangkok Eye Hospital ด้วยเครื่องมือทันสมัยและแพทย์เฉพาะทาง เพื่อป้องกันและดูแลสุขภาพดวงตาได้อย่างมั่นใจ   คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกระจกตาบาง (FAQ) หลายคนที่เพิ่งเคยได้ยินเกี่ยวกับภาวะกระจกตาบางอาจมีข้อสงสัยมากมาย เพื่อช่วยให้เข้าใจมากขึ้น เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาวะกระจกตาบาง พร้อมคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญมาฝากกันในบทความนี้   ทำอย่างไรให้กระจกตาหนาขึ้น ความหนาของกระจกตาไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากเป็นความผิดปกติที่เกิดจากโครงสร้างภายในชั้นกระจกตาเอง   ถ้าปล่อยให้กระจกตาบางแล้วไม่รักษา จะเป็นอย่างไร? สายตาพร่ามัวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถแก้ไขด้วยแว่นหรือคอนแท็กต์เลนส์ปกติได้ กระจกตาโป่งยื่นออกมามากผิดปกติ ทำให้การมองเห็นแย่ลงอย่างถาวร ในบางกรณีรุนแรงมาก อาจเกิดภาวะกระจกตาบวมน้ำฉับพลัน (Acute Hydrops) หรือกระจกตาทะลุ ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินและอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้หากไม่ได้รับการปลูกถ่ายกระจกตา   สามารถป้องกันภาวะกระจกตาบางได้ไหม หลีกเลี่ยงการขยี้ตาแรงๆ เพราะการขยี้ตาเป็นประจำและรุนแรงสามารถทำให้กระจกตาบางลงและเป็นตัวกระตุ้นให้โรคกระจกตาย้วยแย่ลง ดูแลสุขภาพตาโดยรวม เช่น ไม่ใช้คอนแท็กต์เลนส์นานเกินไป และรักษาความสะอาดของดวงตา พบจักษุแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคเกี่ยวกับกระจกตา เพื่อให้สามารถวินิจฉัยและเริ่มการรักษาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะให้ผลลัพธ์การรักษาที่ดีกว่า  
อ่านเพิ่มเติม
ศูนย์รักษาจอประสาทตา

ตรวจตาบอดสีเมื่อไร? ตาบอดสีเกิดจากอะไร ความเสี่ยงที่หลายคนไม่รู้!

ภาวะตาบอดสีเป็นหนึ่งในปัญหาทางสายตาที่อาจส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ โดยเฉพาะในเรื่องของการแยกแยะสี ซึ่งอาจมีผลต่อการทำงานหรือการขับขี่ยานพาหนะ สำหรับผู้ที่สงสัยว่าตัวเองอาจมีภาวะตาบอดสี การตรวจตาบอดสีเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้รู้ถึงภาวะนี้ได้อย่างชัดเจน บทความนี้พามาเจาะลึกสาเหตุของภาวะตาบอดสี ทั้งปัจจัยทางพันธุกรรมและปัจจัยภายนอก พร้อมแนะนำวิธีตรวจตาบอดสีที่แม่นยำและเชื่อถือได้ เพื่อการวินิจฉัยและการดูแลที่เหมาะสม โรคตาบอดสีคืออาการความบกพร่องในการมองเห็นและแยกแยะสี โดยผู้ป่วยอาจไม่สามารถมองเห็นสีแดง เขียว หรือน้ำเงินได้ชัดเจน แม้จะมีปัญหาในการรับรู้สี แต่ความสามารถในการมองเห็นวัตถุและรูปร่างยังปกติ ตาบอดสีแดง-เขียว เป็นประเภทที่พบมากที่สุด ทำให้แยกแยะระหว่างสีแดงและเขียวได้ยาก ขึ้นอยู่กับความผิดปกติของ Cone cell หรือ เซลล์รูปกรวย ตาบอดสีน้ำเงิน-เหลืองจะพบน้อยกว่า มักเกิดจากโรคมากกว่าพันธุกรรม ทำให้แยกแยะสีน้ำเงินกับเขียว และสีเหลืองกับแดงได้ยาก ตาบอดสีทั้งหมด (Monochromacy) เป็นภาวะที่พบน้อยมาก ทำให้เห็นโลกในโทนสีเทาทั้งหมด เกิดจากเซลล์รูปกรวยไม่ทำงาน ผู้ที่มีภาวะตาบอดสีอาจถูกเข้าใจผิดว่ามีปัญหาการเรียนรู้ โดยเฉพาะในวิชาที่เกี่ยวข้องกับสี แต่สามารถเรียนวิชาอื่นได้ปกติ การขับขี่ยานพาหนะอาจมีความยากลำบาก ต้องอาศัยการสังเกตความเข้มของไฟจราจรแทนการแยกสี การประกอบอาชีพอาจมีข้อจำกัด โดยเฉพาะอาชีพที่ต้องแยกแยะสีอย่างแม่นยำ เช่น นักบิน นักเคมี หรือนักออกแบบกราฟิก     อาการของโรคตาบอดสีเป็นอย่างไร โรคตาบอดสี (Color blindness) คือความบกพร่องในการมองเห็นและแยกแยะสี โดยผู้ป่วยอาจไม่สามารถมองเห็นสีแดง เขียว หรือน้ำเงินได้ชัดเจน ทั้งนี้แม้จะมีปัญหาในการรับรู้สี แต่การมองเห็นวัตถุ รูปร่าง และภาพโดยรวมยังคงชัดเจนเหมือนคนปกติ โรคนี้ไม่ถึงขั้นเป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันค่อนข้างมาก และพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง อาการตาบอดสีสามารถแบ่งความรุนแรงได้ 3 ระดับดังนี้ ความรุนแรงระดับต่ำยังสามารถบอกหรือคาดเดาสีที่เห็นได้ โดยอาจเห็นสีเพี้ยนไปจากความเป็นจริงไม่มาก ความรุนแรงระดับกลางเริ่มแยกสีได้ยากขึ้น อาจไม่สามารถคาดเดาสีได้และส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน ความรุนแรงระดับสูงตาบอดสีประเภทนี้จะเห็นสีเพียงแค่สีขาวดำ ส่งผลต่อการใช้ชีวิตเป็นอย่างมาก ตาบอดสีเกิดจากอะไรได้บ้าง? สาเหตุของการเกิดโรคตาบอดสีนั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุ สามารถเป็นได้ตั้งแต่กำเนิด หรือเป็นได้ในภายหลัง ดังนี้ กรรมพันธุ์หรือเป็นตาบอดสีมาแต่กำเนิด เป็นสาเหตุหลักที่พบบ่อยที่สุด โดยพบในเพศชาย 7% และในเพศหญิงประมาณ 0.5 - 1% อายุเมื่ออายุที่เพิ่มขึ้นส่งผลทำให้เซลล์ต่างๆ ในดวงตาเกิดการเสื่อมสภาพลง โรคเกี่ยวกับดวงตาเช่น โรคต้อหิน จอประสาทตาเสื่อม ต้อกระจก โรคทางกายเช่น โรคต้อหิน ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม เบาหวาน อัลไซเมอร์ และพาร์กินสัน การเกิดอุบัติเหตุกระทบบริเวณดวงตาหรือดวงตาได้รับการบาดเจ็บเสียหาย ผลข้างเคียงจากยาบางชนิดเช่น ยารักษาวัณโรค ยาต้านอาการทางจิตและยาปฏิชีวนะ สารเคมีบางชนิดเช่น สาร Styrene ที่พบในผลิตภัณฑ์พลาสติกหรือโฟม 3 ประเภทของภาวะตาบอดสี หลายคนอาจสงสัยว่าผู้ที่เป็นโรคตาบอดสีมองเห็นสีอย่างไร? ซึ่งก่อนจะเข้าใจเรื่องนี้ ต้องรู้ก่อนว่าตาบอดสีไม่ได้มีแค่แบบเดียว ในทางการแพทย์ โรคตาบอดสีถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก แต่ละประเภทส่งผลต่อการมองเห็นสีที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้     1. ตาบอดสีแดง - เขียว (Red-Green Color Blindness) ผู้ที่มีอาการตาบอดสีแดง - เขียวจะมีความยากลำบากในการแยกแยะระหว่างสองสีนี้ โดยขึ้นอยู่กับเซลล์ Cone ที่ผิดปกติ ผู้ที่มีเซลล์รูปกรวยสีแดงน้อย (Protanomaly) จะเห็นโทนสีแดง ส้ม และเหลืองเป็นโทนสีเขียว หรือหากขาดเซลล์นี้ไป (Protanopia) จะเห็นสีแดงเป็นสีดำ ในทางกลับกัน คนที่มีเซลล์รูปกรวยสีเขียวน้อย (Deuteranomaly) จะมองเห็นโทนสีเขียวเป็นโทนสีแดง และหากขาดเซลล์นี้ไปเลยจะเห็นสีเขียวเป็นสีดำ     2. ตาบอดสีน้ำเงิน - เหลือง (Blue-Yellow Color Blindness) การตาบอดสีฟ้าหรือสีน้ำเงิน (Tritanomaly) และตาบอดสีเหลือง (Tritanopia) เป็นภาวะที่พบได้น้อยกว่าประเภทอื่น มักเกิดจากโรคมากกว่าพันธุกรรม ผู้ที่มีภาวะนี้จะประสบปัญหาในการแยกแยะระหว่างสีน้ำเงินกับสีเขียว และสีเหลืองกับสีแดง โดยผู้ที่มีเซลล์รูปกรวยสีน้ำเงินน้อยจะแยกสีน้ำเงินกับสีเขียวได้ยาก ส่วนผู้ที่ไม่มีเซลล์รูปกรวยสีน้ำเงินเลยจะมีปัญหาในการแยกโทนสีที่มีสีน้ำเงินและสีเหลืองผสมอยู่ เช่น สีน้ำเงินกับสีเขียว หรือสีม่วงกับสีแดง     3. ตาบอดสีทั้งหมด (Complete Color Blindness) ผู้ที่มีอาการตาบอดสีทั้งหมด หรือ Monochromacy เกิดจากการที่เซลล์รูปกรวยทั้งหมดไม่ทำงานหรือขาดหายไปจากดวงตา ซึ่งพบได้น้อยมากในปัจจุบัน คนกลุ่มนี้จะเห็นโลกในโทนสีเทาทั้งหมด มีการมองเห็นสลับสีกัน เช่น ระหว่างสีเขียวกับสีน้ำเงิน สีแดงกับสีดำ สีเหลืองกับสีขาว และบางรายอาจมีปัญหาเกี่ยวกับความไวต่อแสงของดวงตาอีกด้วย     ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากภาวะตาบอดสี ภาวะตาบอดสีอาจไม่ได้สร้างผลกระทบในเรื่องของการแยกแยะสีเท่านั้น เพราะเมื่อแยกสีได้ลำบากอาจส่งผลกระทบอื่นตามมาด้วย ดังนี้ ปัญหาในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ผู้ที่มีภาวะตาบอดสี โดยเฉพาะในวัยเด็ก มักถูกเข้าใจผิดว่ามีปัญหาการเรียนรู้ เนื่องจากคำตอบหรือการทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสีไม่ตรงกับเด็กทั่วไป ซึ่งแท้จริงแล้วยังสามารถเรียนรู้ได้ปกติ เพียงแต่รับรู้สีที่แตกต่างออกไป ทำให้ได้รับผลกระทบในวิชาศิลปะ การประเมินพัฒนาการทางภาษา และการเรียนรู้เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสี ในส่วนของกิจกรรมอื่นๆ ที่ไม่เน้นสีสันนั้นก็สามารถทำได้ปกติเหมือนคนทั่วไป ขับขี่ยานพาหนะลำบาก โรคตาบอดสีส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเรื่องการขับขี่รถยนต์ ผู้ที่มีภาวะนี้ต้องพยายามสังเกตความแตกต่างของไฟจราจรจากความเข้มของสีที่ไม่เท่ากัน ซึ่งถ้าสังเกตได้ก็จะช่วยให้ขับขี่ได้อย่างปลอดภัย ด้วยเหตุนี้ การทดสอบตาบอดสีสำหรับใบขับขี่จึงต้องมีการประเมินความสามารถในการแยกแยะสัญญาณไฟจราจรและเกณฑ์อื่นๆ เพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน การประกอบอาชีพจำกัด ผู้ที่มีภาวะตาบอดสีอาจจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงบางอาชีพเพื่อความปลอดภัยของตัวเองและผู้อื่น รวมถึงเพื่อประสิทธิภาพในการทำงาน อาชีพที่ต้องพึ่งพาการแยกแยะสีอย่างแม่นยำ เช่น นักบิน ผู้ทำงานกับสารเคมี จิตรกร หรือนักออกแบบกราฟิก อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะนี้ เนื่องจากความคลาดเคลื่อนในการมองเห็นสีอาจส่งผลต่อคุณภาพงานหรือก่อให้เกิดอันตรายได้ ตาบอดสีสังเกตเห็นได้ตั้งแต่อายุเท่าไร? โดยปกติ ตาบอดสีที่เกิดจากกรรมพันธุ์สามารถสังเกตได้ตั้งแต่อายุยังน้อย เด็กอาจแสดงอาการผ่านการแยกสีของวัตถุ ของเล่น หรือสีในหนังสือภาพไม่ถูกต้อง คุณครูและผู้ปกครองควรสังเกตพฤติกรรมเช่นการเลือกสีผิดหรือสับสนระหว่างสีที่ใกล้เคียงกัน หากมีข้อสงสัยควรพาเด็กไปตรวจตาเพื่อการวินิจฉัยที่แน่ชัด ตาบอดสีรักษาได้ไหม? รักษาได้อย่างไร โรคตาบอดสีที่เกิดจากพันธุกรรมไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เนื่องจากเกิดจากความผิดปกติของเซลล์รูปกรวยที่น้อยหรือขาดหายไป ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีวิธีทดแทน ส่วนตาบอดสีที่เกิดจากโรคหรือยาบางชนิด อาจมีโอกาสดีขึ้นหากรักษาสาเหตุ อย่างไรก็ตาม มีอุปกรณ์ช่วยบรรเทาอาการได้ เช่น แว่นกรองสีหรือคอนแท็กต์เลนส์สีชั่วคราว ที่ช่วยเพิ่มความเข้มของสีทำให้แยกสีได้ดีขึ้น จักษุแพทย์จะทำการตรวจสายตาเพื่อประเมินและวินิจฉัยภาวะตาบอดสี โดยเริ่มจากการใช้แผ่นทดสอบอิชิฮารา (Ishihara test) ให้ผู้ป่วยอ่านตัวเลขหรือลากเส้นภาพที่มีสีที่คนตาบอดสีมักสับสน ต่อมาใช้เครื่อง Anomaloscope ทดสอบการผสมสีเพื่อวัดความบกพร่องในการมองเห็นสีแดงและสีเขียว และสุดท้ายทำการทดสอบ Farnsworth Munsell โดยให้เรียงฝาครอบสีที่คล้ายกันต่อเนื่องกัน เพื่อคัดกรองระดับความบกพร่องในการมองเห็นสีตั้งแต่ระดับน้อยจนถึงมาก     วิธีทดสอบตาบอดสีด้วยตัวเอง แบบทดสอบ Ishihara ใช้งานอย่างไร? แบบทดสอบIshiharaเป็นวิธีตรวจตาบอดสีที่ได้รับความนิยม ประกอบด้วยภาพวงกลมที่มีจุดสีต่างๆ ซึ่งซ่อนตัวเลขหรือลวดลายไว้ภายใน ผู้ที่มีอาการตาบอดสีจะมองเห็นตัวเลขผิดไปจากคนปกติหรือมองไม่เห็นเลย สามารถทดสอบเบื้องต้นได้ผ่านแบบทดสอบออนไลน์ แต่หากต้องการผลที่แม่นยำควรเข้ารับการตรวจจากจักษุแพทย์โดยตรง เมื่อไรที่ควรตรวจตาบอดสี? เมื่อไรควรตรวจตาบอดสี? เด็กที่มีปัญหาเรื่องการแยกสีตั้งแต่อายุยังน้อยควรเข้ารับการตรวจ รวมถึงผู้ที่ต้องการสอบเข้าวิชาชีพที่ต้องใช้การแยกสี เช่น นักบิน วิศวกร หรือช่างเทคนิค ผู้ที่สงสัยว่าตัวเองมีภาวะตาบอดสี และผู้ที่มีปัญหาทางสายตาหรือได้รับยาที่อาจส่งผลต่อการมองเห็นสีก็ควรได้รับการตรวจเช่นกัน เลือกตรวจตาบอดสีที่ไหนดี? การเลือกสถานที่ตรวจตาบอดสีควรคำนึงถึงคุณภาพและความเชี่ยวชาญเป็นหลัก โดยควรเลือกศูนย์ตรวจตาที่มีจักษุแพทย์เฉพาะทางและอุปกรณ์ทันสมัยครบครัน โรงพยาบาลตาหรือคลินิกเฉพาะทางที่ได้มาตรฐานจะสามารถวินิจฉัยภาวะตาบอดสีได้อย่างแม่นยำ เพื่อให้คุณได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและคำแนะนำที่เหมาะสมสำหรับการดูแลสายตาต่อไป ตรวจตาบอดสีที่ศูนย์รักษาตา Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร แนะนำให้เข้ามาตรวจตาบอดสีได้ที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ที่นี่โดดเด่นด้านการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ด้วยบุคลากรทางการแพทย์มากความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับดวงตา และจุดเด่นดังนี้ โรงพยาบาลมีจักษุแพทย์มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย พร้อมให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง สรุป ตาบอดสีเป็นภาวะที่ส่งผลต่อการแยกแยะสี อาจมีสาเหตุเกิดจากพันธุกรรม โรคทางตา หรือปัจจัยอื่นๆ การตรวจวินิจฉัยทำได้ง่ายด้วยแบบทดสอบ Ishihara และวิธีอื่นๆ ผู้ที่สงสัยว่าตัวเองมีอาการควรเข้ารับการตรวจจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินแนวทางการดูแลที่เหมาะสม ศูนย์ตรวจตาที่มีมาตรฐานและน่าเชื่อถือสามารถให้การวินิจฉัยและคำแนะนำที่เป็นประโยชน์สำหรับการใช้ชีวิตประจำวันกับภาวะตาบอดสีได้อย่างมีคุณภาพ สำหรับคนที่อยากตรวจตาบอดสี แนะนำมาที่Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ)โรงพยาบาลเฉพาะทางที่มีทีมแพทย์มากประสบการณ์ อุปกรณ์ที่ทันสมัย ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล มั่นใจได้ว่าการรักษาเป็นไปอย่างถูกต้อง แม่นยำ และปลอดภัย
ศูนย์รักษากระจกตา

สัญญาณเยื่อบุตาอักเสบแบบไหนที่ควรพบแพทย์? กับวิธีรักษาที่ควรรู้

เยื่อบุตาอักเสบ (Conjunctivitis) เป็นภาวะที่พบได้บ่อยและอาจเกิดขึ้นได้กับทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นจากการติดเชื้อ แพ้ หรือสิ่งกระตุ้นอื่นๆ อาการของเยื่อบุตาอักเสบอาจทำให้รู้สึกไม่สบายตา แสบตา หรือมีขี้ตาผิดปกติ บทความนี้พามาสังเกตสัญญาณเตือน ที่บอกว่าเยื่อบุตาอักเสบอาจรุนแรงและต้องพบแพทย์โดยด่วน พร้อมข้อควรปฏิบัติและวิธีรักษาที่ถูกต้อง ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ เยื่อบุตาอักเสบคือการอักเสบของเยื่อบางๆ ที่ปกคลุมดวงตาส่วนหน้าและด้านในของเปลือกตา ติดต่อผ่านการสัมผัสน้ำตาที่ปนเปื้อนเชื้อ ไม่ใช่ผ่านการมอง อากาศ หรือการรับประทานอาหารร่วมกัน สาเหตุจากเชื้อไวรัสอาจทำให้มีอาการเจ็บคอ ไข้สูง และหายใจเหนื่อย พบบ่อยในเด็กเล็กที่ชอบหยิบจับสิ่งของแล้วขยี้ตา หรือสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรียที่มักจะแพร่กระจายผ่านการสัมผัสตาหรือสิ่งที่มีเชื้อปนเปื้อน ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ อย่างสารเคมีในเครื่องสำอาง น้ำยาล้างคอนแท็กต์เลนส์ การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน ภูมิแพ้ฝุ่น PM2.5 ควันพิษ และแว่นตาที่ไม่สะอาด วิธีรักษาเยื่อบุตาอักเสบสามารถทำได้โดยการหยอดน้ำตาเทียม ใช้ยาแก้แพ้ ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านไวรัสตามสาเหตุ แล้วพักการใช้สายตา งดขยี้ตา และหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางและคอนแท็กต์เลนส์ วิธีป้องกันทำได้ด้วยการล้างมือให้สะอาด หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วย งดใช้สิ่งของร่วมกัน ไม่ใช้มือสัมผัสบริเวณดวงตาและใบหน้า เยื่อบุตาอักเสบ (Conjunctivitis) คืออะไร? เนื้อเยื่อบุตาอักเสบ หรือ Conjunctivitis คือการอักเสบของเยื่อบางๆ ที่ปกคลุมดวงตาส่วนหน้าและด้านในของเปลือกตา การติดต่อเกิดจากการสัมผัสน้ำตาผ่านมือหรือสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อแล้วไปสัมผัสตา แต่ไม่ติดต่อผ่านการมอง อากาศ หรือการรับประทานอาหารร่วมกัน มักระบาดในฤดูฝนตามชุมชนที่มีคนอยู่รวมกัน เช่น โรงเรียน สถานรับเลี้ยงเด็ก ที่ทำงาน และสระว่ายน้ำ พบได้ทุกช่วงอายุ โดยระบาดในเด็กได้ง่ายกว่าเพราะขาดความรู้ในการป้องกัน อย่างไรก็ตาม โรคนี้ไม่รุนแรงและสามารถหายเองได้     อาการที่สังเกตได้ของเยื่อบุตาอักเสบ อาการของโรคนี้จะปรากฏหลังสัมผัสเชื้อทางตา 1 - 2 วัน โดยเยื่อบุตาจะเกิดการอักเสบ บวม เคืองตา น้ำตาไหล เจ็บตา และมีขี้ตามาก ซึ่งอาจเป็นเมือกใสหรือสีเหลืองอ่อนหากมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย มักเป็นที่ตาข้างใดข้างหนึ่งก่อนแต่มักแพร่ไปอีกข้างได้ง่าย อาการจะรุนแรงในช่วง 4 - 7 วันแรก และหายได้เองภายใน 7 - 14 วัน การรักษาเน้นตามอาการและป้องกันการแพร่เชื้อ โดยใช้ยาปฏิชีวนะหากมีขี้ตามาก และยาลดไข้หรือยาแก้ปวดหากมีอาการทางระบบ สาเหตุของภาวะเยื่อบุตาอักเสบ โรคเนื้อเยื่อบุตาอักเสบมีสาเหตุที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย ดังนี้     ติดเชื้อไวรัส อาการอักเสบจากการติดเชื้อไวรัส โดยเฉพาะเชื้อไวรัสอะดีโน (Adenovirus) มักทำให้เกิดอาการเจ็บคอ ไข้สูง และบางครั้งมีอาการหายใจเหนื่อย สามารถติดต่อผ่านการสัมผัสโดยเฉพาะในเด็กเล็กที่ชอบหยิบจับสิ่งของรอบตัว เชื้อจะติดมากับมือแล้วเด็กอาจเผลอสัมผัสบริเวณใบหน้าหรือขยี้ตา ทำให้เด็กเป็นโรคเยื่อบุตาอักเสบได้ง่ายและพบบ่อยกว่าในผู้ใหญ่     ติดเชื้อแบคทีเรีย การเชื้อแบคทีเรียบางชนิด เช่น สแตฟิโลค็อกคัส ออเรียส (Staphylococcus Aureus) และสเตรปโตค็อกคัส นิวโมเนียอี (Streptococcus Pneumoniae) ก่อให้เกิดโรคเยื่อบุตาอักเสบได้ โดยแพร่กระจายผ่านการสัมผัสตาหรือสิ่งที่มีเชื้อปนเปื้อน ผู้ที่สัมผัสน้ำมูกหรือน้ำตาจากผู้ป่วยมีความเสี่ยงสูง นอกจากนี้ ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ยังรวมถึงการสัมผัสสารเคมีในเครื่องสำอางหรือน้ำยาล้างคอนแท็กต์เลนส์ การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในร่างกาย ภาวะภูมิแพ้โดยเฉพาะต่อฝุ่น PM2.5 และสภาพแวดล้อมที่มีควันหรือการใช้แว่นตาที่ไม่สะอาด อาการที่พบได้แก่ ตาแดง ตามัว ตามีขี้ตา และการระคายเคืองในตา เยื่อบุตาอักเสบหายเองได้ไหม ใช้เวลานานเท่าไร เยื่อบุตาอักเสบหายเองได้ไหม? กรณีที่เกิดจากไวรัสมักหายได้เองภายใน 7 - 14 วัน โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยา แต่หากมีสาเหตุจากแบคทีเรีย อาจจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อช่วยให้หายเร็วขึ้นและป้องกันภาวะแทรกซ้อน สำหรับเยื่อบุตาอักเสบที่เกิดจากอาการแพ้ สภาวะจะดีขึ้นเมื่อหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้และใช้ยาต้านฮีสตามีนตามคำแนะนำของแพทย์     เยื่อบุตาอักเสบมีวิธีการรักษาอย่างไร วิธีการรักษาเยื่อบุตาอักเสบสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้ การหยอดน้ำตาเทียมเพื่อช่วยลดการระคายเคืองตา การใช้ยาแก้แพ้ชนิดรับประทานและยาแก้แพ้หยอดตา ในกรณีที่มีสาเหตุจากเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ หากเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียจะต้องใช้ยาปฏิชีวนะหยอดตาหรือขี้ผึ้งป้ายตา ในรายที่มีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสจะใช้ยาต้านไวรัสชนิดรับประทาน นอกจากนี้ การรักษาควรทำควบคู่ไปกับการพักใช้สายตา หลีกเลี่ยงการขยี้ตาหรือใส่เลนส์สัมผัส รวมถึงหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางและคอนแท็กต์เลนส์ชั่วคราว เพื่อป้องกันสิ่งระคายเคืองตาและช่วยให้อาการหายเร็วขึ้นด้วย วิธีป้องกันภาวะเยื่อบุตาอักเสบ วิธีป้องกันโรคเนื้อเยื่อบุตาอักเสบ สามารถทำได้ง่ายๆ ดังนี้ หมั่นล้างมือด้วยสบู่และน้ำให้สะอาดอยู่เสมอก่อนสัมผัสหรือขยี้ตา หลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วยตาแดง และล้างมือทันทีหลังสัมผัส งดใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วย เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว หรือหมอน ไม่ใช้มือแคะ แกะ เกา บริเวณดวงตาและใบหน้า หากมีฝุ่นละอองหรือน้ำสกปรกเข้าตา ให้รีบล้างตาด้วยน้ำสะอาดทันที ระวังไม่ให้แมลงหวี่หรือแมลงวันตอมบริเวณดวงตา ดูแลรักษาความสะอาดของร่างกายและสิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัวอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำในช่วงที่มีการระบาดของโรคตาแดง คนกลุ่มไหนมีภาวะเสี่ยงเป็นเยื่อบุตาอักเสบบ้าง? ภาวะเยื่อบุตาอักเสบอาจเกิดได้กับทุกคน แต่จะมีคนบางกลุ่มที่เสี่ยงมากกว่าคนกลุ่มอื่นๆ ดังนี้ เด็กและผู้สูงอายุ เพราะเด็กจะรับเชื้อได้ง่ายจากโรงเรียนซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีคนเยอะ ส่วนผู้สูงอายุมีระบบภูมิคุ้มกันร่างกายที่อ่อนแอกว่า ผู้ป่วยติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ผู้ป่วยไข้หวัด ผู้ป่วยโรคเบาหวาน มีระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายอ่อนแอและเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายกว่าคนทั่วไป ผู้ที่ใช้ยาสเตียรอยด์ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ ผู้ที่เปลือกตาอักเสบ อาจมีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งทำให้เกิดเยื่อบุตาอักเสบได้ ผู้ที่อยู่ในที่มีคนหนาแน่น เช่น บนรถไฟฟ้า ค่ายทหาร และโรงเรียนประจำ     อาการเยื่อบุตาอักเสบแบบไหนที่ควรพบแพทย์ ควรรีบพบแพทย์หากมีอาการเยื่อบุตาอักเสบดังต่อไปนี้ อาการรุนแรงขึ้นแม้จะรักษาด้วยตัวเองแล้ว ปวดตารุนแรงหรือมองเห็นไม่ชัด ขี้ตามีสีเขียว เหลือง หรือเป็นหนองปริมาณมาก มีไข้ร่วมกับอาการตาแดง ตาบวมผิดปกติหรือมีอาการไวต่อแสงอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านดวงตาเพื่อรับการตรวจและรักษาอย่างถูกต้อง ปลอดภัย ไม่เสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายตามมา รักษาเยื่อบุตาอักเสบ ที่ศูนย์รักษาตา Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร หากอาการเยื่อบุตาอักเสบเสี่ยงอันตราย และเข้าขั้นต้องไปพบแพทย์โดยด่วน แนะนำให้เข้ามาปรึกษาและรักษาอาการเหล่านี้ได้ที่ศูนย์รักษาตา Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ที่นี่โดดเด่นด้านการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ด้วยทีมบุคลากรมากความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับดวงตา รวมถึงจุดเด่นต่างๆ ดังนี้ โรงพยาบาลมีจักษุแพทย์มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย พร้อมให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง สรุป เยื่อบุตาอักเสบคือการอักเสบของเยื่อบางๆ ที่ปกคลุมดวงตาและด้านในของเปลือกตา ซึ่งติดต่อผ่านการสัมผัสน้ำตาที่ปนเปื้อนเชื้อ ไม่ใช่ผ่านการมอง อากาศ หรืออาหาร มีสาเหตุจากเชื้อไวรัสที่ทำให้มีไข้ เจ็บคอ หรือเชื้อแบคทีเรีย รวมถึงสารเคมี ฮอร์โมน ภูมิแพ้ฝุ่น PM2.5 และอุปกรณ์ที่ไม่สะอาด การรักษาทำได้โดยหยอดน้ำตาเทียม ใช้ยาตามสาเหตุ พักสายตา งดขยี้ตาและใช้เครื่องสำอาง ส่วนการป้องกันคือล้างมือให้สะอาด หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วย และไม่ใช้มือสัมผัสบริเวณดวงตา สำหรับคนที่มีปัญหาดวงตา แนะนำมาที่Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ)โรงพยาบาลเฉพาะทางที่มีทีมแพทย์มากประสบการณ์ อุปกรณ์ที่ทันสมัย ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล มั่นใจได้ว่าการรักษาเป็นไปอย่างถูกต้อง แม่นยำ และปลอดภัย

โรคตาแดงเกิดจากอะไร? การรักษาโรคตาแดงทำได้อย่างไร

โรคตาแดงเป็นอาการเยื่อบุตาส่วนที่เป็นตาขาวอักเสบ เกิดจากการติดเชื้อ เช่น เชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย ติดต่อกันได้ง่าย จึงต้องระมัดระวังการใช้ชีวิตเป็นพิเศษเพื่อเลี่ยงอันตราย บทความนี้พามาดูวิธีการป้องกันและวิธีการรักษาที่ถูกต้อง ตาแดงคือภาวะเยื่อบุตาอักเสบ ทำให้เกิดตาแดง คัน น้ำตาไหล รู้สึกมีสิ่งแปลกปลอมในตา และอาจมีขี้ตามากขึ้น โดยสาเหตุหลักมาจากการติดเชื้อ การแพ้ หรือการระคายเคือง โรคตาแดงจากเชื้อไวรัสมักหายเองได้ภายใน 7 - 10 วัน โดยไม่ต้องใช้ยา เพียงพักผ่อนและรักษาความสะอาด แต่ตาแดงจากแบคทีเรียอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษา อาการที่ต้องรีบพบจักษุแพทย์ ได้แก่ อาการรุนแรงไม่ดีขึ้นภายใน 2 - 3 วัน ปวดตามาก ตามัว หรือเกิดในผู้ป่วยที่สวมคอนแท็กต์เลนส์ ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการขยี้ตาเพราะจะทำให้อาการรุนแรงขึ้น ควรระวังการแพร่กระจายเชื้อ โดยไม่ใช้ของร่วมกับผู้อื่น และหมั่นล้างมือบ่อยๆ ตาแดงคืออะไร หายเองได้ไหม? ตาแดงคือภาวะที่เยื่อบุตาเกิดการอักเสบ ทำให้ตาแดงและมีอาการคัน น้ำตาไหล รู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในตา และอาจมีขี้ตามากขึ้น สาเหตุหลักมาจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย การแพ้ หรือการระคายเคือง ตาแดงส่วนใหญ่สามารถหายเองได้ โดยเฉพาะตาแดงจากเชื้อไวรัสมักหายได้เองภายใน 7 - 10 วัน โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยา แต่ควรพักผ่อนและดูแลความสะอาด อย่างไรก็ตาม ตาแดงจากแบคทีเรียอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะรักษา หากอาการรุนแรงหรือไม่ดีขึ้นภายใน 2 - 3 วัน มีอาการปวดมาก ตามัว หรือเกิดในผู้ป่วยที่สวมคอนแท็กต์เลนส์ ควรรีบไปพบจักษุแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม     อาการตาแดงเป็นอย่างไร โดยปกติในผู้ป่วยโรคตาแดง จะพบอาการความผิดปกติดังนี้ คันตา ระคายเคืองผู้ป่วยมักรู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมติดอยู่ในดวงตา ทำให้เกิดความรำคาญและมีเกิดอยากขยี้ตาตลอดเวลา ซึ่งการขยี้ตาอาจทำให้อาการรุนแรงขึ้นได้ ตาขาวเปลี่ยนสีบริเวณตาขาวจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูเข้มหรือแดงเกิดจากเส้นเลือดขยายตัว บางรายอาจมีเลือดออกใต้เยื่อบุตาทำให้เห็นเป็นปื้นสีแดงชัดเจนกระจายบนพื้นตาขาว น้ำตาและขี้ตาผิดปกติดวงตาผลิตน้ำตามากกว่าปกติจนไหลตลอดเวลา หรือมีขี้ตาเหนียวสีเหลืองหรือสีขาวปริมาณมากโดยเฉพาะในตอนเช้าหลังตื่นนอน ซึ่งบางครั้งอาจทำให้เปลือกตาติดกัน เปลือกตาบวมแดงการอักเสบลามไปถึงเปลือกตาทำให้เกิดอาการบวมแดง บางรายอาจพบว่าเปลือกตาหนาตัวขึ้น และมีความรู้สึกหนักตาร่วมด้วย ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงเช่น ตามัว มีฝ้าขาวที่กระจกตาดำ ต่อมน้ำเหลืองหน้าหูโตกดเจ็บ ปวดตารุนแรง หรือปวดศีรษะ ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายที่ต้องพบจักษุแพทย์ทันที     สาเหตุอาการตาแดงเกิดจากอะไร มาดูสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคตาแดงทั้ง 3 สาเหตุหลักๆ กัน 1. การติดเชื้อ เชื้อไวรัสเป็นสาเหตุหลักของโรคตาแดงที่พบบ่อยที่สุด ผู้ป่วยมักมีอาการน้ำตาไหลมาก ตาแดงทั้งสองข้าง รู้สึกเคืองตา คันตา และมีขี้ตาใสปริมาณน้อย มักติดต่อได้ง่ายและอาจต้องใช้เวลาหายเอง เชื้อแบคทีเรียตาแดงจากแบคทีเรียมีลักษณะเด่นคือมีขี้ตาข้นสีเหลืองหรือเขียวปริมาณมาก เปลือกตามักบวมแดง และอาจมีอาการปวดตาร่วมด้วย การติดเชื้อชนิดนี้ต้องได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะอย่างเหมาะสม 2. การแพ้และระคายเคือง ฝุ่น ควัน หรือสารเคมีการสัมผัสสิ่งระคายเคืองในอากาศทำให้เกิดอาการตาแดง น้ำตาไหล และระคายเคือง อาการมักดีขึ้นเมื่อหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น การหยอดน้ำตาเทียมช่วยบรรเทาอาการและล้างสิ่งระคายเคืองออกจากตาได้ การแพ้เครื่องสำอางหรือน้ำยาคอนแท็กต์เลนส์ผลิตภัณฑ์ที่ใช้บริเวณดวงตาอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ ทำให้ตาแดง คัน และบวม ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่สงสัยทันที และใช้น้ำสะอาดล้างตาเพื่อลดการอักเสบ 3. อาการของโรคตาอื่นๆ ตาแห้งเรื้อรังภาวะที่ดวงตาผลิตน้ำตาไม่เพียงพอหรือน้ำตามีคุณภาพไม่ดี ทำให้เกิดอาการตาแดง แสบตา และรู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในตา การใช้น้ำตาเทียมเป็นประจำช่วยบรรเทาอาการได้ ภูมิแพ้ขึ้นตาเกิดจากการแพ้สารก่อภูมิแพ้ เช่น เกสรดอกไม้ หรือขนสัตว์ ทำให้ตาแดง คันตามาก น้ำตาไหล และอาจมีอาการจามหรือคัดจมูกร่วมด้วย ยาต้านฮิสตามีนช่วยบรรเทาอาการได้ กระจกตาอักเสบเป็นภาวะที่กระจกตา (ส่วนใสด้านหน้าของตา) อักเสบ ทำให้มีอาการปวดตารุนแรง ตาแดง กลัวแสง และตาแดงจนมองไม่ชัด ต้องได้รับการรักษาโดยจักษุแพทย์อย่างเร่งด่วนเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน ตาแดงแบบไหนที่สามารถติดต่อได้? โรคตาแดงเป็นโรคติดต่อที่แพร่กระจายได้ง่ายผ่านการสัมผัสโดยตรงกับน้ำตาหรือขี้ตาของผู้ป่วย การใช้สิ่งของร่วมกัน หรือการไอจามรดกัน เชื้อมักระบาดในพื้นที่ที่มีคนหนาแน่น เช่น รถโดยสารสาธารณะ โรงพยาบาล และโรงเรียน โดยพบบ่อยในกลุ่มเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากเด็กมักมีพฤติกรรมป้องกันตัวเองจากเชื้อโรคที่ไม่เคร่งครัดเท่าผู้ใหญ่     การรักษาโรคตาแดง เนื่องจากโรคตาแดงเกิดจากเชื้อไวรัสจึงยังไม่มียารักษาโดยตรง และยาต้านไวรัสที่มีอยู่ไม่ได้ผลกับเชื้อชนิดนี้ การรักษาจึงเน้นตามอาการ เช่น ให้ยาปฏิชีวนะหยอดตาเพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน โดยหยอดเฉพาะตาข้างที่เป็นเท่านั้น วิธีรักษาตาอักเสบแดงหรือโรคตาแดง แพทย์อาจพิจารณาให้ยาหยอดแก้อักเสบและยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอลหากมีอาการเจ็บตา ควรใช้สำลีชุบน้ำสะอาดเช็ดขี้ตา ใส่แว่นกันแดดเพื่อลดอาการเคืองแสง และควรงดใส่คอนแท็กต์เลนส์จนกว่าจะหายอักเสบ พร้อมพักผ่อนให้เพียงพอและหลีกเลี่ยงการใช้สายตามากเกินไป     แนวทางการดูแลตัวเองสำหรับคนที่เป็นตาแดง แนวทางเบื้องต้นในการดูแลตัวเองของอาการตาแดงหรือตาอักเสบ เพื่อป้องกันและบรรเทาไม่ให้อาการแย่ลง สามารถทำได้ดังนี้ หลีกเลี่ยงการสัมผัสตา ไม่ขยี้ตาหรือสัมผัสดวงตาโดยตรง เพราะจะทำให้อาการแย่ลงหรือทำให้ดวงตาอีกข้างติดเชื้อได้ หมั่นล้างมือด้วยสบู่บ่อยๆ และล้างทันทีหากสัมผัสใบหน้า ดวงตา หรือสิ่งของเครื่องใช้ของผู้ป่วย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ ใช้ผ้าหรือสำลีชนิดนุ่มชุบน้ำอุ่นเช็ดตา ซับน้ำตา หรือเช็ดขี้ตาออกเบาๆ โดยใช้สำลีแผ่นใหม่ทุกครั้ง แล้วอย่าลืมทิ้งในถังขยะที่ปิดมิดชิด หยอดตาเฉพาะข้างที่มีอาการเท่านั้น ไม่ควรหยอดตาทั้งสองข้างด้วยยาหยอดตาขวดเดียวกัน หลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ร่วมกัน ไม่ใช้ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว หรือหมอนร่วมกับผู้อื่น หยุดใช้คอนแท็กต์เลนส์ชั่วคราว เปลี่ยนไปใช้แว่นตาจนกว่าอาการจะหายดี งดว่ายน้ำในสระว่ายน้ำในช่วงที่โรคตาแดงระบาด งดใช้เครื่องสำอางรอบดวงตา และหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีฝุ่น ควัน หรือสารเคมี พักเรียนหรือพักงานอย่างน้อย 1 สัปดาห์เพื่อไม่ให้โรคแพร่กระจายสู่ผู้อื่น พักการใช้สายตา และพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่จำเป็นต้องปิดตา เว้นแต่กรณีที่กระจกตาอักเสบหรือเคืองตามาก อาจปิดตาชั่วคราวหรือสวมแว่นกันแดดแทน การรักษาโรคตาแดง ที่ศูนย์รักษาตา Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร หากมีอาการของโรคตาแดง แล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือมีอาการรุนแรง แนะนำให้เข้ามาปรึกษาและรักษาอาการเหล่านี้ได้ที่ศูนย์รักษาตา Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ที่นี่โดดเด่นด้านการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ด้วยจักษุแพทย์มากความรู้และทีมงานมากประสบการณ์ที่พร้อมดูแลและแก้ปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับดวงตา ทางโรงพยาบาลยังมีจุดเด่นดังนี้ โรงพยาบาลมีทีมจักษุแพทย์มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย พร้อมให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง สรุป ตาแดงเป็นภาวะเยื่อบุตาอักเสบที่ทำให้เกิดอาการตาแดง คัน น้ำตาไหล รู้สึกมีสิ่งแปลกปลอมในตา และอาจมีขี้ตามากขึ้น สาเหตุหลักมาจากการติดเชื้อไวรัส (มักหายเองใน 7-10 วัน) แบคทีเรีย (อาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะ) การแพ้ หรือการระคายเคือง ควรรีบพบจักษุแพทย์หากอาการรุนแรงไม่ดีขึ้นภายใน 2 - 3 วัน มีอาการปวดตามาก ตามัว หรือเกิดในผู้สวมคอนแท็กต์เลนส์ ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการขยี้ตาและระวังการแพร่กระจายเชื้อโดยไม่ใช้ของร่วมกับผู้อื่นและหมั่นล้างมือบ่อยๆ สำหรับคนที่มีปัญหาดวงตา แนะนำมาที่Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ)โรงพยาบาลเฉพาะทางที่มีแพทย์มากประสบการณ์ อุปกรณ์ที่ทันสมัย ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล มั่นใจได้ว่าการรักษาเป็นไปอย่างถูกต้อง แม่นยำ และปลอดภัย
calling
ติดต่อเรา : +662 511 2111