มุมสุขภาพตา : #รักษา

เรียงตาม

กระจกตาบางเกิดจากอะไร? อาการ ผลกระทบต่อสายตาและวิธีรักษา

กระจกตาบางคือภาวะที่กระจกตาซึ่งเป็นชั้นโปร่งใสด้านหน้าตาของดวงตามีความหนาน้อยกว่าปกติ ส่งผลต่อการมองเห็นและสุขภาพตา กระจกตาบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การเสื่อมตามวัย การขยี้ตาบ่อยๆ โรคทางพันธุกรรม หรือผลข้างเคียงจากการผ่าตัดตา เช่น เลสิก อาการของกระจกตาบางที่สังเกตได้ เช่น ตาพร่ามัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย มองเห็นภาพบิดเบี้ยว และสายตาเอียงสูงผิดปกติ กระจกตาบางคือภาวะที่ความหนาของกระจกตาลดลงกว่าปกติ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการโฟกัสแสงเข้าสู่ดวงตา ทำให้การมองเห็นมีความคมชัด หากกระจกตาบางเกินไป อาจเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสายตา เช่น สายตาผิดปกติ หรือมีผลกระทบต่อการรักษาดวงตาด้วยวิธีต่างๆ เช่น เลสิก การเข้าใจสาเหตุ อาการ และการดูแลกระจกตาบางอย่างถูกต้อง จึงช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและดูแลสุขภาพตาได้ดีขึ้น       กระจกตาคืออะไร? สิ่งสำคัญต่อการมองเห็น กระจกตา (Cornea) คือชั้นโปร่งใสและโค้งอยู่ด้านหน้าสุดของดวงตา ครอบคลุมตาดำ มีหน้าที่ช่วยหักเหแสงให้เข้าสู่ดวงตา ทำให้เรามองเห็นชัดเจน และยังเป็นเกราะป้องกันเชื้อโรคโดยตรง โดยปกติความหนาของกระจกตาจะอยู่ที่ประมาณ 520-550 ไมครอน และสามารถบางลงได้ตามอายุที่เพิ่มขึ้นด้วย       รู้จักกับกระจกตาบาง กระจกตาบางคือลักษณะของกระจกตาที่มีความหนาน้อยกว่า 500 ไมครอน (0.5 มิลลิเมตร) โดยทั่วไปไม่ถือเป็นโรคและไม่ต้องรักษา แต่กระจกตาบางจะส่งผลต่อการวินิจฉัยโรคบางอย่าง เช่น ต้อหิน เพราะทำให้วัดความดันตาต่ำกว่าความจริง รวมถึงส่งผลต่อการเลือกวิธีแก้ไขสายตา เช่น หากผู้ป่วยต้องการทำ LASIK และ มีระดับค่าสายตาที่มีผิดปกติสูง เช่น สั้น หรือ เอียงมาก โดยมีความหนาของกระจกตาน้อย เมื่อเปรียบเทียบกันกับเนื้อกระจกตาที่ต้องใช้ผ่าตัด หลังจากได้รับการตรวจจากผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียด เเพทย์ประเมินแล้วอาจจะไม่สามารถแก้ไขค่าสายตาได้หมด หรืออาจทำให้ กระจกตาเสี่ยงเป็นโรคกระจกตาอื่นๆหลังการแก้ไข เเพทย์อาจประเมินให้ผู้ป่วยทำการรักษาด้วยวิธีการอื่นๆ เช่น PRK ICL FemtoLASIK ReLEx SMILE Pro หรือ NanoLASIK  แทนการทำ LASIK แบบทั่วๆไป ซึ่งเป็นการเเก้ไขที่ใช้หรือรบกวนความหนาของกระจกตาน้อยกว่าเพราะฉะนั้น ก่อนทำเลสิกจึงต้องสังเกตและตรวจประเมินความหนาของกระจกตาอย่างละเอียด เพราะหากบางเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะสายตาเอียงผิดปกติ หรือกระจกตาย้วย ซึ่งส่งผลต่อการมองเห็นได้ นอกจากนี้หลายคนยังสงสัยว่า “ใส่คอนแท็กต์เลนส์ ทำให้กระจกตาบางจริงไหม?” คำตอบคือ โดยทั่วไปการใส่คอนแท็กต์เลนส์อย่างถูกวิธี ไม่ได้ทำให้กระจกตาบางลง แต่หากใส่นานเกินไป ไม่ถอดล้างหรือดูแลอย่างถูกต้อง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเกิดภาวะขาดออกซิเจนที่กระจกตา ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อบางลงได้เช่นกัน       กระจกตาบางเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง? กระจกตาบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ การเข้าใจสาเหตุเหล่านี้ช่วยให้สามารถป้องกันและดูแลสุขภาพตาได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น โดยสาเหตุที่พบได้บ่อย มีดังนี้   โรคทางพันธุกรรม แม้ว่าภาวะกระจกตาบางมักเกิดจากพฤติกรรมบางอย่าง แต่ในบางกรณี ความผิดปกตินี้อาจมีสาเหตุจากโรคพันธุกรรมที่ถ่ายทอดภายในครอบครัว หนึ่งในโรคที่พบบ่อย คือ กระจกตาย้วย (Keratoconus) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของภาวะกระจกตาบาง กระจกตาจะบางลงและโป่งยื่นออกมาคล้ายรูปกรวย ทำให้สายตาเอียงผิดปกติ และการมองเห็นแย่ลงเรื้อรัง มักเริ่มแสดงอาการในช่วงวัยรุ่นถึงอายุ 30 ปี โรคกระจกตาบางจากพันธุกรรมอื่นๆ (Corneal Dystrophies) เช่น Pellucid Marginal Degeneration (PMD) ซึ่งกระจกตาจะบางลงบริเวณขอบด้านล่าง   การบาดเจ็บหรือการผ่าตัดตา การผ่าตัดแก้ไขสายตาบางประเภท เช่น การทำเลสิก (LASIK) หรือ PRK อาจส่งผลให้กระจกตาบางลงได้ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการเลเซอร์เนื้อกระจกตา ออกไปมากเกินความจำเป็น ทำให้ความหนาของกระจกตาที่เหลืออยู่ไม่เพียงพอ เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น กระจกตาย้วยในอนาคต นอกจากนี้การบาดเจ็บที่กระจกตาซ้ำๆ รวมถึงการติดเชื้อที่รุนแรง เช่น แผลที่กระจกตาหรือกระจกตาอักเสบ ก็สามารถทำลายเนื้อเยื่อกระจกตาและทำให้เกิดการบางลงได้เช่นกัน โดยเฉพาะหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที   โรคอื่นๆ หรือการใช้ยา โรคทางภูมิคุ้มกันบางชนิด เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) หรือโรคเอสแอลอี (SLE) อาจส่งผลกระทบต่อกระจกตา ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และนำไปสู่ภาวะกระจกตาบางได้ในระยะยาว เนื่องจากภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเนื้อเยื่อของตาเอง ในขณะเดียวกัน การใช้ยาหยอดตาบางชนิด โดยเฉพาะยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ หากใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจมีผลข้างเคียงต่อโครงสร้างของกระจกตา ทำให้เนื้อเยื่อกระจกตาอ่อนแอและบางลงได้เช่นกัน       อาการของภาวะกระจกตาบาง ภาวะกระจกตาบางมักพัฒนาอย่างช้าๆ จนอาจไม่สังเกตเห็นได้ในระยะแรก การเรียนรู้ที่จะสังเกตอาการเบื้องต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรักษาได้อย่างทันท่วงที โดยอาการที่อาจพบมีดังนี้ การมองเห็นพร่ามัวหรือไม่ชัดเจน ค่าสายตาเปลี่ยนแปลงบ่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ มีค่าสายตาเอียงสูงกว่าปกติ มองเห็นภาพบิดเบี้ยว หรือมีลักษณะผิดรูปจากความจริง       วิธีการตรวจและวินิจฉัยกระจกตาบาง โดยปกติแล้วภาวะกระจกตาบางมักถูกตรวจพบในขั้นตอนการประเมินสายตาก่อนทำเลสิก ซึ่งแพทย์จะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Keratometerตรวจวัดความโค้งของกระจกตาและค่าสายตาเอียง โดยการสะท้อนแสงบนกระจกตาเพื่อตรวจหารูปร่างและความโค้งที่ผิดปกติ ซึ่งความโค้งที่ผิดปกตินี้ อาจสัมพันธ์กับความบางของกระจกตา นอกจากนั้นยังมีการตรวจ Corneal Tophography หรือแผนภูมิดวงตาเพื่อประเมินค่าความหนาบางและความผิดปกติของกระจกตาอื่นๆด้วย โดยอาจจะมีการวัด Tomographic Biomechanical Index หรือ ค่าความเเข็งเเรงของกระจกตา เสริมเพื่อตรวจความเสี่ยงของโรค Corneal Ectasia หรือโรคกระจกตาโป้งอีกด้วย แม้ว่าจะสามารถสังเกตอาการเบื้องต้นได้ เช่น มองเห็นไม่ชัดหรือค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย แต่การวินิจฉัยว่ามีกระจกตาบางจริงหรือไม่นั้น ต้องอาศัยการตรวจโดยจักษุแพทย์เท่านั้น เพราะการสังเกตอาการด้วยตนเองเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น ไม่สามารถยืนยันผลได้ ดังนั้นหากสงสัยว่าตนเองมีกระจกตาบาง ควรเข้ารับการตรวจอย่างละเอียดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวางแผนการดูแลและรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้น   สรุป กระจกตาบางเป็นภาวะที่หลายคนไม่รู้ตัว แต่สามารถส่งผลกระทบต่อการมองเห็น เช่น ตาพร่ามัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย หรือภาพบิดเบี้ยว ซึ่งอาจเกิดจากพันธุกรรม โรคภูมิคุ้มกัน การผ่าตัดแก้ไขสายตา หรือการใช้ยาบางชนิด การตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกจึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่วางแผนทำเลสิก ควรเข้ารับการตรวจวัดความหนาและความโค้งของกระจกตาอย่างละเอียดที่ Bangkok Eye Hospital ด้วยเครื่องมือทันสมัยและแพทย์เฉพาะทาง เพื่อป้องกันและดูแลสุขภาพดวงตาได้อย่างมั่นใจ   คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกระจกตาบาง (FAQ) หลายคนที่เพิ่งเคยได้ยินเกี่ยวกับภาวะกระจกตาบางอาจมีข้อสงสัยมากมาย เพื่อช่วยให้เข้าใจมากขึ้น เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาวะกระจกตาบาง พร้อมคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญมาฝากกันในบทความนี้   ทำอย่างไรให้กระจกตาหนาขึ้น ความหนาของกระจกตาไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากเป็นความผิดปกติที่เกิดจากโครงสร้างภายในชั้นกระจกตาเอง   ถ้าปล่อยให้กระจกตาบางแล้วไม่รักษา จะเป็นอย่างไร? สายตาพร่ามัวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถแก้ไขด้วยแว่นหรือคอนแท็กต์เลนส์ปกติได้ กระจกตาโป่งยื่นออกมามากผิดปกติ ทำให้การมองเห็นแย่ลงอย่างถาวร ในบางกรณีรุนแรงมาก อาจเกิดภาวะกระจกตาบวมน้ำฉับพลัน (Acute Hydrops) หรือกระจกตาทะลุ ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินและอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้หากไม่ได้รับการปลูกถ่ายกระจกตา   สามารถป้องกันภาวะกระจกตาบางได้ไหม หลีกเลี่ยงการขยี้ตาแรงๆ เพราะการขยี้ตาเป็นประจำและรุนแรงสามารถทำให้กระจกตาบางลงและเป็นตัวกระตุ้นให้โรคกระจกตาย้วยแย่ลง ดูแลสุขภาพตาโดยรวม เช่น ไม่ใช้คอนแท็กต์เลนส์นานเกินไป และรักษาความสะอาดของดวงตา พบจักษุแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคเกี่ยวกับกระจกตา เพื่อให้สามารถวินิจฉัยและเริ่มการรักษาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะให้ผลลัพธ์การรักษาที่ดีกว่า  
อ่านเพิ่มเติม
ศูนย์รักษาต้อกระจก
ศูนย์รักษาจอประสาทตา
ศูนย์รักษาต้อหิน
ศูนย์รักษากระจกตา
ศูนย์รักษาตาเด็ก
ศูนย์ศัลยกรรมตกแต่งรอบดวงตา
ศูนย์รักษาจักษุประสาทวิทยา

ตากุ้งยิงเกิดจากอะไร? หาสาเหตุ อาการ การรักษา และการดูแลตัวเอง

ตากุ้งยิงอาการเริ่มต้นคือการพบตุ่มหนองหรือมีอาการบวมคันบริเวณเปลือกตา ตากุ้งยิงพบได้ง่ายและหายเองได้ แต่อาการตากุ้งยิงในบางคนอาจเกิดความเจ็บปวดหรือคันที่รุนแรงกว่าปกติ ในกรณีเหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและให้ความดูแลเพิ่มเติม บทความนี้จะพาไปรู้จักกับอาการตากุ้งยิงและวิธีดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมหากพบตากุ้งยิงไปจนถึงวิธีรักษาตากุ้งยิงเพื่อลดความรุนแรงของอาการที่เกิดขึ้น ตากุ้งยิงคืออาการระคายเคือง บวม หรือคันและเป็นตุ่มหนองบริเวณเปลือกตา โดยมีสาเหตุมาจากการอุดตันของต่อมไขมันหรือการติดเชื้อแบคทีเรีย ตากุ้งยิงมี 2 ประเภทขึ้นอยู่กับบริเวณที่เกิดตากุ้งยิง ได้แก่ ตากุ้งยิงชนิดภายนอก และตากุ้งยิงชนิดภายใน อาการของตากุ้งยิงนั้นหายเองได้เมื่อตุ่มหนองนั้นแตกและระบายสิ่งอุดตันออกจนหมด แต่หากมีอาการข้างเคียงเพิ่มเติมควรปรึกษาแพทย์เพิ่มวินิจฉัยและทำการรักษา การรักษาตากุ้งยิง แพทย์อาจใช้ยาหยอดหรือยาป้ายร่วมกับยาปฏิชีวนะหากมีความเจ็บปวดหรืออาการแพร่กระจายรุนแรงมาก ทำความรู้จักตากุ้งยิง คืออะไร ตากุ้งยิงเกิดจากเชื้อแบคทีเรียบริเวณเปลือกตา มีลักษณะเป็นตุ่มฝีหรือหนอง มักเกิดขึ้นบริเวณเปลือกตาที่มีผิวบอบบางและถูกสัมผัสด้วยมือที่ไม่สะอาดหรือช่วงที่ภูมิคุ้มกันตกและร่างกายอ่อนแอ โดยวิธีรักษาตากุ้งยิงอาจทำได้ด้วยตนเองคือระบายหนองในตุ่มเหล่านั้นออก แต่หากมีความรุนแรงมากหรือเป็นอาการตากุ้งยิงไม่มีหัวจะก่อให้เกิดความระคายเคืองและติดเชื้อได้     ตากุ้งยิง มีกี่ประเภท ตากุ้งยิงยังมี 2 ประเภทที่จำแนกจากสาเหตุของการเกิดโรค ซึ่งจะส่งผลต่อการวินิจฉัยและแนวทางในการรักษาด้วย ตากุ้งยิงแบบติดเชื้อ (Hordeolum) ตากุ้งยิงแบบติดเชื้อ (Hordeolum) เกิดจากการติดเชื้อ Staphylococcus aureus ที่บริเวณต่อมไขมันและรูขุมขนบริเวณดวงตาจนบวมแดงและเจ็บปวด การรักษาทำได้ควบคู่กับการรับยาจากแพทย์ร่วมด้วยเพื่อไม่ให้มีการติดเชื้อซ้ำ โดยการติดเชื้อนี้จำแนกออกได้ ดังนี้ การติดเชื้อภายนอก External Hordeolum ซึ่งจะเห็นตุ่มหนองบริเวณเปลือกตาด้านนอกหรือขอบตา การติดเชื้อภายใน Internal Hordeolum ซึ่งจะมีตุ่มหนองด้านในเปลือกตาติดกับดวงตายังมองเห็นได้ยากกว่า ตากุ้งยิงแบบไม่ติดเชื้อ (Chalazion) ตากุ้งยิงแบบไม่ติดเชื้อ (Chalazion) มีสาเหตุมาจากฝุ่นผงที่อุดตามรูขุมขนและทำให้ไม่สามารถระบายไขมันออกมาได้จนเกิดเป็นตุ่มหนองแต่มักจะไม่เจ็บปวด สามารถระบายหนองหรือไขมันอุดตันออกได้เองแต่ต้องใส่ใจความสะอาดเป็นอย่างมากเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดแผลที่นำไปสู่การติดเชื้อและกลายเป็นตากุ้งยิงชนิดติดเชื้อในอนาคต     อาการตากุ้งยิง มีอะไรบ้าง ตากุ้งยิงอาการเริ่มต้นจะมีลักษณะคล้ายสิว แต่หลายคนอาจมีไข้ร่วมด้วยหากมีความรุนแรงของการติดเชื้อ โดยอาการของตากุ้งยิงมีดังนี้ เกิดตุ่มนูนที่เปลือกตา เปลือกตาบวมแดง คันตา อาจมีน้ำตาไหล ดวงตาพร่ามัวและไวต่อแสง ระคายเคือง ไม่สบายตา     สาเหตุตากุ้งยิง เกิดจากอะไร ตากุ้งยิงอาจเกิดได้จากหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดความผิดปกติของต่อมไขมันหรือรูขุมขนบริเวณเปลือกตา เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียเมื่อสัมผัสดวงตาด้วยมือที่ไม่สะอาด การอุดตันของฝุ่นผงที่รูขุมขน ต่อมไขมันอุดตันไม่สามารถระบายออกได้ ล้างเครื่องสำอางไม่หมดทำให้เกิดสิ่งสกปรกตกค้าง การเกิดตากุ้งยิงซ้ำสำหรับผู้ที่เคยเป็นตากุ้งยิงมาก่อน การใส่คอนแท็กต์เลนส์ที่ระคายเคืองหรือนานเกินกว่าที่อายุคอนแท็กต์เลนส์กำหนด ภูมิคุ้มกันตกหรือร่างกายอ่อนแอ ทำให้ร่างกายไวต่อสิ่งสกปรกและแบคทีเรีย ไขข้อสงสัย ตากุ้งยิงหายเองได้ไหม ตากุ้งยิงสามารถหายเองได้ โดยตุ่มหนองอาจแตกและยุบเองในระยะเวลา 3 - 4 วัน ผู้ที่มีอาการตากุ้งยิงอาจใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นประคบเพิ่มที่บริเวณดวงตาเพื่อช่วยระบายหนองและไขมันที่อุดตันออก อย่างไรก็ตาม หากมีการระบายหนองและไขมันออก จะต้องให้ความสำคัญกับความสะอาดเพื่อป้องกันการกลับมาติดเชื้อซ้ำ และหากมีการระบายหนองออกไม่หมด ตุ่มไม่ยุบตัวลงและเกิดหนองคั่งค้าง อาจเกิดอาการที่ตุ่มหนองแข็งเป็นไต อาการติดเชื้ออาจขยายวงกว้างและลุกลามไปยังบริเวณแก้มเพิ่มได้ โดยจะทำให้มีอาการเจ็บปวดมากขึ้นและติดเชื้อรุนแรง หากมีอาการเหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยอาการและทำการรักษา วินิจฉัยอาการตากุ้งยิงโดยแพทย์ การวินิจฉัยการรักษาตากุ้งยิงโดยแพทย์นั้น เนื่องจากผู้ป่วยตากุ้งยิงอาจมีอาการติดเชื้อในวงกว้างหรือมีความเจ็บปวดมาก บางคนอาจเกิดอาการตาพร่ามัว มองไม่ชัด หรือตากุ้งยิงบวมมากจนหนังตาปิด แพทย์จะรักษาด้วยยาหยอดหรือยาป้าย และอาจใช้ยาปฏิชีวนะร่วมด้วยหากผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวดมาก หรือวินิจฉัยตำแหน่งของตากุ้งยิงภายในและภายนอกเพิ่มเติม ร่วมกับการสังเกตการติดเชื้อหรืออุดตัน     แนวทางการรักษาตากุ้งยิงโดยแพทย์ แพทย์จะทำการเจาะตุ่มหนองและขูดเอาหนองที่ตกค้างออกเพื่อระบายส่วนที่อุดตันให้หมดและไม่เกิดอาการซ้ำ โดยขั้นตอนนี้ควรอยู่ในการปฏิบัติงานโดยจักษุแพทย์เท่านั้น เนื่องจากหากความสะอาดไม่เพียงพออาจเกิดการติดเชื้อซ้ำได้ จากนั้นอาจมีการใช้ยาหยอด ยาป้าย หรือยาปฏิชีวนะเพิ่มเติมตามการวินิจฉัย เตรียมตัวก่อนเจาะตากุ้งยิง ก่อนที่ผู้ป่วยจะเข้ารับการรักษาตากุ้งยิงหรือก่อนการเจาะตากุ้งยิง ควรมีการเตรียมตัว ดังนี้ หลีกเลี่ยงฝุ่นควัน หรือมลภาวะที่อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อหรือการอุดตันเพิ่ม งดกินยาที่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือด เช่น Warfarin หรือ Aspirin และควรปรึกษาการใช้ยาอื่นๆ ภายใต้การดูแลของแพทย์ก่อนเข้ารับการเจาะตากุ้งยิง ในวันที่เข้ารับการเจาะตากุ้งยิง ควรงดการแต่งหน้า งดใช้ครีมหรืองดส่วนผสมของน้ำมัน ล้างหน้าและสระผมให้สะอาดเพื่อป้องกันการอุดตันหรือสิ่งสกปรก การดูแลตัวเองหลังเจาะตากุ้งยิง เมื่อเข้ารับการรักษาตากุ้งยิงแล้ว เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและไม่ทำให้เกิดการอุดตันหรือติดเชื้อซ้ำ ควรดูแลตนเองหลังการเจาะตากุ้งยิง ดังนี้ ผู้ป่วยตากุ้งยิงควรปิดตาตามกำหนดที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด รับประทานยาหรือใช้ยาหยอดและยาป้ายตามที่แพทย์สั่งให้ครบถ้วน เมื่อเปิดผ้าปิดตา ควรทำความสะอาดรอบดวงตาด้วยสำลีหรือผ้าสะอาด โดยชุบน้ำอุ่นและบิดหมาดก่อนเช็ดรอบดวงตาเบาๆ งดการแต่งหน้าหรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่อาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองหรืออุดตาบริเวณรอบดวงตา งดการใส่คอนแท็กต์เลนส์ที่อาจทำให้ดวงตาสัมผัสสิ่งสกปรกได้ง่าย หลีกเลี่ยงการสัมผัสดวงตาเพื่อลดโอกาสของการติดเชื้อหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ดวงตา สังเกตอาการหลังการรักษา หากพบอาการบวมแดงไม่ยุบตัว หรือดวงตาพร่ามัวมองเห็นไม่ชัด ให้รีบพบแพทย์โดยเร็ว     ดูแลตัวเองอย่างไร ให้ห่างไกลตากุ้งยิง วิธีปฏิบัติตนเบื้องต้นที่จะป้องกันไม่ให้เกิดตากุ้งยิงหรือเพื่อไม่ให้เป็นตากุ้งยิงซ้ำ ทำได้ดังนี้ ทำความสะอาดร่างกายโดยเฉพาะการล้างมือบ่อยๆ เพื่อไม่ให้นำสิ่งสกปรกไปจับดวงตา ล้างหน้าให้สะอาดอย่างสม่ำเสมอ ล้างเครื่องสำอางให้หมดจด เนื่องจากเครื่องสำอางตกค้างอาจก่อให้เกิดการติดเชื้อหรือน้ำมันจากเครื่องสำอางอาจเป็นสาหเตุของการอุดตันผิวบริเวณรอบดวงตา หมั่นใส่ใจความสะอาดของคอนแท็กต์เลนส์ เลือกคอนแท็กต์เลนส์ที่ไม่ทำให้ระคายเคืองดวงตาและเปลี่ยนคอนแท็กต์เลนส์ตามอายุการใช้งานอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการขยี้ดวงตาหรือจับดวงตาแรงๆ ประคบอุ่นที่บริเวณดวงตาเพื่อลดการอุดตันของไขมัน โดยเฉพาะหากเพิ่งรักษาตากุ้งยิงหาย เพื่อไม่ให้เกิดอาการตากุ้งยิงซ้ำอีก สังเกตอาการอยู่เสมอ หากพบอาการปวดบวมหรือตุ่มหนองบริเวณใกล้ดวงตาให้ปรึกษาแพทย์ หากมีอาการที่เกี่ยวข้องกับดวงตา ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด รักษาตากุ้งยิง ที่ศูนย์โรคจอประสาทตา Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร ตากุ้งยิง อาการทั่วไปที่อาจพบได้ไม่ยากแต่สามารถสร้างความรุนแรงได้หากรักษาไม่ถูกวิธีหรือปล่อยไว้จนกระจายเป็นวงกว้าง หากพบอาการตากุ้งยิงที่รุนแรงหรือมีอาการอื่นร่วมด้วยควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนสายเกินแก้ แนะนำให้เข้ามารักษาที่ศูนย์โรคจอประสาทตา Bangkok Eye Hospital ที่นี่โดดเด่นด้วยจุดเด่นดังนี้ ทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย ให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัยที่แม่นยำ การรักษาที่เหมาะสม ตลอดจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง สรุป ตากุ้งยิง คือการเกิดตุ่มหนองบริเวณเปลือกตาหรือรอบดวงตา เกิดขึ้นได้จากการติดเชื้อหรือการอุดตันของต่อมไขมันและรูขุมขน ตากุ้งยิงเป็นอาการที่หายเองได้เมื่อตุ่มหนองแตกเองและมีการยุบตัว แต่ในผู้ป่วยตากุ้งยิงหลายคนอาจระบายหนองไม่หมดและเกิดตากุ้งยิงซ้ำได้ เพื่อประสิทธิภาพการรักษาที่ดี ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการรักษา และควรดูแลตัวเองตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการเกิดตากุ้งยิงซ้ำหรือการเกิดตากุ้งยิงที่รุนแรงจนถึงขั้นรบกวนการมองเห็นและดวงตาพร่ามัว รักษาตากุ้งยิงได้ที่ศูนย์โรคจอประสาทตา Bangkok Eye Hospital ที่นี่มีจักษุแพทย์ที่มากไปด้วยประสบการณ์ มีเทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัยและการบริการที่เอาใจใส่ตลอดการรักษา
ศูนย์รักษาจอประสาทตา

ตรวจตาบอดสีเมื่อไร? ตาบอดสีเกิดจากอะไร ความเสี่ยงที่หลายคนไม่รู้!

ภาวะตาบอดสีเป็นหนึ่งในปัญหาทางสายตาที่อาจส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ โดยเฉพาะในเรื่องของการแยกแยะสี ซึ่งอาจมีผลต่อการทำงานหรือการขับขี่ยานพาหนะ สำหรับผู้ที่สงสัยว่าตัวเองอาจมีภาวะตาบอดสี การตรวจตาบอดสีเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้รู้ถึงภาวะนี้ได้อย่างชัดเจน บทความนี้พามาเจาะลึกสาเหตุของภาวะตาบอดสี ทั้งปัจจัยทางพันธุกรรมและปัจจัยภายนอก พร้อมแนะนำวิธีตรวจตาบอดสีที่แม่นยำและเชื่อถือได้ เพื่อการวินิจฉัยและการดูแลที่เหมาะสม โรคตาบอดสีคืออาการความบกพร่องในการมองเห็นและแยกแยะสี โดยผู้ป่วยอาจไม่สามารถมองเห็นสีแดง เขียว หรือน้ำเงินได้ชัดเจน แม้จะมีปัญหาในการรับรู้สี แต่ความสามารถในการมองเห็นวัตถุและรูปร่างยังปกติ ตาบอดสีแดง-เขียว เป็นประเภทที่พบมากที่สุด ทำให้แยกแยะระหว่างสีแดงและเขียวได้ยาก ขึ้นอยู่กับความผิดปกติของ Cone cell หรือ เซลล์รูปกรวย ตาบอดสีน้ำเงิน-เหลืองจะพบน้อยกว่า มักเกิดจากโรคมากกว่าพันธุกรรม ทำให้แยกแยะสีน้ำเงินกับเขียว และสีเหลืองกับแดงได้ยาก ตาบอดสีทั้งหมด (Monochromacy) เป็นภาวะที่พบน้อยมาก ทำให้เห็นโลกในโทนสีเทาทั้งหมด เกิดจากเซลล์รูปกรวยไม่ทำงาน ผู้ที่มีภาวะตาบอดสีอาจถูกเข้าใจผิดว่ามีปัญหาการเรียนรู้ โดยเฉพาะในวิชาที่เกี่ยวข้องกับสี แต่สามารถเรียนวิชาอื่นได้ปกติ การขับขี่ยานพาหนะอาจมีความยากลำบาก ต้องอาศัยการสังเกตความเข้มของไฟจราจรแทนการแยกสี การประกอบอาชีพอาจมีข้อจำกัด โดยเฉพาะอาชีพที่ต้องแยกแยะสีอย่างแม่นยำ เช่น นักบิน นักเคมี หรือนักออกแบบกราฟิก     อาการของโรคตาบอดสีเป็นอย่างไร โรคตาบอดสี (Color blindness) คือความบกพร่องในการมองเห็นและแยกแยะสี โดยผู้ป่วยอาจไม่สามารถมองเห็นสีแดง เขียว หรือน้ำเงินได้ชัดเจน ทั้งนี้แม้จะมีปัญหาในการรับรู้สี แต่การมองเห็นวัตถุ รูปร่าง และภาพโดยรวมยังคงชัดเจนเหมือนคนปกติ โรคนี้ไม่ถึงขั้นเป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันค่อนข้างมาก และพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง อาการตาบอดสีสามารถแบ่งความรุนแรงได้ 3 ระดับดังนี้ ความรุนแรงระดับต่ำยังสามารถบอกหรือคาดเดาสีที่เห็นได้ โดยอาจเห็นสีเพี้ยนไปจากความเป็นจริงไม่มาก ความรุนแรงระดับกลางเริ่มแยกสีได้ยากขึ้น อาจไม่สามารถคาดเดาสีได้และส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน ความรุนแรงระดับสูงตาบอดสีประเภทนี้จะเห็นสีเพียงแค่สีขาวดำ ส่งผลต่อการใช้ชีวิตเป็นอย่างมาก ตาบอดสีเกิดจากอะไรได้บ้าง? สาเหตุของการเกิดโรคตาบอดสีนั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุ สามารถเป็นได้ตั้งแต่กำเนิด หรือเป็นได้ในภายหลัง ดังนี้ กรรมพันธุ์หรือเป็นตาบอดสีมาแต่กำเนิด เป็นสาเหตุหลักที่พบบ่อยที่สุด โดยพบในเพศชาย 7% และในเพศหญิงประมาณ 0.5 - 1% อายุเมื่ออายุที่เพิ่มขึ้นส่งผลทำให้เซลล์ต่างๆ ในดวงตาเกิดการเสื่อมสภาพลง โรคเกี่ยวกับดวงตาเช่น โรคต้อหิน จอประสาทตาเสื่อม ต้อกระจก โรคทางกายเช่น โรคต้อหิน ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม เบาหวาน อัลไซเมอร์ และพาร์กินสัน การเกิดอุบัติเหตุกระทบบริเวณดวงตาหรือดวงตาได้รับการบาดเจ็บเสียหาย ผลข้างเคียงจากยาบางชนิดเช่น ยารักษาวัณโรค ยาต้านอาการทางจิตและยาปฏิชีวนะ สารเคมีบางชนิดเช่น สาร Styrene ที่พบในผลิตภัณฑ์พลาสติกหรือโฟม 3 ประเภทของภาวะตาบอดสี หลายคนอาจสงสัยว่าผู้ที่เป็นโรคตาบอดสีมองเห็นสีอย่างไร? ซึ่งก่อนจะเข้าใจเรื่องนี้ ต้องรู้ก่อนว่าตาบอดสีไม่ได้มีแค่แบบเดียว ในทางการแพทย์ โรคตาบอดสีถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก แต่ละประเภทส่งผลต่อการมองเห็นสีที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้     1. ตาบอดสีแดง - เขียว (Red-Green Color Blindness) ผู้ที่มีอาการตาบอดสีแดง - เขียวจะมีความยากลำบากในการแยกแยะระหว่างสองสีนี้ โดยขึ้นอยู่กับเซลล์ Cone ที่ผิดปกติ ผู้ที่มีเซลล์รูปกรวยสีแดงน้อย (Protanomaly) จะเห็นโทนสีแดง ส้ม และเหลืองเป็นโทนสีเขียว หรือหากขาดเซลล์นี้ไป (Protanopia) จะเห็นสีแดงเป็นสีดำ ในทางกลับกัน คนที่มีเซลล์รูปกรวยสีเขียวน้อย (Deuteranomaly) จะมองเห็นโทนสีเขียวเป็นโทนสีแดง และหากขาดเซลล์นี้ไปเลยจะเห็นสีเขียวเป็นสีดำ     2. ตาบอดสีน้ำเงิน - เหลือง (Blue-Yellow Color Blindness) การตาบอดสีฟ้าหรือสีน้ำเงิน (Tritanomaly) และตาบอดสีเหลือง (Tritanopia) เป็นภาวะที่พบได้น้อยกว่าประเภทอื่น มักเกิดจากโรคมากกว่าพันธุกรรม ผู้ที่มีภาวะนี้จะประสบปัญหาในการแยกแยะระหว่างสีน้ำเงินกับสีเขียว และสีเหลืองกับสีแดง โดยผู้ที่มีเซลล์รูปกรวยสีน้ำเงินน้อยจะแยกสีน้ำเงินกับสีเขียวได้ยาก ส่วนผู้ที่ไม่มีเซลล์รูปกรวยสีน้ำเงินเลยจะมีปัญหาในการแยกโทนสีที่มีสีน้ำเงินและสีเหลืองผสมอยู่ เช่น สีน้ำเงินกับสีเขียว หรือสีม่วงกับสีแดง     3. ตาบอดสีทั้งหมด (Complete Color Blindness) ผู้ที่มีอาการตาบอดสีทั้งหมด หรือ Monochromacy เกิดจากการที่เซลล์รูปกรวยทั้งหมดไม่ทำงานหรือขาดหายไปจากดวงตา ซึ่งพบได้น้อยมากในปัจจุบัน คนกลุ่มนี้จะเห็นโลกในโทนสีเทาทั้งหมด มีการมองเห็นสลับสีกัน เช่น ระหว่างสีเขียวกับสีน้ำเงิน สีแดงกับสีดำ สีเหลืองกับสีขาว และบางรายอาจมีปัญหาเกี่ยวกับความไวต่อแสงของดวงตาอีกด้วย     ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากภาวะตาบอดสี ภาวะตาบอดสีอาจไม่ได้สร้างผลกระทบในเรื่องของการแยกแยะสีเท่านั้น เพราะเมื่อแยกสีได้ลำบากอาจส่งผลกระทบอื่นตามมาด้วย ดังนี้ ปัญหาในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ผู้ที่มีภาวะตาบอดสี โดยเฉพาะในวัยเด็ก มักถูกเข้าใจผิดว่ามีปัญหาการเรียนรู้ เนื่องจากคำตอบหรือการทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสีไม่ตรงกับเด็กทั่วไป ซึ่งแท้จริงแล้วยังสามารถเรียนรู้ได้ปกติ เพียงแต่รับรู้สีที่แตกต่างออกไป ทำให้ได้รับผลกระทบในวิชาศิลปะ การประเมินพัฒนาการทางภาษา และการเรียนรู้เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสี ในส่วนของกิจกรรมอื่นๆ ที่ไม่เน้นสีสันนั้นก็สามารถทำได้ปกติเหมือนคนทั่วไป ขับขี่ยานพาหนะลำบาก โรคตาบอดสีส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเรื่องการขับขี่รถยนต์ ผู้ที่มีภาวะนี้ต้องพยายามสังเกตความแตกต่างของไฟจราจรจากความเข้มของสีที่ไม่เท่ากัน ซึ่งถ้าสังเกตได้ก็จะช่วยให้ขับขี่ได้อย่างปลอดภัย ด้วยเหตุนี้ การทดสอบตาบอดสีสำหรับใบขับขี่จึงต้องมีการประเมินความสามารถในการแยกแยะสัญญาณไฟจราจรและเกณฑ์อื่นๆ เพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน การประกอบอาชีพจำกัด ผู้ที่มีภาวะตาบอดสีอาจจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงบางอาชีพเพื่อความปลอดภัยของตัวเองและผู้อื่น รวมถึงเพื่อประสิทธิภาพในการทำงาน อาชีพที่ต้องพึ่งพาการแยกแยะสีอย่างแม่นยำ เช่น นักบิน ผู้ทำงานกับสารเคมี จิตรกร หรือนักออกแบบกราฟิก อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะนี้ เนื่องจากความคลาดเคลื่อนในการมองเห็นสีอาจส่งผลต่อคุณภาพงานหรือก่อให้เกิดอันตรายได้ ตาบอดสีสังเกตเห็นได้ตั้งแต่อายุเท่าไร? โดยปกติ ตาบอดสีที่เกิดจากกรรมพันธุ์สามารถสังเกตได้ตั้งแต่อายุยังน้อย เด็กอาจแสดงอาการผ่านการแยกสีของวัตถุ ของเล่น หรือสีในหนังสือภาพไม่ถูกต้อง คุณครูและผู้ปกครองควรสังเกตพฤติกรรมเช่นการเลือกสีผิดหรือสับสนระหว่างสีที่ใกล้เคียงกัน หากมีข้อสงสัยควรพาเด็กไปตรวจตาเพื่อการวินิจฉัยที่แน่ชัด ตาบอดสีรักษาได้ไหม? รักษาได้อย่างไร โรคตาบอดสีที่เกิดจากพันธุกรรมไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เนื่องจากเกิดจากความผิดปกติของเซลล์รูปกรวยที่น้อยหรือขาดหายไป ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีวิธีทดแทน ส่วนตาบอดสีที่เกิดจากโรคหรือยาบางชนิด อาจมีโอกาสดีขึ้นหากรักษาสาเหตุ อย่างไรก็ตาม มีอุปกรณ์ช่วยบรรเทาอาการได้ เช่น แว่นกรองสีหรือคอนแท็กต์เลนส์สีชั่วคราว ที่ช่วยเพิ่มความเข้มของสีทำให้แยกสีได้ดีขึ้น จักษุแพทย์จะทำการตรวจสายตาเพื่อประเมินและวินิจฉัยภาวะตาบอดสี โดยเริ่มจากการใช้แผ่นทดสอบอิชิฮารา (Ishihara test) ให้ผู้ป่วยอ่านตัวเลขหรือลากเส้นภาพที่มีสีที่คนตาบอดสีมักสับสน ต่อมาใช้เครื่อง Anomaloscope ทดสอบการผสมสีเพื่อวัดความบกพร่องในการมองเห็นสีแดงและสีเขียว และสุดท้ายทำการทดสอบ Farnsworth Munsell โดยให้เรียงฝาครอบสีที่คล้ายกันต่อเนื่องกัน เพื่อคัดกรองระดับความบกพร่องในการมองเห็นสีตั้งแต่ระดับน้อยจนถึงมาก     วิธีทดสอบตาบอดสีด้วยตัวเอง แบบทดสอบ Ishihara ใช้งานอย่างไร? แบบทดสอบIshiharaเป็นวิธีตรวจตาบอดสีที่ได้รับความนิยม ประกอบด้วยภาพวงกลมที่มีจุดสีต่างๆ ซึ่งซ่อนตัวเลขหรือลวดลายไว้ภายใน ผู้ที่มีอาการตาบอดสีจะมองเห็นตัวเลขผิดไปจากคนปกติหรือมองไม่เห็นเลย สามารถทดสอบเบื้องต้นได้ผ่านแบบทดสอบออนไลน์ แต่หากต้องการผลที่แม่นยำควรเข้ารับการตรวจจากจักษุแพทย์โดยตรง เมื่อไรที่ควรตรวจตาบอดสี? เมื่อไรควรตรวจตาบอดสี? เด็กที่มีปัญหาเรื่องการแยกสีตั้งแต่อายุยังน้อยควรเข้ารับการตรวจ รวมถึงผู้ที่ต้องการสอบเข้าวิชาชีพที่ต้องใช้การแยกสี เช่น นักบิน วิศวกร หรือช่างเทคนิค ผู้ที่สงสัยว่าตัวเองมีภาวะตาบอดสี และผู้ที่มีปัญหาทางสายตาหรือได้รับยาที่อาจส่งผลต่อการมองเห็นสีก็ควรได้รับการตรวจเช่นกัน เลือกตรวจตาบอดสีที่ไหนดี? การเลือกสถานที่ตรวจตาบอดสีควรคำนึงถึงคุณภาพและความเชี่ยวชาญเป็นหลัก โดยควรเลือกศูนย์ตรวจตาที่มีจักษุแพทย์เฉพาะทางและอุปกรณ์ทันสมัยครบครัน โรงพยาบาลตาหรือคลินิกเฉพาะทางที่ได้มาตรฐานจะสามารถวินิจฉัยภาวะตาบอดสีได้อย่างแม่นยำ เพื่อให้คุณได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและคำแนะนำที่เหมาะสมสำหรับการดูแลสายตาต่อไป ตรวจตาบอดสีที่ศูนย์รักษาตา Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร แนะนำให้เข้ามาตรวจตาบอดสีได้ที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ที่นี่โดดเด่นด้านการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ด้วยบุคลากรทางการแพทย์มากความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับดวงตา และจุดเด่นดังนี้ โรงพยาบาลมีจักษุแพทย์มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย พร้อมให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง สรุป ตาบอดสีเป็นภาวะที่ส่งผลต่อการแยกแยะสี อาจมีสาเหตุเกิดจากพันธุกรรม โรคทางตา หรือปัจจัยอื่นๆ การตรวจวินิจฉัยทำได้ง่ายด้วยแบบทดสอบ Ishihara และวิธีอื่นๆ ผู้ที่สงสัยว่าตัวเองมีอาการควรเข้ารับการตรวจจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินแนวทางการดูแลที่เหมาะสม ศูนย์ตรวจตาที่มีมาตรฐานและน่าเชื่อถือสามารถให้การวินิจฉัยและคำแนะนำที่เป็นประโยชน์สำหรับการใช้ชีวิตประจำวันกับภาวะตาบอดสีได้อย่างมีคุณภาพ สำหรับคนที่อยากตรวจตาบอดสี แนะนำมาที่Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ)โรงพยาบาลเฉพาะทางที่มีทีมแพทย์มากประสบการณ์ อุปกรณ์ที่ทันสมัย ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล มั่นใจได้ว่าการรักษาเป็นไปอย่างถูกต้อง แม่นยำ และปลอดภัย
ศูนย์เลสิก LASER VISION

หลังทำเลสิคสายตาสั้น เมื่อมีสายตายาวจะสามารถรักษาด้วยวิธีเลสิกได้อีกหรือไม่

หลังทำเลสิคสายตาสั้น เมื่อมีสายตายาวจะสามารถรักษาด้วยวิธีเลสิกได้อีกหรือไม่ หลังทำเลสิคสายตาสั้น เมื่อมีสายตายาวจะสามารถรักษาด้วยวิธีเลสิกได้อีกหรือไม่?      สายตายาวตามอายุเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นกับทุกๆคน ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้ แม้แต่ในผู้ที่ไม่เคยมีปัญหาเรื่องการมองเห็นมาก่อนเลยก็ตาม      สายตายาวตามอายุ เกิดขึ้นในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป สาเหตุเกิดจากเลนส์แก้วตาแข็งขึ้น ประกอบกับกล้ามเนื้อยึดเลนส์ตาเริ่มเสื่อมสภาพ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นภาพในระยะใกล้ได้ชัดเจน      ในกลุ่มผู้ที่มีภาวะสายตาสั้น และได้รับการแก้ไขโดยวิธีการเลสิกไปแล้ว เมื่ออายุประมาณ 40 ปีมีสายตายาวอายุ ทำให้มองใกล้ไม่ชัด สามารถใช้แว่นสายตายาวช่วยในการอ่านหนังสือ หรือช่วยในการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้ แต่หากไม่อยากใส่แว่น สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีเลสิกสายตาได้เช่นกัน การรักษาสายตายาวด้วยวิธี NV LASIK ซึ่งทำให้สามารถมองเห็นในระยะไกลได้ชัดในตาข้างหนึ่ง และมองเห็นใกล้ได้ชัดในตาอีกข้างหนึ่ง เนื่องจากสายตายาวตามอายุเกิดจากความเสื่อมของเลนส์แก้วตา ดังนั้น การรักษาด้วยวิธีนี้จะอยู่ได้ 3- 5 ปีขึ้นอยู่กับสภาพสายตาของคนไข้แต่ละคน การรักษาสายตายาวตามอายุด้วยวิธีการเปลี่ยนเลนส์ (Refractive Lens Exchange-RLE) โดยจะนำเลนส์แก้วตาที่เสื่อมสภาพออก และใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไป **ผู้ที่มีภาวะสายตาสั้นมักเกิดความเข้าใจผิดว่าเมื่อมีภาวะสายตายาวตามอายุร่วมด้วยสายตาจะกลับมาเป็นปกติ ในความเป็นจริง สายตายาวตาอายุเกิดจากความเสื่อมของกล้ามเนื้อตา(เสื่อมตามภาวะร่างกายที่อายุมากขึ้น) ภาวะเสื่อมดังกล่าวอาจทำให้การมองในระยะใกล้ๆได้ดีขึ้น แต่ในระยะที่ใกล้นั้นก็ใกล้กว่าระยะของคนสายตาปกติทั่วๆไป **ผู้ที่มีภาวะสายตาสั้นและไม่ได้รับการแก้ไข เมื่ออายุ 40 ปีมีภาวะสายตายาวตามอายุร่วมด้วย จะทำให้มองไม่ชัดทั้งใกล้และไกล
calling
ติดต่อเรา : +662 511 2111