ย้อนกลับ
จอประสาทตาลอกคืออะไร มีอาการอย่างไร พร้อมวิธีรักษาและป้องกัน
  • จอประสาทตาลอกคือภาวะที่จอประสาทตาหลุดออกจากพื้นผิวตา อาจเกิดจากการฉีกขาดหรือการดึงรั้งของเนื้อจอประสาท ทำให้มองเห็นเบลอหรือเห็นเป็นแสงวูบวาบ

  • อาการของจอประสาทตาลอก ได้แก่ การมองเห็นเบลอ เห็นแสงวูบวาบหรือแสงแฟลช และอาจสูญเสียการมองเห็นบางส่วนหรือมองเห็นภาพซ้อน

  • การรักษาจอประสาทตาลอก ทำได้โดยการใช้แสงเลเซอร์ การฉีดแก๊สในตา และการผ่าตัด ส่วนการป้องกันทำได้โดยการสวมแว่นกันแดดหรืออุปกรณ์ป้องกันดวงตา การตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ และการควบคุมโรคเบาหวานและความดันโลหิต

  • การรักษาจอประสาทตาลอกที่ศูนย์รักษาโรคจอประสาทตา Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) รักษาด้วยจักษุแพทย์พร้อมเทคโนโลยีและอุปกรณ์ทันสมัย

 

จอประสาทตาลอกเป็นภาวะที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของจอประสาทตา หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นแบบถาวรได้ มาทำความเข้าใจถึงสาเหตุ รวมถึงแนวทางป้องกันที่เหมาะสมได้ในบทความนี้

 

จอประสาทตาลอก คือภาวะอะไร

 

จอประสาทตาลอก คือภาวะอะไร

จอประสาทตาลอก (Retinal Detachment) หรือจอตาลอก คือภาวะที่เนื้อเยื่อบริเวณด้านหลังลูกตาแยกตัวออกจากผนังที่มีหลอดเลือดมาเลี้ยง ทำให้จอตาขาดสารอาหารและออกซิเจนไปหล่อเลี้ยง เซลล์จอประสาทตาทำงานผิดปกติในการแปลงแสงเป็นสัญญาณประสาทเพื่อส่งต่อไปยังสมอง หากไม่ได้รับการรักษา เซลล์ประสาทอาจเสื่อมและตาย จนทำให้การมองเห็นลดลงอย่างถาวรและไม่สามารถฟื้นฟูได้ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งจอประสาทตาลอกแบ่งได้ 3 แบบ คือ

1. จอประสาทตาลอกแบบมีรูฉีกขาด (Rhegmatogenous Retinal Detachment)

จอตาลอกที่พบได้บ่อยที่สุดคือภาวะที่เกิดจากการฉีกขาดของจอตา ส่งผลให้ของเหลวจากวุ้นตาแทรกซึมเข้าไปใต้จอตา จนทำให้เกิดการแยกตัวของจอประสาทตาออกจากผนังด้านหลังลูกตา ภาวะนี้จัดเป็นชนิดที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน เนื่องจากหากปล่อยไว้ อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นถาวร

2. จอประสาทตาลอกแบบเกิดจากพังผืดดึงรั้ง (Tractional Retinal Detachment)

 จอประสาทตาลอกแบบเกิดจากพังผืดดึงรั้ง ทำให้จอประสาทตาหลุดลอกจากผนังลูกตาด้านหลัง เป็นภาวะที่พบได้น้อย โดยมักเกิดในผู้ป่วยเบาหวานขึ้นจอตาระยะท้าย ซึ่งมีเส้นเลือดงอกผิดปกติร่วมกับเลือดออกในวุ้นตา 

นอกจากนี้ ยังอาจพบในผู้ที่มีการอักเสบอย่างรุนแรงของวุ้นตาหรือจอตาจนเกิดชั้นพังผืด หรือผู้ที่เคยประสบอุบัติเหตุรุนแรงทางดวงตา เช่น ลูกตาแตกหรือทะลุ ภาวะนี้ต้องได้รับการวินิจฉัยและรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเนื่องจากมีความซับซ้อนและอาจเป็นอันตรายร้ายแรงต่อการมองเห็น

3. จอประสาทตาลอกแบบสารน้ำรั่วขังใต้จอตา (Exudative Retinal Detachment)

ภาวะจอประสาทตาลอกจากการรั่วของหลอดเลือดเกิดจากของเหลวสะสมบริเวณหลังดวงตาโดยไม่มีการฉีกขาดของจอตา สาเหตุหลักมักมาจากการอักเสบหรือตุ่มเนื้องอกในดวงตา ส่งผลให้เกิดอาการบวมและอาจกระทบต่อการมองเห็น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาที่เหมาะสม

 

อาการของจอประสาทตาลอกเป็นอย่างไร

 

อาการของจอประสาทตาลอกเป็นอย่างไร

หากมีอาการที่บ่งบอกว่าเป็นจอประสาทตาหลุดลอก ควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาโดยทันที อาการที่พบได้บ่อยคือ

  • การมองเห็นผิดปกติ เกิดขึ้นโดยไม่มีอาการปวดตา ตาแดง หรือมีน้ำตาไหลออกมา

  • การมองเห็นแสงวาบคล้ายฟ้าแลบหรือแสงแฟลชถ่ายรูปในขณะที่หลับตาหรืออยู่ในที่มืด

  • การมองเห็นจุดดำหรือเส้นสีดำคล้ายเงาหยากไย่ลอยไปมาภายในลูกตา โดยเฉพาะหากมองไปในพื้นที่ที่สว่าง เช่น ขณะมองท้องฟ้าใส หรือผนังสีขาว

  • ตามัวร่วมกับอาการเหมือนมีหมอกบังสายตา หรือเห็นภาพคล้ายม่าน เป็นคลื่นๆ หรือคดงอ

  • หากปล่อยให้จอประสาทตาลอกเป็นอยู่นานๆ ผู้ป่วยอาจเริ่มมองเห็นเงาที่ขอบลานสายตา ซึ่งจะขยายใหญ่ขึ้นจนเต็มลานสายตาภายในไม่กี่วัน

ปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลให้เป็นจอประสาทตาลอก 

จอประสาทตาลอกเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยที่บางครั้งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ มักเกิดขึ้นจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้

  • อายุมากขึ้น น้ำวุ้นตาจะเสื่อมและหดตัว ทำให้เกิดการดึงรั้งจอประสาทตาจนฉีกขาด ซึ่งมักพบในผู้ที่อายุ 50 ปีขึ้นไป

  • พันธุกรรม เช่น คนในครอบครัวมีประวัติเคยเป็นจอตาลอก

  • เคยมีจอประสาทตาลอกในดวงตาข้างหนึ่ง

  • การติดเชื้อหรืออักเสบในลูกตา

  • สายตาสั้นมาก

  • อุบัติเหตุรุนแรงกระทบกระเทือนดวงตา

  • โรคทางตา เช่น ม่านตาอักเสบ หรือจอประสาทตาบางผิดปกติ

  • ผ่าตัดตา เช่น ต้อกระจก ต้อหิน ต้อเนื้อ

  • เนื้องอกหรือมะเร็งในลูกตา

 

กลุ่มคนที่มีโอกาสเสี่ยงเป็นจอประสาทตาลอก

 

กลุ่มคนที่มีโอกาสเสี่ยงเป็นจอประสาทตาลอก

นอกจากปัจจัยเสี่ยงแล้ว ยังมีกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูงในการเกิดจอประสาทตาลอก ได้แก่

  • กลุ่มผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน

  • กลุ่มผู้ที่ละเลยการรักษาสุขอนามัยความสะอาดของดวงตา

  • กลุ่มผู้ที่ทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บของดวงตาเป็นประจำ เช่น การเล่นกีฬา การขับรถโต้ลม

  • ผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับสารเคมีหรือเครื่องจักรโดยไม่ใส่อุปกรณ์ป้องกันดวงตา

 

การวินิจฉัยจอประสาทตาลอก

 

การวินิจฉัยจอประสาทตาลอก

การวินิจฉัยจอประสาทตาลอกที่แม่นยำ ทำได้ดังนี้

  • การตรวจจอประสาทตา แพทย์จะตรวจสอบตาทั้งสองข้างอย่างละเอียด รวมถึงรูม่านตาและสังเกตรอยฉีกขาดหรือการลอกตัวของจอประสาทตา

  • การถ่ายภาพอัลตราซาวนด์ แพทย์อาจใช้การทดสอบนี้หากมีเลือดออกในตา เพื่อประเมินเพิ่มเติม

 

วิธีการรักษาจอประสาทตาลอก มีอะไรบ้าง

 

วิธีการรักษาจอประสาทตาลอก มีอะไรบ้าง 

การรักษาจอประสาทตาลอกมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ ได้แก่

การยิงเลเซอร์ (Argon Laser Photocoagulation)

การฉายแสงเลเซอร์เพื่อรักษาจอประสาทตาลอกจะมุ่งเน้นไปที่บริเวณที่มีรอยฉีกขาดของจอประสาทตา โดยแพทย์จะใช้เลเซอร์เพื่อทำให้เกิดแผลเป็นเล็กๆ รอบรอยฉีกขาด ซึ่งช่วยยึดจอประสาทตาให้อยู่ที่เดิม กระบวนการนี้เริ่มจากการหยอดยาหยอดตาเพื่อขยายรูม่านตา ก่อนจะใช้เลเซอร์ฉายผ่านรูม่านตา เมื่อเสร็จสิ้นการรักษา แพทย์จะให้ยาหยอดตาเพื่อลดอาการบวมและให้คำแนะนำการดูแลหลังการรักษา

การฉีดฟองแก๊ส (Pneumatic Retinopexy)

การรักษาจอประสาทตาลอกด้วยการฉีดแก๊สเข้าสู่วุ้นตาจะใช้เพื่อดันจอประสาทตากลับสู่ตำแหน่งเดิม โดยเฉพาะในกรณีที่มีการฉีกขาดของจอประสาทตา (Rhegmatogenous Retinal Detachment) แก๊สที่ฉีดเข้าไปจะลอยขึ้นไปช่วยดันจอประสาทตาที่หลุดลอก หากการฉีกขาดอยู่บริเวณด้านบนของตา ผู้ป่วยจะต้องอยู่ในท่าคว่ำหรือตะแคงหลังการฉีด เพื่อให้แก๊สลอยขึ้นไปในตำแหน่งที่ต้องการ

การรักษานี้อาจต้องใช้ร่วมกับการใช้เลเซอร์ โดยแพทย์จะยิงเลเซอร์รอบบริเวณที่เกิดการฉีกขาด เพื่อช่วยยึดจอประสาทให้อยู่ที่เดิม และค่อยๆ ลดปริมาณแก๊สเมื่อจอประสาทตาเริ่มติดกัน

การจี้ด้วยความเย็น (Cryopexy)

การใช้เครื่องมือขนาดเล็กที่มีอุณหภูมิเย็นในการรักษาจอประสาทตาลอกนั้นจะช่วยให้เกิดแผลเป็นบริเวณรอบๆ รอยฉีกขาดในจอประสาทตา ช่วยยึดจอประสาทให้อยู่ที่เดิม เครื่องมือนี้จะถูกนำไปแตะที่ตาขาวใกล้กับรอยฉีกขาดที่ตรวจพบ หลังจากนั้นแพทย์จะหยอดยาป้องกันอาการบวมและให้คำแนะนำวิธีการดูแลหลังการรักษา

การผ่าตัดจอประสาทตาลอก

การผ่าตัดรักษาจอประสาทตาลอกทำได้ 2 วิธีดังนี้

  1. ผ่าตัดด้วยการใช้วัสดุหนุนตาขาว (Scleral Buckle) เช่น ยางหรือฟองน้ำซิลิโคน หนุนที่ตาขาวเพื่อดันจอประสาทกลับที่เดิม โดยที่วัสดุไม่ปรากฏภายนอกตาและไม่จำเป็นต้องจัดท่าผู้ป่วยให้อยู่ในท่าคว่ำหน้า

  2. ผ่าตัดวุ้นตาและซ่อมจอตาภายในลูกตาโดยตรง (Pars Plana Vitrectomy – PPV) เทคนิคนี้ใช้ในกรณีจอประสาทตาลอกจากพังผืดดึงรั้ง โดยจะใช้เครื่องมือผ่านตาขาวตำแหน่ง Pars Plana เพื่อดึงน้ำวุ้นตาและตัดพังผืดที่ดึงจอประสาทตาออก ก่อนใช้วิธีอื่นๆ ช่วยให้จอประสาทกลับที่เดิม

แนวทางในการป้องกันจอประสาทตาลอก

การป้องกันเพื่อชะลอการเกิดจอประสาทตาลอก ทำได้หลายวิธีดังนี้

  • สวมอุปกรณ์ปกป้องดวงตาเมื่อทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บ เช่น การเล่นกีฬา หรือทำงานกับเครื่องจักร

  • เข้ารับการตรวจสุขภาพดวงตาอย่างละเอียดประจำปี

  • หากพบอาการคล้ายจอประสาทตาลอก ควรเข้าพบแพทย์โดยเร็ว

  • ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน

  • ควบคุมความดันโลหิตให้เหมาะสมสำหรับผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง

  • ดูแลความสะอาดของดวงตาเพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อหรืออักเสบ

สรุป

จอประสาทตาลอกเกิดขึ้นเมื่อจอประสาทตาหลุดออกจากพื้นผิวตา ซึ่งอาจเกิดจากการฉีกขาดหรือการดึงรั้งของเนื้อจอประสาท ส่งผลให้มองเห็นเบลอหรือเห็นแสงวูบวาบ หากไม่รักษาอาจนำไปสู่การตาบอด ปัจจัยเสี่ยงประกอบด้วยอายุที่มากขึ้น ประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้ สายตาสั้นมาก การบาดเจ็บที่ตา การผ่าตัดตาก่อนหน้า และโรคเบาหวาน

การรักษามีหลายวิธี เช่น การใช้แสงเลเซอร์ การฉีดแก๊สในตา และการผ่าตัด ส่วนการป้องกันทำได้โดยการสวมอุปกรณ์ป้องกันดวงตาในกิจกรรมเสี่ยง การตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ การควบคุมโรคเบาหวานและความดันโลหิต รวมถึงการดูแลความสะอาดของดวงตา

หากคุณมีอาการจอประสาทตาลอก มารับการรักษาได้ที่ ศูนย์รักษาโรคจอประสาทตา Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ที่นี่ให้บริการดูแลและรักษาโรคจอประสาทตาโดยเฉพาะ พร้อมทีมแพทย์ผู้มีประสบการณ์ในการรักษาและฟื้นฟูอาการเกี่ยวกับดวงตา

calling
ติดต่อเรา : +662 511 2111