|
จอประสาทตาเสื่อมเป็นภาวะที่มักพบในกลุ่มผู้สูงอายุ ส่งผลกระทบต่อการมองเห็น ทำให้มองเห็นไม่ชัด มองเห็นเป็นจุดดำ และมองเห็นเป็นแสงจ้า มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้เกิดจอประสาทตาเสื่อมเพื่อดูแลสุขภาพตาและลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต บทความนี้ได้รวบรวมไว้ให้แล้ว
จอประสาทตาเสื่อม (AMD) เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้สูงอายุสูญเสียการมองเห็น โดยโรคนี้เกิดจากความเสื่อมสภาพของร่างกายโดยเฉพาะที่จอประสาทตา ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยสูญเสียการมองเห็นส่วนกลางของภาพ ขณะที่การมองเห็นขอบภาพยังคงปกติ
โรคนี้เกิดจากความเสื่อมของเซลล์ในจุดศูนย์กลางของจอประสาทตา (Macula) ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในการมองเห็น ทำให้การมองเห็นส่วนกลางค่อยๆ เสื่อมไป อาจเริ่มจากภาพตรงกลางที่ไม่ชัดเจน ภาพบิดเบี้ยว หรือสีผิดเพี้ยน จนกระทั่งไม่สามารถมองเห็นภาพตรงกลางได้ในที่สุด โดยจอประสาทตาเสื่อมสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทดังนี้
รูปแบบนี้เป็นรูปแบบที่พบได้บ่อยที่สุด ประมาณ 80-90% เกิดจากการสะสมของเสียที่จอประสาทตา ส่งผลให้เซลล์รับแสงเสื่อมสภาพอย่างช้าๆ ทำให้การมองเห็นลดลงทีละน้อย ซึ่งเป็นผลจากการเสื่อมตามอายุ
จอประสาทตาเสื่อมแบบเปียกพบได้ประมาณ 10-20% แต่มีความรุนแรงมากกว่า เกิดจากการสร้างเส้นเลือดใหม่ที่ผิดปกติใต้จอประสาทตา ซึ่งเส้นเลือดเหล่านี้อาจรั่วหรือแตก ทำให้เกิดการบวมและแผลเป็นที่จอประสาทตา ผู้ป่วยจึงเริ่มมองเห็นภาพตรงกลางบิดเบี้ยวและมืดลง ส่งผลให้การมองเห็นสูญเสียไปอย่างรวดเร็ว และเป็นสาเหตุสำคัญของการตาบอดในกลุ่มผู้สูงวัย
โรคจอประสาทตาเสื่อมส่งผลกระทบต่อการมองเห็นได้อย่างรุนแรง โดยจะมีการแบ่งระยะของอาการจอประสาทตาเสื่อมออกเป็น 3 ระยะ ซึ่งแต่ละระยะจะมีอาการและความรุนแรงที่แตกต่างกันไป ได้แก่
จอประสาทตาเสื่อมระยะแรก จอประสาทตาเสื่อมแบบแห้งอาการเริ่มต้นมักจะไม่ชัดเจน ผู้ป่วยอาจไม่รู้ตัวจนกว่าภาวะเสื่อมจะดำเนินไปในระยะหนึ่ง
จอประสาทตาเสื่อมระยะกลาง ในระยะกลางของจอประสาทตาเสื่อมแบบแห้ง บางคนอาจยังไม่แสดงอาการที่ชัดเจน ขณะที่บางคนอาจเริ่มสังเกตเห็นอาการเล็กน้อย เช่น ภาพเบลอเล็กน้อยในบริเวณศูนย์กลางภาพ หรือพบปัญหาในการมองเห็นในที่มีแสงน้อย
จอประสาทตาเสื่อมระยะสุดท้าย ในระยะสุดท้ายของจอประสาทตาเสื่อม (ทั้งแบบเปียกและแห้ง) มองเห็นภาพเส้นตรงเป็นคลื่นหรือโค้งงอ และบริเวณใกล้ศูนย์กลางภาพอาจเบลอและขยายใหญ่ขึ้น สีภาพอาจไม่สดใสเหมือนเดิม และการมองเห็นในที่แสงน้อยอาจยากขึ้น
จอประสาทตาเสื่อมเป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ การทำความเข้าใจถึงสาเหตุเหล่านี้จะช่วยในการป้องกันและรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ สาเหตุที่พบบ่อยมีดังนี้
อายุที่มากขึ้น โดยพบโรคนี้บ่อยขึ้นในคนที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป
มีประวัติครอบครัวที่เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม ผู้ที่มีญาติสายตรงควรตรวจเช็กจอประสาทตาทุกๆ 2 ปี
พบการเกิดโรคสูงในคนผิวขาว (Caucasian) โดยเฉพาะเพศหญิงที่มีอายุมากกว่า 60 ปี
การดื่มสุราและสูบบุหรี่ก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ได้
ผู้ที่มีความดันเลือดสูงหรือทานยาลดความดันเลือด พร้อมทั้งมีระดับไขมัน (Cholesterol) สูงและระดับ Carotenoid ต่ำในเลือด
ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่ไม่ได้รับฮอร์โมน Estrogen
การสัมผัสกับรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) และแสงสีฟ้าที่มาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟนเป็นระยะเวลานาน
การวินิจฉัยโรคจอประสาทตาเสื่อมเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาและป้องกันการสูญเสียการมองเห็น วิธีการวินิจฉัยโรคนี้มีหลายวิธี ซึ่งสามารถช่วยให้แพทย์ตรวจพบอาการจอประสาทตาเสื่อมได้อย่างแม่นยำ ได้แก่
การตรวจขยายม่านตา แพทย์จะใช้ยาหยอดตา 1-2 ชนิด หยอดทุก 5-10 นาที และให้ผู้ป่วยหลับตาระหว่างนั้น เพื่อให้ยาออกฤทธิ์ การหยอดใช้เวลาประมาณ 45 นาที จนกว่าม่านตาจะขยายเต็มที่ เพื่อช่วยให้ตรวจหาความผิดปกติของจอประสาทตาได้ชัดเจน
การตรวจจอประสาทตา การฉีดสาร Fluorescein เข้าเส้นเลือดดำเพื่อตรวจดูจอประสาทตา ช่วยให้แพทย์สามารถเห็นภาพการเปลี่ยนแปลงในหลอดเลือด ซึ่งเป็นสัญญาณของโรคจอประสาทตาเสื่อม
การสแกนจอประสาทตา แพทย์จะใช้กล้องถ่ายภาพจอประสาทตาหรือวิธี OCT (Optical Coherence Tomography) เพื่อตรวจหาความผิดปกติหรือการเสื่อมของเซลล์ในจอประสาทตา
การรักษาจอประสาทตาเสื่อมมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค โดยแพทย์จะเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละกรณี ดังนี้
วิธีรักษาจอประสาทตาเสื่อมด้วยยาต้าน VEGF (Vascular Endothelial Growth Factor) เป็นการฉีดยาสำหรับรักษาจอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก ซึ่งช่วยยับยั้งการสร้างเส้นเลือดใหม่ที่ผิดปกติ ส่วนการรับประทานวิตามินซี วิตามินอี เบตาแคโรทีน สังกะสี และทองแดง อาจช่วยชะลอการลุกลามของจอประสาทตาเสื่อมแบบแห้งในบางรายได้
ข้อดี ยาฉีดเหมาะกับการรักษาจอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก วิตามินและแร่ธาตุมีราคาถูก และปลอดภัย
ข้อจำกัด ยาฉีดควรฉีดเข้าดวงตาอยู่เสมอและอาจมีผลข้างเคียง วิตามินและแร่ธาตุได้ผลแค่กับเฉพาะบางคน
การฉายเลเซอร์เพื่อรักษาจอประสาทตาเสื่อมมี 2 แบบ ได้แก่ Photodynamic therapy (PDT) ซึ่งใช้เลเซอร์ร่วมกับยาฉีดเพื่อทำลายเส้นเลือดใหม่ที่ผิดปกติ และ Laser photocoagulation ที่ใช้เลเซอร์ในการทำลายเส้นเลือดใหม่ที่ผิดปกติโดยตรง
ข้อดี ทำลายเส้นเลือดใหม่ที่ผิดปกติได้ดี
ข้อจำกัด อาจทำให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่อปกติรอบๆ และไม่สามารถได้ผลกับทุกคน
การผ่าตัดเพื่อรักษาจอประสาทตาเสื่อมมี 2 วิธี ซึ่งแต่ละวิธีจะถูกเลือกใช้ตามลักษณะและความรุนแรงของโรค ดังนี้
ผ่าตัดนำเลือดออก ช่วยเอาเลือดออกจากดวงตา เพื่อลดความดันและป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายถาวรต่อจอประสาทตา
ผ่าตัดปลูกถ่ายจอประสาทตา เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ยังอยู่ในขั้นตอนการทดลอง การรักษานี้มุ่งหวังที่จะช่วยฟื้นฟูการมองเห็นของผู้ป่วย
วิธีการใหม่ในการรักษาจอประสาทตาเสื่อมมีหลายรูปแบบที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มโอกาสในการฟื้นฟูการมองเห็นและชะลอการเสื่อมของจอประสาทตา ดังนี้
ยาฉีดชนิดใหม่ ที่ออกฤทธิ์นานขึ้นมีประโยชน์ในการช่วยลดความถี่ในการฉีด ซึ่งเป็นการทำให้ผู้ป่วยสะดวกสบายมากขึ้นและลดภาระในการเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง
Gene Therapy เป็นการรักษาโดยการใส่ยีนที่ปกติลงในเซลล์จอประสาทตาเพื่อซ่อมแซมความเสียหาย การทำงานของจอประสาทตาและชะลอการเสื่อมของการมองเห็น
Stem Cell Therapy ใช้สเต็มเซลล์เพื่อสร้างเซลล์จอประสาทตาใหม่ ช่วยในการฟื้นฟูเนื้อเยื่อที่เสียหายและคืนการมองเห็นให้กับผู้ป่วย
การป้องกันนี้มีเป้าหมายเพื่อชะลอการเกิดภาวะจอประสาทตาเสื่อมให้ช้าลง ซึ่งประกอบด้วยแนวทางต่างๆ ที่นำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ดังนี้
งดสูบบุหรี่
หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ติดมันและอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง
ควบคุมความดันโลหิตและระดับไขมันในเลือด
ควบคุมน้ำหนักและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผักใบเขียว เนื้อปลา และผลไม้
แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีเบตาแคโรทีน โดยเฉพาะลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) ในปริมาณสูง เช่น แอปเปิล บรอกโคลี ข้าวโพด แตงกวา องุ่น มะม่วง ส้ม ฟักทอง ผักโขม ถั่ว พริก และไข่แดง เป็นต้น
ตรวจสุขภาพและตรวจสุขภาพตาเป็นประจำทุกปี
สวมแว่นตากันแดดที่เคลือบสารป้องกันรังสี UV และใช้ร่มที่สะท้อนรังสี UV เมื่อออกกลางแดด
จอประสาทตาเสื่อมเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้สูงอายุสูญเสียการมองเห็นส่วนกลางของภาพ อาการของจอประสาทตาเสื่อม เช่น การมองเห็นภาพเบลอ มองเห็นจุดดำ หรือมองเห็นเป็นแสงจ้า สาเหตุมักเกิดจากอายุ พันธุกรรม โรคเบาหวาน หรือการสูบบุหรี่ การรักษาจอประสาทตาเสื่อมทำได้หลายวิธีไม่ว่าจะเป็นการฉีดยาเลเซอร์ การใช้ยาต้าน VEGF และการผ่าตัด และเพื่อป้องกันจอประสาทตาเสื่อม ควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ควบคุมสุขภาพ เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อดวงตา และตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ
หากเป็นจอประสาทตาเสื่อม มารับการรักษาได้ที่ ศูนย์รักษาโรคจอประสาทตา Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ที่นี่มีบริการดูแลและรักษาโรคจอประสาทตาอย่างครบวงจร โดยจักษุแพทย์ ราคาแตกต่างกันขึ้นอยู่กับประเภทการรักษา