มุมสุขภาพตา

เรียงตาม

กระจกตาบางเกิดจากอะไร? อาการ ผลกระทบต่อสายตาและวิธีรักษา

กระจกตาบางคือภาวะที่กระจกตาซึ่งเป็นชั้นโปร่งใสด้านหน้าตาของดวงตามีความหนาน้อยกว่าปกติ ส่งผลต่อการมองเห็นและสุขภาพตา กระจกตาบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การเสื่อมตามวัย การขยี้ตาบ่อยๆ โรคทางพันธุกรรม หรือผลข้างเคียงจากการผ่าตัดตา เช่น เลสิก อาการของกระจกตาบางที่สังเกตได้ เช่น ตาพร่ามัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย มองเห็นภาพบิดเบี้ยว และสายตาเอียงสูงผิดปกติ กระจกตาบางคือภาวะที่ความหนาของกระจกตาลดลงกว่าปกติ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการโฟกัสแสงเข้าสู่ดวงตา ทำให้การมองเห็นมีความคมชัด หากกระจกตาบางเกินไป อาจเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสายตา เช่น สายตาผิดปกติ หรือมีผลกระทบต่อการรักษาดวงตาด้วยวิธีต่างๆ เช่น เลสิก การเข้าใจสาเหตุ อาการ และการดูแลกระจกตาบางอย่างถูกต้อง จึงช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและดูแลสุขภาพตาได้ดีขึ้น       กระจกตาคืออะไร? สิ่งสำคัญต่อการมองเห็น กระจกตา (Cornea) คือชั้นโปร่งใสและโค้งอยู่ด้านหน้าสุดของดวงตา ครอบคลุมตาดำ มีหน้าที่ช่วยหักเหแสงให้เข้าสู่ดวงตา ทำให้เรามองเห็นชัดเจน และยังเป็นเกราะป้องกันเชื้อโรคโดยตรง โดยปกติความหนาของกระจกตาจะอยู่ที่ประมาณ 520-550 ไมครอน และสามารถบางลงได้ตามอายุที่เพิ่มขึ้นด้วย       รู้จักกับกระจกตาบาง กระจกตาบางคือลักษณะของกระจกตาที่มีความหนาน้อยกว่า 500 ไมครอน (0.5 มิลลิเมตร) โดยทั่วไปไม่ถือเป็นโรคและไม่ต้องรักษา แต่กระจกตาบางจะส่งผลต่อการวินิจฉัยโรคบางอย่าง เช่น ต้อหิน เพราะทำให้วัดความดันตาต่ำกว่าความจริง รวมถึงส่งผลต่อการเลือกวิธีแก้ไขสายตา เช่น หากผู้ป่วยต้องการทำ LASIK และ มีระดับค่าสายตาที่มีผิดปกติสูง เช่น สั้น หรือ เอียงมาก โดยมีความหนาของกระจกตาน้อย เมื่อเปรียบเทียบกันกับเนื้อกระจกตาที่ต้องใช้ผ่าตัด หลังจากได้รับการตรวจจากผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียด เเพทย์ประเมินแล้วอาจจะไม่สามารถแก้ไขค่าสายตาได้หมด หรืออาจทำให้ กระจกตาเสี่ยงเป็นโรคกระจกตาอื่นๆหลังการแก้ไข เเพทย์อาจประเมินให้ผู้ป่วยทำการรักษาด้วยวิธีการอื่นๆ เช่น PRK ICL FemtoLASIK ReLEx SMILE Pro หรือ NanoLASIK  แทนการทำ LASIK แบบทั่วๆไป ซึ่งเป็นการเเก้ไขที่ใช้หรือรบกวนความหนาของกระจกตาน้อยกว่าเพราะฉะนั้น ก่อนทำเลสิกจึงต้องสังเกตและตรวจประเมินความหนาของกระจกตาอย่างละเอียด เพราะหากบางเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะสายตาเอียงผิดปกติ หรือกระจกตาย้วย ซึ่งส่งผลต่อการมองเห็นได้ นอกจากนี้หลายคนยังสงสัยว่า “ใส่คอนแท็กต์เลนส์ ทำให้กระจกตาบางจริงไหม?” คำตอบคือ โดยทั่วไปการใส่คอนแท็กต์เลนส์อย่างถูกวิธี ไม่ได้ทำให้กระจกตาบางลง แต่หากใส่นานเกินไป ไม่ถอดล้างหรือดูแลอย่างถูกต้อง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเกิดภาวะขาดออกซิเจนที่กระจกตา ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อบางลงได้เช่นกัน       กระจกตาบางเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง? กระจกตาบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ การเข้าใจสาเหตุเหล่านี้ช่วยให้สามารถป้องกันและดูแลสุขภาพตาได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น โดยสาเหตุที่พบได้บ่อย มีดังนี้   โรคทางพันธุกรรม แม้ว่าภาวะกระจกตาบางมักเกิดจากพฤติกรรมบางอย่าง แต่ในบางกรณี ความผิดปกตินี้อาจมีสาเหตุจากโรคพันธุกรรมที่ถ่ายทอดภายในครอบครัว หนึ่งในโรคที่พบบ่อย คือ กระจกตาย้วย (Keratoconus) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของภาวะกระจกตาบาง กระจกตาจะบางลงและโป่งยื่นออกมาคล้ายรูปกรวย ทำให้สายตาเอียงผิดปกติ และการมองเห็นแย่ลงเรื้อรัง มักเริ่มแสดงอาการในช่วงวัยรุ่นถึงอายุ 30 ปี โรคกระจกตาบางจากพันธุกรรมอื่นๆ (Corneal Dystrophies) เช่น Pellucid Marginal Degeneration (PMD) ซึ่งกระจกตาจะบางลงบริเวณขอบด้านล่าง   การบาดเจ็บหรือการผ่าตัดตา การผ่าตัดแก้ไขสายตาบางประเภท เช่น การทำเลสิก (LASIK) หรือ PRK อาจส่งผลให้กระจกตาบางลงได้ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการเลเซอร์เนื้อกระจกตา ออกไปมากเกินความจำเป็น ทำให้ความหนาของกระจกตาที่เหลืออยู่ไม่เพียงพอ เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น กระจกตาย้วยในอนาคต นอกจากนี้การบาดเจ็บที่กระจกตาซ้ำๆ รวมถึงการติดเชื้อที่รุนแรง เช่น แผลที่กระจกตาหรือกระจกตาอักเสบ ก็สามารถทำลายเนื้อเยื่อกระจกตาและทำให้เกิดการบางลงได้เช่นกัน โดยเฉพาะหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที   โรคอื่นๆ หรือการใช้ยา โรคทางภูมิคุ้มกันบางชนิด เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) หรือโรคเอสแอลอี (SLE) อาจส่งผลกระทบต่อกระจกตา ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และนำไปสู่ภาวะกระจกตาบางได้ในระยะยาว เนื่องจากภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเนื้อเยื่อของตาเอง ในขณะเดียวกัน การใช้ยาหยอดตาบางชนิด โดยเฉพาะยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ หากใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจมีผลข้างเคียงต่อโครงสร้างของกระจกตา ทำให้เนื้อเยื่อกระจกตาอ่อนแอและบางลงได้เช่นกัน       อาการของภาวะกระจกตาบาง ภาวะกระจกตาบางมักพัฒนาอย่างช้าๆ จนอาจไม่สังเกตเห็นได้ในระยะแรก การเรียนรู้ที่จะสังเกตอาการเบื้องต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรักษาได้อย่างทันท่วงที โดยอาการที่อาจพบมีดังนี้ การมองเห็นพร่ามัวหรือไม่ชัดเจน ค่าสายตาเปลี่ยนแปลงบ่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ มีค่าสายตาเอียงสูงกว่าปกติ มองเห็นภาพบิดเบี้ยว หรือมีลักษณะผิดรูปจากความจริง       วิธีการตรวจและวินิจฉัยกระจกตาบาง โดยปกติแล้วภาวะกระจกตาบางมักถูกตรวจพบในขั้นตอนการประเมินสายตาก่อนทำเลสิก ซึ่งแพทย์จะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Keratometerตรวจวัดความโค้งของกระจกตาและค่าสายตาเอียง โดยการสะท้อนแสงบนกระจกตาเพื่อตรวจหารูปร่างและความโค้งที่ผิดปกติ ซึ่งความโค้งที่ผิดปกตินี้ อาจสัมพันธ์กับความบางของกระจกตา นอกจากนั้นยังมีการตรวจ Corneal Tophography หรือแผนภูมิดวงตาเพื่อประเมินค่าความหนาบางและความผิดปกติของกระจกตาอื่นๆด้วย โดยอาจจะมีการวัด Tomographic Biomechanical Index หรือ ค่าความเเข็งเเรงของกระจกตา เสริมเพื่อตรวจความเสี่ยงของโรค Corneal Ectasia หรือโรคกระจกตาโป้งอีกด้วย แม้ว่าจะสามารถสังเกตอาการเบื้องต้นได้ เช่น มองเห็นไม่ชัดหรือค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย แต่การวินิจฉัยว่ามีกระจกตาบางจริงหรือไม่นั้น ต้องอาศัยการตรวจโดยจักษุแพทย์เท่านั้น เพราะการสังเกตอาการด้วยตนเองเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น ไม่สามารถยืนยันผลได้ ดังนั้นหากสงสัยว่าตนเองมีกระจกตาบาง ควรเข้ารับการตรวจอย่างละเอียดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวางแผนการดูแลและรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้น   สรุป กระจกตาบางเป็นภาวะที่หลายคนไม่รู้ตัว แต่สามารถส่งผลกระทบต่อการมองเห็น เช่น ตาพร่ามัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย หรือภาพบิดเบี้ยว ซึ่งอาจเกิดจากพันธุกรรม โรคภูมิคุ้มกัน การผ่าตัดแก้ไขสายตา หรือการใช้ยาบางชนิด การตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกจึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่วางแผนทำเลสิก ควรเข้ารับการตรวจวัดความหนาและความโค้งของกระจกตาอย่างละเอียดที่ Bangkok Eye Hospital ด้วยเครื่องมือทันสมัยและแพทย์เฉพาะทาง เพื่อป้องกันและดูแลสุขภาพดวงตาได้อย่างมั่นใจ   คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกระจกตาบาง (FAQ) หลายคนที่เพิ่งเคยได้ยินเกี่ยวกับภาวะกระจกตาบางอาจมีข้อสงสัยมากมาย เพื่อช่วยให้เข้าใจมากขึ้น เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาวะกระจกตาบาง พร้อมคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญมาฝากกันในบทความนี้   ทำอย่างไรให้กระจกตาหนาขึ้น ความหนาของกระจกตาไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากเป็นความผิดปกติที่เกิดจากโครงสร้างภายในชั้นกระจกตาเอง   ถ้าปล่อยให้กระจกตาบางแล้วไม่รักษา จะเป็นอย่างไร? สายตาพร่ามัวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถแก้ไขด้วยแว่นหรือคอนแท็กต์เลนส์ปกติได้ กระจกตาโป่งยื่นออกมามากผิดปกติ ทำให้การมองเห็นแย่ลงอย่างถาวร ในบางกรณีรุนแรงมาก อาจเกิดภาวะกระจกตาบวมน้ำฉับพลัน (Acute Hydrops) หรือกระจกตาทะลุ ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินและอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้หากไม่ได้รับการปลูกถ่ายกระจกตา   สามารถป้องกันภาวะกระจกตาบางได้ไหม หลีกเลี่ยงการขยี้ตาแรงๆ เพราะการขยี้ตาเป็นประจำและรุนแรงสามารถทำให้กระจกตาบางลงและเป็นตัวกระตุ้นให้โรคกระจกตาย้วยแย่ลง ดูแลสุขภาพตาโดยรวม เช่น ไม่ใช้คอนแท็กต์เลนส์นานเกินไป และรักษาความสะอาดของดวงตา พบจักษุแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคเกี่ยวกับกระจกตา เพื่อให้สามารถวินิจฉัยและเริ่มการรักษาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะให้ผลลัพธ์การรักษาที่ดีกว่า  
อ่านเพิ่มเติม
ศูนย์รักษากระจกตา

ตาแห้งมีอาการอย่างไร วิธีรักษา ป้องกัน และพฤติกรรมที่ช่วยลดอาการตาแห้ง

อาการตาแห้ง คือภาวะตาขาดความชุ่มชื้นเพราะการผลิตน้ำตาน้อยเกินไปหรือคุณภาพน้ำตาไม่ดี ทำให้เกิดอาการระคายเคืองและไม่สบายตาได้ ตาแห้งเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น อายุที่มากขึ้นทำให้การผลิตน้ำตาน้อยลง การสวมใส่คอนแท็กต์เลนส์นานเกินไป การจ้องจอคอมพิวเตอร์นานๆ รวมถึงผลข้างเคียงจากยาบางชนิด การรักษาตาแห้งทำได้หลายวิธี เช่น ยาหยอดตา น้ำตาเทียม การประคบอุ่น และการรักษาด้วยยาลดการอักเสบ รักษาอาการตาแห้งที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ได้รับการดูแลจากจักษุแพทย์ พร้อมเทคโนโลยีทันสมัยและการรักษาที่เหมาะสมกับอาการ   ตาแห้งเป็นโรคที่ทำให้ตารู้สึกแห้งและระคายเคือง เนื่องจากการผลิตน้ำตาลดลงหรือคุณภาพของน้ำตาไม่ดีพอ ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย หากดูแลอย่างถูกวิธี จะช่วยลดอาการและป้องกันภาวะตาแห้งในระยะยาว มาหาสาเหตุของอาการตาแห้ง วิธีรักษา รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันอาการตาแห้งได้ในบทความนี้     อาการตาแห้ง คืออะไร? ก่อนทำความรู้จักกับอาการตาแห้ง ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ‘น้ำตา’ กันก่อน โดยน้ำตามีความสำคัญต่อดวงตา เป็นตัวช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา ทำให้มองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวได้อย่างชัดเจน หล่อเลี้ยงเลี้ยงกระจกตาด้วยออกซิเจน และป้องกันการติดเชื้อและสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้ามาทำร้ายดวงตา ตาแห้ง เป็นอาการที่ปริมาณน้ำตาที่เข้ามาหล่อเลี้ยงผิวตามีไม่เพียงพอส่งผลให้ผิวตาอักเสบได้ โดยอาการของตาแห้งอาจเริ่มจากการแสบตา หรือรู้สึกระคายเคืองเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในตา รวมถึงอาจพบอาการตาแดง เจ็บ หรือมีการพร่ามัวที่ดีขึ้นเมื่อกะพริบตา นอกจากนี้ยังอาจรู้สึกฝืดๆ หนักๆ ที่ตา หรือลืมตาลำบาก และบางครั้งอาจมีอาการตาล้าหรือมีน้ำตาไหลมากผิดปกติ     ทำไมถึงมีอาการตาแห้งได้ ตาแห้งเป็นปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อความสบายของดวงตาและการมองเห็น โดยเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่ พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟนเป็นเวลานานเกินไป อาการภูมิแพ้ที่ตาซึ่งอาจเกิดจากสิ่งแวดล้อมที่มีฝุ่น ควัน หรือมลภาวะ อยู่ในที่ร้อน ลมแรง หรือความชื้นต่ำ ความผิดปกติของต่อมไขมันขอบตา การพบตัวไร (Demodex blepharitis) บริเวณโคนขนตา ซึ่งเกิดจากการอักเสบของต่อมน้ำตา การใช้ยาบางประเภท เช่น ยาคุมกำเนิด ยาแก้แพ้ ยาต้านซึมเศร้า ยาลดความดันโลหิตบางชนิด ฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล โดยเฉพาะในเพศหญิงที่อาจทำให้คุณภาพของน้ำตาลดลง     อาการตาแห้งเกิดจากอะไร มีปัจจัยอะไรบ้าง ปัจจัยที่ส่งผลต่อการผลิตน้ำตาหรือการทำงานของต่อมน้ำตา หากมีลักษณะดังต่อไปนี้ จะทำให้เกิดอาการตาแห้งได้ง่ายขึ้น สร้างน้ำตาได้น้อยกว่าปกติ  (Aqueous Tear Deficiency) กลุ่มคนที่มีความผิดปกติหรือปัจจัยที่ส่งผลให้สามารถสร้างน้ำตาได้น้อย ได้แก่   กลุ่มคนที่เป็นโรค Sjogren’s Syndrome โรครูมาตอยด์ โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือภาวะที่ไม่พบสาเหตุชัดเจน เช่น Primary Sjogren’s Syndrome กลุ่มคนที่ไม่เป็นโรค Sjogren’s Syndrome เช่น ต่อมน้ำตาทำงานผิดปกติตั้งแต่เกิด โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง การแพ้ยารุนแรง หรือการอักเสบที่ทำให้ท่อน้ำตาตัน กลุ่มคนที่ฮอร์โมนเปลี่ยน มักพบในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่ส่งผลให้การผลิตน้ำตาและสารคัดหลั่งอื่นๆ ในร่างกายลดลง การกินยาบางประเภท เช่น ยาแก้หวัด ยาแก้แพ้ ยาลดความดันโลหิต หรือยาคลายเครียดบางชนิด ที่มีสารกันเสียเป็นส่วนประกอบ อาจทำให้ตาแห้งมากขึ้น เนื่องจากสารเหล่านี้สามารถลดการผลิตน้ำตาได้ น้ำตาระเหยเร็ว (Evaporative Dry Eyes)  ปัจจัยที่ส่งผลให้การระเหยของน้ำตาเกิดขึ้นเร็วกว่าปกติ ได้แก่   ต่อมไขมันที่เปลือกตาทำงานผิดปกติ เปลือกตาอักเสบที่เกิดจากความผิดปกติของชั้นไขมัน จะทำให้การสร้างน้ำตาชั้นน้ำมันลดลง ซึ่งทำให้เกิดการระเหยของน้ำตาได้เร็วขึ้น ความผิดปกติของเปลือกตา การปิดตาไม่สนิทหรือการกะพริบตาน้อยผิดปกติ ซึ่งทำให้การกระจายน้ำตาผิดปกติ และเพิ่มการระเหยของน้ำตา โดนสารเคมีหรือแพ้ยารุนแรง การอักเสบของเยื่อบุตาอาจทำให้เกิดแผลเป็น ซึ่งส่งผลต่อการสร้างน้ำตาชั้นเมือกที่ติดกับกระจกตา ทำให้การสร้างน้ำตาผิดปกติ การใช้สายตามาก พบมากในวัยทำงานจากพฤติกรรมจ้องจอคอมพิวเตอร์นานๆ โดยไม่ค่อยกะพริบตา และการใส่คอนแท็กต์เลนส์ที่ดูดน้ำออกจากดวงตา ทำให้การผลิตน้ำตาลดลงและน้ำตาระเหยเร็ว     วิธีรักษาหรือวิธีแก้โรคตาแห้ง วิธีรักษาโรคตาแห้งจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและอาการของแต่ละบุคคล โดยใช้วิธีต่างๆ รวมทั้งการใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการ ดังนี้ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ตาแห้ง ควรหลีกเลี่ยงการโดนลมแรง ฝุ่นควัน หรือแสงจ้า โดยการใส่แว่นกันแดดและแว่นกันลม เพื่อป้องกันสิ่งแวดล้อมที่อาจทำให้ตาแห้งขึ้น นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงการใส่คอนแท็กต์เลนส์เป็นเวลานานๆ เพื่อไม่ให้สูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงจากดวงตาที่อาจทำให้อาการตาแห้งแย่ลงได้ ใช้น้ำตาเทียม ในการรักษาอาการตาแห้ง น้ำตาเทียมเป็นตัวช่วยที่ดี โดยมี 2 ชนิดให้เลือกใช้ ได้แก่   น้ำตาเทียมที่มีสารกันเสีย ในรูปแบบขวด ควรใช้ไม่เกิน 4-5 ครั้งต่อวัน อาจแบ่งการใช้ยาเพิ่มน้ำตาตามช่วงเวลาของวัน เช่น เช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน ซึ่งเหมาะสำหรับอาการตาแห้งที่ไม่รุนแรง น้ำตาเทียมที่ไม่มีสารกันเสีย แบบกระเปาะ เปิดแล้วมีอายุ 24 ชั่วโมง หรือขวดที่มีระบบวาล์วพิเศษใช้ได้นาน 6 เดือน ใช้บ่อยได้ตามต้องการ เช่น ทุก 1-2 ชั่วโมง เหมาะกับผู้ที่มีอาการตาแห้งรุนแรง  ใช้ยาหยอดตาเพิ่มปริมาณน้ำตา มียาหยอดตาที่ช่วยเพิ่มน้ำตาและรักษาอาการตาแห้งได้ โดยแต่ละชนิดจะช่วยรักษาตามอาการที่แตกต่างกัน ดังนี้   ยา Diquafosol ช่วยเพิ่มการสร้างน้ำตาชั้นเมือกและชั้นน้ำเพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ดวงตาและลดอาการแห้ง ยาปฏิชีวนะ Doxycycline ยาลดการอักเสบของเปลือกตาช่วยลดการอักเสบและอาการระคายเคืองที่เกิดจากตาแห้ง ยากลุ่ม Steroids โดยยานี้ช่วยบรรเทาการอักเสบของผิวตาและลดอาการระคายเคืองที่เกิดจากการขาดน้ำตา ยา Cyclosporine ยากดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressant) ชนิดหยอดตา ช่วยลดการอักเสบในตาและเพิ่มการผลิตน้ำตา โดยการปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ซึ่งสามารถช่วยลดอาการตาแห้งได้ การทำความสะอาดเปลือกตา การทำความสะอาดเปลือกตาและประคบอุ่นด้วยแชมพูเด็กผสมเจือจางหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเปลือกตาช่วยลดการอุดตันของต่อมไขมันในเปลือกตา ทำให้ชั้นไขมันที่เคลือบน้ำตาทำงานได้ดีขึ้น ช่วยป้องกันน้ำตาระเหยเร็วและลดอาการตาแห้ง ใช้ Autologous Serum การรักษาอาการตาแห้งชนิดรุนแรงโดยใช้สารที่ช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อทำได้โดยการเจาะเลือดจากผู้ป่วยไปปั่นแยกเป็น Serum และนำมาหยอดร่วมกับการใช้น้ำตาเทียม ซึ่งจะช่วยลดการอักเสบของเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ และส่งเสริมการฟื้นตัวของเนื้อเยื่อให้กลับสู่สภาพปกติได้ดีขึ้น การอุดท่อระบายน้ำตาที่หัวตา (Punctal Plug) การรักษาอาการตาแห้งที่รุนแรงทำได้โดยการอุดช่องทางที่น้ำตาไหลออกจากตา (Punctum) ซึ่งมีทั้งชนิดอุดชั่วคราวและชนิดอุดถาวร โดยการใส่ Silicone Plug หรือ Punctal Cautery ซึ่งเป็นการจี้บริเวณช่องทางที่น้ำตาระบายออกจากตา วิธีนี้ช่วยให้ดวงตาเก็บน้ำตาไว้ได้นานขึ้น ลดการระเหยของน้ำตา และช่วยบรรเทาอาการตาแห้งได้ในกรณีที่อาการรุนแรงมาก     การปรับพฤติกรรมเพื่อป้องกันอาการตาแห้ง การป้องกันอาการตาแห้งทำได้ง่ายๆ ด้วยการปรับพฤติกรรมบางอย่างในชีวิตประจำวัน ดังนี้    หยุดพักจากการใช้งานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือมือถือทุกๆ 20 นาที โดยการหลับตาสัก 20 วินาที หรือมองสิ่งที่อยู่ไกลประมาณ 20 ฟุต เพื่อให้ตาได้พักและผ่อนคลาย งดการใช้คอนแท็กต์เลนส์ต่อเนื่อง ควรสลับใส่แว่นในระหว่างวันเพื่อให้ดวงตาได้พัก ใช้งานคอมพิวเตอร์หรือมือถือในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ เพื่อช่วยลดความเครียดของดวงตา เตือนตัวเองให้กะพริบตาบ่อยๆ เพื่อให้น้ำตาเคลือบตาและช่วยลดการระเหยของน้ำตา หากอยู่ในที่ที่มีอากาศแห้ง ร้อน หรือมีลมแรง ควรสวมแว่นกันแดดกันลมเพื่อปกป้องตาจากสภาพแวดล้อม กินอาหารที่ครบทุกหมู่ โดยเฉพาะผัก ผลไม้ ปลา หรืออาหารที่มีโอเมกา 3 ซึ่งช่วยต้านอนุมูลอิสระและลดการอักเสบของตา  ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อวัน สรุป ตาแห้งคืออาการที่น้ำตาผลิตไม่เพียงพอหรือระเหยเร็วเกินไป ทำให้ดวงตารู้สึกแห้ง ระคายเคือง และอาจเกิดการอักเสบได้ รักษาได้หลายวิธี เช่น ใช้น้ำตาเทียม ประคบอุ่น ใช้ยาเพื่อเพิ่มการสร้างน้ำตาหรือลดการอักเสบ และป้องกันตาแห้งได้ด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้ดวงตา รวมถึงการใช้ยาเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของดวงตา  สำหรับผู้ที่มีอาการตาแห้งรุนแรง รับการรักษาได้ที่ ศูนย์โรคจักษุประสาทวิทยา Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ซึ่งให้การดูแลปัญหาตาแห้งที่ส่งผลต่อการมองเห็นและระบบประสาท โดยจักษุแพทย์ในการวินิจฉัยและรักษาภาวะตาแห้งอย่างครบวงจร

ทำเลสิกแล้วสายตากลับมาสั้นอีก สาเหตุ แนวทางแก้ไข และข้อควรรู้

แม้ทำเลสิกแล้วสายตาสั้นอีกได้ หากค่าสายตายังไม่คงที่ หรือเกิดภาวะ Regression หลังการรักษา เหตุผลหรือปัจจัยที่ทำให้สายตากลับมาสั้นอีกหลังทำเลสิก ได้แก่ สายตาเปลี่ยนไปจากปกติ การตอบสนองของร่างกาย สายตาที่ยังไม่คงที่ก่อนผ่าตัด สายตาสั้นรุนแรง และโรคประจำตัว เป็นต้น วิธีแก้ไขเมื่อทำเลสิกแล้วสายตากลับมาสั้นอีก ได้แก่ การทำเลสิกซ้ำ (หากกระจกตายังหนาพอ) ใส่แว่นหรือคอนแท็กต์เลนส์ และในบางกรณีอาจพิจารณาการใส่เลนส์เสริม ICL แทน หลายคนที่เคยทำเลสิกอาจรู้สึกผิดหวังเมื่อพบว่าทำเลสิกแล้วสายตาสั้นอีกครั้ง ทั้งที่เคยมองเห็นชัดเจนในช่วงแรกหลังผ่าตัด ปัญหานี้อาจสร้างความกังวลใจและตั้งคำถามว่าเกิดจากอะไร? จำเป็นต้องทำเลสิกซ้ำหรือไม่? หรือมีวิธีอื่นในการแก้ไข? บทความนี้จะพาไปเจาะลึกถึงสาเหตุของสายตาสั้นซ้ำหลังเลสิก พร้อมแนะนำแนวทางแก้ไขที่เหมาะสม และข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจแก้ปัญหาอย่างปลอดภัย   ทำเลสิกมีโอกาสสายตาสั้นอีกได้ไหม? ค่าสายตาที่กลับมาอีกหลังหรือทำเลสิกแล้วสายตาสั้นอีกเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้น้อย และไม่ได้อันตรายอย่างที่หลายคนกังวล การเปรียบเทียบง่ายๆ คือเหมือนเวลาถูกมีดบาด แผลของแต่ละคนจะหายเร็วหรือช้าต่างกัน แม้จะโดนในจุดเดียวกัน ลึกเท่ากัน เพราะร่างกายแต่ละคนมีธรรมชาติที่แตกต่างกัน เช่นเดียวกับกระบวนการหายของกระจกตาหลังเลเซอร์ ในทางเลสิกคนส่วนใหญ่มักจะไม่มีการกลับมาของค่าสายตา แต่ในบางกรณี โดยเฉพาะผู้ที่มีค่าสายตาสั้นมาก (เกิน 800) หรือสายตาเอียงมาก (เกิน 200) อาจมีโอกาสที่ค่าสายตาจะกลับมาเล็กน้อยได้ในระยะยาว เช่น ประมาณ 100 ภายใน 10 ปี ซึ่งส่วนใหญ่ไม่กระทบต่อการใช้ชีวิต เพราะยังสามารถมองเห็นได้ชัดเจน และหลายครั้งยังชัดกว่าตอนที่ใช้แว่นเดิมด้วยซ้ำ ที่น่าสนใจคือการมีค่าสายตากลับมาบ้างเล็กน้อยในช่วงหลังวัย 40 อาจกลายเป็นข้อดี เพราะช่วยให้มองใกล้ได้ง่ายขึ้น เช่น การอ่านหนังสือหรือดูมือถือ โดยไม่ต้องพึ่งแว่นสายตายาวมากนัก สำหรับคำถามที่ว่า ทำเลสิกอยู่ได้นานกี่ปี ส่วนใหญ่ผลลัพธ์จะคงทนหลายปี แต่ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลและการเปลี่ยนแปลงของสายตาตามวัย     ทำไมสายตาถึงกลับมาสั้นอีกหลังทำเลสิก? ภาวะสายตากลับมาสั้นอีกหลังทำเลสิกไม่ได้หมายความว่าการผ่าตัดล้มเหลวเสมอไป แต่เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อสายตาหลังการรักษา ดังนี้   ภาวะที่สายตาเปลี่ยนแปลงไปจากปกติ ในผู้ที่ทำเลสิกแล้วสายตาสั้นอีก ขณะที่สายตายังสั้นขึ้นเรื่อยๆ หรือยังไม่คงที่ สายตาอาจกลับมาสั้นอีกตามธรรมชาติเมื่อเวลาผ่านไป แม้จะได้รับการแก้ไขด้วยเลสิกแล้วก็ตาม โดยเฉพาะในกลุ่มคนอายุน้อยหรือผู้ที่มีการเปลี่ยนแปลงของสายตาอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นเหตุผลที่แพทย์ส่วนใหญ่จะแนะนำให้รอจนกว่าสายตาจะคงที่อย่างน้อย 1-2 ปีก่อนที่จะทำเลสิก เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดโอกาสการกลับมาของสายตาสั้น   การตอบสนองของร่างกาย กระจกตาของแต่ละคนมีการตอบสนองต่อการผ่าตัดไม่เหมือนกัน บางรายอาจสร้างเนื้อเยื่อใหม่บริเวณที่เจียระไนออกไปมากเกินไป (Epithelial Hyperplasia) หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพ ทำให้ความโค้งของกระจกตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ส่งผลให้ทำเลสิกแล้วสายตาสั้นอีกได้ โดยการฟื้นตัวและปฏิกิริยาของเนื้อเยื่อจะแตกต่างกันในแต่ละบุคคล   ประเมินค่าสายตาผิดพลาด หากวัดค่าสายตาเริ่มต้นก่อนการผ่าตัดคลาดเคลื่อนเล็กน้อย หรือการคำนวณกำลังเลเซอร์ไม่แม่นยำ อาจทำให้การแก้ไขสายตาไม่สมบูรณ์ตั้งแต่แรก ส่งผลให้เกิดปัญหาทำเลสิกแล้วสายตาสั้นอีกได้ในภายหลัง ซึ่งความแม่นยำในการตรวจประเมินก่อนผ่าตัดจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผลลัพธ์ที่ดีและยั่งยืน   สายตาสั้นรุนแรงตั้งแต่แรก ผู้ที่มีปัญหาสายตาสั้นในระดับรุนแรงมาก การทำเลสิกอาจต้องเจียระไนเนื้อกระจกตาออกในปริมาณมาก ซึ่งเพิ่มโอกาสให้เกิดปัญหาทำเลสิกแล้วสายตาสั้นอีก มากกว่าผู้ที่มีสายตาสั้นน้อย ดังนั้นการใช้เทคนิคผ่าตัดที่เหมาะสม หรือพิจารณาทางเลือกอื่น เช่น PRK หรือ ICL อาจจำเป็นในบางกรณีเพื่อผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและยั่งยืน   ปัจจัยอื่นๆ นอกจากสาเหตุหลักๆ แล้ว ยังมีปัจจัยอื่นที่อาจส่งผลให้เกิดปัญหาเลสิกแล้วสายตาสั้นอีกได้ ซึ่งการทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ที่สนใจทำเลสิกเตรียมตัวและเลือกแนวทางรักษาได้เหมาะสมมากขึ้น เช่น การตั้งครรภ์หรือการให้นมบุตร ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงอาจทำให้ค่าสายตาเปลี่ยนได้ โรคประจำตัวบางชนิด เช่น เบาหวาน ที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ดี อาจส่งผลต่อการมองเห็น การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาสเตียรอยด์ หรือยาต้านซึมเศร้า อาจมีผลข้างเคียงต่อสายตา   แนวทางและวิธีถนอมสายตาหลังทำเลสิก หลังทำเลสิก การดูแลและถนอมสายตาอย่างเหมาะสมเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อรักษาผลลัพธ์ให้อยู่ได้นาน และช่วยป้องกันไม่ให้สายตากลับมาสั้นอีก ส่วนนี้จะแนะนำแนวทางและวิธีถนอมสายตาหลังทำเลสิก เพื่อช่วยรักษาผลลัพธ์และดูแลดวงตาให้แข็งแรงในระยะยาว   วิธีถนอมสายตาหลังทำเลสิกคืนแรก ในคืนแรกหลังการผ่าตัดเลสิก ผู้ป่วยมักจะรู้สึกเคืองตา อาการน้ำตาไหลอาจมีมากหรือน้อยแตกต่างกันไปในแต่ละคน ทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น ทำเลสิกแล้วสายตาสั้นอีก ควรปฏิบัติตามคำแนะนำสำหรับการดูแลตัวเองในคืนแรก ดังนี้ คนไข้ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ แต่สามารถลืมตาทำกิจวัตรที่จำเป็นได้ โดยมองผ่านรูเล็กๆ ของฝาครอบตา หากผ่าตัดตอนกลางวัน ควรนอนหลับสั้นๆ อย่างน้อย 2-3 ชั่วโมงหลังผ่าตัด หากผ่าตัดตอนเย็น ควรเข้านอนแต่หัวค่ำ และรับประทานยานอนหลับอ่อนๆ ที่แพทย์ให้หลังอาหารเย็น หลังผ่าตัดจะได้รับการปิดฝาครอบตาข้างที่ผ่าตัด ซึ่งเป็นฝาครอบใสมีรูเล็กๆ ให้มองลอดได้ ห้ามแกะฝาครอบตาเด็ดขาด ยกเว้นแพทย์สั่งให้เปิดหยอดยาเอง เพื่อป้องกันการขยี้ตา หากน้ำตาไหลมาก ควรซับน้ำตานอกฝาครอบตาเท่านั้น หากฝาครอบตาไม่แน่น ควรติดพลาสเตอร์เพิ่มเพื่อความปลอดภัย สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ แต่ต้องระวัง ห้ามให้น้ำเข้าตาเด็ดขาด ไม่ควรล้างหน้าด้วยน้ำ สามารถใช้ผ้าเช็ดหน้าแทนได้ แต่สามารถอาบน้ำและแปรงฟันได้ตามปกติ   วิธีถนอมสายตาหลังทำเลสิกสัปดาห์แรก ในช่วงสัปดาห์แรกหลังทำเลสิก การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญเพื่อช่วยให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างราบรื่นและป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆ โดยมีข้อควรปฏิบัติที่ควรรู้ ดังนี้ หยอดยาป้องกันการติดเชื้อและน้ำตาเทียม โดยสามารถหยอดน้ำตาเทียมได้บ่อยตามต้องการ ปิดฝาครอบตาก่อนนอน เพื่อป้องกันไม่ให้เผลอขยี้ตา ระมัดระวังไม่ให้น้ำหรือฝุ่นละอองเข้าตา ห้ามขยี้ตาเด็ดขาด งดแต่งหน้า โดยเฉพาะบริเวณรอบดวงตา อย่างน้อย 2 สัปดาห์ ควรใส่แว่นกันแดดเมื่อต้องอยู่ในที่ที่มีแสงจ้า เพื่อลดอาการเคืองและแสบตา เพราะการมองเห็นอาจยังไม่คงที่ เนื่องจากอาจมีอาการตาแห้ง หลังตรวจตาเมื่อครบ 1 สัปดาห์ จะอนุญาตให้ล้างหน้าและสระผมโดยไม่ต้องใส่ฝาครอบตาก่อนนอน สามารถว่ายน้ำได้หลังทำเลสิกประมาณ 2 สัปดาห์     วิธีแก้ไขเมื่อทำเลสิกแล้วสายตากลับมาสั้นอีก? เมื่อพบว่าสายตากลับมาสั้นอีกหลังทำเลสิก แพทย์จะทำการตรวจประเมินอย่างละเอียดเพื่อหาสาเหตุและพิจารณาแนวทางแก้ไขที่เหมาะสม เช่น   การใส่แว่นหรือคอนแทคเลนส์ การใส่แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์เป็นทางเลือกที่ง่ายและปลอดภัยที่สุด สำหรับผู้ที่ทำเลสิกแล้วสายตาสั้นอีก เล็กน้อย และไม่ต้องการผ่าตัดซ้ำ เพราะวิธีนี้ไม่เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน และยังช่วยให้การมองเห็นชัดเจนขึ้นโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการผ่าตัดเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามค่าสายตาที่เปลี่ยนไปตามเวลา ทำให้เหมาะกับผู้ที่ต้องการความสะดวกและปลอดภัยในระยะยาว   การทำเลสิกซ้ำ (Re-LASIK หรือ Enhancement) วิธีนี้นิยมใช้เมื่อกระจกตายังมีความหนาเพียงพอและไม่พบความผิดปกติอื่นๆ แพทย์จะทำการยกเปิดฝากระจกตาเดิม หากยังสามารถทำได้หรือสร้างฝากระจกตาใหม่ จากนั้นใช้เลเซอร์เจียระไนเนื้อกระจกตาเพิ่มเติมเพื่อแก้ไขค่าสายตาที่ยังเหลืออยู่ สำหรับคำถามที่ว่า ทำเลสิกแล้วสามารถทำซ้ำได้ไหม คำตอบคือ สามารถทำได้ในบางกรณี แต่ต้องพิจารณาความเสี่ยง เช่น โอกาสเกิดอาการตาแห้งมากขึ้น หรือภาวะกระจกตาบางเกินไปในระยะยาว จึงควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ   การทำ PRK (Photorefractive Keratectomy) อีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่มีความหนากระจกตาบางเกินไปจนไม่เหมาะกับการทำเลสิกซ้ำ หรือในกรณีที่ไม่สามารถยกเปิดฝากระจกตาเดิมได้ คือการทำ PRK ซึ่งจะไม่สร้างฝากระจกตา แต่จะเจียระไนเนื้อกระจกตาโดยตรงบนผิวหน้าของกระจกตา อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวหลังทำ PRK อาจใช้เวลานานกว่าเลสิก และอาจมีอาการเจ็บปวดในช่วงแรก จึงควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนเลือกวิธีนี้   การใส่เลนส์เสริม (ICL - Implantable Collamer Lens) การใส่เลนส์เทียมในลูกตาเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่มีสายตาสั้นรุนแรงมาก หรือมีข้อจำกัดในการทำเลสิกหรือ PRK ซ้ำ เช่น กรณีกระจกตาบางเกินไป วิธีนี้คือการผ่าตัดนำเลนส์เทียมใส่เข้าไปในดวงตาเพื่อช่วยแก้ไขค่าสายตา โดยเป็นการผ่าตัดที่ซับซ้อนกว่าเลสิกและมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ   สรุป แม้การทำเลสิกจะช่วยแก้ไขสายตาสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ในบางกรณีสายตาอาจกลับมาสั้นอีกได้จากหลายปัจจัย เช่น การเปลี่ยนแปลงของสายตาตามวัย หรือความแตกต่างในการฟื้นตัวของกระจกตา ดังนั้นความแม่นยำในการตรวจวัดและการผ่าตัดจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือที่ทันสมัย เพื่อให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำและปลอดภัย ช่วยลดโอกาสที่สายตาจะกลับมาสั้นอีก และมอบประสบการณ์การรักษาที่ไว้วางใจได้แก่ผู้ป่วยทุกคน   คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับทำเลสิกแล้วสายตาสั้นอีก (FAQ) สำหรับผู้ที่กำลังสงสัยเกี่ยวกับปัญหาทำเลสิกแล้วสายตาสั้นอีก เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยและคำตอบที่ช่วยให้คุณเข้าใจปัญหา สาเหตุ และแนวทางแก้ไข เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากขึ้น   การทำเลสิกซ้ำอันตรายไหม? การทำเลสิกซ้ำโดยรวมถือว่าปลอดภัย หากแพทย์ประเมินแล้วว่าเหมาะสม และกระจกตามีความหนาเพียงพอ   ควรปรึกษาแพทย์เมื่อใดหากสงสัยว่าสายตากลับมาสั้นอีก หากคุณรู้สึกว่าการมองเห็นเริ่มพร่ามัวลง หรือค่าสายตาสั้นกลับมาใกล้เคียงกับก่อนทำเลสิก ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านการแก้ไขสายตาโดยเร็วที่สุด   มีวิธีป้องกันไม่ให้สายตากลับมาสั้นอีกหลังทำเลสิกไหม? แม้ไม่สามารถป้องกันภาวะได้ทั้งหมด แต่สามารถลดความเสี่ยงของการทำเลสิกแล้วสายตาสั้นอีกได้ ด้วยการรอให้ค่าสายตาคงที่อย่างน้อย 1-2 ปีก่อนรักษา เลือกแพทย์และสถานพยาบาลที่มีมาตรฐาน พร้อมเครื่องมือแม่นยำ และดูแลสุขภาพตาหลังการผ่าตัดอย่างเคร่งครัด เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงการใช้สายตาหนักเกินไป  

คอนเเทคเลนส์คืออะไร? วิธีดูแลทำความสะอาด พร้อมข้อควรรู้เบื้องต้น

คอนเเทคเลนส์คือเลนส์ใสที่สวมบนดวงตาเพื่อแก้ไขปัญหาสายตาหรือเปลี่ยนลุคให้ดูดีขึ้น คอนเเทคเลนส์มีหลายประเภท เช่น เลนส์นิ่ม เลนส์แข็ง (RGP) เลนส์รายวัน เลนส์รายเดือน เลนส์แก้สายตาเอียง และเลนส์แฟชันสีต่างๆ วิธีดูแลคอนเเทคเลนส์ที่ถูกต้อง คือล้างมือให้สะอาดก่อนจับ ใช้น้ำยาล้างถูเลนส์ทุกครั้งหลังถอด หลีกเลี่ยงน้ำเปล่าหรือน้ำลาย เก็บเลนส์ในกล่องพร้อมน้ำยาใหม่ทุกวัน และทำความสะอาดกล่องพร้อมเปลี่ยนทุก 3 เดือน เพื่อป้องกันเชื้อโรคและติดเชื้อที่ตา ข้อควรรู้ในการใช้คอนเเทคเลนส์ คือใส่ตามคำแนะนำแพทย์ ไม่ใช้เลนส์ร่วมกับผู้อื่น ล้างมือก่อนจับเลนส์ หลีกเลี่ยงใส่นานเกินไปและไม่ควรนอนหลับขณะใส่ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและระคายเคืองตา คอนเเทคเลนส์ (Contact Lens) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการแก้ปัญหาสายตาหรือเปลี่ยนลุคให้ดวงตาดูโดดเด่นมากขึ้น ไม่ว่าจะใส่แทนแว่นสายตาหรือเพื่อความสวยงาม แต่การใช้คอนเเทคเลนส์อย่างไม่ระวัง อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพตาได้ ดังนั้นจึงควรรู้วิธีการใช้งาน การดูแลรักษา และข้อควรระวังเบื้องต้น เพื่อความปลอดภัยและสุขภาพตาที่ดีในระยะยาว   คอนเเทคเลนส์คืออะไร? คอนเเทคเลนส์เป็นแผ่นพลาสติกบางใสรูปวงกลม ที่สวมใส่บนกระจกตาเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาภาวะสายตาผิดปกติ ซึ่งเกิดจากการที่ดวงตาไม่สามารถรวมแสงให้ตกบนจอรับภาพได้อย่างพอดี ทำให้มองเห็นภาพไม่ชัดเจน โดยคอนเเทคเลนส์สามารถช่วยปรับการมองเห็นให้ดีขึ้นในผู้ที่มีปัญหาสายตาสั้น สายตายาวโดยกำเนิด สายตาเอียง และสายตายาวตามอายุ     ประเภทของคอนเเทคเลนส์ คอนเเทคเลนส์มีให้เลือกหลายประเภท ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้งาน ลักษณะสายตา และความสะดวกสบายของผู้ใช้ โดยสามารถแบ่งออกได้ตามวัสดุและระยะเวลาการใช้งานดังนี้   คอนเเทคเลนส์แบบแข็ง คอนเเทคเลนส์ชนิดแข็งที่พบได้บ่อยคือแบบกึ่งแข็ง (Rigid Gas-Permeable: RGP) ซึ่งสามารถให้ออกซิเจนซึมผ่านเข้าสู่กระจกตาได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีค่าสายตาเอียงมาก หรือผู้ป่วยโรคกระจกตาโป่ง (Keratoconus) โดยเลนส์ชนิดนี้จะช่วยปรับรูปร่างความโค้งของกระจกตาให้ใกล้เคียงปกติมากขึ้น ส่งผลให้การมองเห็นชัดเจนขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ   คอนเเทคเลนส์แบบนิ่ม คอนเเทคเลนส์ชนิดนิ่มเป็นประเภทที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากสวมใส่สบายและหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาด แบ่งออกได้เป็นหลายประเภท ดังนี้ คอนเเทคเลนส์รายวัน คือเลนส์ที่ใส่เฉพาะระหว่างวันแล้วถอดทิ้ง ไม่ต้องทำความสะอาด ลดความเสี่ยงติดเชื้อ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้งาน และเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและสะดวกที่สุด คอนเเทคเลนส์รายสัปดาห์ คือเลนส์ที่ใส่และถอดออกทุกวัน และเปลี่ยนใหม่ทุก 1-2 สัปดาห์ คอนเเทคเลนส์รายเดือน คือเลนส์ที่ใส่และถอดออกทุกวัน และเปลี่ยนเป็นชิ้นใหม่ทุก 1 เดือน คอนเเทคเลนส์แบบใส่ระยะยาว สามารถใส่นอนได้ต่อเนื่องหลายวัน แต่เสี่ยงติดเชื้อสูง แพทย์จึงไม่แนะนำให้ใช้งานเป็นประจำ คอนเเทคเลนส์แก้สายตาเอียง เป็นเลนส์ชนิดนิ่ม ราคาสูง แก้ปัญหาสายตาเอียงได้แต่ประสิทธิภาพอาจสู้เลนส์แข็งไม่ได้ มีทั้งแบบรายวันและใส่ระยะยาว คอนเเทคเลนส์สี ใช้ได้ทั้งแก้ไขสายตาผิดปกติและเสริมความสวยงาม แบ่งตามการใช้งาน เช่น เลนส์แฟชั่น บิ๊กอาย เลนส์กรองแสงยูวี และเลนส์แก้ตาบอดสี ควรปรึกษาจักษุแพทย์ก่อนใช้งานเพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด คอสเมติกคอนเเทคเลนส์ (Cosmetic Contact Lenses) เป็นเลนส์ที่ใส่เพื่อเปลี่ยนสีหรือลักษณะดวงตา เช่น ตาแมวหรือแวมไพร์ แม้ไม่ใช้เพื่อแก้สายตา แต่ควรปรึกษาจักษุแพทย์ก่อนใช้เพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อ   คอนเเทคเลนส์แบบอื่นๆ นอกจากคอนเเทคเลนส์ที่ใช้เพื่อแก้ไขค่าสายตาทั่วไปแล้ว ยังมีคอนเเทคเลนส์ประเภทอื่นๆ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ เช่น คอนเเทคเลนส์ไฮบริด เป็นเลนส์ผสมระหว่างนิ่มและแข็ง ช่วยแก้ไขสายตาสั้น ยาว เอียง และปัญหากระจกตาได้ดี เหมาะสำหรับผู้สูงอายุและผู้ที่มีกระจกตาผิดปกติ คอนเเทคเลนส์ชนิดแก้สายตายาวตามอายุ เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ใช้ช่วยให้มองเห็นทั้งใกล้และไกลได้ชัด เช่น แบบ Bifocal, Multifocal หรือแบบ Monovision ที่ใส่คนละค่าสายตาในแต่ละข้าง คอนเเทคเลนส์หลายระดับ (Multifocal Contact Lenses) คือเลนส์ที่มีทั้งแบบแข็งและนิ่ม ภายในเลนส์มีค่าสายตาหลายระดับช่วยให้ใช้งานได้สะดวก เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสายตายาวตามวัย (Presbyopia) คอนเเทคเลนส์ครอบแผลชนิดพิเศษ ใช้หลังการผ่าตัดดวงตา เพื่อช่วยปกป้องและส่งเสริมการสมานตัวของผิวกระจกตาให้เร็วขึ้น     ประโยชน์ของคอนเเทคเลนส์ คอนเเทคเลนส์มีประโยชน์หลากหลายด้าน เช่น ช่วยแก้ไขปัญหาสายตา ด้วยการใส่คอนเเทคเลนส์สายตาสั้นและสายตายาว ทำให้ผู้ใส่มองเห็นชัดทั้งระยะใกล้และไกล รวมถึงมีทัศนวิสัยที่ดีกว่าแว่นตา นอกจากนี้ผู้ใส่แว่นมักมีมุมมองด้านข้าง (Peripheral Vision) ที่จำกัด คอนเเทคเลนส์สายตาจึงช่วยเพิ่มการมองเห็นด้านข้างให้ชัดเจนขึ้น คอนเเทคเลนส์ยังเหมาะสำหรับคนที่ไม่สะดวกใส่แว่น และช่วยปรับลุคให้ดูดี มีความมั่นใจมากขึ้น โดยเฉพาะคอนเเทคเลนส์แฟชัน เช่น เลนส์สี หรือเลนส์บิ๊กอาย     วิธีใส่คอนเเทคเลนส์อย่างถูกวิธี การใส่คอนเเทคเลนส์อย่างถูกวิธีช่วยเพิ่มความสบายตาและลดความเสี่ยงในการระคายเคืองหรือการติดเชื้อ โดยมีขั้นตอนดังนี้ ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำ หลีกเลี่ยงสบู่ที่มีกลิ่นหรือน้ำมันมาก เพราะอาจทำให้ตาระคายเคือง เช็ดมือให้แห้งด้วยผ้าสะอาดที่ไม่เป็นขุยหรือผ้าเช็ดมือ ยืนบนพื้นเรียบและสะอาด เช่น ใกล้อ่างล้างหน้า ปิดฝาท่อระบายน้ำถ้าอยู่เหนืออ่าง เริ่มใส่เลนส์ข้างขวาก่อน (ถ้าถนัดซ้าย ให้เริ่มข้างซ้าย) เพื่อไม่ให้ใส่สลับข้าง หยิบเลนส์จากกล่องเก็บโดยใช้ปลายนิ้ว (หลีกเลี่ยงเล็บ) ล้างเลนส์ด้วยน้ำยาล้างคอนเเทคเลนส์ทุกครั้ง หากเลนส์ตกพื้น ให้ล้างน้ำยาใหม่ก่อนใส่ วางเลนส์ไว้ที่ปลายนิ้วชี้หรือนิ้วกลาง ตรวจสอบว่าเลนส์ไม่ฉีกขาด ตรวจดูว่าเลนส์ไม่กลับด้าน โดยดูขอบเลนส์ ถ้าขอบเลนส์เป็นรูปถ้วยและตั้งตรงคือถูกต้อง ใช้มือที่ไม่ถนัดดึงเปลือกตาบนขึ้น และใช้นิ้วกลางหรืออื่นๆ ดึงเปลือกตาล่างลง มองตรงไปข้างหน้าแล้วค่อยๆ วางเลนส์ลงบนตา ปิดตาเบาๆ แล้วลืมตา กะพริบตาช้าๆ เพื่อให้เลนส์อยู่กลางตา เช็กในกระจกว่าเลนส์อยู่ตรงกลางและรู้สึกสบาย หากไม่สบายหรือตาไม่ชัด ให้ขยับเลนส์หรือนำเลนส์ออกแล้วใส่ใหม่ ทำซ้ำขั้นตอนเดียวกันกับเลนส์อีกข้าง   วิธีถอดคอนเเทคเลนส์อย่างถูกต้อง การถอดคอนเเทคเลนส์อย่างถูกต้องสำคัญต่อสุขภาพดวงตาและช่วยป้องกันการระคายเคืองหรือการติดเชื้อ มีขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้ ล้างมือให้สะอาดและเช็ดให้แห้งก่อนจับคอนเเทคเลนส์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่ตา รินสารละลายที่ใช้แช่คอนเเทคเลนส์ทิ้งให้หมด จากนั้นผึ่งลมหรือเช็ดกล่องเก็บเลนส์ให้แห้งด้วยผ้าสะอาด ยืนหน้ากระจก ดึงเปลือกตาล่างลงด้วยนิ้วกลางของมือที่ถนัด ถอดเลนส์ออกจากตาข้างที่ต้องการก่อน เพื่อป้องกันความสับสน ใช้นิ้วชี้เลื่อนเลนส์ลงไปที่ขอบตาสีขาวอย่างช้าๆ บีบเลนส์ด้วยนิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือเบาๆ เพื่อดึงเลนส์ออกจากตา ทำซ้ำขั้นตอนกับตาอีกข้าง ใช้น้ำยาล้างคอนเเทคเลนส์ที่แนะนำทำความสะอาดเลนส์อย่างถูกวิธี หลีกเลี่ยงน้ำยาที่ทำเองหรือไม่ผ่านการรับรอง ใส่คอนเเทคเลนส์ลงในกล่องเก็บเลนส์ที่แช่ในสารละลาย หรือทิ้งเลนส์หากเป็นแบบใช้ครั้งเดียว     การเก็บรักษาคอนเเทคเลนส์หลังใช้งาน การเก็บรักษาคอนเเทคเลนส์หลังใช้งานอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและยืดอายุการใช้งานของเลนส์ รวมถึงช่วยรักษาความสะอาดและความปลอดภัยให้กับดวงตาของคุณก่อนใช้ในครั้งต่อไป ทำความสะอาดคอนเเทคเลนส์ทุกวันด้วยน้ำยาล้างเลนส์ โดยถูเลนส์เบาๆ ด้วยปลายนิ้วเพื่อขจัดเชื้อและสิ่งสกปรกอย่างทั่วถึง ก่อนเก็บแช่ค้างคืนในตลับ เปลี่ยนน้ำยาแช่เลนส์ใหม่ทุกครั้งหลังใช้ หลีกเลี่ยงการแช่เลนส์ทันทีหลังถอดโดยไม่ทำความสะอาดก่อน ล้างทำความสะอาดตลับใส่เลนส์ทุกสัปดาห์ด้วยน้ำสะอาดและสบู่ แล้วปล่อยให้แห้งก่อนใช้งานครั้งต่อไป ห้ามล้างคอนเเทคเลนส์ด้วยน้ำเปล่า น้ำเกลือ หรือน้ำลายเด็ดขาด เพราะเสี่ยงติดเชื้อและทำให้เลนส์ปนเปื้อนได้ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมาตรฐาน เพื่อยืดอายุเลนส์และป้องกันติดเชื้อดวงตา ควรเปลี่ยนตลับคอนเเทคเลนส์ทุก 3 เดือน และล้างตลับก่อนใช้แล้วตากให้แห้งเพื่อฆ่าเชื้อ หลีกเลี่ยงการแบ่งน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ใส่ขวดอื่น เพื่อป้องกันการติดเชื้อ ห้ามใช้น้ำยาล้างคอนเเทคเลนส์ที่หมดอายุ เก่าเก็บ หรือเปิดทิ้งไว้นานแล้ว   ผู้ที่ไม่ควรใส่คอนเเทคเลนส์ ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพดวงตาหรือภาวะบางอย่างควรหลีกเลี่ยงการใส่คอนเเทคเลนส์ เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างรุนแรง ผู้ที่มีอาการตาแห้งหรือกระจกตาผิดปกติ ผู้ป่วยโรคผิวหนังที่มีอาการบริเวณหนังตาหรือเปลือกตา ผู้ป่วยโรคไทรอยด์ที่มีอาการตาโปน ซึ่งอาจทำให้คอนเเทคเลนส์หลุดง่าย ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี อาจส่งผลต่อการสร้างน้ำตา ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ที่อาจแพ้วัสดุพลาสติกในคอนเเทคเลนส์หรือน้ำยาล้างเลนส์ ผู้ที่มีปัญหาในการหยิบจับคอนเเทคเลนส์ เช่น มือสั่นจากโรคสมอง หรือมีปัญหาผิวหนังบริเวณนิ้วมือและเล็บ   สิ่งควรรู้ เพื่อให้ใส่คอนเเทคเลนส์อย่างปลอดภัย คอนเเทคเลนส์สัมผัสกับดวงตาที่บอบบาง จึงต้องใส่ให้ถูกวิธี เพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อและปัญหาร้ายแรง วิธีใช้ที่ปลอดภัยมีดังนี้ เลือกใช้คอนเเทคเลนส์ที่เหมาะสมกับดวงตา โดยปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อตรวจวัดสายตาและลักษณะลูกตาก่อนใช้ ล้างมือให้สะอาดและเช็ดมือให้แห้งก่อนใส่คอนเเทคเลนส์ทุกครั้ง ใส่เลนส์ด้วยปลายนิ้วชี้ และตรวจสอบเลนส์ว่าด้านถูกต้อง (ขอบเลนส์เป็นรูปตัว U ไม่แหลม) หลีกเลี่ยงการใช้เลนส์ร่วมกับผู้อื่น เพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อ ห้ามสลับใส่เลนส์ข้างซ้าย-ขวาหรือใส่ขณะว่ายน้ำ ไม่ควรนอนหลับขณะใส่เลนส์ เพราะจะลดการรับออกซิเจนของดวงตา หลีกเลี่ยงให้ปลายขวดน้ำยาล้างเลนส์สัมผัสกับสิ่งอื่น เพื่อป้องกันการปนเปื้อน สวมแว่นกันแดดเมื่อต้องใส่คอนเเทคเลนส์ เพื่อลดอาการแสบตาจากแสง ใช้น้ำตาเทียมหยอดตาเพื่อช่วยให้ดวงตาชุ่มชื้น ป้องกันอาการตาแห้ง     อันตรายจากการใช้คอนเเทคเลนส์ผิดวิธี คอนเเทคเลนส์เป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์และปลอดภัยเมื่อใช้อย่างถูกวิธี แต่หากใช้งานไม่ถูกต้อง ไม่ได้มาตรฐาน หรือขาดความสะอาด อาจทำให้เกิดปัญหารุนแรงต่อสุขภาพดวงตาได้ เช่น   ปัญหาที่มาจากคอนเเทคเลนส์ การเลือกคอนเเทคเลนส์ที่มีขนาดไม่พอดีกับตาดำ อาจส่งผลกระทบต่อกระจกตาและการมองเห็นได้ โดยเลนส์ที่เล็กเกินไปอาจทำให้รู้สึกไม่สบายตาและเกิดปัญหากระจกตา ส่วนเลนส์ที่ใหญ่เกินไปอาจเคลื่อนหลุดง่าย ทำให้มองเห็นไม่ชัดเจน นอกจากนี้การดูแลและเก็บรักษาคอนเเทคเลนส์ไม่ถูกต้อง ยังเสี่ยงให้เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค ทำให้เกิดอันตรายต่อกระจกตาและเสียสมรรถภาพการใช้งานได้ด้วยเช่นกัน   ปัญหาต่อเยื่อบุตาและกระจกตา ปัญหาเยื่อบุตาและกระจกตาอาจเกิดจากคอนเเทคเลนส์ไม่สะอาด ใช้ของไม่ได้มาตรฐาน หรือแพ้วัสดุที่ใช้ผลิต โดยอันตรายที่พบได้บ่อยมีดังนี้ ตาแห้ง (Dry eyes) อาจเกิดจากการใส่คอนเเทคเลนส์นาน หรือมีน้ำตาน้อย ทำให้ระคายเคือง แสบตา และไวต่อแสง โรคภูมิแพ้ (Allergies) อาจเกิดจากการแพ้คอนเเทคเลนส์หรือสารที่ใช้ร่วม ทำให้ตาแดง แสบ และคันตา เยื่อบุตาอักเสบจากคอนเเทคเลนส์ (Giant Papillary Conjunctivitis) ใส่คอนเเทคเลนส์แล้วตาแดงมักเกิดจากการแพ้เลนส์หรือสารดูแลเลนส์ นอกจากนี้อาจมีอาการระคายเคือง และตุ่มด้านในเปลือกตา เยื่อบุตาอักเสบจากสารเคมี (Toxic Conjunctivitis) เกิดจากการแพ้สารในผลิตภัณฑ์คอนเเทคเลนส์ ทำให้ตาอักเสบหรือกระจกตาถลอกได้ แผลอักเสบที่กระจกตา (Superficial Punctate Keratitis) อาจเกิดจากตาแห้งขณะใส่คอนเเทคเลนส์ ทำให้เกิดแผลเล็กๆ บริเวณกระจกตา ส่งผลให้รู้สึกเจ็บหรือคอนแท็กต​์เลนส์ฉีกขาดได้ อาการเลนส์คับแน่น (Tight Lenses Syndrome) เกิดจากการใส่คอนเเทคเลนส์นานเกินไป ทำให้เลนส์ติดแน่นกับกระจกตา กระจกตาบวมน้ำ มองเห็นไม่ชัด เปลือกตาอักเสบ หรือมีเส้นเลือดเล็กๆ ขึ้นที่ตา กระจกตาขาดออกซิเจน (Corneal hypoxia) มักเกิดจากการใส่คอนเเทคเลนส์นานเกินไป อาจทำให้กระจกตาเป็นแผล เลือดออก และเสี่ยงต่อการสูญเสียการมองเห็น กระจกตาอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย (Microbial Keratitis) มักเกิดในผู้ที่ใส่คอนเเทคเลนส์นิ่มหรือใส่ขณะนอนหลับ ทำให้ตาแดง เจ็บตา แฉะ แพ้แสง และระคายเคืองจากการติดเชื้อในเลนส์   สรุป คอนเเทคเลนส์เป็นตัวช่วยแก้ไขปัญหาสายตาที่สะดวกและได้รับความนิยมสูง เช่น คอนเเทคเลนส์รายวัน รายเดือน และคอนเเทคเลนส์สีเพื่อแฟชัน แต่การใช้งานที่ไม่ถูกวิธีหรือขาดการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม อาจทำให้เกิดปัญหาตา เช่น ตาแห้ง ติดเชื้อ หรือเยื่อบุตาอักเสบได้ ควรล้างมือก่อนใส่และถอดเลนส์ทุกครั้ง ทำความสะอาดและเปลี่ยนน้ำยาในกล่องเก็บเลนส์อย่างสม่ำเสมอเพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อ หากมีอาการผิดปกติหรือปัญหาจากการใส่คอนเเทคเลนส์ สามารถมารักษาและปรึกษาจักษุแพทย์ได้ที่ Bangkok Eye Hospital เพื่อดูแลดวงตาให้ปลอดภัยและสุขภาพดีอย่างยั่งยืน   คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับคอนเเทคเลนส์ (FAQ) รวมคำตอบสำหรับคำถามทั่วไปเกี่ยวกับการใช้งาน การดูแลรักษา และข้อควรรู้ที่สำคัญ เพื่อช่วยให้คุณใช้คอนเเทคเลนส์อย่างถูกวิธีและปลอดภัย ก่อนตัดสินใจใช้งานจริง   ใส่คอนเเทคเลนส์เกิน 8 ชม. อันตรายไหม ใน 1 วัน ใส่คอนเเทคเลนส์เกิน 8 ชม. ได้ไหม? คอนเเทคเลนส์ใส่ได้กี่ชั่วโมง? คำตอบคือควรใส่ไม่เกิน 8-9 ชั่วโมง เพราะใส่นานเกินไปอาจทำให้ตาแห้ง ระคายเคือง หรืออักเสบ หากจำเป็นต้องใส่นาน ให้ใช้หยดน้ำตาเทียมเติมความชุ่มชื้นระหว่างวัน   การใส่คอนเเทคเลนส์นาน ทำให้กระจกตาบางจริงไหม กระจกตาแต่ละคนมีความหนาแตกต่างกันตามธรรมชาติ การใส่คอนเเทคเลนส์อาจทำให้ตาแห้งได้ แต่ไม่ได้ส่งผลต่อความหนาของกระจกตาโดยตรง การหยุดใส่คอนเเทคเลนส์ช่วยให้อาการตาแห้งดีขึ้น แต่กระจกตาจะไม่กลับมาหนาขึ้น   เผลอใส่คอนเเทคเลนส์นอน เป็นอะไรไหม ดวงตาต้องการออกซิเจนตลอดเวลา แต่เมื่อใส่คอนเเทคเลนส์ ไม่ว่าจะรายวันหรือรายเดือน ดวงตาจะได้รับออกซิเจนน้อยกว่าปกติ หากนอนหลับขณะใส่เลนส์จะทำให้ออกซิเจนลดลงมาก เพราะเปลือกตาปิดกระจกตาไม่สามารถรับอากาศได้ ส่งผลให้ตาแดง ระคายเคือง และเพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อได้ง่ายขึ้น   ผู้เขียนบทความ : รศ.นพ.อนันต์ วงศ์ทองศรี จักษุแพทย์เฉพาะทางด้านกระจกตาและการผ่าตัดแก้ไขสายตา (LASIK) ต้อกระจก รักษาโรคตาทั่วไป
ศูนย์รักษาจอประสาทตา

Retina Check-Up: The Best Defense Against Permanent Vision Loss

A Deeper Look at Your Eye Health: Why a Comprehensive Retina Screening is Essential . . .     When it comes to eye health, most of us think about whether we need new glasses or if too much screen time is causing strain. But there’s a part of your eye that does incredible work every second, which many of us overlook: the retina. A regular retina screening is the single best way to protect yourself from preventable vision loss. Think of your retina as the digital sensor inside a smartphone camera. It captures all the light and images around you and instantly sends that information to your brain, allowing you to see the world in detail. The problem? Many retinal diseases begin silently, without any noticeable symptoms. You might not realize anything is wrong until significant damage has already occurred. That’s why a routine check-up with an eye doctor is your best defense.     Why Does the Retina Need a Detailed Examination?   Many conditions can affect the retina. Catching them early through a comprehensive eye exam is critical for saving your sight. Diabetes and Your Eyes: If you have diabetes, an annual diabetic eye exam is non-negotiable. High blood sugar can damage the tiny blood vessels in the retina, leading to diabetic retinopathy, a primary cause of vision loss. Macular Degeneration (AMD): The macula is the central part of your retina responsible for sharp, detailed vision used for reading and recognizing faces. AMD can cause blurry or distorted central vision, but an ophthalmologist can detect the early signs. Retinal Tears or Detachment: The retina can sometimes tear or pull away from its position at the back of the eye. A retinal detachment is a medical emergency that can lead to blindness if not treated immediately. Other Health Conditions: High blood pressure and a family history of eye disease are also significant risk factors that make regular retina screenings even more important.     Who Should Get a Retina Screening?   While everyone should have regular eye exams, some individuals need to be especially proactive: Adults Aged 40 and Over: A baseline eye exam is recommended at this age. Your eye doctor can then advise you on a regular screening schedule. Individuals with Diabetes: This is crucial. A diabetic eye exam should be performed every single year. Those with a Family History of Eye Problems: If macular degeneration or retinal detachment runs in your family, you should be more diligent about your eye health. Anyone Noticing Changes in Vision: A sudden increase in eye floaters and flashes. A dark shadow or "curtain" appearing in your field of vision. Seeing wavy or distorted lines when looking at straight lines. Sudden blurry vision or vision loss. These are urgent symptoms. See an eye doctor immediately. Individuals with High Nearsightedness (Myopia): A high degree of nearsightedness can make the retina thinner and more susceptible to damage. Those Taking Certain Medications: Ask your doctor if any medications you are taking require regular retina monitoring.     What Does Our Comprehensive Screening Involve?   Our screening process is simple and thorough. An ophthalmologist will conduct a complete examination that includes the following steps: ✅ Visual Acuity Test: Precisely measures your eye's ability to see at various distances. ✅ Computerized Autorefraction: Uses modern equipment to accurately measure your eyeglass prescription power. ✅ Automatic Tonometry: Measures the internal pressure of your eye, a critical test for detecting glaucoma. ✅ Dilating Eye Examination: Prepares the eye for a detailed internal inspection by using eye drops to widen the pupils. ✅ Manifest Refraction by a Refractionist: A detailed measurement to determine the optimal prescription for glasses or treatment, based on your direct visual feedback. ✅ Optical Coherence Tomography (OCT) of the Retina: A non-invasive imaging scan that uses light to create cross-section pictures of your retina and its layers. ✅ Fundus Photography: Captures detailed images of the back of your eye (the fundus) to document and monitor its health over time. ✅ Slit Lamp Examination and Specialist Consultation: The ophthalmologist will personally examine your eyes for conditions like cataracts, assess your overall eye health, and discuss the results and any necessary treatment plans with you.   Most eye diseases can be successfully treated when detected early. Waiting for symptoms to appear often means the problem has become more advanced. Choose the best for your vision. Schedule your retina screening today. 

เส้นเลือดตาอุดตันคืออะไร? เจาะลึกสาเหตุ เช็กอาการ และวิธีรักษา

เส้นเลือดตาอุดตันคือภาวะที่เลือดไหลเวียนในจอตาได้ไม่สะดวก ส่งผลให้เกิดอาการบวมหรือเลือดออกในจอประสาทตา และกระทบต่อการมองเห็นอย่างรุนแรง หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีอาจเสี่ยงสูญเสียการมองเห็นถาวร จึงควรพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการผิดปกติ อาการเส้นเลือดตาอุดตันอาจทำให้มองเห็นเบลอๆ เห็นจุดหรือเส้นลอยไปมา หรือการมองเห็นบางมุมที่หายไป หากมีอาการเหล่านี้ควรพบแพทย์เพื่อป้องกันการสูญเสียการมองเห็นถาวร การรักษาเส้นเลือดตาอุดตันขึ้นอยู่กับความรุนแรงและตำแหน่งของอาการ โดยการรักษามักใช้การฉีดยาเข้าวุ้นตา เลเซอร์ หรือในบางกรณีอาจต้องผ่าตัดเพื่อฟื้นฟูการมองเห็นและป้องกันความเสียหายถาวร เส้นเลือดตาอุดตันเป็นภาวะที่เกิดจากการอุดตันในหลอดเลือดที่ส่งเลือดไปเลี้ยงดวงตา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็นอย่างรุนแรง หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมทันเวลา อาการของเส้นเลือดตาอุดตันมักจะปรากฏในรูปแบบของการมองเห็นไม่ชัด หรืออาจมองเห็นเป็นจุดดำในสายตา บางกรณีอาจมองเห็นแบบเบลอๆ หรือการมองเห็นลดลงอย่างรวดเร็ว   การรักษาเส้นเลือดตาอุดตันอาจต้องใช้ยาหรือการผ่าตัด ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ เพื่อช่วยให้การมองเห็นกลับคืนมาหรือบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจสาเหตุ อาการ และแนวทางการรักษา เพื่อปกป้องดวงตาคู่สำคัญ!     เส้นเลือดตาอุดตันคืออะไร? เสี่ยงสูญเสียการมองเห็นจริงไหม เส้นเลือดตาอุดตัน (Retinal Vein Occlusion – RVO) หรือเส้นเลือดจอประสาทตาอุดตัน คือภาวะที่เส้นเลือดในจอตาต้องการเลือดไปหล่อเลี้ยงเพราะไม่สามารถไหลได้ตามปกติ ซึ่งอาจเกิดจากการอุดตันของเส้นเลือดดำในตา หรือเส้นเลือดที่นำเลือดกลับจากจอตา การอุดตันนี้ทำให้เลือดไม่สามารถไหลกลับได้และอาจทำให้เกิดการบวม หรือเลือดออกในจอประสาทตา ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการมองเห็น   การอุดตันของเส้นเลือดตาสามารถทำให้เกิดการสูญเสียการมองเห็นได้จริง ถ้าหากภาวะนี้ไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที หรือหากมีอาการรุนแรง เช่น การบวมของจอตา หรือเกิดเลือดออกในตา ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อจอประสาทตาได้ การสูญเสียการมองเห็นอาจเกิดขึ้นในบางกรณีที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ดังนั้น หากมีอาการผิดปกติ เช่น การมองเห็นเบลอหรือพร่ามัว ควรพบแพทย์เพื่อการตรวจและรักษาโดยด่วน เจาะลึกสาเหตุของเส้นเลือดตาอุดตัน เส้นเลือดตาอุดตันไม่ได้เกิดขึ้นแบบเฉียบพลันโดยไม่มีสาเหตุ แต่มีหลายปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดภาวะนี้ ซึ่งบางรายอาจมีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างร่วมกัน หรือบางคนอาจไม่สามารถหาสาเหตุที่แน่ชัดได้ อย่างไรก็ตาม สาเหตุหลักที่พบได้บ่อยมีดังนี้ 1. ความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ เพราะเมื่อแรงดันในหลอดเลือดเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะทำให้ผนังหลอดเลือดตาเกิดการแข็งตัวและเปราะบางมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการตีบหรืออุดตันในเส้นเลือดบริเวณจอประสาทตาได้ง่าย ผู้ที่ควรระวังเป็นพิเศษคือกลุ่มที่เป็นความดันโลหิตสูงแต่ไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง หรือไม่สามารถควบคุมความดันให้คงที่ได้ 2. โรคเบาหวาน เบาหวานไม่ได้ส่งผลแค่ระดับน้ำตาลในเลือดเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อเส้นเลือดขนาดเล็กทั่วร่างกาย รวมถึงในดวงตาด้วย ระดับน้ำตาลที่สูงอย่างต่อเนื่องจะทำให้ผนังเส้นเลือดในตาเสียหาย เกิดการรั่วซึม บวม และมีโอกาสเกิดลิ่มเลือดหรืออุดตันได้ง่าย และผู้ป่วยเบาหวานควรเข้ารับการตรวจสุขภาพตาเป็นประจำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนทางดวงตา 3. ไขมันในเลือดสูง ภาวะไขมันในเลือดสูง โดยเฉพาะคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) สามารถสะสมตามผนังหลอดเลือดได้ เมื่อเกิดในเส้นเลือดจอประสาทตาจะเพิ่มโอกาสที่เลือดจะไหลเวียนได้ไม่สะดวกและเกิดการอุดตันได้ในที่สุด การควบคุมไขมันในเลือดด้วยการปรับพฤติกรรมการกิน และการออกกำลังกายเป็นประจำ จึงเป็นวิธีป้องกันที่สำคัญ 4. พันธุกรรมและภาวะการแข็งตัวของเลือด บางคนอาจมีพันธุกรรมที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือดมากผิดปกติ ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดลิ่มเลือด (Blood Clot) ในหลอดเลือดตาได้ง่ายกว่าคนทั่วไป ภาวะเหล่านี้อาจไม่ได้แสดงอาการชัดเจน แต่อาจตรวจพบได้จากการตรวจเลือดเฉพาะทาง หรือประวัติการเจ็บป่วยในครอบครัว 5. การสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่เป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีผลเสียต่อระบบหลอดเลือดโดยตรง ไม่เพียงแต่ในหัวใจหรือปอดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงหลอดเลือดในดวงตาด้วย ซึ่งสารพิษในบุหรี่ เช่น นิโคติน จะทำให้เส้นเลือดตีบลง การไหลเวียนเลือดลดลง และเพิ่มโอกาสเกิดลิ่มเลือดในเส้นเลือดตามากขึ้น     อาการของเส้นเลือดตาอุดตัน สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม เส้นเลือดอุดตันในตาอาจเกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน หรือค่อยๆ เกิดขึ้นอย่างช้าๆ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและระดับความรุนแรงของการอุดตัน ซึ่งบางคนอาจไม่รู้ตัวในระยะแรก แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รับการรักษาอาจทำให้สูญเสียการมองเห็นแบบถาวรได้ มองเห็นภาพเบลอ หนึ่งในอาการที่พบบ่อยที่สุดคือการมองเห็นไม่ชัด หรือมองเห็นเบลอๆ โดยเฉพาะในช่วงเช้าหลังตื่นนอน หรือเมื่อเพ่งสายตาเป็นเวลานาน อาจรู้สึกว่าภาพตรงหน้าไม่คมชัด เหมือนมีหมอกบางๆ ปกคลุมสายตาอยู่ บางรายอาจมีอาการเบลอเฉพาะบางส่วน เช่น มองเห็นด้านข้างไม่ชัดแต่ตรงกลางยังชัดอยู่ หรือในทางกลับกัน มองตรงกลางไม่ชัดแต่ด้านข้างยังคงเห็นชัดเจนอยู่ เห็นจุดหรือเส้นลอยไปมา อีกอาการที่พบได้คือการเห็นจุดดำ เส้น หรือเงาเล็กๆ ลอยอยู่ในสายตา ซึ่งมักจะขยับตามการเคลื่อนไหวของดวงตา ลักษณะนี้เรียกว่าฟลอทเตอร์ (Floaters) แม้ว่าการเห็นฟลอทเตอร์เล็กน้อยอาจไม่ใช่เรื่องผิดปกติสำหรับบางคน แต่หากเห็นมากขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว หรือเป็นร่วมกับอาการเบลอ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติ มองเห็นบางมุมไม่ชัดเจนหรือขาดหายไป บางคนอาจสังเกตว่ามีช่องว่าง หรือจุดมืดในการมองเห็น เช่น มองไม่เห็นด้านข้าง มองไม่เห็นส่วนบนของภาพ หรือเห็นภาพไม่เต็มเฟรม อาการแบบนี้บ่งบอกว่าบางส่วนของจอประสาทตาถูกทำลายจากการขาดเลือด ทำให้เซลล์รับภาพไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ตาบวมหรือรู้สึกอึดอัดในดวงตา เมื่อมีการอุดตันของเส้นเลือดในตาอาจทำให้ของเหลวสะสมในบริเวณจอประสาทตา เกิดอาการบวมบริเวณจอประสาทตา (Macular Edema) ซึ่งทำให้รู้สึกไม่สบายตา หรือแม้กระทั่งปวดตาในบางราย ในบางกรณีอาจสังเกตเห็นว่าตาข้างที่มีปัญหาดูบวมหรือตาขุ่น โดยเฉพาะเมื่อมองในกระจกหรือตรวจด้วยกล้อง การมองเห็นลดลงแบบเฉียบพลัน ในกรณีที่รุนแรง เช่น เส้นเลือดจอประสาทตาใหญ่ (Central Retinal Vein หรือ Central Retinal Artery) อุดตัน อาจทำให้การมองเห็นลดลงอย่างรวดเร็วและรุนแรงภายในเวลาไม่กี่นาที หากอาการนี้เกิดขึ้นควรรีบไปโรงพยาบาลทันที เพราะการรักษาในช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงแรกมีผลอย่างมากต่อการฟื้นฟูการมองเห็น     แนวทางการรักษาเส้นเลือดตาอุดตัน การรักษาเส้นเลือดตาอุดตันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ตำแหน่งของเส้นเลือดที่อุดตัน ความรุนแรงของอาการ และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย โดยเป้าหมายหลักของการรักษาคือการฟื้นฟูการมองเห็นให้ได้มากที่สุด และ ป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายถาวรต่อจอประสาทตา   แพทย์จักษุจะประเมินจากการตรวจวินิจฉัยด้วยเครื่องมือเฉพาะ เช่น กล้องตรวจจอประสาทตา (OCT) การฉีดสีตรวจหลอดเลือด (FFA) หรือการตรวจคลื่นเสียงความถี่สูง เป็นต้น จากนั้นจึงเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย 1. การฉีดยาเข้าวุ้นตา การฉีดยาเข้าวุ้นตา หนึ่งในวิธีที่ใช้กันบ่อยและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดจอประสาทตาบวม หรือมีเลือดออกจากเส้นเลือดที่อุดตัน โดยมียาที่ใช้ดังนี้   ยาต้าน VEGF (Anti-VEGF) ใช้เพื่อลดการเจริญเติบโตของเส้นเลือดผิดปกติ และลดการรั่วซึมของหลอดเลือด ช่วยให้จอประสาทตากลับมาทำงานได้ดีขึ้น ยาสเตียรอยด์ ใช้ในบางกรณีเพื่อลดการอักเสบและอาการบวมในจอประสาทตา โดยเฉพาะหากมีภาวะบวมเรื้อรัง 2. การรักษาด้วยเลเซอร์ หากพบว่ามีการรั่วของหลอดเลือด หรือมีเส้นเลือดผิดปกติ การใช้เลเซอร์ยิงเพื่อปิดหรือควบคุมเส้นเลือดเหล่านั้นสามารถช่วยลดความเสียหายได้   เลเซอร์ Photocoagulation ใช้สำหรับกรณีที่มีการรั่วของหลอดเลือดจากภาวะเส้นเลือดอุดตัน โดยเลเซอร์จะช่วยปิดจุดรั่วของเลือด เลเซอร์ป้องกันการเกิดต้อหินจากภาวะหลอดเลือดใหม่ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดต้อหินแทรกซ้อน ซึ่งอาจเกิดขึ้นในระยะหลังจากการอุดตัน 3. การผ่าตัด แม้จะพบได้น้อย แต่ในบางกรณีที่รุนแรง เช่น มีเลือดออกในน้ำวุ้นตาเยอะ หรือมีพังผืดดึงรั้งจอประสาทตา อาจจำเป็นต้องทำการผ่าตัด โดยการผ่าตัดวุ้นตา (Vitrectomy) เป็นการผ่าตัดเพื่อเอาเลือดออกจากวุ้นตา และเอาพังผืดหรือเนื้อเยื่อที่ผิดปกติออก เพื่อให้จอประสาทตากลับมาทำงานได้ดีขึ้น ป้องกันการเกิดเส้นเลือดตาอุดตันได้อย่างไร? การป้องกันการเกิดเส้นเลือดตาอุดตันทำได้โดยการดูแลสุขภาพทั่วไป และการตรวจสุขภาพดวงตาอย่างสม่ำเสมอ และนี่คือบางวิธีที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงได้   ควบคุมความดันโลหิต การรักษาความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดเส้นเลือดตาอุดตัน ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดี เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะนี้ ออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายเป็นประจำและการรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ เช่น ผักผลไม้สด จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ ที่อาจเป็นสาเหตุของเส้นเลือดตาอุดตัน หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในการเกิดเส้นเลือดตาอุดตัน การหลีกเลี่ยงสูบบุหรี่จึงมีส่วนช่วยลดความเสี่ยง     รักษาเส้นเลือดตาอุดตัน ที่ศูนย์รักษาตา Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร หากคุณสงสัยว่ามีอาการหรือเริ่มมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับการมองเห็น เช่น มองเห็นภาพเบลอ เห็นจุดดำลอยไปมา หรือรู้สึกว่ามุมมองบางส่วนหายไป อย่ารอให้สายเกินไป! เพราะอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของภาวะเส้นเลือดตาอุดตัน    ซึ่งหากได้รับการตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงของการสูญเสียการมองเห็นถาวรได้ ที่ Bangkok Eye Hospital เราให้ความสำคัญกับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและรวดเร็ว จึงได้นำเทคโนโลยีการตรวจตาที่ทันสมัยระดับสากลมาใช้ ดังนี้   โรงพยาบาลมีจักษุแพทย์ชำนาญการและมากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างปลอดภัย พร้อมให้การรักษา ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง สรุป เส้นเลือดตาอุดตันคือภาวะที่เส้นเลือดในจอตาอุดตัน ส่งผลให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก จนเกิดการบวมและมองเห็นผิดปกติ เช่น เห็นภาพเบลอ เห็นจุดดำ หรือการมองเห็นลดลงอย่างรวดเร็ว สาเหตุหลักมักมาจากความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง พันธุกรรม และการสูบบุหรี่ การรักษาจะขึ้นอยู่กับความรุนแรง เช่น การฉีดยาเข้าวุ้นตา เลเซอร์ หรือการผ่าตัด    ยิ่งตรวจพบเร็วยิ่งช่วยลดความเสี่ยงที่จะสูญเสียการมองเห็น หากมีอาการที่จะเป็นเส้นเลือดตาอุดตันสามารถเข้ารับบริการวินิจฉัยและรักษาได้ที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ที่มีเทคโนโลยีทันสมัยและแพทย์เฉพาะทางคอยดูแลอย่างมีประสิทธิภาพ อ่านบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง วุ้นในตาเสื่อม อันตรายต่อการมองเห็น มาหาสาเหตุและวิธีการรักษา อาการเบาหวานขึ้นตา กันไว้ดีกว่าแก้ ปล่อยไว้อาจสูญเสียการมองเห็นได้! จอประสาทตาเป็นรูเกิดจากอะไร? อาการที่ควรรีบพบแพทย์ และวิธีรักษา   FAQ – คำถามที่พบบ่อย อาการเส้นเลือดตาอุดตัน เมื่อไรควรพบแพทย์? หากมีอาการมองเห็นเบลอๆ เห็นจุดหรือเส้นลอยไปมา หรือการมองเห็นลดลง ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและรักษาทันที อาการเส้นเลือดตาอุดตันเป็นอย่างไร? อาการที่พบบ่อยคือการมองเห็นเบลอๆ การเห็นจุดหรือเส้นลอยไปมา การมองเห็นบางมุมไม่ชัดเจน หรือการมองเห็นลดลงอย่างเฉียบพลัน เส้นเลือดตาอุดตันทำให้ตาบอดได้จริงไหม? หากไม่ได้รับการรักษาทันที ภาวะนี้สามารถทำให้สูญเสียการมองเห็นถาวรได้ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการบวมในจอประสาทตาหรือเลือดออกในตา

ตาเหลืองเกิดจากอะไร? สาเหตุ วิธีป้องกัน และอาการที่ไม่ควรมองข้าม!

ตาเหลืองเกิดจากการสะสมของสารบิลิรูบินในเลือด ซึ่งมักเกิดจากปัญหาตับหรือระบบทางเดินน้ำดี เช่น โรคตับ ระบบทางเดินน้ำดี โรคเกี่ยวกับเม็ดเลือด โรคเกี่ยวกับดวงตาการใช้ยาหรือมะเร็งตับ อาการตาเหลืองคือการที่ดวงตาหรือเยื่อบุตาขาวเปลี่ยนเป็นสีเหลือง พร้อมอาจมีขี้ตาเหลืองร่วมด้วย ซึ่งมักเป็นสัญญาณของปัญหาตับ ระบบทางเดินน้ำดี และตาอักเสบ การรักษาโรคตาเหลืองขึ้นอยู่กับสาเหตุ เช่น การรักษาปัญหาตับหรือการรักษาการติดเชื้อที่ดวงตา โดยแพทย์จะวินิจฉัยและกำหนดวิธีการรักษาที่เหมาะสม การป้องกันโรคตาเหลืองสามารถทำได้โดยการดูแลสุขภาพตับและดูแลสุขภาพดวงตา เช่น การหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ รับประทานอาหารที่ดี และตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อหาปัญหาตับตั้งแต่เนิ่นๆ   ตาเหลืองหรือตาขาวเหลือง เป็นอาการที่ดวงตาหรือเยื่อบุตาขาวเปลี่ยนเป็นสีเหลือง อาจเกิดร่วมกับขี้ตาเหลือง ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพบางอย่าง เช่น โรคตับ โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินน้ำดีหรือการติดเชื้อที่ดวงตา อาการนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุและควรได้รับการตรวจสอบจากแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง บทความนี้จะอธิบายทุกสิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับอาการตาเหลือง ตั้งแต่สาเหตุ อาการ วิธีป้องกัน และการรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้คุณดูแลสุขภาพตาได้อย่างถูกต้อง     สาเหตุที่ควรรู้ ตาเหลืองเกิดจากอะไรได้บ้าง? ตาเหลืองหรือภาวะตาขาวเหลือง (Jaundice หรือ Icterus ในทางการแพทย์) เป็นภาวะที่เยื่อบุตาขาวมีสีเหลืองผิดปกติ สาเหตุหลักมาจากการที่มีสารบิลิรูบิน (Bilirubin) ที่เป็นสารสีเหลืองที่เกิดขึ้นจากการสลายตัวของเม็ดเลือดแดงเกิดสะสมในเนื้อเยื่อของร่างกายมากเกินไป ซึ่งสารนี้จะไม่สามารถขับออกจากร่างกายได้ตามปกติ ส่งผลให้เกิดอาการตาขาวเป็นสีเหลืองและผิวหนังเหลืองตามมา   ส่วนขี้ตาเป็นสีเหลืองอาจหมายถึงภาวะที่มีสารคัดหลั่งสีเหลืองบริเวณหัวตา ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อหรือการอักเสบของเยื่อบุตา สาเหตุที่ตาขาวเหลืองนั้นจะหมายถึงส่วนของตาขาว (Sclera) ที่เปลี่ยนเป็นสีเหลือง ซึ่งมักเป็นอาการที่สังเกตได้ชัดเจนเมื่อมีการสะสมของบิลิรูบินในร่างกายสูง   โดยสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้เกิดอาการตาเหลืองสามารถแบ่งได้เป็นหลายกลุ่ม ดังนี้ โรคที่เกี่ยวข้องกับตับ ตับมีหน้าที่ในการกำจัดบิลิรูบิน ซึ่งเป็นสารที่เกิดจากการสลายตัวของเม็ดเลือดแดงเมื่อมันหมดอายุ แต่หากตับไม่สามารถทำงานได้ดีหรือเกิดความผิดปกติ จะทำให้บิลิรูบินสะสมในเลือดและในเนื้อเยื่อร่างกาย ทำให้เกิดอาการตาเหลืองได้ โดยโรคที่เกี่ยวข้องกับตับที่พบได้บ่อย เช่น  โรคตับอักเสบ ตับอักเสบที่เกิดจากไวรัส เช่น ไวรัสตับอักเสบ A, B หรือ C สามารถทำให้ตับอักเสบและไม่สามารถขับบิลิรูบินออกจากร่างกายได้ ส่งผลให้เกิดตาเหลือง ตับแข็ง ตับที่ถูกทำลายเรื้อรังจากการติดเชื้อหรือการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป สามารถทำให้การทำงานของตับลดลง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดตาเหลือง ไขมันพอกตับ เป็นการสะสมของไขมันในตับที่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์หรือจากโรคเบาหวานและโรคอ้วน ซึ่งส่งผลให้ตับทำงานผิดปกติและบิลิรูบินไม่สามารถขับออกจากร่างกายได้ ระบบทางเดินน้ำดี อีกสาเหตุที่พบบ่อยในการเกิดตาเหลืองคือการมีปัญหากับระบบทางเดินน้ำดี ซึ่งมีหน้าที่ขับบิลิรูบินออกจากร่างกาย ดังนี้ นิ่วในถุงน้ำดี เมื่อมีการอุดตันในท่อน้ำดีจากนิ่ว จะทำให้บิลิรูบินไม่สามารถขับออกได้ ทำให้เกิดอาการตาเหลือง ท่อน้ำดีอุดตัน การอุดตันของท่อน้ำดีที่เกิดจากการมีนิ่วหรือการติดเชื้อ สามารถทำให้สารบิลิรูบินสะสมในเลือด ส่งผลให้ตาและผิวหนังเหลือง โรคที่เกี่ยวข้องกับเม็ดเลือด เม็ดเลือดแดงมีอายุขัยจำกัดและจะถูกทำลายเมื่อหมดอายุ ตับจะขับบิลิรูบินที่เกิดจากการสลายของเม็ดเลือดแดง แต่หากมีปัญหาในการสลายตัว เช่น ในโรคโลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตก (Hemolytic Anemia) หรือธาลัสซีเมีย การทำลายเม็ดเลือดแดงมากเกินไปจะทำให้บิลิรูบินสะสมในเลือด ส่งผลให้ตาสีเหลืองได้ โรคเกี่ยวกับดวงตา แม้ว่าตาเหลืองส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับปัญหาภายในร่างกาย แต่บางครั้งอาการนี้ก็อาจเกิดจากปัญหาภายในดวงตาเอง ได้แก่  เยื่อบุตาอักเสบ (Conjunctivitis) เป็นการอักเสบของเยื่อบุตาที่ทำให้ตาขาวแดงและบางครั้งอาจมีการเปลี่ยนสีเป็นสีเหลือง ตาแห้ง หากดวงตามีอาการแห้งจนเกิดการระคายเคืองและการติดเชื้อ ก็สามารถทำให้ตาขาวเหลืองได้ในบางกรณี สาเหตุอื่นๆ สาเหตุจากปัจจัยภายนอกที่ทำให้เกิดอาการตาเหลืองได้ เช่น การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาต้านการแพ้ หรือสเตียรอยด์ ซึ่งอาจส่งผลต่อการทำงานของตับและทำให้บิลิรูบินสะสมในร่างกาย รวมถึงมะเร็งตับหรือมะเร็งท่อน้ำดีที่อาจทำให้ท่อน้ำดีอุดตันและไม่สามารถขับบิลิรูบินออกได้    ตาเหลืองขาดวิตามินอะไร? ตาเหลืองอาจเกิดจากการขาดวิตามิน B12 หรือโฟลิก ซึ่งมีผลต่อการทำงานของตับและระบบเลือด และการบริโภควิตามิน A ในปริมาณสูงเกินไปยังส่งผลให้ตาเหลืองได้เช่นกัน     อาการตาเหลืองเป็นอย่างไร อาการของตาเหลืองอาจแตกต่างกันไปตามสาเหตุ โดยอาการที่พบบ่อยมีดังนี้ ตาขาวมีสีเหลือง การเปลี่ยนแปลงสีของตาขาวเป็นสีเหลือง ถือเป็นอาการเด่นชัดของตาเหลือง ผิวหนังเหลือง หากเกิดภาวะดีซ่าน ผิวหนังโดยรวมอาจเริ่มมีสีเหลืองด้วย ขี้ตาสีเหลือง การมีขี้ตาที่เป็นสีเหลืองอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการสะสมของบิลิรูบินในร่างกาย ตาแห้ง แสบ หรือมีน้ำตาไหล บางคนอาจมีอาการแสบตาหรือรู้สึกแห้งที่ตา รวมทั้งมีน้ำตาไหลมากผิดปกติ อาการอื่นๆ เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ ซึ่งอาจเกิดจากการทำงานของตับที่ผิดปกติหรือการสะสมของสารพิษในร่างกาย หากมีอาการเหล่านี้ร่วมกับปัสสาวะสีเข้ม อุจจาระซีด หรือปวดท้อง ควรรีบพบแพทย์     แนวทางการรักษาโรคตาเหลือง การรักษาอาการตาเหลืองนั้นจะขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ โดยหลักการรักษามีดังนี้ รักษาโรคตับ หากอาการตาเหลืองเกิดจากโรคตับ เช่น ตับอักเสบหรือโรคตับแข็ง แพทย์อาจใช้ยาเพื่อรักษาหรือควบคุมอาการ รวมถึงคำแนะนำด้านการควบคุมอาหาร และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพตับ เช่น การหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และการทานอาหารที่มีไขมันต่ำ รักษาอาการติดเชื้อที่ตา ในกรณีที่อาการตาเหลืองเกิดจากการติดเชื้อที่ตา แพทย์จะให้ยาหยอดตาหรือยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาการติดเชื้อและลดอาการบวมแดง การผ่าตัด หากอาการตาเหลืองเกิดจากปัญหาที่เกี่ยวข้องกับนิ่วในถุงน้ำดีหรือตับอักเสบรุนแรง แพทย์อาจแนะนำให้ทำการผ่าตัดหรือการรักษาด้วยวิธีที่เหมาะสม เช่น การผ่าตัดเอานิ่วออกจากถุงน้ำดี หรือการรักษาด้วยการทำความสะอาดตับ     6 วิธีป้องกันโรคตาเหลืองง่ายๆ ด้วยการรักษาสุขภาพ การป้องกันไม่ให้เกิดโรคตาเหลืองนั้นสามารถทำได้ด้วยการดูแลสุขภาพให้ดีและป้องกันปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดอาการตาเหลือง ดังนี้ ดูแลสุขภาพตับ การหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก และการหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีหรือยาในปริมาณที่เกินความจำเป็น ช่วยให้ตับทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคตับต่างๆ ที่อาจนำไปสู่การตาเหลือง ตรวจสุขภาพเป็นประจำ การไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพตับ และการตรวจเลือดเพื่อเช็กค่าเอนไซม์ในตับสามารถช่วยให้ตรวจพบปัญหาตับในระยะเริ่มต้นได้ หากพบอาการผิดปกติจะสามารถรักษาได้เร็วขึ้น หลีกเลี่ยงการติดเชื้อไวรัส โดยเฉพาะไวรัสตับอักเสบ เช่น ไวรัสตับอักเสบ A, B และ C การฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคตับอักเสบจะช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อที่อาจทำให้เกิดอาการตาเหลือง รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ตาเหลืองกินอะไรถึงหาย? การเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพ โดยเน้นการบริโภคผัก ผลไม้ และอาหารที่มีประโยชน์จะช่วยเสริมสุขภาพตับให้แข็งแรง และช่วยลดความเสี่ยงจากโรคที่อาจทำให้เกิดการสะสมของบิลิรูบิน ควบคุมโรคเบาหวานและโรคอ้วน โรคเหล่านี้สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคตับ เช่น ไขมันพอกตับหรือโรคตับอักเสบ ดังนั้นการควบคุมโรคเหล่านี้อย่างเหมาะสมจะช่วยลดโอกาสในการเกิดตาเหลือง ป้องกันการติดเชื้อและดูแลสุขภาพร่างกาย เริ่มต้นจากการรักษาสุขอนามัยอย่างดี เช่น การล้างมือให้สะอาดและหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ที่มีการติดเชื้อ จะช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อที่อาจส่งผลให้เกิดการอักเสบในตับและทำให้เกิดตาเหลือง รักษาโรคตาเหลือง ที่ศูนย์รักษาตา Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร ศูนย์รักษาตาที่มีผู้ชำนาญการเชี่ยวชาญด้านโรคตาโดยเฉพาะ มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย พร้อมแนวทางการรักษาที่ตรงจุด  เครื่องมือทันสมัย ด้วยอุปกรณ์และเครื่องมือที่มีความทันสมัย ทำให้สามารถตรวจหาสาเหตุของการตาเหลืองได้อย่างแม่นยำ ทั้งยังช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ บริการตรวจสุขภาพตาและคำปรึกษา นอกจากการรักษาโรคตาเหลืองแล้ว ยังมีบริการตรวจสุขภาพตาและให้คำปรึกษาในการดูแลรักษาสุขภาพตาเพื่อป้องกันโรคในอนาคต สรุป ตาเหลืองเกิดจากการสะสมของสารบิลิรูบินในเลือด ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับโรคตับ ระบบทางเดินน้ำดี หรือการติดเชื้อที่ดวงตา โดยอาการตาเหลืองจะทำให้ตาขาวหรือผิวหนังเป็นสีเหลือง และอาจมีขี้ตาเหลืองร่วมด้วย การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุ เช่น การรักษาโรคตับหรือการติดเชื้อที่ตา การป้องกันตาเหลืองทำได้โดยดูแลสุขภาพตับ รับประทานอาหารที่ดี หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์หรือสารเคมีที่เป็นอันตราย ควรตรวจสุขภาพตับประจำปี หากมีอาการตาเหลือง ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจและรักษา   ที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) เรามีแนวทางการรักษาที่ทันสมัยสำหรับอาการตาเหลือง โดยใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือที่แม่นยำในการตรวจหาสาเหตุของโรค พร้อมการรักษาที่เหมาะสม นอกจากนี้ เรายังมีบริการตรวจสุขภาพตาและคำปรึกษาจากผู้ชำนาญการ เพื่อป้องกันและดูแลสุขภาพตาอย่างครบวงจร   อ่านบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง  โรคตาแดงเกิดจากอะไร?  สัญญาณเยื่อบุตาอักเสบ  รู้ทันโรคตาในเด็ก  ขี้ตาเยอะเกิดจากอะไร?  ตาแห้งมีอาการอย่างไร   FAQ : รู้ทันโรคตา รักษาก่อนสาย! ตาเหลืองจะกลับมาขาวได้อีกไหม? ขึ้นอยู่กับสาเหตุ หากเกิดจากการอักเสบของตาหรือตาแห้ง สามารถรักษาให้กลับมาขาวได้ แต่หากเกิดจากโรคตับอาจต้องใช้เวลารักษานาน ตาเหลืองแบบไหน? ควรไปพบแพทย์ หากมีอาการต่อไปนี้ควรรีบพบแพทย์ทันที เช่น ตาเหลืองร่วมกับปวดท้องรุนแรงมีไข้สูง คลื่นไส้ อาเจียนปัสสาวะสีเข้ม อุจจาระซีด รักษาตาเหลืองอย่างไร? ขึ้นอยู่กับสาเหตุ หากเป็นการติดเชื้อที่ตาให้รีบพบแพทย์เพื่อรับยาและหาแนวทางการรักษา แต่หากเกิดจากภาวะตับอักเสบอาจต้องปรับพฤติกรรมและใช้ยา

ที่อยู่

ช่องทางติดต่อ

calling
ติดต่อเรา :