Blogs

Sort
Dry eyes
Dry eyes Tears play a crucial role in keeping our eyes moist, ensuring clear vision by letting light effectively pass through the eye's lens, and supplying oxygen to nourish the eye. They also help fend off infections and keep foreign substances at bay.   Now, when it comes to dry eyes, it's a pretty common issue that can stem from abnormal tear production or tears evaporating too quickly. This can lead to discomfort, irritation, that feeling like there's something foreign in your eye, redness, pain, blurry vision that gets better with blinking, or even feeling like your eyes are tired and heavy. What causes dry eyes can vary—getting older, being a woman (yeah, we're more prone to it), certain allergy medications, spending loads of time on screens, being in places with dust and smoke, gusty winds, and bright lights, they can all have a hand in it.   But hey, the good news is there are ways to tackle dry eyes:   Keep away from things that can make it worse, like strong winds and dust, by popping on some sunglasses and protecting those peepers. Remember to take breaks or blink more often, especially when you're glued to screens for a while. You've got these cool eye drops called artificial tears. There's a type for daytime (more watery) and nighttime (a bit thicker). Which one to use depends on how serious your dry eye situation is. Sometimes your doc might suggest special eye drops that encourage your eyes to make more tears. Give your eyes a treat with warm, clean cloths over your closed eyelids to help them feel better. If the dry eye struggle is real and isn't improving, it's wise to chat with an eye doctor.   All in all, dry eyes can be a bother, but there are solutions out there. It's important to take good care of your eyes, especially when it's all dry outside. If you suspect you've got dry eyes, having a chat with an eye care expert is a smart move.      
Read More
วิธีรักษาต้อหิน พร้อมแนวทางการป้องกันไม่ให้เกิดต้อหิน
ต้อหินมักเกิดจากปัจจัยภายในที่ควบคุมไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นอายุที่มากขึ้น พันธุกรรม โรคเบาหวาน และความผิดปกติของโครงสร้างลูกตา ซึ่งล้วนส่งผลให้ความดันตาสูงขึ้น จนไปกดทับเส้นประสาทตา ส่งผลให้เส้นประสาทตาเสื่อมสภาพและถูกทำลายอย่างช้าๆ และเกิดเป็นต้อหินในท้ายที่สุด วิธีรักษาต้อหินรวมทั้งการประคองอาการทำได้หลายวิธี ตั้งแต่การใช้ยาหยอดตา การจ่ายยาเพื่อรับประทาน การทำเลเซอร์ ไปจนถึงการผ่าตัดระบายน้ำหล่อเลี้ยงดวงตา ป้องกันต้อหินได้ด้วยการหมั่นตรวจสุขภาพดวงตา และปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น เลือกกินอาหารบำรุงดวงตา ออกกำลังกายเป็นประจำ นอนหมอนสูง และสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันดวงตาเมื่อต้องออกแดด แนะนำมารักษาต้อหินได้ที่Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ)ที่นี่มีจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษาตั้งแต่ขั้นตอนการวินิจฉัย ให้คำแนะนำ ตลอดจนการรักษาด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ปลอดภัย ให้ผลลัพธ์การรักษาที่มีประสิทธิภาพ   ต้อหิน เป็นภัยเงียบที่สังเกตอาการได้ยาก ผู้ป่วยบางคนอาจรู้ตัวเมื่อสายไป ส่งผลให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้เลยทีเดียว! มาทำความรู้จักกับโรคต้อหินให้มากขึ้น หาสาเหตุและอาการ กลุ่มเสี่ยงเป็นต้อหินที่ควรรู้ ตลอดจากการวินิจฉัยและวิธีการรักษาต้อหิน มีรายละเอียดอย่างไรบ้าง หาคำตอบได้ที่นี่     รู้จักกับต้อหิน มีสาเหตุและอาการอย่างไร ต้อหินคือหนึ่งในกลุ่มโรคต้อโดยเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของเส้นประสาทตาที่เป็นตัวนำกระแสการมองเห็นสู่สมอง หากเส้นประสาทตาถูกทำลายก็จะสูญเสียลานสายตา ส่งผลให้เส้นประสาทตาเสื่อมสภาพและถูกทำลายอย่างช้าๆ หากปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษา อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นได้อย่างถาวร และไม่สามารถรักษาให้กลับมาเป็นปกติได้ ต้อหินมักเกิดจากปัจจัยภายในที่ควบคุมไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นอายุที่มากขึ้น พันธุกรรม โรคเบาหวาน และความผิดปกติของโครงสร้างลูกตา ปัจจัยเหล่านี้เป็นต้นตอที่ทำให้ความดันภายในลูกตาสูงขึ้นจนกดทับเส้นประสาทตาจนเกิดความเสียหาย นอกจากนี้ อุบัติเหตุที่ส่งผลกระทบต่อดวงตา อาจทำให้ความดันตาสูงขึ้นจนเป็นเหตุให้เกิดต้อหินได้เช่นกัน อาการของต้อหินในระยะเริ่มแรกมักไม่แสดงอาการที่ชัดเจน ผู้ป่วยอาจสังเกตเห็นเพียงแค่ขอบภาพมัวลง หรือมีจุดบอดเล็กๆ ในสายตา แต่เมื่อปล่อยไว้นานขึ้นโรคก็จะยิ่งรุนแรงขึ้น อาจมีอาการเห็นภาพซ้อน หรือมองเห็นเป็นแสงวาบได้ ดังนั้น หากสังเกตเห็นอาการผิดปกติเกี่ยวกับสายตา ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและหาวิธีรักษาต้อหิน     กลุ่มคนที่เสี่ยงเป็นต้อหินมากที่สุด แม้ว่าต้อหินเกิดจากปัจจัยภายในที่ควบคุมไม่ได้ แต่ก็มีกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเป็นต้อหินมากกว่ากลุ่มคนทั่วไปอยู่ หากคุณเป็นหนึ่งในกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ ควรตรวจสายตาเป็นประจำ หรือ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อสังเกตอาการต้อหินอย่างใกล้ชิด และหาวิธีรักษาต้อหินได้อย่างทันท่วงที   กลุ่มผู้สูงอายุเพราะโครงสร้างของดวงตาจะเสื่อมสภาพตามวัย กลุ่มผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นต้อหินเพราะพันธุกรรมมีส่วนสำคัญในการกำหนดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ กลุ่มผู้ที่มีความดันตาสูงความดันภายในลูกตาที่สูงขึ้นเรื้อรังจะกดทับเส้นประสาทตา ทำให้เกิดความเสียหายได้ง่าย กลุ่มผู้ที่มีสายตาสั้นหรือยาวมากรูปร่างของลูกตาที่ผิดปกติอาจส่งผลต่อการระบายน้ำในลูกตา ทำให้ความดันตาสูงขึ้นได้ กลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานเพราะโรคเบาหวานสามารถทำลายหลอดเลือดฝอยที่เลี้ยงเส้นประสาทตาได้ กลุ่มผู้ที่เคยผ่าตัดตาเพราะการผ่าตัดบางชนิดอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดต้อหิน กลุ่มผู้ที่ใช้ยาบางชนิดเป็นเวลานานเช่น สเตียรอยด์ที่อาจเพิ่มความดันในลูกตา กลุ่มผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆเช่น มีขั้วตาใหญ่ เคยได้รับอุบัติเหตุที่ตา หรือมีโรคทางระบบอื่นๆ อย่างโรคไทรอยด์เป็นพิษ ระยะเวลาของการเกิดต้อหิน ระยะเวลาในการเกิดต้อหินตั้งแต่เริ่มแรกไปจนถึงการสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรใช้เวลาประมาณ 5 - 10 ปี โดยเฉพาะโรคต้อหินที่มีสาเหตุมาจากความเสื่อมสภาพตามวัย ทั้งนี้ ระยะเวลาขึ้นอยู่กับว่าผู้ป่วยตรวจพบต้อหินในระยะไหนด้วย หากพบไวก็จะหาวิธีรักษาต้อหินได้ไว แต่หากตรวจพบต้อหินในระยะท้าย อาจหาวิธีการรักษาต้อหินได้ยาก หรืออาจสูญเสียการมองเห็นภายในไม่กี่เดือน     วิธีการตรวจวินิจฉัยเพื่อรักษาต้อหิน วิธีการตรวจวินิจฉัยเพื่อหาวิธีรักษาต้อหิน แพทย์จะเริ่มต้นจากการซักประวัติ จากนั้นจะตรวจสายตาโดยละเอียด ซึ่งมีวิธีการตรวจดังนี้   การวัดสายตา การวัดความดันในลูกตา การตรวจขั้วประสาทตาและจอตา การตรวจดูลานตา การวัดความหนาของกระจกตา การตรวจมุมระบายน้ำหล่อเลี้ยงในลูกตา     วิธีรักษาต้อหินหรือกลับมาใกล้เคียงปกติ วิธีการรักษาต้อหินหรือประคองอาการไม่ให้ประสาทตาถูกทำลายมากขึ้น และคงการมองเห็นเอาไว้ให้กลับมาใกล้เคียงปกติมีอยู่หลายวิธี โดยจักษุแพทย์จะพิจารณาการรักษาแต่ละวิธีจากสาเหตุ อาการ และความรุนแรงของอาการ ดังนี้ การรักษาต้อหินโดยใช้ยาหยอดตา โดยทั่วไปแล้ว การรักษาต้อหินมักจะใช้วิธีการจ่ายยาหยอดตาที่มีส่วนช่วยลดความดันภายในลูกตา เพื่อลดการกดทับของเส้นประสาทในดวงตา ตัวยาจะเข้าไปลดการสร้างน้ำในดวงตา หรืออาจช่วยเพิ่มอัตราการไหลออกของน้ำหล่อเลี้ยงลูกตา โดยมีกลุ่มยาหยอดตาที่แพทย์พิจารณาใช้ ดังนี้   ยาต้านเบต้า (Beta-blockers)ลดการผลิตน้ำหล่อเลี้ยงในลูกตา ทำให้ความดันภายในลูกตาลดลง ยาคาร์บอนิกแอนไฮเดรสอินฮิบิเตอร์ (Carbonic Anhydrase Inhibitors)ยับยั้งการสร้างน้ำหล่อเลี้ยงในลูกตา โปรสตาแกลนดินแอนะล็อก (Prostaglandin Analogs)เพิ่มการระบายน้ำหล่อเลี้ยงออกจากลูกตา อะดรีนเนอร์จิกอะโกนิสต์ (Adrenergic Agonists)ทำให้รูม่านตาหดตัวและช่วยเพิ่มการระบายน้ำหล่อเลี้ยง พาราซิมพาโทมิเมติก (Parasympathomimetics)ทำให้รูม่านตาหดตัวและช่วยเพิ่มการระบายน้ำหล่อเลี้ยง     การรักษาต้อหินโดยการรับประทานยา หากการรักษาต้อหินโดยยาหยอดตาไม่ได้ผล จักษุแพทย์จะพิจารณาจ่ายยาชนิดรับประทานให้ผู้ป่วย โดยใช้ยาคาร์บอนิก แอนไฮเดรส อิฮิบิเตอร์ (Carbonic Anhydrase Inhibitors) ที่มีทั้งชนิดเม็ดและยาหยอดตา มีส่วนช่วยลดการสร้างของเหลวในลูกตา ทำให้ความดันภายในตาลดลง การรักษาต้อหินด้วยเลเซอร์ การรักษาต้อหินด้วยเลเซอร์มีจุดมุ่งหมายเพื่อระบายน้ำในตาออก ลดความดันภายในดวงตา ซึ่งการใช้เลเซอร์แบ่งออกเป็น 2 ชนิดขึ้นอยู่กับชนิดของต้อหิน ดังนี้   ใช้เลเซอร์กับต้อหินมุมปิดโดยจักษุแพทย์จะยิงเลเซอร์เข้าไปรักษาต้อหิน โดยเจาะรูเล็กๆ บนม่านตา เพื่อสร้างช่องทางให้ของเหลวในลูกตาไหลเวียนได้สะดวกขึ้น เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดต้อหินมุมปิดเฉียบพลัน ใช้เลเซอร์กับต้อหินมุมเปิดโดยจักษุแพทย์จะยิงเลเซอร์พลังงานต่ำเข้าไปรักษาต้อหิน โดยยิงไปที่บริเวณมุมระบายน้ำของลูกตา เพื่อกระตุ้นให้เซลล์ที่เกี่ยวข้องกับการระบายน้ำทำงานได้ดีขึ้น     การรักษาต้อหินด้วยการผ่าตัด จักษุแพทย์จะพิจารณาผ่าตัดต้อหินเพื่อสร้างช่องทางระบายน้ำภายในลูกตาที่มีขนาดเล็กประมาณ 1 - 1.5 มิลลิเมตร เพื่อให้ความดันในลูกตาต่ำลง ลดโอกาสกดทับเส้นประสาทตาที่เป็นต้นตอของต้อหิน โดยจักษุแพทย์จะมีแนวทางการผ่าตัดรักษาต้อหิน ดังนี้ 1. ผ่าตัดรักษาต้อหินด้วยวิธี Trabeculectomy ผ่าตัดรักษาต้อหินด้วยวิธี Trabeculectomy เป็นวิธีการผ่าตัดที่นิยมใช้มากที่สุด โดยการผ่าตัดสร้างแผ่นเนื้อเยื่อบางๆ ที่มุมระบายน้ำของลูกตา เพื่อให้น้ำหล่อเลี้ยงไหลออกจากลูกตาได้ง่ายขึ้น วิธีนี้จะช่วยลดความดันภายในลูกตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การรั่วของน้ำหล่อเลี้ยง การติดเชื้อ หรือการเกิดต้อกระจก 2. ผ่าตัดรักษาต้อหินด้วยวิธี Aqueous Shunt Surgery ผ่าตัดรักษาต้อหินด้วยวิธี Aqueous Shunt Surgery เป็นการผ่าตัดโดยการใส่ท่อระบายน้ำขนาดเล็กเข้าไปในลูกตา เพื่อเชื่อมต่อกับช่องว่างใต้เยื่อบุตาขาว ทำให้น้ำหล่อเลี้ยงไหลออกจากลูกตาได้โดยตรง วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีความดันตาสูงมาก หรือผู้ป่วยที่เคยผ่าตัด Trabeculectomy แล้วไม่ประสบความสำเร็จ 3. ผ่าตัดรักษาต้อหินด้วยวิธี Xen Implantation ผ่าตัดรักษาต้อหินด้วยวิธีXen Implantationเป็นการผ่าตัดเพื่อใส่ท่อระบายน้ำขนาดเล็กและยืดหยุ่นเข้าไปในดวงตา เพื่อสร้างทางระบายใหม่สำหรับของเหลวภายในลูกตา จากนั้นของเหลวส่วนเกินก็จะไหลออกจากตัวท่อไปยังใต้เยื่อบุตาขาว ส่งผลให้ความดันตาลดลง     ขั้นตอนการผ่าตัดรักษาต้อหิน การผ่าตัดรักษาต้อหินมีขั้นตอนหลักๆ ดังนี้   วิสัญญีแพทย์จะให้ยาชาเฉพาะที่บริเวณดวงตา หรืออาจให้ยาสลบในบางกรณี จักษุแพทย์จะผ่าตัดเพื่อสร้างช่องทางระบายน้ำหล่อเลี้ยงในลูกตา โดยวิธีการผ่าตัดจะแตกต่างกันไปตามชนิดของการผ่าตัด หลังจากทำการสร้างช่องทางระบายน้ำแล้ว จักษุแพทย์จะทำการเย็บปิดแผล     ผ่าตัดต้อหินเตรียมตัวอย่างไรและพักฟื้นกี่วัน? ผ่าตัดต้อหินพักฟื้นกี่วัน? โดยทั่วไปแล้วระยะเวลาในการพักฟื้นหลังการผ่าตัดต้อหินจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล อาจใช้เวลาประมาณ 1 - 2 สัปดาห์ในการพักฟื้นที่บ้าน และอาจต้องใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์ในการกลับมาทำกิจกรรมประจำวันได้ตามปกติ   และเพื่อให้วิธีการผ่าตัดรักษาต้อหินหรือประคองอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด คนไข้ควรดูแลตัวเองทั้งก่อนและหลังการผ่าตัดอย่างถูกวิธี โดยมีแนวทางการดูแลตัวเองดังนี้ การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดต้อหิน แจ้งประวัติสุขภาพทั้งหมดให้แพทย์ทราบ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับโรคประจำตัว ยาที่กำลังรับประทาน และอาการแพ้ ตรวจสุขภาพ โดยแพทย์จะทำการตรวจตาและตรวจร่างกายโดยละเอียด เพื่อประเมินสภาพร่างกายก่อนการผ่าตัด หยุดยาบางชนิดก่อนการผ่าตัด เช่น ยาละลายลิ่มเลือด ยาแอสไพริน เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออก งดอาหารและเครื่องดื่มก่อนการผ่าตัดตามเวลาที่แพทย์กำหนด หากต้องเข้าพักโรงพยาบาล ให้เตรียมเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวที่จำเป็น ควรมีญาติหรือเพื่อนมาคอยดูแลหลังการผ่าตัด การดูแลตนเองหลังผ่าตัดต้อหิน หยอดยาตามที่จักษุแพทย์กำหนดอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการติดเชื้อและลดการอักเสบ หลีกเลี่ยงการขยี้ตา หลีกเลี่ยงการยกของหนัก หลีกเลี่ยงการก้มหน้า เพราะการก้มหน้าอาจทำให้น้ำหล่อเลี้ยงไหลออกจากลูกตาได้ หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ใช้แรงมาก เช่น การออกกำลังกายหนัก การพักผ่อนจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ติดตามผลการผ่าตัดและตรวจสอบภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น     แนวทางในการป้องกันต้อหิน อย่างที่ทราบกันไปแล้วว่าต้อหินมีอาการที่สังเกตเห็นได้ยาก บางรายอาจเสี่ยงสูญเสียการมองเห็นก่อนรู้ว่าเป็นต้อหินก็ได้ ดังนั้น การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีเพื่อป้องกันต้อหินจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรรู้ โดยมีแนวทางดังนี้     ตรวจสายตาทุก 5 - 10 ปี ควรตรวจสุขภาพดวงตาเป็นประจำ ซึ่งความถี่อาจขึ้นอยู่กับอายุของแต่ละบุคคล ดังนี้   อายุต่ำกว่า 40 ปี ควรตรวจสุขภาพดวงตาทุก 5 - 10 ปี อายุ 40 - 54 ปี ควรตรวจสุขภาพดวงตาทุก 2 - 4 ปี อายุ 55 - 64 ปี ควรตรวจสุขภาพดวงตาทุก 1 - 3 ปี อายุ 65 ปีขึ้นไป ควรตรวจสุขภาพดวงตาทุก 1 - 2 ปี     การออกกำลังกาย การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอมีส่วนช่วยลดความดันภายในดวงตาลงได้ อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาแนวทางการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคลด้วย รับประทานวิตามินบำรุงสายตา ควรเลือกกินอาหารที่มีวิตามินบำรุงสายตา เพื่อรักษาสุขภาพของดวงตาให้แข็งแรง โดยมีวิตามินที่แนะนำ เช่น วิตามินเอ (Vitamin A) วิตามินซี (Vitamin C) วิตามินดี (Vitamin D) และวิตามินอี (Vitamin E) เป็นต้น     สวมอุปกรณ์ป้องกันสายตา หากจำเป็นต้องออกแดด หรือต้องออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งบ่อยๆ เป็นเวลานานๆ แนะนำให้สวมอุปกรณ์ป้องกันสายตา เช่น แว่นดำ หรือหมวกที่มีปีก เพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บของดวงตา และป้องกันการเสื่อมสภาพของดวงตาที่เป็นสาเหตุให้เกิดต้อหินได้ หนุนหมอนในระดับที่พอเหมาะ ควรนอนหนุนหมอนที่มีระดับความสูงประมาณ 20 องศา เพื่อลดความดันของลูกตาขณะนอนหลับได้อย่างมีประสิทธิภาพ รักษาต้อหินที่ศูนย์รักษาต้อหิน Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร หากเป็นต้อหิน แนะนำให้เข้ามาปรึกษาและรักษาอาการได้ที่ศูนย์รักษาต้อหิน Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ)จักษุแพทย์ของเรา มีความเชี่ยวชาญด้านการรักษาอาการต้อหินทุกระยะ ด้วยทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการักษาต้อหินโดยเฉพาะ มีจุดเด่นดังนี้ โรงพยาบาลมีทีมจักษุแพทย์เฉพาะทางด้านต้อหิน ที่มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย พร้อมให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง สรุป แม้ว่าจะไม่มีวิธีรักษาต้อหินได้ แต่ผู้ป่วยสามารถรีบรักษาเพื่อประคองและบรรเทาอาการ ป้องกันการสูญเสียการมองเห็นในระยะยาวได้ โดยควรตรวจสุขภาพดวงตาอย่างสม่ำเสมอ ออกกำลังกายเป็นประจำ เลือกกินอาหารที่มีสารอาหารบำรุงสุขภาพดวงตา นอนหมอนที่มีระดับเหมาะสม และสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันดวงตาทุกครั้งที่ต้องออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นเวลานาน เท่านี้ก็สามารถรักษาดวงตาให้สุขภาพดี ห่างไกลต้อหินได้แล้ว แนะนำมารักษาต้อหินได้ที่ศูนย์รักษาต้อหินBangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ)ที่นี่มีจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยให้บริการตั้งแต่ขั้นตอนการวินิจฉัย ให้คำปรึกษา ตลอดจนการรักษาด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ปลอดภัย ให้ผลลัพธ์การรักษาที่มีประสิทธิภาพ
Laser Vision Lasik Center
เรื่องควรรู้เกี่ยวกับการทำเลสิก วิธีแก้ไขปัญหาสายตาให้มองเห็นชัดเจน
เลสิก หรือ LASIK คือการผ่าตัดแก้ไขสายตาด้วยเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ทันสมัยด้วยการยิงเลเซอร์ที่กระจกตา ช่วยคืนการมองเห็นให้กลับมาเป็นปกติได้ การทำเลสิก สามารถแก้ไขปัญหาสายตาได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง และสายตาสั้นร่วมกับสายตายาวตามวัย เลสิกตามีหลายประเภท เลือกได้ตามความเหมาะสม ได้แก่ PRK เลสิกแบบใบมีด เฟมโตเลสิก เลสิกแบบไร้ใบมีด เลสิกไร้ใบมีดสำหรับสายตายาวตามอายุ และเลสิกแบบแผลเล็ก ทำเลสิกที่ ศูนย์เลเซอร์วิชั่น Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ที่นี่ให้บริการด้วยจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีเทคโนโลยีเลสิกที่ทันสมัยและหลากหลาย เลือกได้ตามความเหมาะสม โรงพยาบาลสะอาด ได้มาตรฐาน มั่นใจได้ในความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ   ในปัจจุบัน ปัญหาสายตาเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นสายตาสั้น สายตายาว หรือสายตาเอียง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันและการทำงาน ดังนั้นการทำเลสิกจึงเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาสายตาอย่างถาวร   บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับเทคโนโลยีการผ่าตัดเลสิกที่มีหลากหลายประเภท พร้อมรวบรวมข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมก่อนเข้ารับการรักษา รวมถึงวิธีการดูแลตัวเองหลังการผ่าตัด เพื่อให้คุณได้ผลลัพธ์การรักษาที่ดีที่สุดและสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข โดยไม่ต้องพึ่งพาแว่นสายตาหรือคอนแท็กต์เลนส์อีกต่อไป     การทำเลสิก (LASIK) คืออะไร? การทำเลสิก (LASIK หรือ Laser In Situ Keratomileusis) เป็นวิธีการผ่าตัดแก้ไขสายตาด้วยเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ทันสมัย ซึ่งชื่อนี้ใช้เรียกโดยรวมสำหรับการปรับค่าสายตาด้วยการยิงเลเซอร์ที่กระจกตา โดยจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะใช้เลเซอร์เจียระไนกระจกตาให้ได้ความโค้งที่เหมาะสม เปรียบเสมือนการปรับแต่งเลนส์ให้มีความโค้งที่พอดี ส่งผลให้แสงตกกระทบจอประสาทตาได้อย่างถูกต้อง ทำให้การมองเห็นชัดเจนขึ้นโดยธรรมชาติ     เลสิกตารักษาสายตาผิดปกติอะไรบ้าง การทำเลสิกในปัจจุบันสามารถแก้ไขปัญหาสายตาผิดปกติได้หลายรูปแบบ โดยแต่ละอาการมีสาเหตุและลักษณะที่แตกต่างกัน ดังนี้ สายตาสั้น (Myopia)เป็นภาวะที่คนไข้มองเห็นวัตถุที่อยู่ไกลไม่ชัด แต่จะมองเห็นวัตถุที่อยู่ใกล้ได้ชัดเจน สาเหตุเกิดจากกระจกตาที่โค้งมากเกินไป หรือกระบอกตายาวเกินไป ทำให้ภาพตกกระทบก่อนถึงจอประสาทตา สายตายาว (Hyperopia)เป็นอาการที่คนไข้มองเห็นวัตถุที่อยู่ใกล้ได้ไม่ชัด ซึ่งมีสาเหตุมาจากกระจกตาโค้งน้อยกว่าปกติ (แบน) หรือกระบอกตาสั้นเกินไป นอกจากนี้ ในกรณีที่เป็นสายตายาวตามวัย มักเกิดจากกล้ามเนื้อตาที่เสื่อมสภาพลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น สายตาเอียง (Astigmatism)เป็นภาวะที่คนไข้มองเห็นภาพไม่ชัดเจน เนื่องจากมีการหักเหของแสงที่ตกกระทบโฟกัสที่จอประสาทตาไม่สม่ำเสมอในระนาบเดียวกัน ส่งผลให้มองเห็นภาพบิดเบี้ยวหรือไม่คมชัด สายตาสั้นร่วมกับสายตายาวตามวัยเป็นภาวะที่เกิดจากการที่คนไข้มีสายตาสั้นอยู่แล้ว (กระจกตาโค้งเกินไปหรือกระบอกตายาวเกินไป) และเมื่อมีอายุมากขึ้น กล้ามเนื้อที่ใช้หักเหแสงของกระจกตาเริ่มเสื่อมลง จึงไม่มีกำลังมากพอที่จะบีบกระจกตาให้โป่งออกเป็นเลนส์นูนได้เหมือนเดิม ทำให้มีปัญหาทั้งการมองระยะไกลและระยะใกล้ ซึ่งการทำเลสิกก็สามารถช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้เช่นกัน     ประเภทของเลสิกตา ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางการแพทย์ ทำให้การทำเลสิกมีหลากหลายรูปแบบให้เลือกตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล โดยแต่ละประเภทมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป ดังนี้ เฟมโตเลสิก (FemtoLASIK) เป็นนวัตกรรมการรักษาสายตา ด้วยการใช้เทคโนโลยีเลเซอร์สองระบบที่ทำงานร่วมกัน ระบบแรกคือ Femtosecond Laser เพื่อเตรียมชั้นกระจกตา และตามด้วย Excimer Laser ที่ทำหน้าที่ปรับแต่งเนื้อกระจกตาให้ได้รูปทรงที่เหมาะสม การผ่าตัดใช้เวลาประมาณ 30 นาที โดยค่าใช้จ่าย Lasik ราคาประมาณ 118,000 บาท เป็นต้นไป ขึ้นอยู่กับดวงตาเงื่อนไขสุขภาพดวงตาของแต่ละท่าน ข้อดีและจุดเด่น แก้ไขปัญหาสายตาได้อย่างครอบคลุม ตั้งแต่สายตาสั้นระดับสูง สายตายาว และอาการเอียง การใช้เลเซอร์ทั้งระบบช่วยเพิ่มความแม่นยำในการรักษา ผู้ป่วยรู้สึกสบายตัวระหว่างการรักษา เนื่องจากใช้เพียงยาชาชนิดหยอด ระยะเวลาการฟื้นตัวรวดเร็ว ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติในเวลาไม่นาน มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนต่ำ เนื่องจากไม่ใช้เครื่องมือกล ข้อจำกัดและสิ่งที่ควรระวัง อาจพบรอยเปลี่ยนแปลงบริเวณผิวกระจกตา แต่จะค่อย ๆ ดีขึ้นตามเวลา ต้องระมัดระวังการกระแทกบริเวณตาในช่วงแรก เพื่อป้องกันปัญหาแทรกซ้อน อาจพบอาการตาแห้งในระยะแรกมากกว่าการผ่าตัดบางประเภท คนที่เหมาะกับเลสิกประเภทนี้ ผู้ที่มีข้อจำกัดทางกายภาพของดวงตา เช่น กระจกตาบาง หรือเปลือกตาแคบ ผู้ที่ต้องการความมั่นใจสูงสุดในเรื่องความปลอดภัย ผู้ที่พร้อมลงทุนเพื่อเทคโนโลยีที่ทันสมัยและผลลัพธ์ที่แม่นยำ   เลสิกแบบไร้ใบมีด (NanoLASIK) เป็นการพัฒนาต่อยอดจากเทคโนโลยีFemtoLASIKโดยใช้เครื่อง Femtosecond Laser Ziemer FEMTO Z8 รุ่นใหม่ที่มีความละเอียดสูงและใช้พลังงานระดับนาโนจูล ในการแยกชั้นกระจกตา ก่อนใช้ Excimer Laser ปรับแต่งความโค้งของกระจกตาตามค่าสายตาที่ออกแบบไว้ การทำเลสิกประเภทนี้ใช้เลเซอร์ในทุกขั้นตอนโดยไม่ต้องใช้ใบมีด จึงมีความแม่นยำและความปลอดภัยสูง ข้อดีและจุดเด่น แยกชั้นกระจกตาด้วยเลเซอร์พลังงานต่ำระดับนาโนจูล ทำให้แผลหายเร็วและลดอาการข้างเคียง เช่น แสบตา ตาบวม มีระบบสแกนลายม่านตาที่แม่นยำสูง สามารถติดตามการเคลื่อนไหวของลูกตาได้ถึง 1,050 ครั้งต่อวินาที ใน 6 ทิศทาง มีโปรแกรมการรักษาที่ประหยัดเนื้อกระจกตา และปรับให้เข้ากับสภาพตาแต่ละบุคคล เหมาะสำหรับผู้ที่มีสายตาสั้นมาก ใช้เทคโนโลยี Optimized Aspheric ที่รักษาความโค้งของกระจกตาให้เป็นธรรมชาติ ช่วยลดแสงกระจายในเวลากลางคืน ข้อจำกัดและสิ่งที่ควรระวัง ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญของแพทย์ในการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ต้องผ่านการประเมินและวางแผนการรักษาอย่างละเอียด มีข้อจำกัดในการรักษาตามสภาพตาของแต่ละบุคคล คนที่เหมาะกับเลสิกประเภทนี้ ผู้ที่มีสายตาสั้นมากและต้องการรักษาด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด ผู้ที่ต้องการความปลอดภัยสูงสุดและมีความกังวลเรื่องการใช้ใบมีด ผู้ที่ต้องการลดอาการข้างเคียงและระยะเวลาการฟื้นตัว ผู้ที่มีปัญหาเรื่องแสงรบกวนในเวลากลางคืนและต้องการผลการรักษาที่เป็นธรรมชาติ เลสิกไร้ใบมีดสำหรับสายตายาวตามอายุ (Nano NV LASIK) Nano NV LASIKเป็นนวัตกรรมเลสิกที่พัฒนาต่อยอดจากเทคโนโลยีNanoLASIKที่โดดเด่นด้วยการรักษาสายตายาวตามวัย (Presbyopia) ร่วมกับสายตาผิดปกติอื่น ๆ ด้วยหลักการ Blended Vision โดยปรับให้ตาแต่ละข้างมีความสามารถในการมองเห็นที่ต่างกัน ทำให้สามารถมองเห็นได้ทั้งระยะใกล้และไกลได้อย่างเป็นธรรมชาติ วิธีนี้ใช้เลเซอร์ Femtosecond Ziemer FEMTO Z8 รุ่นใหม่ที่มีความเร็วสูงและพลังงานระดับนาโนจูล ช่วยแยกชั้นกระจกตาได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย ข้อดีและจุดเด่น เทคโนโลยี Blended Vision ปรับสมดุลการมองเห็นของตาทั้งสองข้าง เพื่อให้มองเห็นได้ครบทุกระยะ เลเซอร์พลังงานระดับนาโนจูลช่วยลดการรบกวนเนื้อกระจกตา ทำให้แผลหายเร็วและลดอาการข้างเคียง เช่น แสบตา ตาบวม มีระบบสแกนลายม่านตาที่ทันสมัย สามารถติดตามการเคลื่อนไหวของลูกตาได้ถึง 1,050 ครั้งต่อวินาที ใน 6 ทิศทาง ทำให้การยิงเลเซอร์แม่นยำแม้มีการกลอกตา โปรแกรม Optimized Aspheric ช่วยรักษารูปทรงของกระจกตาให้เป็นธรรมชาติ ลดปัญหาแสงกระจายในเวลากลางคืน ข้อจำกัดและสิ่งที่ควรระวัง อาจทำให้ความคมชัดของภาพลดน้อยลงบ้าง โดยเฉพาะในงานที่ต้องการความละเอียดมาก เช่น งานเย็บปักถักร้อย สำหรับผู้ที่ต้องการความคมชัดมาก ๆ เช่น นักกีฬา หรือผู้ที่ต้องทำงานระยะใกล้เป็นประจำ อาจต้องเลือกวิธีการรักษาแบบให้ตาทั้งสองข้างมองไกลชัดเจน และใช้แว่นสำหรับอ่านหนังสือเมื่อต้องทำงานระยะใกล้ ในกรณีที่ไม่สามารถปรับตัวกับการรักษาได้ อาจต้องทำการเติมเลเซอร์เพิ่มเติม เพื่อปรับให้สามารถมองเห็นชัดในระยะไกลทั้งสองข้าง คนที่เหมาะกับเลสิกประเภทนี้ ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปที่มีปัญหาสายตายาวตามวัยร่วมกับสายตาผิดปกติอื่น ๆ ผู้ที่ต้องการความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวัน โดยไม่ต้องพึ่งพาแว่นหลายคู่ ผู้ที่ประกอบอาชีพที่ต้องมองทั้งระยะใกล้และไกล แต่ไม่ได้ต้องการความคมชัดสูงมาก ผู้ที่มีความเข้าใจในข้อจำกัดของการรักษาและพร้อมให้เวลากับการปรับตัวในช่วงแรก   เลสิกแบบแผลเล็ก (NanoRelex) NanoRelexเป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดในการผ่าตัดเลสิกที่ใช้เทคโนโลยี Femtosecond Laser ร่วมกับระบบ AI ในการรักษาสายตาสั้น เอียง และสายตายาว โดยใช้เลเซอร์พลังงานระดับนาโนจูลสร้างแผลขนาดเล็กเพียง 2-3 มิลลิเมตร พร้อมระบบ OCT Scan ที่ช่วยให้แพทย์มองเห็นชั้นกระจกตาได้แบบ Real-Time ขณะผ่าตัด และสามารถปรับแต่งเนื้อเยื่อภายในชั้น Stroma ของกระจกตาด้วยการคำนวณชิ้นเนื้อกระจกตาแบบ 3 มิติ ตามค่าสายตาของแต่ละบุคคล ข้อดีและจุดเด่น ใช้เลเซอร์พลังงานระดับนาโนจูล ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บขณะผ่าตัด มีระบบ AI และกล้อง OCT Scan ช่วยในการวิเคราะห์และเพิ่มความแม่นยำในการรักษา แผลผ่าตัดมีขนาดเล็กเพียง 2-3 มิลลิเมตร ใช้ระยะเวลาผ่าตัดสั้น ลดอาการตาแห้งและการเคืองตาหลังการรักษา กระจกตายังคงรูปร่างและความแข็งแรง ทำให้แผลหายเร็ว ข้อจำกัดและสิ่งที่ควรระวัง แก้ปัญหาสายตายาว สายตาเอียงได้ แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาสายตายาว หลังทำ 1-2 สัปดาห์อาจมีอาการมองเห็นเป็นหมอก แต่อาการจะดีขึ้นเอง คนที่เหมาะกับเลสิกประเภทนี้ ผู้ที่มีปัญหาสายตาสั้น เอียง ผู้ที่ต้องการความแม่นยำในการรักษาสูง ผู้ที่มีเวลาพักฟื้นน้อย     การเตรียมตัวก่อนทำเลสิกตา เพื่อให้การผ่าตัดเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย ผู้เข้ารับการทำเลสิกควรปฏิบัติตามคำแนะนำ ดังนี้ งดใส่คอนแท็กต์เลนส์ก่อนวันผ่าตัด ทำความสะอาดร่างกาย ล้างหน้า และสระผมในวันผ่าตัด งดแต่งหน้าในวันที่ทำการผ่าตัด สวมเสื้อผ้าที่ติดกระดุมด้านหน้าเพื่อความสะดวกในการเปลี่ยน งดใช้น้ำหอมหรือสเปรย์ดับกลิ่นทุกชนิด งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แจ้งประวัติการใช้ยาประจำให้จักษุแพทย์ทราบ เพื่อพิจารณาว่าต้องหยุดยาหรือไม่ ควรมีผู้ติดตามมาด้วยในวันผ่าตัด และไม่ควรขับรถมาเอง เพื่อความสะดวกและปลอดภัย     สิ่งที่ห้ามทำหลังจากทำเลสิกตา เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น หลังการทำเลสิกผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลตนเอง ดังนี้ ห้ามขยี้ตาเด็ดขาด หากรู้สึกคัน ให้ล้างมือให้สะอาดและใช้นิ้วชี้แตะเบา ๆ ที่หัวตาหรือหางตาแทน ห้ามล้างหน้าหรือให้น้ำเข้าตา ห้ามว่ายน้ำหรือดำน้ำ งดการแต่งหน้าบริเวณรอบดวงตา หยอดยาตามที่จักษุแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ใส่ฝาครอบตาก่อนนอนให้ครบ 1 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการขยี้ตาโดยไม่รู้ตัว หากต้องใช้สายตามาก ควรพักสายตาเป็นระยะ ใครที่ไม่สามารถทำเลสิกตาได้ ผู้ที่มีสายตาสั้นเกิน 1,400 ไม่ควรทำเลสิก เนื่องจากอาจพบข้อจำกัดในการรักษาที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพและความปลอดภัย นอกจากนี้ ผู้ที่มีความผิดปกติของกระจกตา เช่น กระจกตาบางหรือหนาเกินไป ก็อาจไม่เหมาะสมกับการทำเลสิก ดังนั้น การตรวจประเมินสภาพดวงตาอย่างละเอียดโดยจักษุแพทย์และขอคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการรักษาที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ทำเลสิกที่ศูนย์เลเซอร์วิชชั่น Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ดีอย่างไร หากต้องการทำเลสิก แนะนำให้เข้ามาปรึกษาและรักษาอาการเหล่านี้ได้ที่ศูนย์เลเซอร์วิชั่น Bangkok Eye Hospitalที่นี่โดดเด่นด้านการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ด้วยทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีจุดเด่นดังนี้   โรงพยาบาลมีทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย พร้อมให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง สรุป ในปัจจุบัน การทำเลสิกถือเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับผู้ที่มีปัญหาสายตาผิดปกติ เนื่องจากมีเทคโนโลยีที่หลากหลายให้เลือกใช้ โดยเริ่มตั้งแต่วิธีดั้งเดิมอย่าง PRK และ LASIK ไปจนถึงนวัตกรรมล่าสุดอย่างSMILE Pro, NanoRelex และ Nano NV LASIK ทำให้ผู้ป่วยสามารถเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพสายตาและความต้องการของตนเอง เพื่อให้กลับมามองเห็นได้ชัดเจนโดยไม่ต้องพึ่งพาแว่นสายตาอีกต่อไป เข้ามาทำเลสิกรักษาอาการสายตาสั้น ยาว เอียง ได้ที่ศูนย์เลเซอร์วิชั่น Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ)ที่นี่ให้บริการโดยจักษุแพทย์มากความสามารถ มีความเชี่ยวชาญและประสบการณืด้านการรักษาดวงตาอย่างยาวนาน ที่นี่มีเทคโนโลยีการทำเลสิกที่ทันสมัย มั่นใจได้ในความปลอดภัยและผลลัพธ์หลังการรักษา
พังผืดที่จอประสาทตาคืออะไร? วิธีการรักษาและป้องกันสุขภาพดวงตา
พังผืดที่จอตา คืออาการที่เกิดจากการสะสมของเนื้อเยื่อหรือพังผืดบางๆ บนผิวของจอประสาทตา ส่งผลให้เกิดความผิดปกติในการมองเห็น เห็นภาพบิดเบี้ยว มองเห็นไม่ชัด เป็นต้น พังผืดจอประสาทตาเกิดจากหลากหลายปัจจัย เช่น อายุที่เพิ่มมากขึ้น ภาวะจอประสาทตาหลุดลอก การอักเสบในดวงตา ปัญหาเกี่ยวกับน้ำวุ้นตา เป็นต้น การรักษาพังผืดที่จอตาทำได้โดยขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรง มีตั้งแต่การติดตามอาการอย่างใกล้ชิด ไปจนถึงการรักษาด้วยการผ่าตัดน้ำวุ้นร่วมกับวิธีลอกพังผืดจอประสาทตา รักษาพังผืดที่จอตาที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ที่นี่มีจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โรงพยาบาลสะอาด ได้มาตรฐานในระดับสากล และให้การรักษาโดยเทคโนโลยีที่ทันสมัย มั่นใจในประสิทธิภาพการรักษา   พังผืดที่จอตาเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการมองเห็น ทำให้ภาพที่มองเห็นเบลอหรือบิดเบี้ยวผิดปกติ หากปล่อยไว้โดยไม่รักษาอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นถาวร การดูแลสุขภาพดวงตาอย่างเหมาะสมและการพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการผิดปกติจะช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้จะพามาทำความเข้าใจถึงพังผืดจอประสาทตา ตั้งแต่สาเหตุ อาการ การรักษา ไปจนถึงวิธีป้องกัน พร้อมเคล็ดลับในการดูแลสุขภาพดวงตาให้แข็งแรง ไปดูกัน     พังผืดที่จอตา คืออะไร พังผืดที่จอตา หรือ พังผืดจอประสาทตา (Epiretinal Membrane) เป็นภาวะที่เกิดจากการสะสมของเนื้อเยื่อหรือพังผืดบางๆ บนผิวของจอประสาทตา โดยเฉพาะบริเวณจุดรับภาพตรงกลาง (Macula) ซึ่งเป็นจุดที่ช่วยให้มองเห็นภาพได้คมชัด เมื่อเกิดพังผืดขึ้นอาจส่งผลให้จอตาถูกดึงรั้ง จนเกิดความผิดปกติในการมองเห็น เช่น ภาพบิดเบี้ยว หรือมองเห็นภาพไม่ชัดเจน หากไม่ได้รับการรักษา อาการอาจลุกลามจนส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันได้ อาการของพังผืดที่จอตา อาการที่พบในผู้ที่มีพังผืดที่จอประสาทตามักเกี่ยวข้องกับการมองเห็นผิดปกติ โดยผู้ที่เป็นพังผืดที่จอตาอาการที่มักพบได้บ่อย ได้แก่ มองเห็นเส้นตารางที่ดูโค้ง บิดเบี้ยว หรือม้วนเป็นขยุ้มบริเวณตรงกลางของภาพ ขณะที่ภาพในส่วนด้านข้างยังคงดูปกติดี บางรายอาจมีอาการเห็นแสงแฟลชในตาเป็นครั้งคราว โดยไม่มีสิ่งกระตุ้นจากภายนอก จอตาหลุดลอกบางส่วน (Retinal Detachment) โดยอาการนี้ส่งผลให้การมองเห็นมีจุดมืดหรือส่วนที่หายไปในภาพ โดยเฉพาะบริเวณที่จอตาหลุดลอก มีเลือดออกที่ผิวจอตาหรือน้ำวุ้นตา ซึ่งส่งผลกระทบต่อการมองเห็น ทำให้ตามัวลงหรือเห็นภาพไม่ชัดเจน จอตาส่วนกลางขาดเป็นรู (Macular Hole) โดยผู้ป่วยอาจมีอาการตามัวลงอย่างรวดเร็วและฉับพลัน หากมีอาการดังกล่าว ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาพังผืดที่จอประสาทตาอย่างเหมาะสม สาเหตุของพังผืดที่จอประสาทตา พังผืดที่จอประสาทตาอาจเกิดจากกระบวนการเสื่อมสภาพของร่างกายตามอายุ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่น้ำวุ้นตาเริ่มแยกตัวออกจากจอประสาทตา (Posterior Vitreous Detachment) ส่งผลให้เนื้อเยื่อบริเวณจอประสาทตาเกิดการกระตุ้นและสร้างพังผืดขึ้น นอกจากนี้โรคบางชนิด เช่น เบาหวานขึ้นจอประสาทตา การอุดตันของหลอดเลือดในจอตา หรือการอักเสบในดวงตา ก็เป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงให้เกิดพังผืดที่จอตาได้ อีกสาเหตุสำคัญของการเกิดพังผืดจอประสาทตาคือ การบาดเจ็บหรือภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดดวงตา เช่น การผ่าตัดต้อกระจก รวมถึงภาวะจอประสาทตาหลุดลอกหรือความผิดปกติของน้ำวุ้นตา ซึ่งทำให้เกิดการสะสมของเซลล์และสารโปรตีนบริเวณจอประสาทตา ในบางกรณีสาเหตุอาจเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้     ปัจจัยหลักที่ทำให้เสี่ยงเป็นพังผืดที่จอตา พังผืดที่จอตาเกิดจากหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในดวงตา ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เป็นพังผืดที่จอประสาทตา ได้แก่ อายุที่เพิ่มขึ้นความเสื่อมตามธรรมชาติของจอประสาทตาและน้ำวุ้นตาพบได้บ่อยในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีโอกาสเกิดพังผืดที่จอประสาทตามากขึ้น ภาวะจอประสาทตาหลุดลอกทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเนื้อเยื่อและการฟื้นฟูที่ผิดปกติ จนนำไปสู่การเกิดพังผืดจอประสาทตา การอักเสบในดวงตาเช่น การอักเสบของน้ำวุ้นตาหรือจอประสาทตา อาจกระตุ้นให้เกิดพังผืดที่จอตาได้ ปัญหาเกี่ยวกับน้ำวุ้นตาเช่น การแยกตัวของน้ำวุ้นตา (Posterior Vitreous Detachment) กระตุ้นให้เซลล์และโปรตีนเคลื่อนไปสะสมบนจอประสาทตา ประวัติครอบครัวและพันธุกรรมในบางกรณีความเสี่ยงของการเกิดพังผืดที่จอตา อาจเกิดขึ้นได้จากความผิดปกติที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ การผ่าตัดหรือบาดเจ็บดวงตาอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดพังผืดที่จอตาในระยะต่อมา โรคเบาหวานผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตา ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดพังผืดที่จอตาได้ การรักษาพังผืดที่จอประสาทตา ทำอย่างไร การรักษาพังผืดที่จอประสาทตาขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของภาวะพังผืดที่จอตา หากเป็นในระยะเริ่มต้นและอาการไม่รุนแรง จักษุแพทย์อาจแนะนำการปฏิบัติตน เฝ้าระวัง และติดตามอาการอย่างใกล้ชิด ในกรณีที่พังผืดที่จอตามีอาการรุนแรงขึ้นและรบกวนการมองเห็น จักษุแพทย์จะทำการรักษาพังผืดที่จอประสาทตาด้วยการผ่าตัดน้ำวุ้นร่วมกับวิธีลอกพังผืดจอประสาทตาเพื่อเอาพังผืดที่จอตาออก และอาจมีราคาหรือค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดพังผืดในจอตาที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับโรงพยาบาลที่ทำการผ่าตัดในแต่ละที่     วิธีดูแลตัวเอง เมื่อเป็นพังผืดที่จอตา การดูแลตัวเองอย่างถูกต้องเมื่อเป็นพังผืดที่จอตา มีส่วนช่วยลดความรุนแรงของอาการและป้องกันการลุกลามของโรคได้ โดยมีข้อแนะนำในการดูแลตัวเองดังนี้ ปฏิบัติตามคำแนะนำของจักษุแพทย์ เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นพังผืดที่จอตาการปฏิบัติตามคำแนะนำของจักษุแพทย์เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ควรใช้ยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด เช่น การใช้ยาหยอดตาเพื่อลดการอักเสบหรือป้องกันการติดเชื้อ หลีกเลี่ยงการขยี้ตาหรือทำกิจกรรมที่อาจเพิ่มแรงดันในลูกตา และหมั่นดูแลสุขภาพโดยรวม เช่น การควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวานเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น พบจักษุแพทย์ให้ตรงตามนัด การไปพบแพทย์ตามกำหนดนัดหมายอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะแพทย์จะสามารถตรวจติดตามความคืบหน้าของการเกิดพังผืดที่จอตาและประเมินภาวะต่างๆ ได้ทันเวลา หากมีอาการผิดปกติเพิ่มเติม เช่น การมองเห็นแย่ลง หรือมีจุดมืดในภาพ ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์โดยไม่รอจนถึงวันนัด เพื่อป้องกันภาวะที่อาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็นอย่างถาวร     แนวทางในการป้องกันไม่ให้เป็นพังผืดที่จอประสาทตา พังผืดที่จอประสาทตาเป็นปัญหาดวงตาที่สามารถป้องกันได้ หากใส่ใจดูแลสุขภาพดวงตาและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันอย่างเหมาะสม โดยวิธีป้องกันตัวเองไม่ให้เป็นพังผืดที่จอตามีดังนี้ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ การรับประทานอาหารที่หลากหลายและมีประโยชน์ เช่น ผักและผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี และแร่ธาตุอื่นๆ ช่วยเสริมสร้างสุขภาพดวงตาให้แข็งแรง และลดความเสี่ยงของการเกิดพังผืดที่จอตา ออกกำลังกายเป็นประจำ การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้หลอดเลือดในดวงตาทำงานได้ดี ลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ เช่น เบาหวานและความดันโลหิตสูงที่อาจเป็นสาเหตุของการเกิดพังผืดที่จอประสาทตา หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวม ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้สุขภาพดวงตาเสื่อมสภาพเร็วขึ้น การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดพังผืดที่จอตาได้ ตรวจสุขภาพดวงตาทุกปี การตรวจสุขภาพดวงตาเป็นประจำช่วยให้สามารถตรวจพบความผิดปกติของดวงตา เช่น พังผืดจอประสาทตา ได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งสามารถรักษาได้ทันก่อนที่จะเกิดอาการรุนแรง ควรตรวจสุขภาพดวงตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่มีประวัติความเสี่ยงทางพันธุกรรม รักษาพังผืดที่จอตา ที่ศูนย์จอประสาทตา Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ดีอย่างไร หากมีอาการพังผืดที่จอตา แนะนำให้เข้ามาปรึกษาและรักษาอาการเหล่านี้ได้ที่ศูนย์จอประสาทตา Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ)ที่นี่โดดเด่นด้านการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ด้วยทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีจุดเด่นดังนี้ โรงพยาบาลมีทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย พร้อมให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง สรุป พังผืดที่จอตาเป็นภาวะที่อาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็น หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นถาวรได้ การป้องกันและดูแลดวงตาด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย และตรวจสุขภาพดวงตาอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดความเสี่ยงพังผืดที่จอประสาทตาได้ สำหรับผู้ที่เป็นพังผืดที่จอตาหรือกำลังประสบปัญหาดวงตา สามารถเข้ารับการรักษาที่ศูนย์จอประสาทตา ฺBangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ซึ่งมีทีมแพทย์มากประสบการณ์ที่พร้อมดูแลปัญหาที่ส่งผลต่อการมองเห็นและระบบประสาทได้อย่างครบวงจร
ทำความเข้าใจถึงสาเหตุของต้อเนื้อ อาการ วิธีการรักษา และการป้องกัน
โรคต้อลมเกิดจากอะไร อาการที่พบบ่อย พร้อมวิธีรักษาและการป้องกัน
ทำความเข้าใจอาการกระจกตาเสื่อม สาเหตุ วิธีการดูแลรักษาและป้องกัน
Contact Us