มุมสุขภาพตา : #IOL

เรียงตาม

ตาแห้งมีอาการอย่างไร วิธีรักษา ป้องกัน และนิสัยที่ช่วยลดอาการตาแห้ง

อาการตาแห้ง คือภาวะตาขาดความชุ่มชื้นเพราะการผลิตน้ำตาน้อยเกินไปหรือคุณภาพน้ำตาไม่ดี ทำให้เกิดอาการระคายเคืองและไม่สบายตาได้ ตาแห้งเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น อายุที่มากขึ้นทำให้การผลิตน้ำตาน้อยลง การสวมใส่คอนแท็กต์เลนส์นานเกินไป การจ้องจอคอมพิวเตอร์นานๆ รวมถึงผลข้างเคียงจากยาบางชนิด การรักษาตาแห้งทำได้หลายวิธี เช่น ยาหยอดตา น้ำตาเทียม การประคบอุ่น และการรักษาด้วยยาลดการอักเสบ รักษาอาการตาแห้งที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ได้รับการดูแลจากจักษุแพทย์ พร้อมเทคโนโลยีทันสมัยและการรักษาที่เหมาะสมกับอาการ   ตาแห้งเป็นโรคที่ทำให้ตารู้สึกแห้งและระคายเคือง เนื่องจากการผลิตน้ำตาลดลงหรือคุณภาพของน้ำตาไม่ดีพอ ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย หากดูแลอย่างถูกวิธี จะช่วยลดอาการและป้องกันภาวะตาแห้งในระยะยาว มาหาสาเหตุของอาการตาแห้ง วิธีรักษา รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันอาการตาแห้งได้ในบทความนี้     อาการตาแห้ง คืออะไร? ก่อนทำความรู้จักกับอาการตาแห้ง ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ‘น้ำตา’ กันก่อน โดยน้ำตามีความสำคัญต่อดวงตา เป็นตัวช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา ทำให้มองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวได้อย่างชัดเจน หล่อเลี้ยงเลี้ยงกระจกตาด้วยออกซิเจน และป้องกันการติดเชื้อและสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้ามาทำร้ายดวงตา ตาแห้ง เป็นอาการที่ปริมาณน้ำตาที่เข้ามาหล่อเลี้ยงผิวตามีไม่เพียงพอส่งผลให้ผิวตาอักเสบได้ โดยอาการของตาแห้งอาจเริ่มจากการแสบตา หรือรู้สึกระคายเคืองเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในตา รวมถึงอาจพบอาการตาแดง เจ็บ หรือมีการพร่ามัวที่ดีขึ้นเมื่อกะพริบตา นอกจากนี้ยังอาจรู้สึกฝืดๆ หนักๆ ที่ตา หรือลืมตาลำบาก และบางครั้งอาจมีอาการตาล้าหรือมีน้ำตาไหลมากผิดปกติ     ทำไมถึงมีอาการตาแห้งได้ ตาแห้งเป็นปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อความสบายของดวงตาและการมองเห็น โดยเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่ พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟนเป็นเวลานานเกินไป อาการภูมิแพ้ที่ตาซึ่งอาจเกิดจากสิ่งแวดล้อมที่มีฝุ่น ควัน หรือมลภาวะ อยู่ในที่ร้อน ลมแรง หรือความชื้นต่ำ ความผิดปกติของต่อมไขมันขอบตา การพบตัวไร (Demodex blepharitis) บริเวณโคนขนตา ซึ่งเกิดจากการอักเสบของต่อมน้ำตา การใช้ยาบางประเภท เช่น ยาคุมกำเนิด ยาแก้แพ้ ยาต้านซึมเศร้า ยาลดความดันโลหิตบางชนิด ฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล โดยเฉพาะในเพศหญิงที่อาจทำให้คุณภาพของน้ำตาลดลง     อาการตาแห้งเกิดจากอะไร มีปัจจัยอะไรบ้าง ปัจจัยที่ส่งผลต่อการผลิตน้ำตาหรือการทำงานของต่อมน้ำตา หากมีลักษณะดังต่อไปนี้ จะทำให้เกิดอาการตาแห้งได้ง่ายขึ้น สร้างน้ำตาได้น้อยกว่าปกติ  (Aqueous Tear Deficiency) กลุ่มคนที่มีความผิดปกติหรือปัจจัยที่ส่งผลให้สามารถสร้างน้ำตาได้น้อย ได้แก่   กลุ่มคนที่เป็นโรค Sjogren’s Syndrome โรครูมาตอยด์ โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือภาวะที่ไม่พบสาเหตุชัดเจน เช่น Primary Sjogren’s Syndrome กลุ่มคนที่ไม่เป็นโรค Sjogren’s Syndrome เช่น ต่อมน้ำตาทำงานผิดปกติตั้งแต่เกิด โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง การแพ้ยารุนแรง หรือการอักเสบที่ทำให้ท่อน้ำตาตัน กลุ่มคนที่ฮอร์โมนเปลี่ยน มักพบในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่ส่งผลให้การผลิตน้ำตาและสารคัดหลั่งอื่นๆ ในร่างกายลดลง การกินยาบางประเภท เช่น ยาแก้หวัด ยาแก้แพ้ ยาลดความดันโลหิต หรือยาคลายเครียดบางชนิด ที่มีสารกันเสียเป็นส่วนประกอบ อาจทำให้ตาแห้งมากขึ้น เนื่องจากสารเหล่านี้สามารถลดการผลิตน้ำตาได้ น้ำตาระเหยเร็ว (Evaporative Dry Eyes)  ปัจจัยที่ส่งผลให้การระเหยของน้ำตาเกิดขึ้นเร็วกว่าปกติ ได้แก่   ต่อมไขมันที่เปลือกตาทำงานผิดปกติ เปลือกตาอักเสบที่เกิดจากความผิดปกติของชั้นไขมัน จะทำให้การสร้างน้ำตาชั้นน้ำมันลดลง ซึ่งทำให้เกิดการระเหยของน้ำตาได้เร็วขึ้น ความผิดปกติของเปลือกตา การปิดตาไม่สนิทหรือการกะพริบตาน้อยผิดปกติ ซึ่งทำให้การกระจายน้ำตาผิดปกติ และเพิ่มการระเหยของน้ำตา โดนสารเคมีหรือแพ้ยารุนแรง การอักเสบของเยื่อบุตาอาจทำให้เกิดแผลเป็น ซึ่งส่งผลต่อการสร้างน้ำตาชั้นเมือกที่ติดกับกระจกตา ทำให้การสร้างน้ำตาผิดปกติ การใช้สายตามาก พบมากในวัยทำงานจากพฤติกรรมจ้องจอคอมพิวเตอร์นานๆ โดยไม่ค่อยกะพริบตา และการใส่คอนแท็กต์เลนส์ที่ดูดน้ำออกจากดวงตา ทำให้การผลิตน้ำตาลดลงและน้ำตาระเหยเร็ว     วิธีรักษาหรือวิธีแก้โรคตาแห้ง วิธีรักษาโรคตาแห้งจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและอาการของแต่ละบุคคล โดยใช้วิธีต่างๆ รวมทั้งการใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการ ดังนี้ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ตาแห้ง ควรหลีกเลี่ยงการโดนลมแรง ฝุ่นควัน หรือแสงจ้า โดยการใส่แว่นกันแดดและแว่นกันลม เพื่อป้องกันสิ่งแวดล้อมที่อาจทำให้ตาแห้งขึ้น นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงการใส่คอนแท็กต์เลนส์เป็นเวลานานๆ เพื่อไม่ให้สูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงจากดวงตาที่อาจทำให้อาการตาแห้งแย่ลงได้ ใช้น้ำตาเทียม ในการรักษาอาการตาแห้ง น้ำตาเทียมเป็นตัวช่วยที่ดี โดยมี 2 ชนิดให้เลือกใช้ ได้แก่   น้ำตาเทียมที่มีสารกันเสีย ในรูปแบบขวด ควรใช้ไม่เกิน 4-5 ครั้งต่อวัน อาจแบ่งการใช้ยาเพิ่มน้ำตาตามช่วงเวลาของวัน เช่น เช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน ซึ่งเหมาะสำหรับอาการตาแห้งที่ไม่รุนแรง น้ำตาเทียมที่ไม่มีสารกันเสีย แบบกระเปาะ เปิดแล้วมีอายุ 24 ชั่วโมง หรือขวดที่มีระบบวาล์วพิเศษใช้ได้นาน 6 เดือน ใช้บ่อยได้ตามต้องการ เช่น ทุก 1-2 ชั่วโมง เหมาะกับผู้ที่มีอาการตาแห้งรุนแรง  ใช้ยาหยอดตาเพิ่มปริมาณน้ำตา มียาหยอดตาที่ช่วยเพิ่มน้ำตาและรักษาอาการตาแห้งได้ โดยแต่ละชนิดจะช่วยรักษาตามอาการที่แตกต่างกัน ดังนี้   ยา Diquafosol ช่วยเพิ่มการสร้างน้ำตาชั้นเมือกและชั้นน้ำเพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ดวงตาและลดอาการแห้ง ยาปฏิชีวนะ Doxycycline ยาลดการอักเสบของเปลือกตาช่วยลดการอักเสบและอาการระคายเคืองที่เกิดจากตาแห้ง ยากลุ่ม Steroids โดยยานี้ช่วยบรรเทาการอักเสบของผิวตาและลดอาการระคายเคืองที่เกิดจากการขาดน้ำตา ยา Cyclosporine ยากดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressant) ชนิดหยอดตา ช่วยลดการอักเสบในตาและเพิ่มการผลิตน้ำตา โดยการปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ซึ่งสามารถช่วยลดอาการตาแห้งได้ การทำความสะอาดเปลือกตา การทำความสะอาดเปลือกตาและประคบอุ่นด้วยแชมพูเด็กผสมเจือจางหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเปลือกตาช่วยลดการอุดตันของต่อมไขมันในเปลือกตา ทำให้ชั้นไขมันที่เคลือบน้ำตาทำงานได้ดีขึ้น ช่วยป้องกันน้ำตาระเหยเร็วและลดอาการตาแห้ง ใช้ Autologous Serum การรักษาอาการตาแห้งชนิดรุนแรงโดยใช้สารที่ช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อทำได้โดยการเจาะเลือดจากผู้ป่วยไปปั่นแยกเป็น Serum และนำมาหยอดร่วมกับการใช้น้ำตาเทียม ซึ่งจะช่วยลดการอักเสบของเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ และส่งเสริมการฟื้นตัวของเนื้อเยื่อให้กลับสู่สภาพปกติได้ดีขึ้น การอุดท่อระบายน้ำตาที่หัวตา (Punctal Plug) การรักษาอาการตาแห้งที่รุนแรงทำได้โดยการอุดช่องทางที่น้ำตาไหลออกจากตา (Punctum) ซึ่งมีทั้งชนิดอุดชั่วคราวและชนิดอุดถาวร โดยการใส่ Silicone Plug หรือ Punctal Cautery ซึ่งเป็นการจี้บริเวณช่องทางที่น้ำตาระบายออกจากตา วิธีนี้ช่วยให้ดวงตาเก็บน้ำตาไว้ได้นานขึ้น ลดการระเหยของน้ำตา และช่วยบรรเทาอาการตาแห้งได้ในกรณีที่อาการรุนแรงมาก     การปรับพฤติกรรมเพื่อป้องกันอาการตาแห้ง การป้องกันอาการตาแห้งทำได้ง่ายๆ ด้วยการปรับพฤติกรรมบางอย่างในชีวิตประจำวัน ดังนี้    หยุดพักจากการใช้งานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือมือถือทุกๆ 20 นาที โดยการหลับตาสัก 20 วินาที หรือมองสิ่งที่อยู่ไกลประมาณ 20 ฟุต เพื่อให้ตาได้พักและผ่อนคลาย งดการใช้คอนแท็กต์เลนส์ต่อเนื่อง ควรสลับใส่แว่นในระหว่างวันเพื่อให้ดวงตาได้พัก ใช้งานคอมพิวเตอร์หรือมือถือในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ เพื่อช่วยลดความเครียดของดวงตา เตือนตัวเองให้กะพริบตาบ่อยๆ เพื่อให้น้ำตาเคลือบตาและช่วยลดการระเหยของน้ำตา หากอยู่ในที่ที่มีอากาศแห้ง ร้อน หรือมีลมแรง ควรสวมแว่นกันแดดกันลมเพื่อปกป้องตาจากสภาพแวดล้อม กินอาหารที่ครบทุกหมู่ โดยเฉพาะผัก ผลไม้ ปลา หรืออาหารที่มีโอเมกา 3 ซึ่งช่วยต้านอนุมูลอิสระและลดการอักเสบของตา  ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อวัน สรุป ตาแห้งคืออาการที่น้ำตาผลิตไม่เพียงพอหรือระเหยเร็วเกินไป ทำให้ดวงตารู้สึกแห้ง ระคายเคือง และอาจเกิดการอักเสบได้ รักษาได้หลายวิธี เช่น ใช้น้ำตาเทียม ประคบอุ่น ใช้ยาเพื่อเพิ่มการสร้างน้ำตาหรือลดการอักเสบ และป้องกันตาแห้งได้ด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้ดวงตา รวมถึงการใช้ยาเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของดวงตา  สำหรับผู้ที่มีอาการตาแห้งรุนแรง รับการรักษาได้ที่ ศูนย์โรคจักษุประสาทวิทยา Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ซึ่งให้การดูแลปัญหาตาแห้งที่ส่งผลต่อการมองเห็นและระบบประสาท โดยจักษุแพทย์ในการวินิจฉัยและรักษาภาวะตาแห้งอย่างครบวงจร
อ่านเพิ่มเติม
ศูนย์เลสิก LASER VISION

แสงกับการมองเห็นของดวงตา

แสงกับการมองเห็นของดวงตา แสงกับการมองเห็นของดวงตา การมองเห็นวัตถุ      เกิดจากการที่แสงตกกระทบสิ่งต่างๆ แล้วเกิดการสะท้อนเข้าสู่ตาเราทางเลนส์ตา (Lens) ผ่านเข้ามาในลูกตา ทำให้เกิดภาพบนเรตินา (Retina) ที่อยู่ด้านหลังของลูกตา แล้วส่งข้อมูลของวัตถุที่มองเห็นผ่านเส้นประสาท (Optic nerve) ไปสู่สมอง สมองจะทำการแปลข้อมูลเป็นภาพของวัตถุนั้นๆ      ดวงตาของมนุษย์สามารถรับแสงที่มีความเข้มน้อยมากๆ เช่น แสงริบหรี่ในห้องมืดๆ ไปถึงแสงสว่างจ้าของแสงแดดตอนเที่ยงวัน ซึ่งมีความเข้มแสงมากกว่าถึง 10 เท่า นอกจากนี้ดวงตายังสามารถปรับให้มองเห็นได้แม้ตัวอักษรที่เป็นตัวพิมพ์เล็กๆ สามารถบอกรูปร่างและทรวดทรงที่แตกต่างกัน ในที่ที่มีความเข้มของแสงแตกต่างกันมากๆได้ โดยการปรับของรูม่านตา (Pupil)
ศูนย์รักษาต้อกระจก
ศูนย์เลสิก LASER VISION

อาการเริ่มต้นของต้อกระจกเป็นอย่างไร สาเหตุของการเกิดและการรักษา

ต้อกระจกคือภาวะที่เลนส์ตาขุ่นมัว ส่งผลให้การมองเห็นเบลอหรือพร่ามัว อาการต้อกระจก ได้แก่ มองเห็นมัว การมองเห็นสีผิดเพี้ยน เจอแสงจ้าแล้วแสบตา สายตายาวผิดปกติ และการมองเห็นภาพซ้อน วิธีรักษาต้อกระจก ได้แก่ สลายต้อกระจก โดยใช้คลื่นความถี่สูงสลายต้อกระจก และใช้เลเซอร์แบบไร้ใบมีดช่วยในการผ่าตัด การรักษาต้อกระจกที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) มีการผ่าตัดแบบไร้ใบมีดและใส่เลนส์พรีเมียม ซึ่งช่วยเพิ่มความแม่นยำและผลลัพธ์ที่ดี   ต้อกระจกเป็นปัญหาสุขภาพตาที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ เป็นอาการที่เกิดจากเลนส์ตาที่เคยใสและโปร่งแสงเริ่มขุ่นมัว ส่งผลให้การมองเห็นลดลง สามารถรักษาได้ด้วยวิธีที่เหมาะสม การสังเกตอาการตั้งแต่เริ่มต้นและดูแลสุขภาพตาอย่างเหมาะสมจะช่วยรักษาการมองเห็นให้คงความชัดเจนและสดใสได้ยาวนาน     ต้อกระจกคืออะไร ทำไมผู้สูงวัยต้องรู้จัก ต้อกระจกเป็นโรคที่เกิดจากเลนส์ตาขุ่นมัว พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี เนื่องจากเลนส์ตาเสื่อมสภาพไปตามวัย อย่างไรก็ตามต้อกระจกอาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น อุบัติเหตุ หรือความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด หากปล่อยไว้โดยไม่รับการรักษา เช่น การผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตา อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้ เช่นต้อหินต้อลม ต้อเนื้อและม่านตาอักเสบ ซึ่งทำให้เกิดอาการปวดตาและการอักเสบของดวงตาได้     อาการของโรคต้อกระจก ในระยะแรก ต้อกระจกมักไม่แสดงอาการชัดเจน ผู้ป่วยอาจยังมองเห็นได้ตามปกติ แต่หากปล่อยทิ้งไว้นาน อาการจะเริ่มปรากฏและรุนแรงขึ้น โดยสามารถแบ่งอาการออกเป็นระยะต่างๆ ได้ดังนี้ ระยะที่ 1ในระยะเริ่มต้น แก้วตาจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้การมองเห็นเริ่มไม่สะดวกและลดลง ผู้ป่วยอาจสังเกตได้ว่าแสงไฟสะท้อนรบกวนสายตาได้ง่ายขึ้น รวมถึงเกิดอาการเมื่อยล้าดวงตาบ่อยขึ้นแม้ในกิจกรรมที่เคยทำได้ตามปกติ ระยะที่ 2เลนส์ตาจะเริ่มมีความขุ่นเล็กน้อยจากบริเวณกลางเลนส์ตาและกระจายออกไปยังรอบๆ อย่างช้าๆ ผู้ป่วยมักเริ่มมีปัญหากับแสงสะท้อนที่รบกวนสายตา ควรใช้แว่นลดแสงสะท้อนเพื่อช่วยการมองเห็นให้ชัดเจนขึ้น ระยะที่ 3ความขุ่นมัวของต้อกระจกจะเพิ่มขึ้นและกระจายไปทั่วแก้วตา ทำให้ประสิทธิภาพการมองเห็นลดลง ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน ในระยะที่ 3 จักษุแพทย์มักแนะนำให้ผู้ป่วยผ่าตัด เนื่องจากเป็นช่วงที่รักษายากและอาจมีผลข้างเคียงได้ ระยะที่ 4ในระยะนี้การมองเห็นพร่ามัวและความขุ่นของต้อกระจกเพิ่มขึ้น เลนส์แก้วตาจะแข็ง หากปล่อยไว้นาน การผ่าตัดจะยากขึ้น ผลการรักษาอาจไม่ดี และมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนสูง รวมถึงเสี่ยงต่อการเกิดต้อหิน ซึ่งอาจทำให้สูญเสียการมองเห็นหากไม่ได้รับการผ่าตัดทันที     สาเหตุของการเกิดต้อกระจก มีหลายสาเหตุที่ทำให้ต้อกระจกเกิดขึ้น ทั้งปัจจัยภายในและภายนอก ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพตาได้ ดังนี้ อายุมากขึ้น สุขภาพที่เสื่อมถอยตามอายุเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เลนส์ตาเสื่อมสภาพ โครงสร้างโปรตีนของดวงตาเสื่อมลง ซึ่งนำไปสู่การเกิดโรคต้อกระจก ผู้สูงอายุที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป จึงมีความเสี่ยงสูงในการเป็นต้อกระจกมากกว่าคนในวัยอื่นๆ การจ้องแสง UV เป็นเวลานาน หากดวงตาของเราได้รับแสง UV จากดวงอาทิตย์ในปริมาณมากเกินไป อาจทำให้เกิดต้อกระจกได้ นอกจากนี้ยังเสี่ยงต่อการเกิดต้อเนื้อหรือต้อลมได้อีกด้วย สูบบุหรี่มากเกินไป การสูบบุหรี่ทำให้ดวงตาโดยรวมเสื่อมได้ เนื่องจากสารพิษในควันบุหรี่ส่งผลต่อเส้นเลือดที่เลี้ยงลูกตา การได้รับสารพิษจากควันบุหรี่ในระยะเวลานานจะลดความสามารถในการมองเห็นและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต้อกระจกโรคจอประสาทตาเสื่อมและอาการตาแห้งได้อีกด้วย ใช้ยาชนิดต่างๆ อย่างต่อเนื่อง หากมีประวัติการรักษาทางการแพทย์และการใช้ยา เช่น ยาหดม่านตา ยาควบคุมการเต้นของหัวใจ หรือกลุ่มยาสเตียรอยด์ รวมถึงการฉายรังสีในอดีต ก็สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดต้อกระจกได้เช่นกัน โรคทางตา ต้อกระจกมักมีภาวะแทรกซ้อนร่วมกับโรคทางตาอื่นๆ เช่น โรคม่านตาอักเสบ การติดเชื้อในลูกตา หรือการผ่าตัดดวงตามาก่อน ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถนำไปสู่การเกิดต้อกระจกได้ โรคประจำตัวและโรคทางกรรมพันธุ์ โรคประจำตัวและโรคทางกรรมพันธุ์สามารถเป็นสาเหตุของต้อกระจกได้ เช่น โรควิลสันเกิดจากการผิดปกติของระบบการทำงานของตับ ไม่สามารถกำจัดแร่ธาตุทองแดงส่วนเกินออกไปได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดการสะสมของทองแดงและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของเลนส์แก้วตาเป็นต้อกระจก โรคเบาหวานเกิดจากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน ทำให้น้ำตาลในเลือดสูง ส่งผลกระทบต่อดวงตา เช่น เบาหวานขึ้นตา ซึ่งอาจนำไปสู่ต้อกระจก โรคกาแล็กโทซีเมียขาดเอนไซม์ที่เปลี่ยนน้ำตาลกาแล็กโทสเป็นน้ำตาลกลูโคส ส่งผลให้น้ำตาลกาแล็กโทสในเลือดสูงและอาจทำให้เกิดต้อกระจก     ต้อกระจก มีวิธีรักษาอย่างไรบ้าง การรักษาต้อกระจกมีหลายวิธี แพทย์จะพิจารณาจากความรุนแรงของอาการและปัจจัยอื่นๆ โดยมีแนวทางการรักษาและรายละเอียดดังนี้ การผ่าตัดต้อกระจก(ICCE : Intracapsular Cataract Extraction) สำหรับการผ่าตัดต้อกระจก เป็นวิธีที่เอาเลนส์ตาและถุงหุ้มเลนส์ทั้งหมดออกมา รวมถึงนำแก้วตาทั้งแคปซูลและเนื้อในออก การผ่าตัดนี้ส่งผลต่อการมองเห็นเนื่องจากการวางเลนส์ตาอาจทำได้ยากและมีแผลขนาดใหญ่ที่ใช้เวลาฟื้นฟูนาน มักทำในกรณีที่ถุงหุ้มเลนส์มีปัญหามาก การผ่าตัดต้อกระจกแผลกว้าง(ECCE : Extracapsular Extraction) การผ่าตัดที่เอาแก้วตาออกเหลือเพียงถุงหุ้มแก้วตาด้านหลังไว้ จะทิ้งแผลขนาดใหญ่และต้องเย็บหลายเข็ม อาจทำให้เกิดสายตาเอียงจากไหมที่ดึงกระจกตา และใช้เวลาพักฟื้นนาน อีกทั้งยังอาจทำให้เกิดพังผืดบริเวณส่วนบนของตาขาวได้ มักทำในกรณีที่เลนส์แก้วตาแข็งมากเกินไป หรือเป็นโรคกระจกตาเสื่อมระยะรุนแรง การใช้คลื่นความถี่สูงสลายต้อกระจก(Phacoemulsification) การผ่าตัดต้อกระจกโดยใช้ความถี่เสียงหรืออัลตราซาวนด์ความถี่สูงเพื่อสลายเนื้อแก้วตาและดูดออก จากนั้นใส่แก้วตาเทียมแทนที่ ทำให้แผลผ่าตัดมีขนาดเล็กกว่าเมื่อเทียบกับวิธีอื่นๆ มีโอกาสทำให้เกิดสายตาเอียงน้อย ใช้เวลาพักฟื้นน้อย และให้ผลการรักษาที่ดี ผู้ป่วยสามารถเลือกชนิดของแก้วตาเทียมที่ตรงกับความต้องการและแก้ไขค่าสายตาได้ดีกว่าในวิธีการผ่าตัดอื่นๆ การผ่าตัดต้อกระจกด้วยเทคโนโลยีเลเซอร์แบบไร้ใบมีด (FLACS : Femtosecond Laser Assisted Cataract Surgery) Femtosecond Laser ใช้ในการผ่าตัดต้อกระจกเพื่อเปิดแผล เปิดถุงหุ้มเลนส์ และแบ่งเลนส์ต้อให้เป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อให้สลายและดูดออกด้วยอัลตราซาวนด์ได้ง่ายขึ้น ซึ่งทำงานควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ช่วยให้จักษุแพทย์วางแผนการรักษาได้อย่างดี การเปิดแผลมีความแม่นยำ เปิดถุงหุ้มเลนส์ได้ตามขนาดที่ต้องการ และวางเลนส์แก้วตาเทียมได้ตรงกลาง รวมถึงยังช่วยแก้ไขสายตาเอียงได้ตรงองศาที่ต้องการ ข้อดีของการใช้ Femtosecond Laser ในการรักษาต้อกระจกคือช่วยเพิ่มความแม่นยำและเที่ยงตรงในการผ่าตัด ลดอันตรายจากโรคแทรกซ้อน อย่างไรก็ตามการรักษาด้วย Femtosecond Laser มีข้อจำกัด เช่น ไม่สามารถใช้ในผู้มีแผลเป็น กระจกตาดำขุ่นมัว หรือผู้ที่ไม่สามารถขยายม่านตาได้ นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าการผ่าตัดแบบเดิม     วิธีการป้องกันไม่ให้เกิดต้อกระจก เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นต้อกระจก การดูแลดวงตาอย่างสม่ำเสมอและใส่ใจต่อสุขภาพดวงตาเป็นสิ่งสำคัญ มีวิธีดูแลดวงตา ดังนี้ ควรมีการพักสายตาหากใช้สายตานานๆ เช่น อ่านหนังสือ เล่นโทรศัพท์ ปรับแสงในห้องให้ปกติ ไม่สว่างและมืดจนเกินไป สวมแว่นกันแดดเพื่อป้องกันรังสี UV แนะนำให้ตรวจสายตาเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป นอนให้ครบ 6 ชั่วโมงต่อวัน งดสูบบุหรี่ สรุป ต้อกระจกคือภาวะที่เลนส์ตาในดวงตาขุ่นมัว ส่งผลให้การมองเห็นพร่ามัวและลดลงได้ เมื่อเป็นต้อกระจก สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัดเลนส์ตาที่ขุ่นออกและใส่เลนส์ตาเทียมแทน สำหรับการป้องกัน ควรดูแลดวงตาโดยสวมแว่นกันแดด ตรวจสายตาเป็นประจำ งดสูบบุหรี่ และพักสายตาเมื่อใช้สายตามากๆ   สำหรับผู้ที่ต้องการรักษาต้อกระจก สามารถเข้ามาที่ศูนย์รักษาต้อกระจก Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ซึ่งมีบริการรักษาทุกประเภท รวมถึงการผ่าตัดต้อกระจกแบบไร้ใบมีดและการใส่เลนส์พรีเมียม
calling
ติดต่อเรา : +662 511 2111