ย้อนกลับ
อาการเริ่มต้นของต้อกระจกเป็นอย่างไร สาเหตุของการเกิดและการรักษา
  • ต้อกระจกคือภาวะที่เลนส์ตาขุ่นมัว ส่งผลให้การมองเห็นเบลอหรือพร่ามัว

  • อาการต้อกระจก ได้แก่ มองเห็นมัว การมองเห็นสีผิดเพี้ยน เจอแสงจ้าแล้วแสบตา สายตายาวผิดปกติ และการมองเห็นภาพซ้อน

  • วิธีรักษาต้อกระจก ได้แก่ สลายต้อกระจก โดยใช้คลื่นความถี่สูงสลายต้อกระจก และใช้เลเซอร์แบบไร้ใบมีดช่วยในการผ่าตัด

  • การรักษาต้อกระจกที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) มีการผ่าตัดแบบไร้ใบมีดและใส่เลนส์พรีเมียม ซึ่งช่วยเพิ่มความแม่นยำและผลลัพธ์ที่ดี

 

ต้อกระจกเป็นปัญหาสุขภาพตาที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ เป็นอาการที่เกิดจากเลนส์ตาที่เคยใสและโปร่งแสงเริ่มขุ่นมัว ส่งผลให้การมองเห็นลดลง สามารถรักษาได้ด้วยวิธีที่เหมาะสม การสังเกตอาการตั้งแต่เริ่มต้นและดูแลสุขภาพตาอย่างเหมาะสมจะช่วยรักษาการมองเห็นให้คงความชัดเจนและสดใสได้ยาวนาน

 

ต้อกระจกคืออะไร ทำไมผู้สูงวัยต้องรู้จัก

 

ต้อกระจกคืออะไร ทำไมผู้สูงวัยต้องรู้จัก

ต้อกระจกเป็นโรคที่เกิดจากเลนส์ตาขุ่นมัว พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี เนื่องจากเลนส์ตาเสื่อมสภาพไปตามวัย อย่างไรก็ตามต้อกระจกอาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น อุบัติเหตุ หรือความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด หากปล่อยไว้โดยไม่รับการรักษา เช่น การผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตา อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้ เช่นต้อหินต้อลม ต้อเนื้อและม่านตาอักเสบ ซึ่งทำให้เกิดอาการปวดตาและการอักเสบของดวงตาได้

 

อาการของโรคต้อกระจก

 

อาการของโรคต้อกระจก

ในระยะแรก ต้อกระจกมักไม่แสดงอาการชัดเจน ผู้ป่วยอาจยังมองเห็นได้ตามปกติ แต่หากปล่อยทิ้งไว้นาน อาการจะเริ่มปรากฏและรุนแรงขึ้น โดยสามารถแบ่งอาการออกเป็นระยะต่างๆ ได้ดังนี้

  • ระยะที่ 1ในระยะเริ่มต้น แก้วตาจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้การมองเห็นเริ่มไม่สะดวกและลดลง ผู้ป่วยอาจสังเกตได้ว่าแสงไฟสะท้อนรบกวนสายตาได้ง่ายขึ้น รวมถึงเกิดอาการเมื่อยล้าดวงตาบ่อยขึ้นแม้ในกิจกรรมที่เคยทำได้ตามปกติ

  • ระยะที่ 2เลนส์ตาจะเริ่มมีความขุ่นเล็กน้อยจากบริเวณกลางเลนส์ตาและกระจายออกไปยังรอบๆ อย่างช้าๆ ผู้ป่วยมักเริ่มมีปัญหากับแสงสะท้อนที่รบกวนสายตา ควรใช้แว่นลดแสงสะท้อนเพื่อช่วยการมองเห็นให้ชัดเจนขึ้น

  • ระยะที่ 3ความขุ่นมัวของต้อกระจกจะเพิ่มขึ้นและกระจายไปทั่วแก้วตา ทำให้ประสิทธิภาพการมองเห็นลดลง ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน ในระยะที่ 3 จักษุแพทย์มักแนะนำให้ผู้ป่วยผ่าตัด เนื่องจากเป็นช่วงที่รักษายากและอาจมีผลข้างเคียงได้

  • ระยะที่ 4ในระยะนี้การมองเห็นพร่ามัวและความขุ่นของต้อกระจกเพิ่มขึ้น เลนส์แก้วตาจะแข็ง หากปล่อยไว้นาน การผ่าตัดจะยากขึ้น ผลการรักษาอาจไม่ดี และมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนสูง รวมถึงเสี่ยงต่อการเกิดต้อหิน ซึ่งอาจทำให้สูญเสียการมองเห็นหากไม่ได้รับการผ่าตัดทันที

 

สาเหตุของการเกิดต้อกระจก

 

สาเหตุของการเกิดต้อกระจก

มีหลายสาเหตุที่ทำให้ต้อกระจกเกิดขึ้น ทั้งปัจจัยภายในและภายนอก ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพตาได้ ดังนี้

อายุมากขึ้น

สุขภาพที่เสื่อมถอยตามอายุเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เลนส์ตาเสื่อมสภาพ โครงสร้างโปรตีนของดวงตาเสื่อมลง ซึ่งนำไปสู่การเกิดโรคต้อกระจก ผู้สูงอายุที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป จึงมีความเสี่ยงสูงในการเป็นต้อกระจกมากกว่าคนในวัยอื่นๆ

การจ้องแสง UV เป็นเวลานาน

หากดวงตาของเราได้รับแสง UV จากดวงอาทิตย์ในปริมาณมากเกินไป อาจทำให้เกิดต้อกระจกได้ นอกจากนี้ยังเสี่ยงต่อการเกิดต้อเนื้อหรือต้อลมได้อีกด้วย

สูบบุหรี่มากเกินไป

การสูบบุหรี่ทำให้ดวงตาโดยรวมเสื่อมได้ เนื่องจากสารพิษในควันบุหรี่ส่งผลต่อเส้นเลือดที่เลี้ยงลูกตา การได้รับสารพิษจากควันบุหรี่ในระยะเวลานานจะลดความสามารถในการมองเห็นและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต้อกระจกโรคจอประสาทตาเสื่อมและอาการตาแห้งได้อีกด้วย

ใช้ยาชนิดต่างๆ อย่างต่อเนื่อง

หากมีประวัติการรักษาทางการแพทย์และการใช้ยา เช่น ยาหดม่านตา ยาควบคุมการเต้นของหัวใจ หรือกลุ่มยาสเตียรอยด์ รวมถึงการฉายรังสีในอดีต ก็สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดต้อกระจกได้เช่นกัน

โรคทางตา

ต้อกระจกมักมีภาวะแทรกซ้อนร่วมกับโรคทางตาอื่นๆ เช่น โรคม่านตาอักเสบ การติดเชื้อในลูกตา หรือการผ่าตัดดวงตามาก่อน ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถนำไปสู่การเกิดต้อกระจกได้

โรคประจำตัวและโรคทางกรรมพันธุ์

โรคประจำตัวและโรคทางกรรมพันธุ์สามารถเป็นสาเหตุของต้อกระจกได้ เช่น

  • โรควิลสันเกิดจากการผิดปกติของระบบการทำงานของตับ ไม่สามารถกำจัดแร่ธาตุทองแดงส่วนเกินออกไปได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดการสะสมของทองแดงและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของเลนส์แก้วตาเป็นต้อกระจก

  • โรคเบาหวานเกิดจากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน ทำให้น้ำตาลในเลือดสูง ส่งผลกระทบต่อดวงตา เช่น เบาหวานขึ้นตา ซึ่งอาจนำไปสู่ต้อกระจก

  • โรคกาแล็กโทซีเมียขาดเอนไซม์ที่เปลี่ยนน้ำตาลกาแล็กโทสเป็นน้ำตาลกลูโคส ส่งผลให้น้ำตาลกาแล็กโทสในเลือดสูงและอาจทำให้เกิดต้อกระจก

 

ต้อกระจก มีวิธีรักษาอย่างไรบ้าง

 

ต้อกระจก มีวิธีรักษาอย่างไรบ้าง

การรักษาต้อกระจกมีหลายวิธี แพทย์จะพิจารณาจากความรุนแรงของอาการและปัจจัยอื่นๆ โดยมีแนวทางการรักษาและรายละเอียดดังนี้

การผ่าตัดต้อกระจก(ICCE : Intracapsular Cataract Extraction)

สำหรับการผ่าตัดต้อกระจก เป็นวิธีที่เอาเลนส์ตาและถุงหุ้มเลนส์ทั้งหมดออกมา รวมถึงนำแก้วตาทั้งแคปซูลและเนื้อในออก การผ่าตัดนี้ส่งผลต่อการมองเห็นเนื่องจากการวางเลนส์ตาอาจทำได้ยากและมีแผลขนาดใหญ่ที่ใช้เวลาฟื้นฟูนาน มักทำในกรณีที่ถุงหุ้มเลนส์มีปัญหามาก

การผ่าตัดต้อกระจกแผลกว้าง(ECCE : Extracapsular Extraction)

การผ่าตัดที่เอาแก้วตาออกเหลือเพียงถุงหุ้มแก้วตาด้านหลังไว้ จะทิ้งแผลขนาดใหญ่และต้องเย็บหลายเข็ม อาจทำให้เกิดสายตาเอียงจากไหมที่ดึงกระจกตา และใช้เวลาพักฟื้นนาน อีกทั้งยังอาจทำให้เกิดพังผืดบริเวณส่วนบนของตาขาวได้ มักทำในกรณีที่เลนส์แก้วตาแข็งมากเกินไป หรือเป็นโรคกระจกตาเสื่อมระยะรุนแรง

การใช้คลื่นความถี่สูงสลายต้อกระจก(Phacoemulsification)

การผ่าตัดต้อกระจกโดยใช้ความถี่เสียงหรืออัลตราซาวนด์ความถี่สูงเพื่อสลายเนื้อแก้วตาและดูดออก จากนั้นใส่แก้วตาเทียมแทนที่ ทำให้แผลผ่าตัดมีขนาดเล็กกว่าเมื่อเทียบกับวิธีอื่นๆ มีโอกาสทำให้เกิดสายตาเอียงน้อย ใช้เวลาพักฟื้นน้อย และให้ผลการรักษาที่ดี ผู้ป่วยสามารถเลือกชนิดของแก้วตาเทียมที่ตรงกับความต้องการและแก้ไขค่าสายตาได้ดีกว่าในวิธีการผ่าตัดอื่นๆ

การผ่าตัดต้อกระจกด้วยเทคโนโลยีเลเซอร์แบบไร้ใบมีด (FLACS : Femtosecond Laser Assisted Cataract Surgery)

Femtosecond Laser ใช้ในการผ่าตัดต้อกระจกเพื่อเปิดแผล เปิดถุงหุ้มเลนส์ และแบ่งเลนส์ต้อให้เป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อให้สลายและดูดออกด้วยอัลตราซาวนด์ได้ง่ายขึ้น ซึ่งทำงานควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ช่วยให้จักษุแพทย์วางแผนการรักษาได้อย่างดี การเปิดแผลมีความแม่นยำ เปิดถุงหุ้มเลนส์ได้ตามขนาดที่ต้องการ และวางเลนส์แก้วตาเทียมได้ตรงกลาง รวมถึงยังช่วยแก้ไขสายตาเอียงได้ตรงองศาที่ต้องการ

ข้อดีของการใช้ Femtosecond Laser ในการรักษาต้อกระจกคือช่วยเพิ่มความแม่นยำและเที่ยงตรงในการผ่าตัด ลดอันตรายจากโรคแทรกซ้อน อย่างไรก็ตามการรักษาด้วย Femtosecond Laser มีข้อจำกัด เช่น ไม่สามารถใช้ในผู้มีแผลเป็น กระจกตาดำขุ่นมัว หรือผู้ที่ไม่สามารถขยายม่านตาได้ นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าการผ่าตัดแบบเดิม

 

วิธีการป้องกันไม่ให้เกิดต้อกระจก

 

วิธีการป้องกันไม่ให้เกิดต้อกระจก

เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นต้อกระจก การดูแลดวงตาอย่างสม่ำเสมอและใส่ใจต่อสุขภาพดวงตาเป็นสิ่งสำคัญ มีวิธีดูแลดวงตา ดังนี้

  • ควรมีการพักสายตาหากใช้สายตานานๆ เช่น อ่านหนังสือ เล่นโทรศัพท์

  • ปรับแสงในห้องให้ปกติ ไม่สว่างและมืดจนเกินไป

  • สวมแว่นกันแดดเพื่อป้องกันรังสี UV

  • แนะนำให้ตรวจสายตาเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป

  • นอนให้ครบ 6 ชั่วโมงต่อวัน

  • งดสูบบุหรี่

สรุป

ต้อกระจกคือภาวะที่เลนส์ตาในดวงตาขุ่นมัว ส่งผลให้การมองเห็นพร่ามัวและลดลงได้ เมื่อเป็นต้อกระจก สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัดเลนส์ตาที่ขุ่นออกและใส่เลนส์ตาเทียมแทน สำหรับการป้องกัน ควรดูแลดวงตาโดยสวมแว่นกันแดด ตรวจสายตาเป็นประจำ งดสูบบุหรี่ และพักสายตาเมื่อใช้สายตามากๆ

 

สำหรับผู้ที่ต้องการรักษาต้อกระจก สามารถเข้ามาที่ศูนย์รักษาต้อกระจก Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ซึ่งมีบริการรักษาทุกประเภท รวมถึงการผ่าตัดต้อกระจกแบบไร้ใบมีดและการใส่เลนส์พรีเมียม

calling
ติดต่อเรา : +662 511 2111