มุมสุขภาพตา : #ลม

เรียงตาม

กระจกตาบางเกิดจากอะไร? อาการ ผลกระทบต่อสายตาและวิธีรักษา

กระจกตาบางคือภาวะที่กระจกตาซึ่งเป็นชั้นโปร่งใสด้านหน้าตาของดวงตามีความหนาน้อยกว่าปกติ ส่งผลต่อการมองเห็นและสุขภาพตา กระจกตาบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การเสื่อมตามวัย การขยี้ตาบ่อยๆ โรคทางพันธุกรรม หรือผลข้างเคียงจากการผ่าตัดตา เช่น เลสิก อาการของกระจกตาบางที่สังเกตได้ เช่น ตาพร่ามัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย มองเห็นภาพบิดเบี้ยว และสายตาเอียงสูงผิดปกติ กระจกตาบางคือภาวะที่ความหนาของกระจกตาลดลงกว่าปกติ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการโฟกัสแสงเข้าสู่ดวงตา ทำให้การมองเห็นมีความคมชัด หากกระจกตาบางเกินไป อาจเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสายตา เช่น สายตาผิดปกติ หรือมีผลกระทบต่อการรักษาดวงตาด้วยวิธีต่างๆ เช่น เลสิก การเข้าใจสาเหตุ อาการ และการดูแลกระจกตาบางอย่างถูกต้อง จึงช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและดูแลสุขภาพตาได้ดีขึ้น       กระจกตาคืออะไร? สิ่งสำคัญต่อการมองเห็น กระจกตา (Cornea) คือชั้นโปร่งใสและโค้งอยู่ด้านหน้าสุดของดวงตา ครอบคลุมตาดำ มีหน้าที่ช่วยหักเหแสงให้เข้าสู่ดวงตา ทำให้เรามองเห็นชัดเจน และยังเป็นเกราะป้องกันเชื้อโรคโดยตรง โดยปกติความหนาของกระจกตาจะอยู่ที่ประมาณ 520-550 ไมครอน และสามารถบางลงได้ตามอายุที่เพิ่มขึ้นด้วย       รู้จักกับกระจกตาบาง กระจกตาบางคือลักษณะของกระจกตาที่มีความหนาน้อยกว่า 500 ไมครอน (0.5 มิลลิเมตร) โดยทั่วไปไม่ถือเป็นโรคและไม่ต้องรักษา แต่กระจกตาบางจะส่งผลต่อการวินิจฉัยโรคบางอย่าง เช่น ต้อหิน เพราะทำให้วัดความดันตาต่ำกว่าความจริง รวมถึงส่งผลต่อการเลือกวิธีแก้ไขสายตา เช่น หากผู้ป่วยต้องการทำ LASIK และ มีระดับค่าสายตาที่มีผิดปกติสูง เช่น สั้น หรือ เอียงมาก โดยมีความหนาของกระจกตาน้อย เมื่อเปรียบเทียบกันกับเนื้อกระจกตาที่ต้องใช้ผ่าตัด หลังจากได้รับการตรวจจากผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียด เเพทย์ประเมินแล้วอาจจะไม่สามารถแก้ไขค่าสายตาได้หมด หรืออาจทำให้ กระจกตาเสี่ยงเป็นโรคกระจกตาอื่นๆหลังการแก้ไข เเพทย์อาจประเมินให้ผู้ป่วยทำการรักษาด้วยวิธีการอื่นๆ เช่น PRK ICL FemtoLASIK ReLEx SMILE Pro หรือ NanoLASIK  แทนการทำ LASIK แบบทั่วๆไป ซึ่งเป็นการเเก้ไขที่ใช้หรือรบกวนความหนาของกระจกตาน้อยกว่าเพราะฉะนั้น ก่อนทำเลสิกจึงต้องสังเกตและตรวจประเมินความหนาของกระจกตาอย่างละเอียด เพราะหากบางเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะสายตาเอียงผิดปกติ หรือกระจกตาย้วย ซึ่งส่งผลต่อการมองเห็นได้ นอกจากนี้หลายคนยังสงสัยว่า “ใส่คอนแท็กต์เลนส์ ทำให้กระจกตาบางจริงไหม?” คำตอบคือ โดยทั่วไปการใส่คอนแท็กต์เลนส์อย่างถูกวิธี ไม่ได้ทำให้กระจกตาบางลง แต่หากใส่นานเกินไป ไม่ถอดล้างหรือดูแลอย่างถูกต้อง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเกิดภาวะขาดออกซิเจนที่กระจกตา ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อบางลงได้เช่นกัน       กระจกตาบางเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง? กระจกตาบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ การเข้าใจสาเหตุเหล่านี้ช่วยให้สามารถป้องกันและดูแลสุขภาพตาได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น โดยสาเหตุที่พบได้บ่อย มีดังนี้   โรคทางพันธุกรรม แม้ว่าภาวะกระจกตาบางมักเกิดจากพฤติกรรมบางอย่าง แต่ในบางกรณี ความผิดปกตินี้อาจมีสาเหตุจากโรคพันธุกรรมที่ถ่ายทอดภายในครอบครัว หนึ่งในโรคที่พบบ่อย คือ กระจกตาย้วย (Keratoconus) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของภาวะกระจกตาบาง กระจกตาจะบางลงและโป่งยื่นออกมาคล้ายรูปกรวย ทำให้สายตาเอียงผิดปกติ และการมองเห็นแย่ลงเรื้อรัง มักเริ่มแสดงอาการในช่วงวัยรุ่นถึงอายุ 30 ปี โรคกระจกตาบางจากพันธุกรรมอื่นๆ (Corneal Dystrophies) เช่น Pellucid Marginal Degeneration (PMD) ซึ่งกระจกตาจะบางลงบริเวณขอบด้านล่าง   การบาดเจ็บหรือการผ่าตัดตา การผ่าตัดแก้ไขสายตาบางประเภท เช่น การทำเลสิก (LASIK) หรือ PRK อาจส่งผลให้กระจกตาบางลงได้ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการเลเซอร์เนื้อกระจกตา ออกไปมากเกินความจำเป็น ทำให้ความหนาของกระจกตาที่เหลืออยู่ไม่เพียงพอ เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น กระจกตาย้วยในอนาคต นอกจากนี้การบาดเจ็บที่กระจกตาซ้ำๆ รวมถึงการติดเชื้อที่รุนแรง เช่น แผลที่กระจกตาหรือกระจกตาอักเสบ ก็สามารถทำลายเนื้อเยื่อกระจกตาและทำให้เกิดการบางลงได้เช่นกัน โดยเฉพาะหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที   โรคอื่นๆ หรือการใช้ยา โรคทางภูมิคุ้มกันบางชนิด เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) หรือโรคเอสแอลอี (SLE) อาจส่งผลกระทบต่อกระจกตา ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และนำไปสู่ภาวะกระจกตาบางได้ในระยะยาว เนื่องจากภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเนื้อเยื่อของตาเอง ในขณะเดียวกัน การใช้ยาหยอดตาบางชนิด โดยเฉพาะยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ หากใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจมีผลข้างเคียงต่อโครงสร้างของกระจกตา ทำให้เนื้อเยื่อกระจกตาอ่อนแอและบางลงได้เช่นกัน       อาการของภาวะกระจกตาบาง ภาวะกระจกตาบางมักพัฒนาอย่างช้าๆ จนอาจไม่สังเกตเห็นได้ในระยะแรก การเรียนรู้ที่จะสังเกตอาการเบื้องต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรักษาได้อย่างทันท่วงที โดยอาการที่อาจพบมีดังนี้ การมองเห็นพร่ามัวหรือไม่ชัดเจน ค่าสายตาเปลี่ยนแปลงบ่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ มีค่าสายตาเอียงสูงกว่าปกติ มองเห็นภาพบิดเบี้ยว หรือมีลักษณะผิดรูปจากความจริง       วิธีการตรวจและวินิจฉัยกระจกตาบาง โดยปกติแล้วภาวะกระจกตาบางมักถูกตรวจพบในขั้นตอนการประเมินสายตาก่อนทำเลสิก ซึ่งแพทย์จะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Keratometerตรวจวัดความโค้งของกระจกตาและค่าสายตาเอียง โดยการสะท้อนแสงบนกระจกตาเพื่อตรวจหารูปร่างและความโค้งที่ผิดปกติ ซึ่งความโค้งที่ผิดปกตินี้ อาจสัมพันธ์กับความบางของกระจกตา นอกจากนั้นยังมีการตรวจ Corneal Tophography หรือแผนภูมิดวงตาเพื่อประเมินค่าความหนาบางและความผิดปกติของกระจกตาอื่นๆด้วย โดยอาจจะมีการวัด Tomographic Biomechanical Index หรือ ค่าความเเข็งเเรงของกระจกตา เสริมเพื่อตรวจความเสี่ยงของโรค Corneal Ectasia หรือโรคกระจกตาโป้งอีกด้วย แม้ว่าจะสามารถสังเกตอาการเบื้องต้นได้ เช่น มองเห็นไม่ชัดหรือค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย แต่การวินิจฉัยว่ามีกระจกตาบางจริงหรือไม่นั้น ต้องอาศัยการตรวจโดยจักษุแพทย์เท่านั้น เพราะการสังเกตอาการด้วยตนเองเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น ไม่สามารถยืนยันผลได้ ดังนั้นหากสงสัยว่าตนเองมีกระจกตาบาง ควรเข้ารับการตรวจอย่างละเอียดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวางแผนการดูแลและรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้น   สรุป กระจกตาบางเป็นภาวะที่หลายคนไม่รู้ตัว แต่สามารถส่งผลกระทบต่อการมองเห็น เช่น ตาพร่ามัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย หรือภาพบิดเบี้ยว ซึ่งอาจเกิดจากพันธุกรรม โรคภูมิคุ้มกัน การผ่าตัดแก้ไขสายตา หรือการใช้ยาบางชนิด การตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกจึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่วางแผนทำเลสิก ควรเข้ารับการตรวจวัดความหนาและความโค้งของกระจกตาอย่างละเอียดที่ Bangkok Eye Hospital ด้วยเครื่องมือทันสมัยและแพทย์เฉพาะทาง เพื่อป้องกันและดูแลสุขภาพดวงตาได้อย่างมั่นใจ   คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกระจกตาบาง (FAQ) หลายคนที่เพิ่งเคยได้ยินเกี่ยวกับภาวะกระจกตาบางอาจมีข้อสงสัยมากมาย เพื่อช่วยให้เข้าใจมากขึ้น เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาวะกระจกตาบาง พร้อมคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญมาฝากกันในบทความนี้   ทำอย่างไรให้กระจกตาหนาขึ้น ความหนาของกระจกตาไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากเป็นความผิดปกติที่เกิดจากโครงสร้างภายในชั้นกระจกตาเอง   ถ้าปล่อยให้กระจกตาบางแล้วไม่รักษา จะเป็นอย่างไร? สายตาพร่ามัวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถแก้ไขด้วยแว่นหรือคอนแท็กต์เลนส์ปกติได้ กระจกตาโป่งยื่นออกมามากผิดปกติ ทำให้การมองเห็นแย่ลงอย่างถาวร ในบางกรณีรุนแรงมาก อาจเกิดภาวะกระจกตาบวมน้ำฉับพลัน (Acute Hydrops) หรือกระจกตาทะลุ ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินและอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้หากไม่ได้รับการปลูกถ่ายกระจกตา   สามารถป้องกันภาวะกระจกตาบางได้ไหม หลีกเลี่ยงการขยี้ตาแรงๆ เพราะการขยี้ตาเป็นประจำและรุนแรงสามารถทำให้กระจกตาบางลงและเป็นตัวกระตุ้นให้โรคกระจกตาย้วยแย่ลง ดูแลสุขภาพตาโดยรวม เช่น ไม่ใช้คอนแท็กต์เลนส์นานเกินไป และรักษาความสะอาดของดวงตา พบจักษุแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคเกี่ยวกับกระจกตา เพื่อให้สามารถวินิจฉัยและเริ่มการรักษาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะให้ผลลัพธ์การรักษาที่ดีกว่า  
อ่านเพิ่มเติม

โรคต้อลมคืออะไร? สาเหตุ อาการทั่วไป วิธีรักษา และแนวทางป้องกัน

ต้อลมเกิดจากการสะสมของไขมัน โปรตีน หรือแคลเซียมบริเวณเยื่อบุตา ทำให้เกิดเป็นรอยนูนสีเหลืองบนดวงตา อาการของต้อลมได้แก่ รอยนูนสีเหลืองที่ตาขาว ตาแดง เจ็บตา ระคายเคือง ตาแห้ง น้ำตาไหลผิดปกติ และรู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในตา การรักษาต้อลมทำได้ด้วยการใช้ยาหยอดตา ขี้ผึ้ง และในบางกรณีอาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด ที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในการดูแลโรคตา พร้อมด้วยอุปกรณ์ทันสมัยและทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้การรักษาอย่างครบวงจร ต้อลมเป็นปัญหาสุขภาพตาที่พบได้บ่อยในทุกช่วงวัย บทความนี้จะพาไปรู้จักกับต้อลมว่าเกิดจากอะไร มีอาการอย่างไร และวิธีการรักษา รวมถึงแนวทางป้องกันที่ช่วยดูแลดวงตาให้แข็งแรง ห่างไกลจากโรคตาอื่นๆ พร้อมคำแนะนำที่เข้าใจง่ายสำหรับทุกคน ต้อลม คืออะไร? โรคต้อลม (Pinguecula) เกิดจากการสะสมของไขมัน โปรตีน หรือแคลเซียมบริเวณเยื่อบุตา ทำให้เกิดรอยนูนสีเหลืองขนาดเล็ก มักพบที่บริเวณหัวตาของข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง ต้อลมมีรูปร่างได้ทั้งวงกลมหรือสามเหลี่ยม และสามารถขยายขนาดใหญ่ขึ้นได้เมื่อเวลาผ่านไป แม้แต่ในผู้ที่มีอายุน้อยก็สามารถเป็นต้อลมได้ โดยเฉพาะคนที่อยู่กลางแจ้งบ่อยๆ และได้รับแสงแดดหรือฝุ่นละอองมากขึ้น     ความแตกต่างระหว่างต้อลมกับต้อเนื้อ ต้อเนื้อและต้อลมเป็นโรคในกลุ่มเดียวกัน แต่แตกต่างกันตรงที่ต้อเนื้อจะมีเนื้อเยื่อลุกลามยื่นเข้าไปในกระจกตาหรือส่วนที่เป็นตาดำ ส่วนต้อลมจะเป็นก้อนนูนที่อยู่บนเยื่อบุตาโดยไม่ลุกลามเข้าสู่ตาดำ  สาเหตุของต้อเนื้อกับต้อลมมีความใกล้เคียงกัน โดยมักเกิดจากการเสื่อมสภาพของเยื่อบุตาที่ได้รับแสงแดดเป็นเวลานาน เมื่อก้อนต้อลมโตขึ้นและลุกลามเข้าสู่กระจกตา ก็จะพัฒนาเป็นต้อเนื้อในที่สุด     อาการเริ่มต้นของโรคต้อลม สำหรับผู้ที่เป็นต้อลม มักจะมีอาการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ทำให้เกิดความไม่สบายตาและอาจส่งผลต่อการมองเห็นได้หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา โดยอาการที่พบได้ เช่น มีรอยนูนสีเหลืองขนาดเล็กบนตาขาว อาจพบได้ที่ตาข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง ตาแดง บวม คัน และมีอาการระคายเคือง รู้สึกตาแห้งหรือเจ็บตา มีน้ำตาไหลมากกว่าปกติ รู้สึกคล้ายมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในดวงตา   สาเหตุของต้อลมเกิดจากอะไร สาเหตุและปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดต้อลม มักเกี่ยวข้องกับการสัมผัสดวงตากับสิ่งแวดล้อมที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองเป็นเวลานาน เช่น การสัมผัสฝุ่นละอองและควันอย่างต่อเนื่อง อยู่ในที่ที่มีอากาศร้อนเป็นเวลานาน เจอลมหรืออยู่กลางแจ้งบ่อยๆ ใช้สายตาจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์นานเกินไป มีภาวะตาแห้งเรื้อรัง อายุเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป เนื่องจากเส้นใยคอลลาเจนบริเวณเยื่อตาเริ่มเสื่อม อาชีพที่ต้องทำงานกลางแจ้ง เช่น คนงานก่อสร้าง ที่ต้องเจอแดดจ้าเป็นเวลานาน ช่างเชื่อมเหล็ก ซึ่งต้องเผชิญแสงจ้าและความร้อนจากการเชื่อม พนักงานเจียระไนเครื่องประดับ ที่ต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่นและแสงจ้า     เมื่อไรควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อรักษาต้อลม? หากปล่อยต้อลมไว้ อาการอาจลุกลามหรือกลายเป็นปัญหาทางสายตาที่รุนแรงมากขึ้นได้ ควรรักษาต้อลมเมื่อมีอาการที่เริ่มรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น มีอาการระคายเคืองหรืออักเสบที่ตาบ่อยครั้ง ต้อลมเริ่มลุกลามเข้าใกล้กระจกตา ส่งผลให้การมองเห็นลดลง รู้สึกไม่สบายตาหรือใส่คอนแท็กต์เลนส์ได้ยากกว่าปกติ   ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากโรคต้อลม ภาวะแทรกซ้อนของโรคต้อลม ได้แก่ ต้อลมอักเสบและต้อเนื้อ โดยต้อลมอักเสบเกิดจากการระคายเคืองมากกว่าปกติ เช่น ตาแห้ง หรือการขยี้ตาจนทำให้ก้อนต้อลมและบริเวณรอบดวงตาบวมแดง โดยในกรณีที่อาการไม่บ่อยมาก มักรักษาด้วยการหยอดน้ำตาเทียมเพื่อลดการระคายเคืองและหลีกเลี่ยงการขยี้ตา อาการอักเสบจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง ส่วนต้อเนื้อเกิดจากก้อนต้อลมขยายตัวลุกลามเข้าสู่ตาดำ เนื่องจากการสัมผัสรังสียูวี สารเคมี หรือการขยี้ตาบ่อยครั้ง ทำให้ต้อลมอักเสบเรื้อรังและขยายตัวเรื่อยๆ เมื่อก้อนต้อเนื้อลุกลามมากจนเข้าสู่ตาดำและบังม่านตา อาจส่งผลให้สายตาเอียง ตาพร่ามัว ตาเข ตาเหล่ หรือสูญเสียการมองเห็นชั่วคราว ซึ่งสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัดลอกต้อเนื้ออย่างมีประสิทธิภาพ   การตรวจและวินิจฉัยต้อลม จักษุแพทย์วินิจฉัยต้อลมได้โดยการตรวจดวงตาปกติ พร้อมใช้กล้องจุลทรรศน์ชนิดพิเศษที่มีกำลังขยายสูงเรียกว่า Slit Lamp ซึ่งส่งลำแสงแคบและสว่างลงบนดวงตา ช่วยให้เห็นรายละเอียดของบริเวณรอยนูนใกล้ดวงตาอย่างชัดเจน และแยกแยะต้อลมจากความผิดปกติที่มีลักษณะคล้ายกันได้อย่างแม่นยำ     วิธีรักษาต้อลม การรักษาต้อลมมีหลายวิธีที่ช่วยบรรเทาอาการและป้องกันการลุกลาม เพื่อดูแลสุขภาพตาให้อยู่ในสภาพที่ดี ดังนี้ ใช้น้ำตาเทียมที่มีส่-วนผสมของ Antazoline และ Tetrahydrozoline หรือขี้ผึ้ง เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและบรรเทาอาการระคายเคืองตา รับประทานยาแก้อักเสบเพื่อลดการอักเสบและบรรเทาอาการไม่สบายตาที่เกิดจากต้อลม ใช้ยาหยอดตาในกลุ่มสเตียรอยด์เพื่อลดอาการบวมและตาแดง หากอาการอักเสบไม่ดีขึ้น หรือต้อลมส่งผลกระทบต่อการมองเห็น หรือรูปลักษณ์ของต้อลมสร้างความไม่พอใจ แพทย์อาจแนะนำให้ทำการผ่าตัดหรือลอกต้อลมออก แต่ควรทราบว่าหลังผ่าตัดหรือลอกต้อลมยังมีโอกาสที่จะกลับมาเป็นต้อลมอีกได้   อาการหลังผ่าตัดรักษาต้อลม ต้อลมโดยทั่วไปไม่ก่อให้เกิดปัญหารุนแรง และการผ่าตัดมักปลอดภัยโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน อย่างไรก็ตามต้อลมอาจกลับมาเติบโตใหม่หลังผ่าตัดได้ จักษุแพทย์จึงอาจให้ยา หรือใช้การฉายรังสีที่บริเวณผิวเพื่อช่วยลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำอีกครั้ง     วิธีป้องกันและดูแลให้ห่างไกลจากต้อลม แนวทางการป้องกันและวิธีดูแลดวงตาอย่างถูกวิธี เพื่อช่วยรักษาสุขภาพตาให้แข็งแรงและห่างไกลจากโรคต้อลมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ สวมแว่นกันแดดแบบปิดข้างและหมวกปีกกว้างเมื่ออยู่กลางแจ้ง เพื่อป้องกันรังสี UVA และ UVB ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคต้อลม หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดด ฝุ่น ควัน และอากาศร้อนเป็นเวลานาน ผู้ที่ทำงานกับสารเคมีหรือฝุ่นควรสวมแว่นตากันฝุ่นเพื่อปกป้องดวงตา หลีกเลี่ยงการนำใบหน้าเข้าใกล้เครื่องปรับอากาศโดยตรง สำหรับพนักงานออฟฟิศที่ใช้คอมพิวเตอร์นาน ควรจัดระยะห่างที่เหมาะสมและกะพริบตาทุก 30 วินาทีเพื่อป้องกันตาแห้ง หากรู้สึกตาแห้ง ควรใช้น้ำตาเทียมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา ล้างมือบ่อยๆ และหลีกเลี่ยงการขยี้ตา หากพบความผิดปกติของดวงตา ควรไปพบแพทย์ ไม่ควรซื้อยาหรือหยอดเอง ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจสุขภาพดวงตาเป็นประจำทุกปี   สรุป ต้อลมคือการสะสมของไขมัน โปรตีน หรือแคลเซียมบริเวณเยื่อบุตา ทำให้เกิดรอยนูนสีเหลืองบนตาขาว มักมีอาการระคายเคือง ตาแดง และรู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในดวงตา หากปล่อยไว้ไม่รักษา อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างต้อลมอักเสบหรือต้อเนื้อได้ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) พร้อมดูแลและรักษาต้อลมด้วยเทคโนโลยีทันสมัย โดยทีมจักษุแพทย์ผู้ชำนาญ เพื่อคืนสุขภาพตาที่ดีและความมั่นใจให้กับทุกคน รวมทั้งให้คำปรึกษาเรื่องผ่าตัดต้อลม ราคาและวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละรายอย่างละเอียด   คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับต้อลม (FAQ) โรคต้อลมเป็นปัญหาสุขภาพตาที่พบได้บ่อย หลายคนจึงมักมีคำถามเกี่ยวกับสาเหตุ อาการ วิธีรักษา และแนวทางป้องกัน เพื่อเข้าใจและดูแลดวงตาได้อย่างถูกต้อง เราจึงรวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับต้อลมมาให้ได้อ่านกันในส่วนนี้   เป็นต้อลมห้ามกินอะไร ผู้ที่เป็นต้อลมควรหลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มบางชนิดที่อาจกระตุ้นให้อาการแย่ลง เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีนสูง อาหารรสจัด หมักดอง รวมถึงอาหารเสริมที่ไม่ได้รับการรับรองความปลอดภัย   ต้อลมเกิดจากกรรมพันธุ์ได้ไหม เกิดได้ นอกจากรังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดดแล้ว ต้อลมยังสามารถเกิดจากสาเหตุอื่นๆ ได้อีก เช่น ปัจจัยทางกรรมพันธุ์ที่ทำให้บางคนมีแนวโน้มเป็นต้อลมง่ายขึ้น   คนเป็นต้อลม ทำเลสิกได้ไหม หากเป็นต้อลม สามารถทำเลสิกได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ เพราะแพทย์อาจแนะนำให้ลอกต้อลมก่อน เพื่อให้ดวงตาพร้อมและปลอดภัยสำหรับการทำเลสิกมากขึ้น  
ศูนย์รักษากระจกตา

โรคต้อที่ตาคืออะไร? แยกได้ทั้งหมดกี่ชนิด พร้อมอาการและวิธีการรักษา

ต้อเนื้อและต้อลมคืออะไร แตกต่างกันอย่างไร ?ต้อเนื้อเป็นโรคกลุ่มเดียวกันกับต้อลม แต่มีการยื่นเข้าไปในส่วนของกระจกตา (ตาดำ) สาเหตุเหมือนกับต้อลม คือเกิดจากการเสื่อมสภาพของเยื่อบุตา บริเวณที่โดนแดด คือเมื่อก้อนเนื้อต้อลมโตขั้นเป็นมากขึ้น แล้วมีการยื่นเข้าไปในตาดำ ก็จะกลายเป็นเป็นต้อเนื้อนั่นเอง รู้ได้อย่างไรว่าเป็นต้อเนื้อ?ถ้ามองเข้าไปที่ตาจะเห็นก้อนเนื้อ สีชมพู เป็นรูปสามเหลี่ยมยื่นเข้าไปในตาดำ ถ้ามีการอักเสบมักเห็นเป็นสีแดงมากขึ้น ถ้าต้อลมจะอยู่แต่ที่ตาขาวเท่านั้น เป็นต้อเนื้อแล้วจะมีอาการอย่างไร?จะมีอาการระคายเคืองตา ตาแดง อาจคันหรือมีน้ำตาไหลถ้าโดนฝุ่นหรือลม ถ้าเป็นมากๆอาจกดกระจกตาทำให้มีสายตาเอียง หรือถ้าเป็นมากจนลุกลามไปบังตรงกลางของตาดำ อาจทำให้การมองเห็นมัวลงได้ เราจะป้องกันได้อย่างไร?หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เจอแดดแรงๆ หรือ ควรสวมแว่นกันแดด กางร่ม หรือสวมหมวกเพื่อไม่ให้ตาโดนแสงแดดโดยตรง ถ้าเป็นแล้ว จะรักษาให้หายได้หรือไม่ ตาจะบอดหรือไม่?กรณีถ้าเป็นไม่มาก อาจไม่จำเป็นต้องผ่าตัด อาจเพียงแค่รักษาด้วยยาลดการอักเสบ ลดแดง หรือลดอาการระคายเคืองเป็นครั้งคราว แต่ถ้ามีอาการอักเสบบ่อยๆ หรือต้อเนื้อใหญ่มากขึ้น จนทำให้การมองเห็นแย่ลง อาจพิจารณาทำผ่าตัดลอกต้อเนื้อได้ ต้อเนื้อไม่อันตรายโดยปรกติไม่ทำให้ตาบอด ถ้าเป็นมากสามารถผ่าตัดรักษาได้ การผ่าตัดทำได้โดยแค่ฉีดยาชาเฉพาะที่ ใช้เวลาไม่นาน แต่การดูแลหลังผ่าตัดเองก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ คนไข้ต้องหยอดยาตามแพทย์สั่ง และ หลีกเลี่ยงการเจอผุ่น ลม แดด ไม่เช่นนั้นต้อเนื้ออาจกลับเป็นซ้ำได้ ซึ่งจะมีการอักเสบรุนแรงมากขึ้น และการทำผ่าตัดซ้ำก็ทำได้ยากขึ้น การผ่าตัดต้อเนื้อมีหลายวิธีดังนี้ การลอกต้อเนื้อเพียงอย่างเดียว โดยไม่เอาเยื่อบุใดๆมาแปะ วิธีนี้ทำในกรณีผุ้ป่วยอายุมาก ต้อเนื้อไม่มีการอักเสบมาก ปัจจุบันไม่นิยมเนื่องจากอัตราการเกิดซ้ำสูงมาก การลอกต้อเนื้อ และเอาเยื่อบุตามาแปะ คือนอกจากตัดต้อเนื้อ ออกแล้ว ยังเอาเยื่อบุตาส่วนบนของตาคนไข้เอง มาเย็บเข้าในบริเวณที่เป็นต้อเนื้อเดิม วิธีนี้ช่วยลดการเกิดซ้ำได้ดีมาก การลอกต้อเนื้อ และเอาเยื่อหุ้มรกมาแปะ วิธีทำผ่าตัดเหมือนวิธีที่ 2 แต่ใช้เยื่อหุ้มรกมาเย็บแทน ทำให้ไม่ต้องใช้เยื่อบุตาของคนไข้ และใช้ได้ในกรณีเป็นซ้ำ และได้ใช้เยื่อบุตาตนเองไปแล้ว การลอกต้อเนือโดยการใช้mitomycin c ร่วมกับใช้เยื่อหุ้มรก หรือ เยื่อบุตาแปะ จะ ช่วยลดการเกิดซ้ำได้ดี โดยเฉพาะในคนไข้กลุ่มที่มีความเสียงสูงในการเกิดซ้ำ แต่ก็ต้องใช้ยานี้อย่างระมัดระวังเนื่องจากอาจมีข้อแทรกซ้อนจากยา การแปะเยื่อหุ้มรกหรือเยื่อบุตานั้น อาจใช้ไหมเย็บ หรืออาจใช้กาว fibrin แปะโดยไม่ต้องเย็บก็ได้ ทั้งต้อลมและต้อเนื้อนั้น ถ้าเราทราบว่าเป็นแล้ว การป้องกันไม่ให้เป็นมากขึ้นเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ซึ่งทำได้ไม่ยากเลย เพียงแค่ระวังหรือหลีกเลี่ยงการโดนแดด ฝุ่น ลม เช่น ใส่แว่นกันแดด ใช้ร่ม สวมหมวก ก็ทำให้เราลดโอกาสการโดนแดดโดยตรง โรคก็จะไม่เป็นมากขึ้นค่ะ  
calling
ติดต่อเรา : +662 511 2111