|
ต้อลมคือปัญหาสุขภาพตาที่พบได้บ่อยในคนทุกวัย ในบทความนี้ เราจะมาดูกันว่าต้อลมคืออะไร มีอาการอย่างไรบ้าง รวมถึงวิธีรักษาและแนวทางการป้องกันต้อลม เพื่อช่วยให้ดวงตาของเราสุขภาพดี ห่างไกลจากโรคตาเหล่านี้ ทำได้อย่างไร หาคำตอบได้ในบทความนี้เลย
โรคต้อลม (Pinguecula) คือการสะสมของไขมัน โปรตีน หรือแคลเซียมบริเวณดวงตา ทำให้เกิดเป็นรอยนูนสีเหลืองขนาดเล็กบนเยื่อบุตา โดยมักพบได้บริเวณหัวตาของตาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง ลักษณะของต้อลมอาจเป็นรูปวงกลมหรือสามเหลี่ยม และมีโอกาสขยายใหญ่ขึ้นตามระยะเวลา
ต้อเนื้อเป็นโรคในกลุ่มเดียวกับต้อลม แต่มีความแตกต่างตรงที่ก้อนเนื้อจะลุกลามยื่นเข้าไปในกระจกตา (ตาดำ) สาเหตุของต้อเนื้อกับต้อลมนั้นมีความคล้ายกัน โดยเกิดจากการเสื่อมสภาพของเยื่อบุตาบริเวณที่สัมผัสกับแสงแดดเป็นเวลานาน เมื่อก้อนเนื้อต้อลมเจริญเติบโตมากขึ้นและลุกลามเข้าสู่ตาดำ ก็จะพัฒนากลายเป็นต้อเนื้อนั่นเอง
สำหรับผู้ที่เป็นต้อลม มักจะมีอาการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน เช่น
มีรอยนูนสีเหลืองขนาดเล็กบนตาขาว ข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง
ตาแดง ตาบวม คันตา และรู้สึกระคายเคือง
ตาแห้งหรือเจ็บตา
น้ำตาไหลผิดปกติ
รู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในดวงตา
ปัจจัยที่ทำให้เกิดต้อลมมักเกี่ยวข้องกับการสัมผัสสิ่งแวดล้อมต่างๆ เป็นเวลานาน ซึ่งส่งผลให้เยื่อบุตาเกิดการเสื่อมสภาพ โดยปัจจัยหลักๆ ได้แก่
ฝุ่นละอองและควันต่างๆ
การสัมผัสอากาศร้อนเป็นเวลานาน
การเผชิญกับลมบ่อยๆ
การจ้องจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์เป็นเวลานาน
ภาวะตาแห้งเรื้อรัง
อายุที่มากขึ้น โดยมีอายุ 40 ปีขึ้นไป เนื่องจากเส้นใยคอลลาเจนบริเวณเยื่อตาเริ่มเสื่อมสภาพ (Degeneration of Collagen Fibers)
คนงานก่อสร้างที่ต้องทำงานกลางแจ้งและเผชิญแสงแดดเป็นเวลานาน
ช่างเชื่อมเหล็ก ที่ต้องสัมผัสกับแสงจ้าและความร้อน
พนักงานเจียระไนเครื่องประดับ ที่ต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่นละอองและแสงจ้า
ควรรักษาต้อลมเมื่อมีอาการที่รบกวนชีวิตประจำวัน เช่น
เกิดการระคายเคืองหรืออักเสบบ่อยครั้ง
ต้อลมขยายใกล้เข้ามาที่กระจกตาจนส่งผลต่อการมองเห็น
รู้สึกว่าสวมใส่คอนแท็กต์เลนส์ยากขึ้น
จักษุแพทย์วินิจฉัยต้อลมได้ด้วยการตรวจดวงตาตามปกติ โดยจะใช้กล้องจุลทรรศน์ชนิดพิเศษที่มีกำลังขยายสูง (Slit Lamp) ในการตรวจสอบการเจริญเติบโตใกล้ๆ ดวงตา ซึ่งกล้อง Slit Lamp เป็นกล้องจุลทรรศน์ที่มุ่งเน้นลำแสงแคบๆ ของแสงสว่างสดใสลงบนดวงตา ซึ่งช่วยให้สามารถแยกแยะระหว่างต้อลมและการเจริญเติบโตที่คล้ายกันได้
การรักษาต้อลมมีหลายวิธีที่ช่วยบรรเทาอาการและป้องกันไม่ให้แย่ลง ดังนี้
ใช้น้ำตาเทียมที่มีส่วนผสมของ Antazoline และ Tetrahydrozoline หรือขี้ผึ้งเพื่อให้ดวงตาชุ่มชื้น บรรเทาอาการระคายเคือง
รับประทานยาแก้อักเสบเพื่อช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการไม่สบายตาที่เกิดจากต้อลม
ใช้ยาหยอดตาแบบสเตียรอยด์เพื่อลดอาการบวมและแดง
หากอาการอักเสบไม่ดีขึ้น ต้อลมส่งผลต่อการมองเห็น หรือผู้ป่วยไม่พอใจกับลักษณะต้อลมในดวงตา แพทย์อาจแนะนำให้ทำการผ่าตัด อย่างไรก็ตามหลังการผ่าตัด ผู้ป่วยอาจมีโอกาสกลับมาเป็นต้อลมอีกได้
ต้อลมโดยทั่วไปจะไม่ก่อให้เกิดปัญหา รวมถึงการผ่าตัดมักจะไม่มีภาวะแทรกซ้อน แม้ว่าต้อลมอาจกลับมาเจริญเติบโตอีกครั้งหลังการผ่าตัด จักษุแพทย์อาจให้ยาหรือใช้การฉายรังสีที่พื้นผิวเพื่อช่วยป้องกันการกลับมาเจริญเติบโตของต้อลมอีกครั้งได้
เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นต้อลม ควรดูแลดวงตาอย่างเหมาะสม โดยมีแนวทางการป้องกันและดูแลดวงตาให้ห่างไกลจากต้อลม ดังนี้
สวมแว่นกันแดดแบบปิดด้านข้างและหมวกปีกกว้างเมื่ออยู่กลางแดด เพื่อป้องกันตัวเองจากรังสี UVA และ UVB ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคต้อลม
หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดกลางแจ้ง ฝุ่น ควัน และอากาศร้อนเป็นเวลานาน
สำหรับผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับสารเคมีหรือฝุ่น ควรสวมใส่แว่นตากันฝุ่น
ไม่เอาใบหน้าไปจ่อใกล้กับเครื่องปรับอากาศ
พนักงานออฟฟิศที่ใช้สายตากับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ควรจัดระยะห่างจากคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม และกระพริบตาทุก 30 วินาที เพื่อป้องกันตาแห้ง
หากรู้สึกตาแห้ง อาจใช้น้ำตาเทียมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตา
ล้างมือบ่อยๆ และหลีกเลี่ยงการขยี้ตา
เมื่อมีความผิดปกติ ไม่ควรซื้อยามารับประทานหรือหยอดเอง
ผู้ที่อายุ 40 ปีขึ้นไป ควรมาตรวจสุขภาพดวงตาเป็นประจำทุกปี
ต้อลมคือการสะสมของไขมัน โปรตีน หรือแคลเซียมที่ก่อตัวเป็นรอยนูนสีเหลืองบนเยื่อบุตา โดยมักขึ้นที่หัวตาและไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด เมื่อเป็นต้อลม การรักษาสามารถทำได้ตามความรุนแรงของอาการ รวมถึงสามารถป้องกันได้โดยการดูแลดวงตาให้เหมาะสม
สำหรับผู้ที่ต้องการรักษาต้อลม แนะนำให้เข้ามารักษาที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ที่นี่ให้บริการดูแลรักษาโรคและอาการที่เกี่ยวข้องกับดวงตาโดยทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มากประสบการณ์ มาพร้อมเทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัย และได้มาตรฐาน