มุมสุขภาพตา : #ต้อเนื้อ

เรียงตาม

ตาแห้งมีอาการอย่างไร วิธีรักษา ป้องกัน และนิสัยที่ช่วยลดอาการตาแห้ง

อาการตาแห้ง คือภาวะตาขาดความชุ่มชื้นเพราะการผลิตน้ำตาน้อยเกินไปหรือคุณภาพน้ำตาไม่ดี ทำให้เกิดอาการระคายเคืองและไม่สบายตาได้ ตาแห้งเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น อายุที่มากขึ้นทำให้การผลิตน้ำตาน้อยลง การสวมใส่คอนแท็กต์เลนส์นานเกินไป การจ้องจอคอมพิวเตอร์นานๆ รวมถึงผลข้างเคียงจากยาบางชนิด การรักษาตาแห้งทำได้หลายวิธี เช่น ยาหยอดตา น้ำตาเทียม การประคบอุ่น และการรักษาด้วยยาลดการอักเสบ รักษาอาการตาแห้งที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ได้รับการดูแลจากจักษุแพทย์ พร้อมเทคโนโลยีทันสมัยและการรักษาที่เหมาะสมกับอาการ   ตาแห้งเป็นโรคที่ทำให้ตารู้สึกแห้งและระคายเคือง เนื่องจากการผลิตน้ำตาลดลงหรือคุณภาพของน้ำตาไม่ดีพอ ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย หากดูแลอย่างถูกวิธี จะช่วยลดอาการและป้องกันภาวะตาแห้งในระยะยาว มาหาสาเหตุของอาการตาแห้ง วิธีรักษา รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันอาการตาแห้งได้ในบทความนี้     อาการตาแห้ง คืออะไร? ก่อนทำความรู้จักกับอาการตาแห้ง ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ‘น้ำตา’ กันก่อน โดยน้ำตามีความสำคัญต่อดวงตา เป็นตัวช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา ทำให้มองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวได้อย่างชัดเจน หล่อเลี้ยงเลี้ยงกระจกตาด้วยออกซิเจน และป้องกันการติดเชื้อและสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้ามาทำร้ายดวงตา ตาแห้ง เป็นอาการที่ปริมาณน้ำตาที่เข้ามาหล่อเลี้ยงผิวตามีไม่เพียงพอส่งผลให้ผิวตาอักเสบได้ โดยอาการของตาแห้งอาจเริ่มจากการแสบตา หรือรู้สึกระคายเคืองเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในตา รวมถึงอาจพบอาการตาแดง เจ็บ หรือมีการพร่ามัวที่ดีขึ้นเมื่อกะพริบตา นอกจากนี้ยังอาจรู้สึกฝืดๆ หนักๆ ที่ตา หรือลืมตาลำบาก และบางครั้งอาจมีอาการตาล้าหรือมีน้ำตาไหลมากผิดปกติ     ทำไมถึงมีอาการตาแห้งได้ ตาแห้งเป็นปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อความสบายของดวงตาและการมองเห็น โดยเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่ พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟนเป็นเวลานานเกินไป อาการภูมิแพ้ที่ตาซึ่งอาจเกิดจากสิ่งแวดล้อมที่มีฝุ่น ควัน หรือมลภาวะ อยู่ในที่ร้อน ลมแรง หรือความชื้นต่ำ ความผิดปกติของต่อมไขมันขอบตา การพบตัวไร (Demodex blepharitis) บริเวณโคนขนตา ซึ่งเกิดจากการอักเสบของต่อมน้ำตา การใช้ยาบางประเภท เช่น ยาคุมกำเนิด ยาแก้แพ้ ยาต้านซึมเศร้า ยาลดความดันโลหิตบางชนิด ฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล โดยเฉพาะในเพศหญิงที่อาจทำให้คุณภาพของน้ำตาลดลง     อาการตาแห้งเกิดจากอะไร มีปัจจัยอะไรบ้าง ปัจจัยที่ส่งผลต่อการผลิตน้ำตาหรือการทำงานของต่อมน้ำตา หากมีลักษณะดังต่อไปนี้ จะทำให้เกิดอาการตาแห้งได้ง่ายขึ้น สร้างน้ำตาได้น้อยกว่าปกติ  (Aqueous Tear Deficiency) กลุ่มคนที่มีความผิดปกติหรือปัจจัยที่ส่งผลให้สามารถสร้างน้ำตาได้น้อย ได้แก่   กลุ่มคนที่เป็นโรค Sjogren’s Syndrome โรครูมาตอยด์ โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือภาวะที่ไม่พบสาเหตุชัดเจน เช่น Primary Sjogren’s Syndrome กลุ่มคนที่ไม่เป็นโรค Sjogren’s Syndrome เช่น ต่อมน้ำตาทำงานผิดปกติตั้งแต่เกิด โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง การแพ้ยารุนแรง หรือการอักเสบที่ทำให้ท่อน้ำตาตัน กลุ่มคนที่ฮอร์โมนเปลี่ยน มักพบในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่ส่งผลให้การผลิตน้ำตาและสารคัดหลั่งอื่นๆ ในร่างกายลดลง การกินยาบางประเภท เช่น ยาแก้หวัด ยาแก้แพ้ ยาลดความดันโลหิต หรือยาคลายเครียดบางชนิด ที่มีสารกันเสียเป็นส่วนประกอบ อาจทำให้ตาแห้งมากขึ้น เนื่องจากสารเหล่านี้สามารถลดการผลิตน้ำตาได้ น้ำตาระเหยเร็ว (Evaporative Dry Eyes)  ปัจจัยที่ส่งผลให้การระเหยของน้ำตาเกิดขึ้นเร็วกว่าปกติ ได้แก่   ต่อมไขมันที่เปลือกตาทำงานผิดปกติ เปลือกตาอักเสบที่เกิดจากความผิดปกติของชั้นไขมัน จะทำให้การสร้างน้ำตาชั้นน้ำมันลดลง ซึ่งทำให้เกิดการระเหยของน้ำตาได้เร็วขึ้น ความผิดปกติของเปลือกตา การปิดตาไม่สนิทหรือการกะพริบตาน้อยผิดปกติ ซึ่งทำให้การกระจายน้ำตาผิดปกติ และเพิ่มการระเหยของน้ำตา โดนสารเคมีหรือแพ้ยารุนแรง การอักเสบของเยื่อบุตาอาจทำให้เกิดแผลเป็น ซึ่งส่งผลต่อการสร้างน้ำตาชั้นเมือกที่ติดกับกระจกตา ทำให้การสร้างน้ำตาผิดปกติ การใช้สายตามาก พบมากในวัยทำงานจากพฤติกรรมจ้องจอคอมพิวเตอร์นานๆ โดยไม่ค่อยกะพริบตา และการใส่คอนแท็กต์เลนส์ที่ดูดน้ำออกจากดวงตา ทำให้การผลิตน้ำตาลดลงและน้ำตาระเหยเร็ว     วิธีรักษาหรือวิธีแก้โรคตาแห้ง วิธีรักษาโรคตาแห้งจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและอาการของแต่ละบุคคล โดยใช้วิธีต่างๆ รวมทั้งการใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการ ดังนี้ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ตาแห้ง ควรหลีกเลี่ยงการโดนลมแรง ฝุ่นควัน หรือแสงจ้า โดยการใส่แว่นกันแดดและแว่นกันลม เพื่อป้องกันสิ่งแวดล้อมที่อาจทำให้ตาแห้งขึ้น นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงการใส่คอนแท็กต์เลนส์เป็นเวลานานๆ เพื่อไม่ให้สูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงจากดวงตาที่อาจทำให้อาการตาแห้งแย่ลงได้ ใช้น้ำตาเทียม ในการรักษาอาการตาแห้ง น้ำตาเทียมเป็นตัวช่วยที่ดี โดยมี 2 ชนิดให้เลือกใช้ ได้แก่   น้ำตาเทียมที่มีสารกันเสีย ในรูปแบบขวด ควรใช้ไม่เกิน 4-5 ครั้งต่อวัน อาจแบ่งการใช้ยาเพิ่มน้ำตาตามช่วงเวลาของวัน เช่น เช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน ซึ่งเหมาะสำหรับอาการตาแห้งที่ไม่รุนแรง น้ำตาเทียมที่ไม่มีสารกันเสีย แบบกระเปาะ เปิดแล้วมีอายุ 24 ชั่วโมง หรือขวดที่มีระบบวาล์วพิเศษใช้ได้นาน 6 เดือน ใช้บ่อยได้ตามต้องการ เช่น ทุก 1-2 ชั่วโมง เหมาะกับผู้ที่มีอาการตาแห้งรุนแรง  ใช้ยาหยอดตาเพิ่มปริมาณน้ำตา มียาหยอดตาที่ช่วยเพิ่มน้ำตาและรักษาอาการตาแห้งได้ โดยแต่ละชนิดจะช่วยรักษาตามอาการที่แตกต่างกัน ดังนี้   ยา Diquafosol ช่วยเพิ่มการสร้างน้ำตาชั้นเมือกและชั้นน้ำเพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ดวงตาและลดอาการแห้ง ยาปฏิชีวนะ Doxycycline ยาลดการอักเสบของเปลือกตาช่วยลดการอักเสบและอาการระคายเคืองที่เกิดจากตาแห้ง ยากลุ่ม Steroids โดยยานี้ช่วยบรรเทาการอักเสบของผิวตาและลดอาการระคายเคืองที่เกิดจากการขาดน้ำตา ยา Cyclosporine ยากดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressant) ชนิดหยอดตา ช่วยลดการอักเสบในตาและเพิ่มการผลิตน้ำตา โดยการปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ซึ่งสามารถช่วยลดอาการตาแห้งได้ การทำความสะอาดเปลือกตา การทำความสะอาดเปลือกตาและประคบอุ่นด้วยแชมพูเด็กผสมเจือจางหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเปลือกตาช่วยลดการอุดตันของต่อมไขมันในเปลือกตา ทำให้ชั้นไขมันที่เคลือบน้ำตาทำงานได้ดีขึ้น ช่วยป้องกันน้ำตาระเหยเร็วและลดอาการตาแห้ง ใช้ Autologous Serum การรักษาอาการตาแห้งชนิดรุนแรงโดยใช้สารที่ช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อทำได้โดยการเจาะเลือดจากผู้ป่วยไปปั่นแยกเป็น Serum และนำมาหยอดร่วมกับการใช้น้ำตาเทียม ซึ่งจะช่วยลดการอักเสบของเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ และส่งเสริมการฟื้นตัวของเนื้อเยื่อให้กลับสู่สภาพปกติได้ดีขึ้น การอุดท่อระบายน้ำตาที่หัวตา (Punctal Plug) การรักษาอาการตาแห้งที่รุนแรงทำได้โดยการอุดช่องทางที่น้ำตาไหลออกจากตา (Punctum) ซึ่งมีทั้งชนิดอุดชั่วคราวและชนิดอุดถาวร โดยการใส่ Silicone Plug หรือ Punctal Cautery ซึ่งเป็นการจี้บริเวณช่องทางที่น้ำตาระบายออกจากตา วิธีนี้ช่วยให้ดวงตาเก็บน้ำตาไว้ได้นานขึ้น ลดการระเหยของน้ำตา และช่วยบรรเทาอาการตาแห้งได้ในกรณีที่อาการรุนแรงมาก     การปรับพฤติกรรมเพื่อป้องกันอาการตาแห้ง การป้องกันอาการตาแห้งทำได้ง่ายๆ ด้วยการปรับพฤติกรรมบางอย่างในชีวิตประจำวัน ดังนี้    หยุดพักจากการใช้งานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือมือถือทุกๆ 20 นาที โดยการหลับตาสัก 20 วินาที หรือมองสิ่งที่อยู่ไกลประมาณ 20 ฟุต เพื่อให้ตาได้พักและผ่อนคลาย งดการใช้คอนแท็กต์เลนส์ต่อเนื่อง ควรสลับใส่แว่นในระหว่างวันเพื่อให้ดวงตาได้พัก ใช้งานคอมพิวเตอร์หรือมือถือในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ เพื่อช่วยลดความเครียดของดวงตา เตือนตัวเองให้กะพริบตาบ่อยๆ เพื่อให้น้ำตาเคลือบตาและช่วยลดการระเหยของน้ำตา หากอยู่ในที่ที่มีอากาศแห้ง ร้อน หรือมีลมแรง ควรสวมแว่นกันแดดกันลมเพื่อปกป้องตาจากสภาพแวดล้อม กินอาหารที่ครบทุกหมู่ โดยเฉพาะผัก ผลไม้ ปลา หรืออาหารที่มีโอเมกา 3 ซึ่งช่วยต้านอนุมูลอิสระและลดการอักเสบของตา  ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อวัน สรุป ตาแห้งคืออาการที่น้ำตาผลิตไม่เพียงพอหรือระเหยเร็วเกินไป ทำให้ดวงตารู้สึกแห้ง ระคายเคือง และอาจเกิดการอักเสบได้ รักษาได้หลายวิธี เช่น ใช้น้ำตาเทียม ประคบอุ่น ใช้ยาเพื่อเพิ่มการสร้างน้ำตาหรือลดการอักเสบ และป้องกันตาแห้งได้ด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้ดวงตา รวมถึงการใช้ยาเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของดวงตา  สำหรับผู้ที่มีอาการตาแห้งรุนแรง รับการรักษาได้ที่ ศูนย์โรคจักษุประสาทวิทยา Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ซึ่งให้การดูแลปัญหาตาแห้งที่ส่งผลต่อการมองเห็นและระบบประสาท โดยจักษุแพทย์ในการวินิจฉัยและรักษาภาวะตาแห้งอย่างครบวงจร
อ่านเพิ่มเติม

ทำความเข้าใจถึงสาเหตุของต้อเนื้อ อาการ วิธีการรักษา และการป้องกัน

ต้อเนื้อ คือเนื้อเยื่อผิดปกติที่เติบโตบนเยื่อบุตาขาว ทำให้ตาขาวมีสีแดงและรู้สึกระคายเคือง รวมทั้งอาจทำให้มองเห็นมัวได้ วิธีรักษาต้อเนื้อ ทำได้ตั้งแต่การใช้ยาลดอาการอักเสบ การลอกเนื้อเยื่อออก และการผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อที่ผิดปกติออก ป้องกันต้อเนื้อ เช่น ใส่แว่นกันแดดป้องกันแสง UV หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับฝุ่น ควัน หรือสารเคมี และควรพักสายตาหากใช้งานดวงตามากเกินไป รักษาต้อเนื้อที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) มีจักษุแพทย์ที่มีประสบการณ์ อุปกรณ์ทันสมัย และบริการดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย   ทำความเข้าใจกับต้อเนื้อ โรคที่เกิดจากเยื่อบุที่ปกคลุมดวงตาเจริญเติบโตผิดปกติ สาเหตุที่ทำให้เกิดต้อเนื้อ การรักษาที่สามารถทำได้หลายวิธี รวมถึงการป้องกันที่เหมาะสม เพื่อให้คุณสามารถดูแลดวงตาของคุณได้อย่างดีและป้องกันการสูญเสียการมองเห็นในอนาคต     รู้จักกับต้อเนื้อว่าคืออะไร ต้อเนื้อ (Pterygium) เกิดจากความผิดปกติของเยื่อเมือกบุตาที่มีลักษณะคล้ายรูปสามเหลี่ยม อาจเริ่มโตจากบริเวณหัวตาหรือหางตา โดยมักพบบริเวณหัวตามากกว่า ต้อเนื้อสามารถเกิดขึ้นได้ที่ตาข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง โดยจะมีอาการตาแดงและระคายเคือง หากต้อเนื้อลามไปบนกระจกตา อาจทำให้รบกวนการมองเห็นได้     สาเหตุที่ทำให้เกิดต้อเนื้อ สาเหตุที่ทำให้เกิดต้อเนื้อยังไม่รู้ชัดเจน แต่ส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมการใช้ชีวิตต่างๆ คือ   ใช้สายตามากเกินไป เช่น ใช้คอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์เป็นเวลานาน ดวงตาแห้งและระคายเคืองบ่อย ดวงตาสัมผัสกับฝุ่นควัน มลภาวะ ลมร้อน ลมแห้ง และรังสียูวีมากกว่าปกติ ดวงตาสัมผัสกับสารเคมีที่ทำให้เกิดการระคายเคืองเป็นเวลานาน มีประวัติครอบครัวเป็นโรคต้อเนื้อ โรคเบาหวาน     อาการที่พบได้เมื่อเป็นต้อเนื้อ ต้อเนื้อในระยะแรก อาการยังไม่ชัด หรือไม่แสดงอาการให้ทราบ แต่เมื่อเข้าสู่ระยะหลังๆ อาการจะแสดงออก ดังนี้ ตาแดง บวม และระคายเคือง รู้สึกตาแห้ง คัน และแสบ รู้สึกเหมือนมีเม็ดทรายหรือกรวดในตา มีก้อนเนื้อสีชมพูรูปทรงเหมือนสามเหลี่ยมงอกเข้าสู่ตาดำ น้ำตาไหลออกมามาก มองเห็นภาพไม่ชัด วิธีในการตรวจวินิจฉัยต้อเนื้อ จักษุแพทย์จะซักประวัติเพื่อหาสาเหตุที่อาจเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน การทำงานหน้าจอ หรือสัมผัสสารเคมีโดยไม่มีการป้องกัน รวมถึงประวัติครอบครัวที่มีโรคต้อเนื้อ เพราะโรคต้อเนื้อมักพบได้จากผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคต้อเนื้อมาก่อน นอกจากนี้จักษุแพทย์สามารถวินิจฉัยต้อเนื้อได้โดยใช้กล้องตรวจตา และอุปกรณ์ตรวจตาพิเศษ ซึ่งช่วยถ่ายภาพลูกตาเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของต้อเนื้อ เช่น การขยายขนาดหรือการลุกลาม และจักษุแพทย์อาจทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อแยกโรคอื่นๆ ที่อาจมีอาการคล้ายกับต้อเนื้อ เช่น มะเร็งของผิวดวงตา     วิธีรักษาต้อเนื้อ ทำได้อย่างไรบ้าง การรักษาต้อเนื้อทำได้หลายวิธี โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็นการใช้ยาและการผ่าตัด ได้แก่ การใช้ยารักษาต้อเนื้อ วิธีรักษาต้อเนื้อด้วยยาหยอดตา เช่น การใช้ขี้ผึ้งหรือน้ำตาเทียม หรือการควบคุมการอักเสบด้วยยาหยอดตาสเตียรอยด์ ยาต้านฮีสตามีน มีส่วนช่วยลดอาการคัน อาการระคายเคือง และตาแดงได้ แต่ไม่มียาหยอดตาตัวใดที่ทำให้ก้อนพังผืดต้อเนื้อหายไปได้    การใช้ยาในการรักษาต้อเนื้อจึงไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เพียงแต่จะช่วยลดอาการระคายเคืองบรรเทาลงเท่านั้น การผ่าตัดรักษาต้อเนื้อ การผ่าตัดเป็นวิธีที่ใช้ในการนำต้อเนื้อออก โดยทั่วไปมี 2 วิธีหลักที่แพทย์เลือกใช้ตามความเหมาะสมของผู้ป่วย เพื่อป้องกันการลุกลามและลดผลกระทบต่อการมองเห็น 1. ผ่าตัดลอกต้อเนื้อ การผ่าตัดลอกต้อเนื้อแบบปกติ เป็นวิธีที่ง่ายและรวดเร็ว โดยลอกต้อเนื้อออกแล้วปล่อยให้เยื่อบุตาสร้างตัวขึ้นมาคลุมบริเวณที่ลอกออกเอง  วิธีนี้ไม่ค่อยเจ็บหรือระคายเคืองมากและไม่ต้องเย็บปิดแผล เนื่องจากร่างกายสามารถสร้างเยื่อบุตาขาวขึ้นมาทดแทนส่วนที่ถูกลอกออกไปได้เอง อย่างไรก็ตามข้อเสียของวิธีนี้คือมีโอกาสที่ต้อเนื้อจะกลับมาเกิดซ้ำได้สูงมากถึง 40-50% 2. ผ่าตัดลอกต้อเนื้อและปลูกเนื้อเยื่อ การผ่าตัดลอกต้อเนื้อพร้อมปลูกเนื้อเยื่อ เป็นการลอกต้อเนื้อออกแล้วเย็บปิดด้วยเนื้อเยื่อบุตาขาวของผู้ป่วยหรือเนื้อเยื่อรก วิธีนี้ใช้เวลาผ่าตัดนานและอาจระคายเคืองหลังผ่าตัด แต่ปัจจุบันมีการใช้กาวไฟบริน (Fibrin Glue) ช่วยลดระยะเวลาผ่าตัดและลดการระคายเคืองหลังผ่าตัดได้   ข้อดีของวิธีนี้คือ ลดโอกาสการเกิดซ้ำของต้อเนื้อให้เหลือเพียง 5-10% และช่วยให้แผลจากการผ่าตัดหายได้เร็วขึ้น ส่วนข้อเสียคือผู้ป่วยอาจรู้สึกระคายเคืองมากกว่า เนื่องจากไหมเย็บที่ใช้ในการปลูกเนื้อเยื่ออาจก่อให้เกิดความรู้สึกไม่สบายตาหลังการผ่าตัด เมื่อไรที่ควรรีบผ่าตัดรักษาต้อเนื้อ ต้อเนื้อไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่สามารถทำให้เกิดความระคายเคืองหรือไม่สบายตาได้ หากต้อเนื้อยังมีขนาดเล็ก สามารถรักษาได้ตามอาการ เช่น การใช้ยาหยอดตาเพื่อลดการระคายเคือง อย่างไรก็ตามหากต้อเนื้อลุกลามจนมีขนาดใหญ่และส่งผลต่อการมองเห็น ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการผ่าตัดรักษาโดยเร็ว วิธีปฏิบัติและดูแลตนเองหลังลอกตาต้อเนื้อ ข้อปฏิบัติหลังการลอกตาต้อเนื้อ ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจกระตุ้นให้เยื่อบุตาขาวเสื่อมซ้ำ เพื่อป้องกันการเกิดต้อเนื้อใหม่ โดยดูแลตัวเองได้ดังนี้   หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้งที่มีฝุ่น ควัน ลม และแสงแดดโดยตรง หากจำเป็นต้องอยู่กลางแจ้ง ควรสวมแว่นกันแดดที่ป้องกันรังสียูวีและกันลม  หากจำเป็นต้องทำงานที่เกี่ยวข้องกับแสงยูวีหรือสารเคมีที่ระคายเคืองตา ควรสวมเครื่องป้องกันดวงตา เช่น แว่นตานิรภัย หรือหน้ากากป้องกันเสมอ ในกรณีที่ต้องทำงานที่ใช้สายตามาก ควรพักสายตาเป็นระยะ เพื่อช่วยลดความเมื่อยล้าและลดความเสี่ยงที่ต้อเนื้อจะขยายขนาด ผู้ป่วยควรใช้ยาหยอดตาหรือขี้ผึ้งตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อบรรเทาอาการระคายเคือง ไม่ควรขยี้ตา เพราะอาจทำให้เกิดการอักเสบของตาและนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ได้ ห้ามใช้ยาหยอดตาสเตียรอยด์ติดต่อกันเกินระยะเวลาที่แพทย์สั่งหรือซื้อมาใช้เอง เพราะอาจเสี่ยงเกิดต้อหินและสูญเสียการมองเห็นถาวรได้     ป้องกันตัวเองอย่างไร ไม่ให้เป็นต้อเนื้อ เพื่อป้องกันต้อเนื้อและหลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจทำให้เกิดขึ้น ควรปฏิบัติตามแนวทางต่อไปนี้   หากมีอาการระคายเคืองตาจากตาแห้ง ให้ใช้น้ำตาเทียมได้ โดยควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ หากตาล้าหรือตาแห้งระหว่างวัน ให้พักสายตาโดยการหลับตา หรือเปลี่ยนระยะการมองบ่อยๆ หลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วง 10:00 - 14:00 น. เพื่อลดการโดนแสงยูวี ใส่แว่นที่สามารถป้องกันแสงยูวีและเพื่อป้องกันฝุ่น ลม ควัน หลีกเลี่ยงสภาวะแวดล้อมที่มีลม ฝุ่น ความร้อน ควัน สิ่งสกปรก และความแห้ง สังเกตดวงตาภายนอกและการมองเห็นของตนเองอยู่เสมอ หากพบสิ่งผิดปกติให้รีบเข้าพบจักษุแพทย์ สรุป ต้อเนื้อคือเยื่อบุตาขาวที่เจริญผิดปกติเข้ามาบริเวณตาดำ ทำให้ระคายเคืองและอาจบดบังการมองเห็นได้ อาการหลัก ได้แก่ ตาแดง ระคายเคือง มีอาการเจ็บเล็กน้อย และรู้สึกมีอะไรติดตา สาเหตุหลักมาจากการอยู่กลางแดด ฝุ่น ลม และแสงยูวี วิธีรักษาต้อเนื้อ สามารถใช้ยาหยอดตาหรือผ่าตัดเอาเยื่อบุตาที่ผิดปกติออก ส่วนการป้องกันควรหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดด ฝุ่น ลม และแสงยูวี สวมแว่นกันแดด และใช้น้ำตาเทียมหากตาแห้ง หากคุณมีต้อเนื้อ แนะนำเข้ามารับการรักษาที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านดวงตาที่นี่พร้อมให้บริการดูแลและรักษาโรคเกี่ยวกับดวงตาด้วยทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมด้วยเทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัย
ศูนย์รักษากระจกตา

โรคต้อที่ตาคืออะไร? แยกได้ทั้งหมดกี่ชนิด พร้อมอาการและวิธีการรักษา

ต้อเนื้อและต้อลมคืออะไร แตกต่างกันอย่างไร ?ต้อเนื้อเป็นโรคกลุ่มเดียวกันกับต้อลม แต่มีการยื่นเข้าไปในส่วนของกระจกตา (ตาดำ) สาเหตุเหมือนกับต้อลม คือเกิดจากการเสื่อมสภาพของเยื่อบุตา บริเวณที่โดนแดด คือเมื่อก้อนเนื้อต้อลมโตขั้นเป็นมากขึ้น แล้วมีการยื่นเข้าไปในตาดำ ก็จะกลายเป็นเป็นต้อเนื้อนั่นเอง รู้ได้อย่างไรว่าเป็นต้อเนื้อ?ถ้ามองเข้าไปที่ตาจะเห็นก้อนเนื้อ สีชมพู เป็นรูปสามเหลี่ยมยื่นเข้าไปในตาดำ ถ้ามีการอักเสบมักเห็นเป็นสีแดงมากขึ้น ถ้าต้อลมจะอยู่แต่ที่ตาขาวเท่านั้น เป็นต้อเนื้อแล้วจะมีอาการอย่างไร?จะมีอาการระคายเคืองตา ตาแดง อาจคันหรือมีน้ำตาไหลถ้าโดนฝุ่นหรือลม ถ้าเป็นมากๆอาจกดกระจกตาทำให้มีสายตาเอียง หรือถ้าเป็นมากจนลุกลามไปบังตรงกลางของตาดำ อาจทำให้การมองเห็นมัวลงได้ เราจะป้องกันได้อย่างไร?หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เจอแดดแรงๆ หรือ ควรสวมแว่นกันแดด กางร่ม หรือสวมหมวกเพื่อไม่ให้ตาโดนแสงแดดโดยตรง ถ้าเป็นแล้ว จะรักษาให้หายได้หรือไม่ ตาจะบอดหรือไม่?กรณีถ้าเป็นไม่มาก อาจไม่จำเป็นต้องผ่าตัด อาจเพียงแค่รักษาด้วยยาลดการอักเสบ ลดแดง หรือลดอาการระคายเคืองเป็นครั้งคราว แต่ถ้ามีอาการอักเสบบ่อยๆ หรือต้อเนื้อใหญ่มากขึ้น จนทำให้การมองเห็นแย่ลง อาจพิจารณาทำผ่าตัดลอกต้อเนื้อได้ ต้อเนื้อไม่อันตรายโดยปรกติไม่ทำให้ตาบอด ถ้าเป็นมากสามารถผ่าตัดรักษาได้ การผ่าตัดทำได้โดยแค่ฉีดยาชาเฉพาะที่ ใช้เวลาไม่นาน แต่การดูแลหลังผ่าตัดเองก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ คนไข้ต้องหยอดยาตามแพทย์สั่ง และ หลีกเลี่ยงการเจอผุ่น ลม แดด ไม่เช่นนั้นต้อเนื้ออาจกลับเป็นซ้ำได้ ซึ่งจะมีการอักเสบรุนแรงมากขึ้น และการทำผ่าตัดซ้ำก็ทำได้ยากขึ้น การผ่าตัดต้อเนื้อมีหลายวิธีดังนี้ การลอกต้อเนื้อเพียงอย่างเดียว โดยไม่เอาเยื่อบุใดๆมาแปะ วิธีนี้ทำในกรณีผุ้ป่วยอายุมาก ต้อเนื้อไม่มีการอักเสบมาก ปัจจุบันไม่นิยมเนื่องจากอัตราการเกิดซ้ำสูงมาก การลอกต้อเนื้อ และเอาเยื่อบุตามาแปะ คือนอกจากตัดต้อเนื้อ ออกแล้ว ยังเอาเยื่อบุตาส่วนบนของตาคนไข้เอง มาเย็บเข้าในบริเวณที่เป็นต้อเนื้อเดิม วิธีนี้ช่วยลดการเกิดซ้ำได้ดีมาก การลอกต้อเนื้อ และเอาเยื่อหุ้มรกมาแปะ วิธีทำผ่าตัดเหมือนวิธีที่ 2 แต่ใช้เยื่อหุ้มรกมาเย็บแทน ทำให้ไม่ต้องใช้เยื่อบุตาของคนไข้ และใช้ได้ในกรณีเป็นซ้ำ และได้ใช้เยื่อบุตาตนเองไปแล้ว การลอกต้อเนือโดยการใช้mitomycin c ร่วมกับใช้เยื่อหุ้มรก หรือ เยื่อบุตาแปะ จะ ช่วยลดการเกิดซ้ำได้ดี โดยเฉพาะในคนไข้กลุ่มที่มีความเสียงสูงในการเกิดซ้ำ แต่ก็ต้องใช้ยานี้อย่างระมัดระวังเนื่องจากอาจมีข้อแทรกซ้อนจากยา การแปะเยื่อหุ้มรกหรือเยื่อบุตานั้น อาจใช้ไหมเย็บ หรืออาจใช้กาว fibrin แปะโดยไม่ต้องเย็บก็ได้ ทั้งต้อลมและต้อเนื้อนั้น ถ้าเราทราบว่าเป็นแล้ว การป้องกันไม่ให้เป็นมากขึ้นเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ซึ่งทำได้ไม่ยากเลย เพียงแค่ระวังหรือหลีกเลี่ยงการโดนแดด ฝุ่น ลม เช่น ใส่แว่นกันแดด ใช้ร่ม สวมหมวก ก็ทำให้เราลดโอกาสการโดนแดดโดยตรง โรคก็จะไม่เป็นมากขึ้นค่ะ  
calling
ติดต่อเรา : +662 511 2111