มุมสุขภาพตา : #ต้อเนื้อ

เรียงตาม

กระจกตาบางเกิดจากอะไร? อาการ ผลกระทบต่อสายตาและวิธีรักษา

กระจกตาบางคือภาวะที่กระจกตาซึ่งเป็นชั้นโปร่งใสด้านหน้าตาของดวงตามีความหนาน้อยกว่าปกติ ส่งผลต่อการมองเห็นและสุขภาพตา กระจกตาบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การเสื่อมตามวัย การขยี้ตาบ่อยๆ โรคทางพันธุกรรม หรือผลข้างเคียงจากการผ่าตัดตา เช่น เลสิก อาการของกระจกตาบางที่สังเกตได้ เช่น ตาพร่ามัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย มองเห็นภาพบิดเบี้ยว และสายตาเอียงสูงผิดปกติ กระจกตาบางคือภาวะที่ความหนาของกระจกตาลดลงกว่าปกติ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการโฟกัสแสงเข้าสู่ดวงตา ทำให้การมองเห็นมีความคมชัด หากกระจกตาบางเกินไป อาจเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสายตา เช่น สายตาผิดปกติ หรือมีผลกระทบต่อการรักษาดวงตาด้วยวิธีต่างๆ เช่น เลสิก การเข้าใจสาเหตุ อาการ และการดูแลกระจกตาบางอย่างถูกต้อง จึงช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและดูแลสุขภาพตาได้ดีขึ้น       กระจกตาคืออะไร? สิ่งสำคัญต่อการมองเห็น กระจกตา (Cornea) คือชั้นโปร่งใสและโค้งอยู่ด้านหน้าสุดของดวงตา ครอบคลุมตาดำ มีหน้าที่ช่วยหักเหแสงให้เข้าสู่ดวงตา ทำให้เรามองเห็นชัดเจน และยังเป็นเกราะป้องกันเชื้อโรคโดยตรง โดยปกติความหนาของกระจกตาจะอยู่ที่ประมาณ 520-550 ไมครอน และสามารถบางลงได้ตามอายุที่เพิ่มขึ้นด้วย       รู้จักกับกระจกตาบาง กระจกตาบางคือลักษณะของกระจกตาที่มีความหนาน้อยกว่า 500 ไมครอน (0.5 มิลลิเมตร) โดยทั่วไปไม่ถือเป็นโรคและไม่ต้องรักษา แต่กระจกตาบางจะส่งผลต่อการวินิจฉัยโรคบางอย่าง เช่น ต้อหิน เพราะทำให้วัดความดันตาต่ำกว่าความจริง รวมถึงส่งผลต่อการเลือกวิธีแก้ไขสายตา เช่น หากผู้ป่วยต้องการทำ LASIK และ มีระดับค่าสายตาที่มีผิดปกติสูง เช่น สั้น หรือ เอียงมาก โดยมีความหนาของกระจกตาน้อย เมื่อเปรียบเทียบกันกับเนื้อกระจกตาที่ต้องใช้ผ่าตัด หลังจากได้รับการตรวจจากผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียด เเพทย์ประเมินแล้วอาจจะไม่สามารถแก้ไขค่าสายตาได้หมด หรืออาจทำให้ กระจกตาเสี่ยงเป็นโรคกระจกตาอื่นๆหลังการแก้ไข เเพทย์อาจประเมินให้ผู้ป่วยทำการรักษาด้วยวิธีการอื่นๆ เช่น PRK ICL FemtoLASIK ReLEx SMILE Pro หรือ NanoLASIK  แทนการทำ LASIK แบบทั่วๆไป ซึ่งเป็นการเเก้ไขที่ใช้หรือรบกวนความหนาของกระจกตาน้อยกว่าเพราะฉะนั้น ก่อนทำเลสิกจึงต้องสังเกตและตรวจประเมินความหนาของกระจกตาอย่างละเอียด เพราะหากบางเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะสายตาเอียงผิดปกติ หรือกระจกตาย้วย ซึ่งส่งผลต่อการมองเห็นได้ นอกจากนี้หลายคนยังสงสัยว่า “ใส่คอนแท็กต์เลนส์ ทำให้กระจกตาบางจริงไหม?” คำตอบคือ โดยทั่วไปการใส่คอนแท็กต์เลนส์อย่างถูกวิธี ไม่ได้ทำให้กระจกตาบางลง แต่หากใส่นานเกินไป ไม่ถอดล้างหรือดูแลอย่างถูกต้อง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเกิดภาวะขาดออกซิเจนที่กระจกตา ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อบางลงได้เช่นกัน       กระจกตาบางเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง? กระจกตาบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ การเข้าใจสาเหตุเหล่านี้ช่วยให้สามารถป้องกันและดูแลสุขภาพตาได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น โดยสาเหตุที่พบได้บ่อย มีดังนี้   โรคทางพันธุกรรม แม้ว่าภาวะกระจกตาบางมักเกิดจากพฤติกรรมบางอย่าง แต่ในบางกรณี ความผิดปกตินี้อาจมีสาเหตุจากโรคพันธุกรรมที่ถ่ายทอดภายในครอบครัว หนึ่งในโรคที่พบบ่อย คือ กระจกตาย้วย (Keratoconus) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของภาวะกระจกตาบาง กระจกตาจะบางลงและโป่งยื่นออกมาคล้ายรูปกรวย ทำให้สายตาเอียงผิดปกติ และการมองเห็นแย่ลงเรื้อรัง มักเริ่มแสดงอาการในช่วงวัยรุ่นถึงอายุ 30 ปี โรคกระจกตาบางจากพันธุกรรมอื่นๆ (Corneal Dystrophies) เช่น Pellucid Marginal Degeneration (PMD) ซึ่งกระจกตาจะบางลงบริเวณขอบด้านล่าง   การบาดเจ็บหรือการผ่าตัดตา การผ่าตัดแก้ไขสายตาบางประเภท เช่น การทำเลสิก (LASIK) หรือ PRK อาจส่งผลให้กระจกตาบางลงได้ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการเลเซอร์เนื้อกระจกตา ออกไปมากเกินความจำเป็น ทำให้ความหนาของกระจกตาที่เหลืออยู่ไม่เพียงพอ เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น กระจกตาย้วยในอนาคต นอกจากนี้การบาดเจ็บที่กระจกตาซ้ำๆ รวมถึงการติดเชื้อที่รุนแรง เช่น แผลที่กระจกตาหรือกระจกตาอักเสบ ก็สามารถทำลายเนื้อเยื่อกระจกตาและทำให้เกิดการบางลงได้เช่นกัน โดยเฉพาะหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที   โรคอื่นๆ หรือการใช้ยา โรคทางภูมิคุ้มกันบางชนิด เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) หรือโรคเอสแอลอี (SLE) อาจส่งผลกระทบต่อกระจกตา ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และนำไปสู่ภาวะกระจกตาบางได้ในระยะยาว เนื่องจากภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเนื้อเยื่อของตาเอง ในขณะเดียวกัน การใช้ยาหยอดตาบางชนิด โดยเฉพาะยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ หากใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจมีผลข้างเคียงต่อโครงสร้างของกระจกตา ทำให้เนื้อเยื่อกระจกตาอ่อนแอและบางลงได้เช่นกัน       อาการของภาวะกระจกตาบาง ภาวะกระจกตาบางมักพัฒนาอย่างช้าๆ จนอาจไม่สังเกตเห็นได้ในระยะแรก การเรียนรู้ที่จะสังเกตอาการเบื้องต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรักษาได้อย่างทันท่วงที โดยอาการที่อาจพบมีดังนี้ การมองเห็นพร่ามัวหรือไม่ชัดเจน ค่าสายตาเปลี่ยนแปลงบ่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ มีค่าสายตาเอียงสูงกว่าปกติ มองเห็นภาพบิดเบี้ยว หรือมีลักษณะผิดรูปจากความจริง       วิธีการตรวจและวินิจฉัยกระจกตาบาง โดยปกติแล้วภาวะกระจกตาบางมักถูกตรวจพบในขั้นตอนการประเมินสายตาก่อนทำเลสิก ซึ่งแพทย์จะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Keratometerตรวจวัดความโค้งของกระจกตาและค่าสายตาเอียง โดยการสะท้อนแสงบนกระจกตาเพื่อตรวจหารูปร่างและความโค้งที่ผิดปกติ ซึ่งความโค้งที่ผิดปกตินี้ อาจสัมพันธ์กับความบางของกระจกตา นอกจากนั้นยังมีการตรวจ Corneal Tophography หรือแผนภูมิดวงตาเพื่อประเมินค่าความหนาบางและความผิดปกติของกระจกตาอื่นๆด้วย โดยอาจจะมีการวัด Tomographic Biomechanical Index หรือ ค่าความเเข็งเเรงของกระจกตา เสริมเพื่อตรวจความเสี่ยงของโรค Corneal Ectasia หรือโรคกระจกตาโป้งอีกด้วย แม้ว่าจะสามารถสังเกตอาการเบื้องต้นได้ เช่น มองเห็นไม่ชัดหรือค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย แต่การวินิจฉัยว่ามีกระจกตาบางจริงหรือไม่นั้น ต้องอาศัยการตรวจโดยจักษุแพทย์เท่านั้น เพราะการสังเกตอาการด้วยตนเองเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น ไม่สามารถยืนยันผลได้ ดังนั้นหากสงสัยว่าตนเองมีกระจกตาบาง ควรเข้ารับการตรวจอย่างละเอียดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวางแผนการดูแลและรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้น   สรุป กระจกตาบางเป็นภาวะที่หลายคนไม่รู้ตัว แต่สามารถส่งผลกระทบต่อการมองเห็น เช่น ตาพร่ามัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย หรือภาพบิดเบี้ยว ซึ่งอาจเกิดจากพันธุกรรม โรคภูมิคุ้มกัน การผ่าตัดแก้ไขสายตา หรือการใช้ยาบางชนิด การตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกจึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่วางแผนทำเลสิก ควรเข้ารับการตรวจวัดความหนาและความโค้งของกระจกตาอย่างละเอียดที่ Bangkok Eye Hospital ด้วยเครื่องมือทันสมัยและแพทย์เฉพาะทาง เพื่อป้องกันและดูแลสุขภาพดวงตาได้อย่างมั่นใจ   คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกระจกตาบาง (FAQ) หลายคนที่เพิ่งเคยได้ยินเกี่ยวกับภาวะกระจกตาบางอาจมีข้อสงสัยมากมาย เพื่อช่วยให้เข้าใจมากขึ้น เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาวะกระจกตาบาง พร้อมคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญมาฝากกันในบทความนี้   ทำอย่างไรให้กระจกตาหนาขึ้น ความหนาของกระจกตาไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากเป็นความผิดปกติที่เกิดจากโครงสร้างภายในชั้นกระจกตาเอง   ถ้าปล่อยให้กระจกตาบางแล้วไม่รักษา จะเป็นอย่างไร? สายตาพร่ามัวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถแก้ไขด้วยแว่นหรือคอนแท็กต์เลนส์ปกติได้ กระจกตาโป่งยื่นออกมามากผิดปกติ ทำให้การมองเห็นแย่ลงอย่างถาวร ในบางกรณีรุนแรงมาก อาจเกิดภาวะกระจกตาบวมน้ำฉับพลัน (Acute Hydrops) หรือกระจกตาทะลุ ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินและอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้หากไม่ได้รับการปลูกถ่ายกระจกตา   สามารถป้องกันภาวะกระจกตาบางได้ไหม หลีกเลี่ยงการขยี้ตาแรงๆ เพราะการขยี้ตาเป็นประจำและรุนแรงสามารถทำให้กระจกตาบางลงและเป็นตัวกระตุ้นให้โรคกระจกตาย้วยแย่ลง ดูแลสุขภาพตาโดยรวม เช่น ไม่ใช้คอนแท็กต์เลนส์นานเกินไป และรักษาความสะอาดของดวงตา พบจักษุแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคเกี่ยวกับกระจกตา เพื่อให้สามารถวินิจฉัยและเริ่มการรักษาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะให้ผลลัพธ์การรักษาที่ดีกว่า  
อ่านเพิ่มเติม

ทำความเข้าใจถึงสาเหตุของต้อเนื้อ อาการ วิธีการรักษา และการป้องกัน

ต้อเนื้อ คือเนื้อเยื่อผิดปกติที่เติบโตบนเยื่อบุตาขาว ทำให้ตาขาวมีสีแดงและรู้สึกระคายเคือง รวมทั้งอาจทำให้มองเห็นมัวได้ วิธีรักษาต้อเนื้อ ทำได้ตั้งแต่การใช้ยาลดอาการอักเสบ การลอกเนื้อเยื่อออก และการผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อที่ผิดปกติออก ป้องกันต้อเนื้อ เช่น ใส่แว่นกันแดดป้องกันแสง UV หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับฝุ่น ควัน หรือสารเคมี และควรพักสายตาหากใช้งานดวงตามากเกินไป รักษาต้อเนื้อที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) มีจักษุแพทย์ที่มีประสบการณ์ อุปกรณ์ทันสมัย และบริการดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย   ทำความเข้าใจกับต้อเนื้อ โรคที่เกิดจากเยื่อบุที่ปกคลุมดวงตาเจริญเติบโตผิดปกติ สาเหตุที่ทำให้เกิดต้อเนื้อ การรักษาที่สามารถทำได้หลายวิธี รวมถึงการป้องกันที่เหมาะสม เพื่อให้คุณสามารถดูแลดวงตาของคุณได้อย่างดีและป้องกันการสูญเสียการมองเห็นในอนาคต     รู้จักกับต้อเนื้อว่าคืออะไร ต้อเนื้อ (Pterygium) เกิดจากความผิดปกติของเยื่อเมือกบุตาที่มีลักษณะคล้ายรูปสามเหลี่ยม อาจเริ่มโตจากบริเวณหัวตาหรือหางตา โดยมักพบบริเวณหัวตามากกว่า ต้อเนื้อสามารถเกิดขึ้นได้ที่ตาข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง โดยจะมีอาการตาแดงและระคายเคือง หากต้อเนื้อลามไปบนกระจกตา อาจทำให้รบกวนการมองเห็นได้     สาเหตุที่ทำให้เกิดต้อเนื้อ สาเหตุที่ทำให้เกิดต้อเนื้อยังไม่รู้ชัดเจน แต่ส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมการใช้ชีวิตต่างๆ คือ   ใช้สายตามากเกินไป เช่น ใช้คอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์เป็นเวลานาน ดวงตาแห้งและระคายเคืองบ่อย ดวงตาสัมผัสกับฝุ่นควัน มลภาวะ ลมร้อน ลมแห้ง และรังสียูวีมากกว่าปกติ ดวงตาสัมผัสกับสารเคมีที่ทำให้เกิดการระคายเคืองเป็นเวลานาน มีประวัติครอบครัวเป็นโรคต้อเนื้อ โรคเบาหวาน     อาการที่พบได้เมื่อเป็นต้อเนื้อ ต้อเนื้อในระยะแรก อาการยังไม่ชัด หรือไม่แสดงอาการให้ทราบ แต่เมื่อเข้าสู่ระยะหลังๆ อาการจะแสดงออก ดังนี้ ตาแดง บวม และระคายเคือง รู้สึกตาแห้ง คัน และแสบ รู้สึกเหมือนมีเม็ดทรายหรือกรวดในตา มีก้อนเนื้อสีชมพูรูปทรงเหมือนสามเหลี่ยมงอกเข้าสู่ตาดำ น้ำตาไหลออกมามาก มองเห็นภาพไม่ชัด วิธีในการตรวจวินิจฉัยต้อเนื้อ จักษุแพทย์จะซักประวัติเพื่อหาสาเหตุที่อาจเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน การทำงานหน้าจอ หรือสัมผัสสารเคมีโดยไม่มีการป้องกัน รวมถึงประวัติครอบครัวที่มีโรคต้อเนื้อ เพราะโรคต้อเนื้อมักพบได้จากผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคต้อเนื้อมาก่อน นอกจากนี้จักษุแพทย์สามารถวินิจฉัยต้อเนื้อได้โดยใช้กล้องตรวจตา และอุปกรณ์ตรวจตาพิเศษ ซึ่งช่วยถ่ายภาพลูกตาเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของต้อเนื้อ เช่น การขยายขนาดหรือการลุกลาม และจักษุแพทย์อาจทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อแยกโรคอื่นๆ ที่อาจมีอาการคล้ายกับต้อเนื้อ เช่น มะเร็งของผิวดวงตา     วิธีรักษาต้อเนื้อ ทำได้อย่างไรบ้าง การรักษาต้อเนื้อทำได้หลายวิธี โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็นการใช้ยาและการผ่าตัด ได้แก่ การใช้ยารักษาต้อเนื้อ วิธีรักษาต้อเนื้อด้วยยาหยอดตา เช่น การใช้ขี้ผึ้งหรือน้ำตาเทียม หรือการควบคุมการอักเสบด้วยยาหยอดตาสเตียรอยด์ ยาต้านฮีสตามีน มีส่วนช่วยลดอาการคัน อาการระคายเคือง และตาแดงได้ แต่ไม่มียาหยอดตาตัวใดที่ทำให้ก้อนพังผืดต้อเนื้อหายไปได้    การใช้ยาในการรักษาต้อเนื้อจึงไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เพียงแต่จะช่วยลดอาการระคายเคืองบรรเทาลงเท่านั้น การผ่าตัดรักษาต้อเนื้อ การผ่าตัดเป็นวิธีที่ใช้ในการนำต้อเนื้อออก โดยทั่วไปมี 2 วิธีหลักที่แพทย์เลือกใช้ตามความเหมาะสมของผู้ป่วย เพื่อป้องกันการลุกลามและลดผลกระทบต่อการมองเห็น 1. ผ่าตัดลอกต้อเนื้อ การผ่าตัดลอกต้อเนื้อแบบปกติ เป็นวิธีที่ง่ายและรวดเร็ว โดยลอกต้อเนื้อออกแล้วปล่อยให้เยื่อบุตาสร้างตัวขึ้นมาคลุมบริเวณที่ลอกออกเอง  วิธีนี้ไม่ค่อยเจ็บหรือระคายเคืองมากและไม่ต้องเย็บปิดแผล เนื่องจากร่างกายสามารถสร้างเยื่อบุตาขาวขึ้นมาทดแทนส่วนที่ถูกลอกออกไปได้เอง อย่างไรก็ตามข้อเสียของวิธีนี้คือมีโอกาสที่ต้อเนื้อจะกลับมาเกิดซ้ำได้สูงมากถึง 40-50% 2. ผ่าตัดลอกต้อเนื้อและปลูกเนื้อเยื่อ การผ่าตัดลอกต้อเนื้อพร้อมปลูกเนื้อเยื่อ เป็นการลอกต้อเนื้อออกแล้วเย็บปิดด้วยเนื้อเยื่อบุตาขาวของผู้ป่วยหรือเนื้อเยื่อรก วิธีนี้ใช้เวลาผ่าตัดนานและอาจระคายเคืองหลังผ่าตัด แต่ปัจจุบันมีการใช้กาวไฟบริน (Fibrin Glue) ช่วยลดระยะเวลาผ่าตัดและลดการระคายเคืองหลังผ่าตัดได้   ข้อดีของวิธีนี้คือ ลดโอกาสการเกิดซ้ำของต้อเนื้อให้เหลือเพียง 5-10% และช่วยให้แผลจากการผ่าตัดหายได้เร็วขึ้น ส่วนข้อเสียคือผู้ป่วยอาจรู้สึกระคายเคืองมากกว่า เนื่องจากไหมเย็บที่ใช้ในการปลูกเนื้อเยื่ออาจก่อให้เกิดความรู้สึกไม่สบายตาหลังการผ่าตัด เมื่อไรที่ควรรีบผ่าตัดรักษาต้อเนื้อ ต้อเนื้อไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่สามารถทำให้เกิดความระคายเคืองหรือไม่สบายตาได้ หากต้อเนื้อยังมีขนาดเล็ก สามารถรักษาได้ตามอาการ เช่น การใช้ยาหยอดตาเพื่อลดการระคายเคือง อย่างไรก็ตามหากต้อเนื้อลุกลามจนมีขนาดใหญ่และส่งผลต่อการมองเห็น ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการผ่าตัดรักษาโดยเร็ว วิธีปฏิบัติและดูแลตนเองหลังลอกตาต้อเนื้อ ข้อปฏิบัติหลังการลอกตาต้อเนื้อ ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจกระตุ้นให้เยื่อบุตาขาวเสื่อมซ้ำ เพื่อป้องกันการเกิดต้อเนื้อใหม่ โดยดูแลตัวเองได้ดังนี้   หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้งที่มีฝุ่น ควัน ลม และแสงแดดโดยตรง หากจำเป็นต้องอยู่กลางแจ้ง ควรสวมแว่นกันแดดที่ป้องกันรังสียูวีและกันลม  หากจำเป็นต้องทำงานที่เกี่ยวข้องกับแสงยูวีหรือสารเคมีที่ระคายเคืองตา ควรสวมเครื่องป้องกันดวงตา เช่น แว่นตานิรภัย หรือหน้ากากป้องกันเสมอ ในกรณีที่ต้องทำงานที่ใช้สายตามาก ควรพักสายตาเป็นระยะ เพื่อช่วยลดความเมื่อยล้าและลดความเสี่ยงที่ต้อเนื้อจะขยายขนาด ผู้ป่วยควรใช้ยาหยอดตาหรือขี้ผึ้งตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อบรรเทาอาการระคายเคือง ไม่ควรขยี้ตา เพราะอาจทำให้เกิดการอักเสบของตาและนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ได้ ห้ามใช้ยาหยอดตาสเตียรอยด์ติดต่อกันเกินระยะเวลาที่แพทย์สั่งหรือซื้อมาใช้เอง เพราะอาจเสี่ยงเกิดต้อหินและสูญเสียการมองเห็นถาวรได้     ป้องกันตัวเองอย่างไร ไม่ให้เป็นต้อเนื้อ เพื่อป้องกันต้อเนื้อและหลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจทำให้เกิดขึ้น ควรปฏิบัติตามแนวทางต่อไปนี้   หากมีอาการระคายเคืองตาจากตาแห้ง ให้ใช้น้ำตาเทียมได้ โดยควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ หากตาล้าหรือตาแห้งระหว่างวัน ให้พักสายตาโดยการหลับตา หรือเปลี่ยนระยะการมองบ่อยๆ หลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วง 10:00 - 14:00 น. เพื่อลดการโดนแสงยูวี ใส่แว่นที่สามารถป้องกันแสงยูวีและเพื่อป้องกันฝุ่น ลม ควัน หลีกเลี่ยงสภาวะแวดล้อมที่มีลม ฝุ่น ความร้อน ควัน สิ่งสกปรก และความแห้ง สังเกตดวงตาภายนอกและการมองเห็นของตนเองอยู่เสมอ หากพบสิ่งผิดปกติให้รีบเข้าพบจักษุแพทย์ สรุป ต้อเนื้อคือเยื่อบุตาขาวที่เจริญผิดปกติเข้ามาบริเวณตาดำ ทำให้ระคายเคืองและอาจบดบังการมองเห็นได้ อาการหลัก ได้แก่ ตาแดง ระคายเคือง มีอาการเจ็บเล็กน้อย และรู้สึกมีอะไรติดตา สาเหตุหลักมาจากการอยู่กลางแดด ฝุ่น ลม และแสงยูวี วิธีรักษาต้อเนื้อ สามารถใช้ยาหยอดตาหรือผ่าตัดเอาเยื่อบุตาที่ผิดปกติออก ส่วนการป้องกันควรหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดด ฝุ่น ลม และแสงยูวี สวมแว่นกันแดด และใช้น้ำตาเทียมหากตาแห้ง หากคุณมีต้อเนื้อ แนะนำเข้ามารับการรักษาที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านดวงตาที่นี่พร้อมให้บริการดูแลและรักษาโรคเกี่ยวกับดวงตาด้วยทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมด้วยเทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัย
ศูนย์รักษากระจกตา

โรคต้อที่ตาคืออะไร? แยกได้ทั้งหมดกี่ชนิด พร้อมอาการและวิธีการรักษา

ต้อเนื้อและต้อลมคืออะไร แตกต่างกันอย่างไร ?ต้อเนื้อเป็นโรคกลุ่มเดียวกันกับต้อลม แต่มีการยื่นเข้าไปในส่วนของกระจกตา (ตาดำ) สาเหตุเหมือนกับต้อลม คือเกิดจากการเสื่อมสภาพของเยื่อบุตา บริเวณที่โดนแดด คือเมื่อก้อนเนื้อต้อลมโตขั้นเป็นมากขึ้น แล้วมีการยื่นเข้าไปในตาดำ ก็จะกลายเป็นเป็นต้อเนื้อนั่นเอง รู้ได้อย่างไรว่าเป็นต้อเนื้อ?ถ้ามองเข้าไปที่ตาจะเห็นก้อนเนื้อ สีชมพู เป็นรูปสามเหลี่ยมยื่นเข้าไปในตาดำ ถ้ามีการอักเสบมักเห็นเป็นสีแดงมากขึ้น ถ้าต้อลมจะอยู่แต่ที่ตาขาวเท่านั้น เป็นต้อเนื้อแล้วจะมีอาการอย่างไร?จะมีอาการระคายเคืองตา ตาแดง อาจคันหรือมีน้ำตาไหลถ้าโดนฝุ่นหรือลม ถ้าเป็นมากๆอาจกดกระจกตาทำให้มีสายตาเอียง หรือถ้าเป็นมากจนลุกลามไปบังตรงกลางของตาดำ อาจทำให้การมองเห็นมัวลงได้ เราจะป้องกันได้อย่างไร?หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เจอแดดแรงๆ หรือ ควรสวมแว่นกันแดด กางร่ม หรือสวมหมวกเพื่อไม่ให้ตาโดนแสงแดดโดยตรง ถ้าเป็นแล้ว จะรักษาให้หายได้หรือไม่ ตาจะบอดหรือไม่?กรณีถ้าเป็นไม่มาก อาจไม่จำเป็นต้องผ่าตัด อาจเพียงแค่รักษาด้วยยาลดการอักเสบ ลดแดง หรือลดอาการระคายเคืองเป็นครั้งคราว แต่ถ้ามีอาการอักเสบบ่อยๆ หรือต้อเนื้อใหญ่มากขึ้น จนทำให้การมองเห็นแย่ลง อาจพิจารณาทำผ่าตัดลอกต้อเนื้อได้ ต้อเนื้อไม่อันตรายโดยปรกติไม่ทำให้ตาบอด ถ้าเป็นมากสามารถผ่าตัดรักษาได้ การผ่าตัดทำได้โดยแค่ฉีดยาชาเฉพาะที่ ใช้เวลาไม่นาน แต่การดูแลหลังผ่าตัดเองก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ คนไข้ต้องหยอดยาตามแพทย์สั่ง และ หลีกเลี่ยงการเจอผุ่น ลม แดด ไม่เช่นนั้นต้อเนื้ออาจกลับเป็นซ้ำได้ ซึ่งจะมีการอักเสบรุนแรงมากขึ้น และการทำผ่าตัดซ้ำก็ทำได้ยากขึ้น การผ่าตัดต้อเนื้อมีหลายวิธีดังนี้ การลอกต้อเนื้อเพียงอย่างเดียว โดยไม่เอาเยื่อบุใดๆมาแปะ วิธีนี้ทำในกรณีผุ้ป่วยอายุมาก ต้อเนื้อไม่มีการอักเสบมาก ปัจจุบันไม่นิยมเนื่องจากอัตราการเกิดซ้ำสูงมาก การลอกต้อเนื้อ และเอาเยื่อบุตามาแปะ คือนอกจากตัดต้อเนื้อ ออกแล้ว ยังเอาเยื่อบุตาส่วนบนของตาคนไข้เอง มาเย็บเข้าในบริเวณที่เป็นต้อเนื้อเดิม วิธีนี้ช่วยลดการเกิดซ้ำได้ดีมาก การลอกต้อเนื้อ และเอาเยื่อหุ้มรกมาแปะ วิธีทำผ่าตัดเหมือนวิธีที่ 2 แต่ใช้เยื่อหุ้มรกมาเย็บแทน ทำให้ไม่ต้องใช้เยื่อบุตาของคนไข้ และใช้ได้ในกรณีเป็นซ้ำ และได้ใช้เยื่อบุตาตนเองไปแล้ว การลอกต้อเนือโดยการใช้mitomycin c ร่วมกับใช้เยื่อหุ้มรก หรือ เยื่อบุตาแปะ จะ ช่วยลดการเกิดซ้ำได้ดี โดยเฉพาะในคนไข้กลุ่มที่มีความเสียงสูงในการเกิดซ้ำ แต่ก็ต้องใช้ยานี้อย่างระมัดระวังเนื่องจากอาจมีข้อแทรกซ้อนจากยา การแปะเยื่อหุ้มรกหรือเยื่อบุตานั้น อาจใช้ไหมเย็บ หรืออาจใช้กาว fibrin แปะโดยไม่ต้องเย็บก็ได้ ทั้งต้อลมและต้อเนื้อนั้น ถ้าเราทราบว่าเป็นแล้ว การป้องกันไม่ให้เป็นมากขึ้นเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ซึ่งทำได้ไม่ยากเลย เพียงแค่ระวังหรือหลีกเลี่ยงการโดนแดด ฝุ่น ลม เช่น ใส่แว่นกันแดด ใช้ร่ม สวมหมวก ก็ทำให้เราลดโอกาสการโดนแดดโดยตรง โรคก็จะไม่เป็นมากขึ้นค่ะ  
calling
ติดต่อเรา : +662 511 2111