มุมสุขภาพตา : #ต้อกระจกในผู้สูงอายุ

เรียงตาม

ตาแห้งมีอาการอย่างไร วิธีรักษา ป้องกัน และนิสัยที่ช่วยลดอาการตาแห้ง

อาการตาแห้ง คือภาวะตาขาดความชุ่มชื้นเพราะการผลิตน้ำตาน้อยเกินไปหรือคุณภาพน้ำตาไม่ดี ทำให้เกิดอาการระคายเคืองและไม่สบายตาได้ ตาแห้งเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น อายุที่มากขึ้นทำให้การผลิตน้ำตาน้อยลง การสวมใส่คอนแท็กต์เลนส์นานเกินไป การจ้องจอคอมพิวเตอร์นานๆ รวมถึงผลข้างเคียงจากยาบางชนิด การรักษาตาแห้งทำได้หลายวิธี เช่น ยาหยอดตา น้ำตาเทียม การประคบอุ่น และการรักษาด้วยยาลดการอักเสบ รักษาอาการตาแห้งที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ได้รับการดูแลจากจักษุแพทย์ พร้อมเทคโนโลยีทันสมัยและการรักษาที่เหมาะสมกับอาการ   ตาแห้งเป็นโรคที่ทำให้ตารู้สึกแห้งและระคายเคือง เนื่องจากการผลิตน้ำตาลดลงหรือคุณภาพของน้ำตาไม่ดีพอ ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย หากดูแลอย่างถูกวิธี จะช่วยลดอาการและป้องกันภาวะตาแห้งในระยะยาว มาหาสาเหตุของอาการตาแห้ง วิธีรักษา รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันอาการตาแห้งได้ในบทความนี้     อาการตาแห้ง คืออะไร? ก่อนทำความรู้จักกับอาการตาแห้ง ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ‘น้ำตา’ กันก่อน โดยน้ำตามีความสำคัญต่อดวงตา เป็นตัวช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา ทำให้มองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวได้อย่างชัดเจน หล่อเลี้ยงเลี้ยงกระจกตาด้วยออกซิเจน และป้องกันการติดเชื้อและสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้ามาทำร้ายดวงตา ตาแห้ง เป็นอาการที่ปริมาณน้ำตาที่เข้ามาหล่อเลี้ยงผิวตามีไม่เพียงพอส่งผลให้ผิวตาอักเสบได้ โดยอาการของตาแห้งอาจเริ่มจากการแสบตา หรือรู้สึกระคายเคืองเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในตา รวมถึงอาจพบอาการตาแดง เจ็บ หรือมีการพร่ามัวที่ดีขึ้นเมื่อกะพริบตา นอกจากนี้ยังอาจรู้สึกฝืดๆ หนักๆ ที่ตา หรือลืมตาลำบาก และบางครั้งอาจมีอาการตาล้าหรือมีน้ำตาไหลมากผิดปกติ     ทำไมถึงมีอาการตาแห้งได้ ตาแห้งเป็นปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อความสบายของดวงตาและการมองเห็น โดยเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่ พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟนเป็นเวลานานเกินไป อาการภูมิแพ้ที่ตาซึ่งอาจเกิดจากสิ่งแวดล้อมที่มีฝุ่น ควัน หรือมลภาวะ อยู่ในที่ร้อน ลมแรง หรือความชื้นต่ำ ความผิดปกติของต่อมไขมันขอบตา การพบตัวไร (Demodex blepharitis) บริเวณโคนขนตา ซึ่งเกิดจากการอักเสบของต่อมน้ำตา การใช้ยาบางประเภท เช่น ยาคุมกำเนิด ยาแก้แพ้ ยาต้านซึมเศร้า ยาลดความดันโลหิตบางชนิด ฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล โดยเฉพาะในเพศหญิงที่อาจทำให้คุณภาพของน้ำตาลดลง     อาการตาแห้งเกิดจากอะไร มีปัจจัยอะไรบ้าง ปัจจัยที่ส่งผลต่อการผลิตน้ำตาหรือการทำงานของต่อมน้ำตา หากมีลักษณะดังต่อไปนี้ จะทำให้เกิดอาการตาแห้งได้ง่ายขึ้น สร้างน้ำตาได้น้อยกว่าปกติ  (Aqueous Tear Deficiency) กลุ่มคนที่มีความผิดปกติหรือปัจจัยที่ส่งผลให้สามารถสร้างน้ำตาได้น้อย ได้แก่   กลุ่มคนที่เป็นโรค Sjogren’s Syndrome โรครูมาตอยด์ โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือภาวะที่ไม่พบสาเหตุชัดเจน เช่น Primary Sjogren’s Syndrome กลุ่มคนที่ไม่เป็นโรค Sjogren’s Syndrome เช่น ต่อมน้ำตาทำงานผิดปกติตั้งแต่เกิด โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง การแพ้ยารุนแรง หรือการอักเสบที่ทำให้ท่อน้ำตาตัน กลุ่มคนที่ฮอร์โมนเปลี่ยน มักพบในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่ส่งผลให้การผลิตน้ำตาและสารคัดหลั่งอื่นๆ ในร่างกายลดลง การกินยาบางประเภท เช่น ยาแก้หวัด ยาแก้แพ้ ยาลดความดันโลหิต หรือยาคลายเครียดบางชนิด ที่มีสารกันเสียเป็นส่วนประกอบ อาจทำให้ตาแห้งมากขึ้น เนื่องจากสารเหล่านี้สามารถลดการผลิตน้ำตาได้ น้ำตาระเหยเร็ว (Evaporative Dry Eyes)  ปัจจัยที่ส่งผลให้การระเหยของน้ำตาเกิดขึ้นเร็วกว่าปกติ ได้แก่   ต่อมไขมันที่เปลือกตาทำงานผิดปกติ เปลือกตาอักเสบที่เกิดจากความผิดปกติของชั้นไขมัน จะทำให้การสร้างน้ำตาชั้นน้ำมันลดลง ซึ่งทำให้เกิดการระเหยของน้ำตาได้เร็วขึ้น ความผิดปกติของเปลือกตา การปิดตาไม่สนิทหรือการกะพริบตาน้อยผิดปกติ ซึ่งทำให้การกระจายน้ำตาผิดปกติ และเพิ่มการระเหยของน้ำตา โดนสารเคมีหรือแพ้ยารุนแรง การอักเสบของเยื่อบุตาอาจทำให้เกิดแผลเป็น ซึ่งส่งผลต่อการสร้างน้ำตาชั้นเมือกที่ติดกับกระจกตา ทำให้การสร้างน้ำตาผิดปกติ การใช้สายตามาก พบมากในวัยทำงานจากพฤติกรรมจ้องจอคอมพิวเตอร์นานๆ โดยไม่ค่อยกะพริบตา และการใส่คอนแท็กต์เลนส์ที่ดูดน้ำออกจากดวงตา ทำให้การผลิตน้ำตาลดลงและน้ำตาระเหยเร็ว     วิธีรักษาหรือวิธีแก้โรคตาแห้ง วิธีรักษาโรคตาแห้งจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและอาการของแต่ละบุคคล โดยใช้วิธีต่างๆ รวมทั้งการใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการ ดังนี้ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ตาแห้ง ควรหลีกเลี่ยงการโดนลมแรง ฝุ่นควัน หรือแสงจ้า โดยการใส่แว่นกันแดดและแว่นกันลม เพื่อป้องกันสิ่งแวดล้อมที่อาจทำให้ตาแห้งขึ้น นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงการใส่คอนแท็กต์เลนส์เป็นเวลานานๆ เพื่อไม่ให้สูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงจากดวงตาที่อาจทำให้อาการตาแห้งแย่ลงได้ ใช้น้ำตาเทียม ในการรักษาอาการตาแห้ง น้ำตาเทียมเป็นตัวช่วยที่ดี โดยมี 2 ชนิดให้เลือกใช้ ได้แก่   น้ำตาเทียมที่มีสารกันเสีย ในรูปแบบขวด ควรใช้ไม่เกิน 4-5 ครั้งต่อวัน อาจแบ่งการใช้ยาเพิ่มน้ำตาตามช่วงเวลาของวัน เช่น เช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน ซึ่งเหมาะสำหรับอาการตาแห้งที่ไม่รุนแรง น้ำตาเทียมที่ไม่มีสารกันเสีย แบบกระเปาะ เปิดแล้วมีอายุ 24 ชั่วโมง หรือขวดที่มีระบบวาล์วพิเศษใช้ได้นาน 6 เดือน ใช้บ่อยได้ตามต้องการ เช่น ทุก 1-2 ชั่วโมง เหมาะกับผู้ที่มีอาการตาแห้งรุนแรง  ใช้ยาหยอดตาเพิ่มปริมาณน้ำตา มียาหยอดตาที่ช่วยเพิ่มน้ำตาและรักษาอาการตาแห้งได้ โดยแต่ละชนิดจะช่วยรักษาตามอาการที่แตกต่างกัน ดังนี้   ยา Diquafosol ช่วยเพิ่มการสร้างน้ำตาชั้นเมือกและชั้นน้ำเพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ดวงตาและลดอาการแห้ง ยาปฏิชีวนะ Doxycycline ยาลดการอักเสบของเปลือกตาช่วยลดการอักเสบและอาการระคายเคืองที่เกิดจากตาแห้ง ยากลุ่ม Steroids โดยยานี้ช่วยบรรเทาการอักเสบของผิวตาและลดอาการระคายเคืองที่เกิดจากการขาดน้ำตา ยา Cyclosporine ยากดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressant) ชนิดหยอดตา ช่วยลดการอักเสบในตาและเพิ่มการผลิตน้ำตา โดยการปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ซึ่งสามารถช่วยลดอาการตาแห้งได้ การทำความสะอาดเปลือกตา การทำความสะอาดเปลือกตาและประคบอุ่นด้วยแชมพูเด็กผสมเจือจางหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเปลือกตาช่วยลดการอุดตันของต่อมไขมันในเปลือกตา ทำให้ชั้นไขมันที่เคลือบน้ำตาทำงานได้ดีขึ้น ช่วยป้องกันน้ำตาระเหยเร็วและลดอาการตาแห้ง ใช้ Autologous Serum การรักษาอาการตาแห้งชนิดรุนแรงโดยใช้สารที่ช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อทำได้โดยการเจาะเลือดจากผู้ป่วยไปปั่นแยกเป็น Serum และนำมาหยอดร่วมกับการใช้น้ำตาเทียม ซึ่งจะช่วยลดการอักเสบของเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ และส่งเสริมการฟื้นตัวของเนื้อเยื่อให้กลับสู่สภาพปกติได้ดีขึ้น การอุดท่อระบายน้ำตาที่หัวตา (Punctal Plug) การรักษาอาการตาแห้งที่รุนแรงทำได้โดยการอุดช่องทางที่น้ำตาไหลออกจากตา (Punctum) ซึ่งมีทั้งชนิดอุดชั่วคราวและชนิดอุดถาวร โดยการใส่ Silicone Plug หรือ Punctal Cautery ซึ่งเป็นการจี้บริเวณช่องทางที่น้ำตาระบายออกจากตา วิธีนี้ช่วยให้ดวงตาเก็บน้ำตาไว้ได้นานขึ้น ลดการระเหยของน้ำตา และช่วยบรรเทาอาการตาแห้งได้ในกรณีที่อาการรุนแรงมาก     การปรับพฤติกรรมเพื่อป้องกันอาการตาแห้ง การป้องกันอาการตาแห้งทำได้ง่ายๆ ด้วยการปรับพฤติกรรมบางอย่างในชีวิตประจำวัน ดังนี้    หยุดพักจากการใช้งานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือมือถือทุกๆ 20 นาที โดยการหลับตาสัก 20 วินาที หรือมองสิ่งที่อยู่ไกลประมาณ 20 ฟุต เพื่อให้ตาได้พักและผ่อนคลาย งดการใช้คอนแท็กต์เลนส์ต่อเนื่อง ควรสลับใส่แว่นในระหว่างวันเพื่อให้ดวงตาได้พัก ใช้งานคอมพิวเตอร์หรือมือถือในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ เพื่อช่วยลดความเครียดของดวงตา เตือนตัวเองให้กะพริบตาบ่อยๆ เพื่อให้น้ำตาเคลือบตาและช่วยลดการระเหยของน้ำตา หากอยู่ในที่ที่มีอากาศแห้ง ร้อน หรือมีลมแรง ควรสวมแว่นกันแดดกันลมเพื่อปกป้องตาจากสภาพแวดล้อม กินอาหารที่ครบทุกหมู่ โดยเฉพาะผัก ผลไม้ ปลา หรืออาหารที่มีโอเมกา 3 ซึ่งช่วยต้านอนุมูลอิสระและลดการอักเสบของตา  ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อวัน สรุป ตาแห้งคืออาการที่น้ำตาผลิตไม่เพียงพอหรือระเหยเร็วเกินไป ทำให้ดวงตารู้สึกแห้ง ระคายเคือง และอาจเกิดการอักเสบได้ รักษาได้หลายวิธี เช่น ใช้น้ำตาเทียม ประคบอุ่น ใช้ยาเพื่อเพิ่มการสร้างน้ำตาหรือลดการอักเสบ และป้องกันตาแห้งได้ด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้ดวงตา รวมถึงการใช้ยาเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของดวงตา  สำหรับผู้ที่มีอาการตาแห้งรุนแรง รับการรักษาได้ที่ ศูนย์โรคจักษุประสาทวิทยา Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ซึ่งให้การดูแลปัญหาตาแห้งที่ส่งผลต่อการมองเห็นและระบบประสาท โดยจักษุแพทย์ในการวินิจฉัยและรักษาภาวะตาแห้งอย่างครบวงจร
อ่านเพิ่มเติม

รู้ให้ทัน! โรคตาต้อกระจกในผู้สูงอายุ สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม

การเสื่อมถอยของเลนส์แก้วตาตามวัย หรือที่เรียกว่า “ภาวะต้อกระจก” (Age-Related Cataract) เป็นปรากฏการณ์ทางพยาธิสรีรวิทยาที่พบได้บ่อยในประชากรสูงอายุ โดยเฉพาะในช่วงอายุ 60 ปีขึ้นไป การตระหนักถึงความสำคัญของการตรวจคัดกรองและการรักษาแต่เนิ่นๆ จึงเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในผู้สูงอายุ   มาดูอาการของต้อกระจก พร้อมแนะนำวิธีการรักษาโรคตาต้อกระจกในผู้สูงอายุแบบครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การผ่าตัด และการดูแลหลังการรักษา พร้อมข้อควรระวังสำหรับผู้สูงวัย   ต้อกระจก (Cataract) เป็นอาการที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ เกิดจากการเสื่อมของเลนส์แก้วตาทำให้เกิดการขุ่นมัว ส่งผลให้แสงไม่สามารถผ่านเข้าสู่จอประสาทตาได้ตามปกติ ผู้ป่วยจะมีอาการมองเห็นไม่ชัด เห็นแสงจ้า หรือเห็นภาพซ้อน สาเหตุหลักมาจากความเสื่อมตามวัย แต่อาจเร่งให้เกิดเร็วขึ้นได้จากโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง รวมถึงการได้รับรังสี UV มากเกินไป และพฤติกรรมเสี่ยงอย่างการสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ อาการเริ่มแรกที่สังเกตได้คือการมองเห็นภาพเบลอหรือขุ่นมัว โดยเฉพาะในที่มีแสงน้อย รวมถึงการเห็นแสงจ้าเป็นวงแสงรอบดวงไฟ และการรับรู้สีที่ผิดเพี้ยนไปจากปกติ ทำให้ต้องเปลี่ยนแว่นสายตาบ่อยกว่าปกติ การปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษาอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุในชีวิตประจำวัน และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น ต้อหิน หรือการเสื่อมของจอประสาทตา การรักษาด้วยการผ่าตัดในระยะเริ่มต้นจะมีความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการรักษาในระยะรุนแรง รวมถึงมีโอกาสฟื้นฟูการมองเห็นได้ดีกว่า จึงควรปรึกษาจักษุแพทย์ทันทีที่สังเกตพบความผิดปกติ   ต้อกระจก คืออะไร ต้อกระจก (Cataract) เป็นอาการความผิดปกติทางจักษุวิทยาที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ โดยเกิดจากการเสื่อมสภาพของเลนส์แก้วตาตามธรรมชาติ ส่งผลให้โปรตีนภายในเลนส์ตาจับตัวกันและขุ่นมัว ทำให้แสงไม่สามารถส่องผ่านเข้าสู่จอประสาทตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ป่วยมักมีอาการมองเห็นภาพไม่ชัดเจน เห็นแสงจ้า หรือมองเห็นภาพซ้อน ซึ่งอาการเหล่านี้จะค่อยๆ แย่ลงตามระยะเวลา หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่ภาวะสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้ ปัจจุบันการรักษาต้อกระจกด้วยวิธีการผ่าตัดมีความปลอดภัยสูงและให้ผลการรักษาที่น่าพึงพอใจ โดยแพทย์จะพิจารณาวิธีการรักษาที่เหมาะสมตามระยะของโรคและสภาวะของผู้ป่วยแต่ละราย     สาเหตุของโรคต้อกระจกในผู้สูงอายุ ต้อกระจกสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดต้อกระจก ได้แก่ อายุที่มากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น เลนส์แก้วตาจะค่อยๆ เสื่อมสภาพตามธรรมชาติ โปรตีนในเลนส์ตาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงและจับตัวกันเป็นก้อนทึบแสง ส่งผลให้การมองเห็นแย่ลงตามลำดับ พันธุกรรมผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นต้อกระจก โดยเฉพาะญาติสายตรง มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะต้อกระจกเร็วกว่าคนทั่วไป 2 - 3 เท่า โรคประจำตัวผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดต้อกระจกก่อนวัยอันควร เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงส่งผลต่อการเสื่อมของเลนส์ตา การใช้ยาบางชนิดการใช้ยาสเตียรอยด์เป็นระยะเวลานาน ทั้งชนิดรับประทานและชนิดหยอดตา อาจเร่งการเกิดต้อกระจกและทำให้อาการรุนแรงขึ้น การได้รับแสงแดดมากเกินไปการสัมผัสรังสี UV โดยไม่มีการป้องกันที่เหมาะสม ทำให้เกิดอนุมูลอิสระที่ทำลายเซลล์เลนส์ตา ส่งผลให้เกิดต้อกระจกได้เร็วขึ้น การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์สารพิษจากบุหรี่และแอลกอฮอล์ทำลายหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงดวงตา และเพิ่มการสร้างอนุมูลอิสระ ส่งผลให้เลนส์ตาเสื่อมเร็วกว่าปกติ     อาการของต้อกระจกผู้สูงอายุที่สังเกตได้ ผู้ป่วยตาต้อกระจกในผู้สูงอายุอาจมีอาการที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของโรค โดยมีอาการทั่วไปที่สำคัญ ดังนี้   ภาวะการมองเห็นเบลอหรือขุ่นมัว เสมือนมีม่านบางๆ มาบดบังการมองเห็น ทำให้ภาพที่เห็นไม่คมชัด มักพบว่าอาการจะค่อยๆ แย่ลงตามเวลา การมองเห็นในที่มืดหรือแสงน้อยมีประสิทธิภาพลดลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในเวลากลางคืนหรือในสภาพแวดล้อมที่มีแสงสลัว ทำให้การขับรถหรือทำกิจกรรมในที่มืดเป็นไปด้วยความยากลำบาก อาการแพ้แสงหรือเห็นแสงจ้าเป็นวงแสง (Glare) รอบดวงไฟ ทำให้รู้สึกรำคาญตาเมื่อต้องเผชิญกับแสงสว่างจ้า โดยเฉพาะแสงไฟรถในเวลากลางคืน การรับรู้สีผิดเพี้ยนไปจากปกติ สีที่เคยสดใสกลับดูจืดจางลง หรือมีการเปลี่ยนแปลงของโทนสี โดยเฉพาะโทนสีเหลืองหรือน้ำตาลที่อาจเด่นชัดขึ้น การต้องเปลี่ยนแว่นสายตาบ่อยกว่าปกติ เนื่องจากสายตามีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แม้จะเพิ่งเปลี่ยนแว่นใหม่ แต่ก็ยังรู้สึกว่ามองเห็นไม่ชัดเจน   หากสังเกตพบอาการเหล่านี้ ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม เนื่องจากการรักษาในระยะเริ่มต้นจะช่วยป้องกันการสูญเสียการมองเห็นที่รุนแรงในอนาคต     ผลกระทบของต้อกระจก หากไม่ได้รับการรักษา หากปล่อยให้อาการต้อกระจกลุกลามโดยไม่รักษา อาจนำไปสู่ผลกระทบดังต่อไปนี้   สูญเสียการมองเห็นถาวรต้อกระจกในระยะรุนแรงจะทำให้เลนส์ตาขุ่นมัวจนทึบแสง ส่งผลให้จอประสาทตาไม่สามารถรับภาพได้ และอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรหากไม่ได้รับการรักษาทันเวลา อุบัติเหตุจากการมองเห็นไม่ชัดเจนผู้ป่วยเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุในชีวิตประจำวัน เช่น การสะดุดล้มเนื่องจากมองไม่เห็นสิ่งกีดขวาง หรือการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนเพราะมองเห็นป้ายจราจรและสัญญาณไฟไม่ชัดเจน ภาวะแทรกซ้อนทางจักษุต้อกระจกที่ไม่ได้รับการรักษาอาจกระตุ้นให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น ต้อหินจากการที่เลนส์บวมและดันความดันตาให้สูงขึ้น หรือการเสื่อมของจอประสาทตาจากการที่แสงส่องผ่านไม่ได้เป็นเวลานาน คุณภาพชีวิตที่ลดลงการมองเห็นที่แย่ลงส่งผลกระทบต่อการทำกิจวัตรประจำวัน การอ่านหนังสือ การดูโทรทัศน์ และการเข้าสังคม ทำให้ผู้ป่วยอาจเกิดภาวะซึมเศร้าและแยกตัวจากสังคม ค่าใช้จ่ายในการรักษาที่สูงขึ้นการรักษาต้อกระจกในระยะรุนแรงอาจมีความซับซ้อนมากขึ้น ต้องใช้เทคนิคการผ่าตัดพิเศษและการดูแลหลังผ่าตัดที่เข้มงวด ส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายในการรักษาที่สูงขึ้นตามไปด้วย     การรักษาต้อกระจกในผู้สูงอายุ การรักษาโรคตาต้อกระจกในผู้สูงอายุยุคปัจจุบันมีทั้งแบบไม่ผ่าตัดและแบบผ่าตัด ซึ่งแต่ละวิธีมีความเหมาะสมกับผู้ป่วยในระยะที่แตกต่างกัน โดยทางเลือกในการรักษามีดังนี้ 1. การรักษาแบบไม่ผ่าตัด การรักษาแบบไม่ผ่าตัดเหมาะสำหรับผู้ป่วยในระยะแรกที่อาการยังไม่รุนแรง โดยแพทย์อาจพิจารณาให้ใช้แว่นสายตาใหม่ หรือคอนแทกต์เลนส์ ร่วมกับการใช้ยาหยอดตาเพื่อบรรเทาอาการและป้องกันแสงสะท้อน ทั้งนี้ผู้ป่วยควรได้รับการติดตามอาการอย่างสม่ำเสมอจากจักษุแพทย์ 2. การรักษาแบบผ่าตัด การรักษาแบบผ่าตัดเป็นวิธีการรักษาหลักสำหรับต้อกระจกที่มีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน โดยมีเทคนิคการผ่าตัด 3 ประเภท ได้แก่   การผ่าตัดลอกต้อกระจก (ICCE)เป็นการผ่าตัดนำเลนส์ตาและถุงหุ้มเลนส์ออกทั้งหมด เหมาะกับผู้ป่วยบางราย แต่อาจส่งผลต่อการมองเห็นในระยะยาว การผ่าตัดต้อกระจกแผลใหญ่ (ECCE)ใช้วิธีนำเอาแก้วตาออกผ่านแผลขนาดใหญ่ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวนานและมีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลเป็น การสลายต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Phacoemulsification)เป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด ใช้คลื่นเสียงสลายเลนส์ตาที่ขุ่นผ่านแผลขนาดเล็ก ทำให้ฟื้นตัวเร็วและมีความเสี่ยงต่ำ แต่ต้องดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและอาจมีค่าใช้จ่ายสูง การผ่าต้อกระจกแบบไร้ใบมีด (Femtosecond Laser Assisted Cataract Surgery-FLACS)เป็นเทคโนโลยีขั้นสูงที่ให้การผ่าตัดแผลเล็กและเเม่นยำสูงสุด โดยใช้เลเซอร์พลังงานต่ำร่วมกับเครื่อง Ultrasonic ในการผ่าตัดทั้งหมด ทำให้ฟื้นตัวเร็วและมีความเสี่ยงต่ำ พร้อมให้ผลการรักษาและการมองเห็นที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนไข้ที่ต้องใส่เลนส์หลายระยะร่วมกับการแก้ไขสายตาเอียง การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวสามารถทานยาประจำได้ตามปกติ ยกเว้นยาละลายลิ่มเลือดที่ต้องหยุดก่อน 7 วัน งดอาหารและน้ำ 12 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด ทำความสะอาดใบหน้าและรอบดวงตา สามารถอาบน้ำได้ตามปกติ เตรียมร่างกายให้พร้อม เช่น แปรงฟัน สระผม ตัดเล็บให้สั้น การดูแลตัวเองหลังผ่าตัด หยอดยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด รักษาความสะอาดบริเวณดวงตาและมือ หลีกเลี่ยงการขยี้ตาหรือทำกิจกรรมที่ใช้แรง ระวังไม่ให้น้ำเข้าตาขณะอาบน้ำ มาพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่อง งดยกของหนัก หรือออกกำลังกายหนักในช่วงสองเดือนแรก     วิธีป้องกันต้อกระจกในผู้สูงอายุ แม้ว่าต้อกระจกจะเป็นโรคที่มักเกิดขึ้นตามอายุ แต่สามารถป้องกันหรือลดความเสี่ยงได้โดยการดูแลสุขภาพดวงตาอย่างเหมาะสม ดังนี้   ปกป้องดวงตาจากแสงแดดการสวมแว่นกันแดดที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานในการป้องกันรังสี UV เป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะในช่วงเวลา 10.00 - 16.00 น. ที่มีรังสี UV สูง นอกจากนี้ควรสวมหมวกปีกกว้างเพื่อช่วยปกป้องดวงตาเพิ่มเติม รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อดวงตาควรเลือกรับประทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น โดยเฉพาะวิตามิน A, C, E และสังกะสี รวมถึงอาหารที่มีสารแอนติออกซิแดนท์ เช่น ผักใบเขียวเข้ม ผลไม้ตระกูลเบอร์รี และปลาทะเลน้ำลึก หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดต้อกระจกได้มากถึง 2 - 3 เท่า เนื่องจากสารพิษในบุหรี่และแอลกอฮอล์ส่งผลต่อการเสื่อมของเลนส์ตา พักสายตาอย่างเหมาะสมควรใช้กฎ 20-20-20 คือทุก 20 นาทีที่ใช้สายตา ให้มองวัตถุที่อยู่ห่างออกไป 20 ฟุต เป็นเวลา 20 วินาที เพื่อลดความเมื่อยล้าของดวงตา ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปควรเข้ารับการตรวจสุขภาพตากับจักษุแพทย์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อคัดกรองและติดตามการเปลี่ยนแปลงของดวงตาอย่างใกล้ชิด รักษาโรคตาต้อกระจกในผู้สูงอายุ ที่ศูนย์รักษาต้อกระจก Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร หากมีอาการของโรคต้อกระจก แนะนำให้เข้ามาปรึกษาและรักษาอาการเหล่านี้ได้ที่ศูนย์รักษาต้อกระจก Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ที่นี่โดดเด่นด้านการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ด้วยทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีจุดเด่นดังนี้   โรงพยาบาลมีทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย พร้อมให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง สรุป ต้อกระจก เป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ เกิดจากการเสื่อมของเลนส์แก้วตาที่ขุ่นมัวลง ทำให้แสงไม่สามารถผ่านเข้าสู่จอประสาทตาได้ตามปกติ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการมองเห็นไม่ชัด เห็นแสงจ้า หรือเห็นภาพซ้อน แม้สาเหตุหลักมักเกิดจากความเสื่อมตามวัย แต่โรคประจำตัวอย่างเบาหวานและความดันโลหิตสูง รวมถึงการได้รับรังสี UV มากเกินไป ก็สามารถเร่งให้เกิดอาการได้เร็วขึ้น   ดังนั้น การตรวจพบและรักษาด้วยการผ่าตัดในระยะเริ่มต้นจึงมีความสำคัญ เพราะจะมีความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายน้อยกว่า รวมถึงมีโอกาสฟื้นฟูการมองเห็นได้ดีกว่าการรักษาในระยะรุนแรง สำหรับผู้สูงอายุที่มีปัญหาต้อกระจก แนะนำมาที่Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ)โรงพยาบาลเฉพาะทางที่มีทีมแพทย์มากประสบการณ์ อุปกรณ์ที่ทันสมัย ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล มั่นใจได้ว่าการรักษาเป็นไปอย่างถูกต้อง แม่นยำ และปลอดภัย
calling
ติดต่อเรา : +662 511 2111