ย้อนกลับ
รู้ให้ทัน! โรคตาต้อกระจกในผู้สูงอายุ สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม

การเสื่อมถอยของเลนส์แก้วตาตามวัย หรือที่เรียกว่า “ภาวะต้อกระจก” (Age-Related Cataract) เป็นปรากฏการณ์ทางพยาธิสรีรวิทยาที่พบได้บ่อยในประชากรสูงอายุ โดยเฉพาะในช่วงอายุ 60 ปีขึ้นไป การตระหนักถึงความสำคัญของการตรวจคัดกรองและการรักษาแต่เนิ่นๆ จึงเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในผู้สูงอายุ

 

มาดูอาการของต้อกระจก พร้อมแนะนำวิธีการรักษาโรคตาต้อกระจกในผู้สูงอายุแบบครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การผ่าตัด และการดูแลหลังการรักษา พร้อมข้อควรระวังสำหรับผู้สูงวัย

 

  • ต้อกระจก (Cataract) เป็นอาการที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ เกิดจากการเสื่อมของเลนส์แก้วตาทำให้เกิดการขุ่นมัว ส่งผลให้แสงไม่สามารถผ่านเข้าสู่จอประสาทตาได้ตามปกติ ผู้ป่วยจะมีอาการมองเห็นไม่ชัด เห็นแสงจ้า หรือเห็นภาพซ้อน

  • สาเหตุหลักมาจากความเสื่อมตามวัย แต่อาจเร่งให้เกิดเร็วขึ้นได้จากโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง รวมถึงการได้รับรังสี UV มากเกินไป และพฤติกรรมเสี่ยงอย่างการสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์

  • อาการเริ่มแรกที่สังเกตได้คือการมองเห็นภาพเบลอหรือขุ่นมัว โดยเฉพาะในที่มีแสงน้อย รวมถึงการเห็นแสงจ้าเป็นวงแสงรอบดวงไฟ และการรับรู้สีที่ผิดเพี้ยนไปจากปกติ ทำให้ต้องเปลี่ยนแว่นสายตาบ่อยกว่าปกติ

  • การปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษาอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุในชีวิตประจำวัน และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น ต้อหิน หรือการเสื่อมของจอประสาทตา

  • การรักษาด้วยการผ่าตัดในระยะเริ่มต้นจะมีความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการรักษาในระยะรุนแรง รวมถึงมีโอกาสฟื้นฟูการมองเห็นได้ดีกว่า จึงควรปรึกษาจักษุแพทย์ทันทีที่สังเกตพบความผิดปกติ

 

ต้อกระจก คืออะไร

ต้อกระจก (Cataract) เป็นอาการความผิดปกติทางจักษุวิทยาที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ โดยเกิดจากการเสื่อมสภาพของเลนส์แก้วตาตามธรรมชาติ ส่งผลให้โปรตีนภายในเลนส์ตาจับตัวกันและขุ่นมัว ทำให้แสงไม่สามารถส่องผ่านเข้าสู่จอประสาทตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ป่วยมักมีอาการมองเห็นภาพไม่ชัดเจน เห็นแสงจ้า หรือมองเห็นภาพซ้อน ซึ่งอาการเหล่านี้จะค่อยๆ แย่ลงตามระยะเวลา

หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่ภาวะสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้ ปัจจุบันการรักษาต้อกระจกด้วยวิธีการผ่าตัดมีความปลอดภัยสูงและให้ผลการรักษาที่น่าพึงพอใจ โดยแพทย์จะพิจารณาวิธีการรักษาที่เหมาะสมตามระยะของโรคและสภาวะของผู้ป่วยแต่ละราย

 

สาเหตุของโรคต้อกระจกในผู้สูงอายุ

 

สาเหตุของโรคต้อกระจกในผู้สูงอายุ

ต้อกระจกสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดต้อกระจก ได้แก่

  • อายุที่มากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น เลนส์แก้วตาจะค่อยๆ เสื่อมสภาพตามธรรมชาติ โปรตีนในเลนส์ตาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงและจับตัวกันเป็นก้อนทึบแสง ส่งผลให้การมองเห็นแย่ลงตามลำดับ

  • พันธุกรรมผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นต้อกระจก โดยเฉพาะญาติสายตรง มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะต้อกระจกเร็วกว่าคนทั่วไป 2 - 3 เท่า

  • โรคประจำตัวผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดต้อกระจกก่อนวัยอันควร เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงส่งผลต่อการเสื่อมของเลนส์ตา

  • การใช้ยาบางชนิดการใช้ยาสเตียรอยด์เป็นระยะเวลานาน ทั้งชนิดรับประทานและชนิดหยอดตา อาจเร่งการเกิดต้อกระจกและทำให้อาการรุนแรงขึ้น

  • การได้รับแสงแดดมากเกินไปการสัมผัสรังสี UV โดยไม่มีการป้องกันที่เหมาะสม ทำให้เกิดอนุมูลอิสระที่ทำลายเซลล์เลนส์ตา ส่งผลให้เกิดต้อกระจกได้เร็วขึ้น

  • การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์สารพิษจากบุหรี่และแอลกอฮอล์ทำลายหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงดวงตา และเพิ่มการสร้างอนุมูลอิสระ ส่งผลให้เลนส์ตาเสื่อมเร็วกว่าปกติ

 

อาการของต้อกระจกผู้สูงอายุที่สังเกตได้

 

อาการของต้อกระจกผู้สูงอายุที่สังเกตได้

ผู้ป่วยตาต้อกระจกในผู้สูงอายุอาจมีอาการที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของโรค โดยมีอาการทั่วไปที่สำคัญ ดังนี้

 

  • ภาวะการมองเห็นเบลอหรือขุ่นมัว เสมือนมีม่านบางๆ มาบดบังการมองเห็น ทำให้ภาพที่เห็นไม่คมชัด มักพบว่าอาการจะค่อยๆ แย่ลงตามเวลา

  • การมองเห็นในที่มืดหรือแสงน้อยมีประสิทธิภาพลดลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในเวลากลางคืนหรือในสภาพแวดล้อมที่มีแสงสลัว ทำให้การขับรถหรือทำกิจกรรมในที่มืดเป็นไปด้วยความยากลำบาก

  • อาการแพ้แสงหรือเห็นแสงจ้าเป็นวงแสง (Glare) รอบดวงไฟ ทำให้รู้สึกรำคาญตาเมื่อต้องเผชิญกับแสงสว่างจ้า โดยเฉพาะแสงไฟรถในเวลากลางคืน

  • การรับรู้สีผิดเพี้ยนไปจากปกติ สีที่เคยสดใสกลับดูจืดจางลง หรือมีการเปลี่ยนแปลงของโทนสี โดยเฉพาะโทนสีเหลืองหรือน้ำตาลที่อาจเด่นชัดขึ้น

  • การต้องเปลี่ยนแว่นสายตาบ่อยกว่าปกติ เนื่องจากสายตามีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แม้จะเพิ่งเปลี่ยนแว่นใหม่ แต่ก็ยังรู้สึกว่ามองเห็นไม่ชัดเจน

 

หากสังเกตพบอาการเหล่านี้ ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม เนื่องจากการรักษาในระยะเริ่มต้นจะช่วยป้องกันการสูญเสียการมองเห็นที่รุนแรงในอนาคต

 

ผลกระทบของต้อกระจก หากไม่ได้รับการรักษา

 

ผลกระทบของต้อกระจก หากไม่ได้รับการรักษา

หากปล่อยให้อาการต้อกระจกลุกลามโดยไม่รักษา อาจนำไปสู่ผลกระทบดังต่อไปนี้

 

  • สูญเสียการมองเห็นถาวรต้อกระจกในระยะรุนแรงจะทำให้เลนส์ตาขุ่นมัวจนทึบแสง ส่งผลให้จอประสาทตาไม่สามารถรับภาพได้ และอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรหากไม่ได้รับการรักษาทันเวลา

  • อุบัติเหตุจากการมองเห็นไม่ชัดเจนผู้ป่วยเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุในชีวิตประจำวัน เช่น การสะดุดล้มเนื่องจากมองไม่เห็นสิ่งกีดขวาง หรือการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนเพราะมองเห็นป้ายจราจรและสัญญาณไฟไม่ชัดเจน

  • ภาวะแทรกซ้อนทางจักษุต้อกระจกที่ไม่ได้รับการรักษาอาจกระตุ้นให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น ต้อหินจากการที่เลนส์บวมและดันความดันตาให้สูงขึ้น หรือการเสื่อมของจอประสาทตาจากการที่แสงส่องผ่านไม่ได้เป็นเวลานาน

  • คุณภาพชีวิตที่ลดลงการมองเห็นที่แย่ลงส่งผลกระทบต่อการทำกิจวัตรประจำวัน การอ่านหนังสือ การดูโทรทัศน์ และการเข้าสังคม ทำให้ผู้ป่วยอาจเกิดภาวะซึมเศร้าและแยกตัวจากสังคม

  • ค่าใช้จ่ายในการรักษาที่สูงขึ้นการรักษาต้อกระจกในระยะรุนแรงอาจมีความซับซ้อนมากขึ้น ต้องใช้เทคนิคการผ่าตัดพิเศษและการดูแลหลังผ่าตัดที่เข้มงวด ส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายในการรักษาที่สูงขึ้นตามไปด้วย

 

การรักษาต้อกระจกในผู้สูงอายุ

 

การรักษาต้อกระจกในผู้สูงอายุ

การรักษาโรคตาต้อกระจกในผู้สูงอายุยุคปัจจุบันมีทั้งแบบไม่ผ่าตัดและแบบผ่าตัด ซึ่งแต่ละวิธีมีความเหมาะสมกับผู้ป่วยในระยะที่แตกต่างกัน โดยทางเลือกในการรักษามีดังนี้

1. การรักษาแบบไม่ผ่าตัด

การรักษาแบบไม่ผ่าตัดเหมาะสำหรับผู้ป่วยในระยะแรกที่อาการยังไม่รุนแรง โดยแพทย์อาจพิจารณาให้ใช้แว่นสายตาใหม่ หรือคอนแทกต์เลนส์ ร่วมกับการใช้ยาหยอดตาเพื่อบรรเทาอาการและป้องกันแสงสะท้อน ทั้งนี้ผู้ป่วยควรได้รับการติดตามอาการอย่างสม่ำเสมอจากจักษุแพทย์

2. การรักษาแบบผ่าตัด

การรักษาแบบผ่าตัดเป็นวิธีการรักษาหลักสำหรับต้อกระจกที่มีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน โดยมีเทคนิคการผ่าตัด 3 ประเภท ได้แก่

 

  1. การผ่าตัดลอกต้อกระจก (ICCE)เป็นการผ่าตัดนำเลนส์ตาและถุงหุ้มเลนส์ออกทั้งหมด เหมาะกับผู้ป่วยบางราย แต่อาจส่งผลต่อการมองเห็นในระยะยาว

  2. การผ่าตัดต้อกระจกแผลใหญ่ (ECCE)ใช้วิธีนำเอาแก้วตาออกผ่านแผลขนาดใหญ่ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวนานและมีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลเป็น

  3. การสลายต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Phacoemulsification)เป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด ใช้คลื่นเสียงสลายเลนส์ตาที่ขุ่นผ่านแผลขนาดเล็ก ทำให้ฟื้นตัวเร็วและมีความเสี่ยงต่ำ แต่ต้องดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและอาจมีค่าใช้จ่ายสูง

  4. การผ่าต้อกระจกแบบไร้ใบมีด (Femtosecond Laser Assisted Cataract Surgery-FLACS)เป็นเทคโนโลยีขั้นสูงที่ให้การผ่าตัดแผลเล็กและเเม่นยำสูงสุด โดยใช้เลเซอร์พลังงานต่ำร่วมกับเครื่อง Ultrasonic ในการผ่าตัดทั้งหมด ทำให้ฟื้นตัวเร็วและมีความเสี่ยงต่ำ พร้อมให้ผลการรักษาและการมองเห็นที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนไข้ที่ต้องใส่เลนส์หลายระยะร่วมกับการแก้ไขสายตาเอียง

การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด

  • ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวสามารถทานยาประจำได้ตามปกติ ยกเว้นยาละลายลิ่มเลือดที่ต้องหยุดก่อน 7 วัน

  • งดอาหารและน้ำ 12 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด

  • ทำความสะอาดใบหน้าและรอบดวงตา สามารถอาบน้ำได้ตามปกติ

  • เตรียมร่างกายให้พร้อม เช่น แปรงฟัน สระผม ตัดเล็บให้สั้น

การดูแลตัวเองหลังผ่าตัด

  • หยอดยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด

  • รักษาความสะอาดบริเวณดวงตาและมือ

  • หลีกเลี่ยงการขยี้ตาหรือทำกิจกรรมที่ใช้แรง

  • ระวังไม่ให้น้ำเข้าตาขณะอาบน้ำ

  • มาพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่อง

  • งดยกของหนัก หรือออกกำลังกายหนักในช่วงสองเดือนแรก

 

วิธีป้องกันต้อกระจกในผู้สูงอายุ

 

วิธีป้องกันต้อกระจกในผู้สูงอายุ

แม้ว่าต้อกระจกจะเป็นโรคที่มักเกิดขึ้นตามอายุ แต่สามารถป้องกันหรือลดความเสี่ยงได้โดยการดูแลสุขภาพดวงตาอย่างเหมาะสม ดังนี้

 

  • ปกป้องดวงตาจากแสงแดดการสวมแว่นกันแดดที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานในการป้องกันรังสี UV เป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะในช่วงเวลา 10.00 - 16.00 น. ที่มีรังสี UV สูง นอกจากนี้ควรสวมหมวกปีกกว้างเพื่อช่วยปกป้องดวงตาเพิ่มเติม

  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อดวงตาควรเลือกรับประทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น โดยเฉพาะวิตามิน A, C, E และสังกะสี รวมถึงอาหารที่มีสารแอนติออกซิแดนท์ เช่น ผักใบเขียวเข้ม ผลไม้ตระกูลเบอร์รี และปลาทะเลน้ำลึก

  • หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดต้อกระจกได้มากถึง 2 - 3 เท่า เนื่องจากสารพิษในบุหรี่และแอลกอฮอล์ส่งผลต่อการเสื่อมของเลนส์ตา

  • พักสายตาอย่างเหมาะสมควรใช้กฎ 20-20-20 คือทุก 20 นาทีที่ใช้สายตา ให้มองวัตถุที่อยู่ห่างออกไป 20 ฟุต เป็นเวลา 20 วินาที เพื่อลดความเมื่อยล้าของดวงตา

  • ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปควรเข้ารับการตรวจสุขภาพตากับจักษุแพทย์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อคัดกรองและติดตามการเปลี่ยนแปลงของดวงตาอย่างใกล้ชิด

รักษาโรคตาต้อกระจกในผู้สูงอายุ ที่ศูนย์รักษาต้อกระจก Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร

หากมีอาการของโรคต้อกระจก แนะนำให้เข้ามาปรึกษาและรักษาอาการเหล่านี้ได้ที่ศูนย์รักษาต้อกระจก Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ที่นี่โดดเด่นด้านการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ด้วยทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีจุดเด่นดังนี้

 

  • โรงพยาบาลมีทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม

  • เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย

  • พร้อมให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ

  • ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง

สรุป

ต้อกระจก เป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ เกิดจากการเสื่อมของเลนส์แก้วตาที่ขุ่นมัวลง ทำให้แสงไม่สามารถผ่านเข้าสู่จอประสาทตาได้ตามปกติ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการมองเห็นไม่ชัด เห็นแสงจ้า หรือเห็นภาพซ้อน แม้สาเหตุหลักมักเกิดจากความเสื่อมตามวัย แต่โรคประจำตัวอย่างเบาหวานและความดันโลหิตสูง รวมถึงการได้รับรังสี UV มากเกินไป ก็สามารถเร่งให้เกิดอาการได้เร็วขึ้น

 

ดังนั้น การตรวจพบและรักษาด้วยการผ่าตัดในระยะเริ่มต้นจึงมีความสำคัญ เพราะจะมีความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายน้อยกว่า รวมถึงมีโอกาสฟื้นฟูการมองเห็นได้ดีกว่าการรักษาในระยะรุนแรง สำหรับผู้สูงอายุที่มีปัญหาต้อกระจก แนะนำมาที่Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ)โรงพยาบาลเฉพาะทางที่มีทีมแพทย์มากประสบการณ์ อุปกรณ์ที่ทันสมัย ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล มั่นใจได้ว่าการรักษาเป็นไปอย่างถูกต้อง แม่นยำ และปลอดภัย

calling
ติดต่อเรา : +662 511 2111