มุมสุขภาพตา : #ตาขี้เกียจ

เรียงตาม

กระจกตาบางเกิดจากอะไร? อาการ ผลกระทบต่อสายตาและวิธีรักษา

กระจกตาบางคือภาวะที่กระจกตาซึ่งเป็นชั้นโปร่งใสด้านหน้าตาของดวงตามีความหนาน้อยกว่าปกติ ส่งผลต่อการมองเห็นและสุขภาพตา กระจกตาบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การเสื่อมตามวัย การขยี้ตาบ่อยๆ โรคทางพันธุกรรม หรือผลข้างเคียงจากการผ่าตัดตา เช่น เลสิก อาการของกระจกตาบางที่สังเกตได้ เช่น ตาพร่ามัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย มองเห็นภาพบิดเบี้ยว และสายตาเอียงสูงผิดปกติ กระจกตาบางคือภาวะที่ความหนาของกระจกตาลดลงกว่าปกติ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการโฟกัสแสงเข้าสู่ดวงตา ทำให้การมองเห็นมีความคมชัด หากกระจกตาบางเกินไป อาจเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสายตา เช่น สายตาผิดปกติ หรือมีผลกระทบต่อการรักษาดวงตาด้วยวิธีต่างๆ เช่น เลสิก การเข้าใจสาเหตุ อาการ และการดูแลกระจกตาบางอย่างถูกต้อง จึงช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและดูแลสุขภาพตาได้ดีขึ้น       กระจกตาคืออะไร? สิ่งสำคัญต่อการมองเห็น กระจกตา (Cornea) คือชั้นโปร่งใสและโค้งอยู่ด้านหน้าสุดของดวงตา ครอบคลุมตาดำ มีหน้าที่ช่วยหักเหแสงให้เข้าสู่ดวงตา ทำให้เรามองเห็นชัดเจน และยังเป็นเกราะป้องกันเชื้อโรคโดยตรง โดยปกติความหนาของกระจกตาจะอยู่ที่ประมาณ 520-550 ไมครอน และสามารถบางลงได้ตามอายุที่เพิ่มขึ้นด้วย       รู้จักกับกระจกตาบาง กระจกตาบางคือลักษณะของกระจกตาที่มีความหนาน้อยกว่า 500 ไมครอน (0.5 มิลลิเมตร) โดยทั่วไปไม่ถือเป็นโรคและไม่ต้องรักษา แต่กระจกตาบางจะส่งผลต่อการวินิจฉัยโรคบางอย่าง เช่น ต้อหิน เพราะทำให้วัดความดันตาต่ำกว่าความจริง รวมถึงส่งผลต่อการเลือกวิธีแก้ไขสายตา เช่น หากผู้ป่วยต้องการทำ LASIK และ มีระดับค่าสายตาที่มีผิดปกติสูง เช่น สั้น หรือ เอียงมาก โดยมีความหนาของกระจกตาน้อย เมื่อเปรียบเทียบกันกับเนื้อกระจกตาที่ต้องใช้ผ่าตัด หลังจากได้รับการตรวจจากผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียด เเพทย์ประเมินแล้วอาจจะไม่สามารถแก้ไขค่าสายตาได้หมด หรืออาจทำให้ กระจกตาเสี่ยงเป็นโรคกระจกตาอื่นๆหลังการแก้ไข เเพทย์อาจประเมินให้ผู้ป่วยทำการรักษาด้วยวิธีการอื่นๆ เช่น PRK ICL FemtoLASIK ReLEx SMILE Pro หรือ NanoLASIK  แทนการทำ LASIK แบบทั่วๆไป ซึ่งเป็นการเเก้ไขที่ใช้หรือรบกวนความหนาของกระจกตาน้อยกว่าเพราะฉะนั้น ก่อนทำเลสิกจึงต้องสังเกตและตรวจประเมินความหนาของกระจกตาอย่างละเอียด เพราะหากบางเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะสายตาเอียงผิดปกติ หรือกระจกตาย้วย ซึ่งส่งผลต่อการมองเห็นได้ นอกจากนี้หลายคนยังสงสัยว่า “ใส่คอนแท็กต์เลนส์ ทำให้กระจกตาบางจริงไหม?” คำตอบคือ โดยทั่วไปการใส่คอนแท็กต์เลนส์อย่างถูกวิธี ไม่ได้ทำให้กระจกตาบางลง แต่หากใส่นานเกินไป ไม่ถอดล้างหรือดูแลอย่างถูกต้อง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเกิดภาวะขาดออกซิเจนที่กระจกตา ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อบางลงได้เช่นกัน       กระจกตาบางเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง? กระจกตาบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ การเข้าใจสาเหตุเหล่านี้ช่วยให้สามารถป้องกันและดูแลสุขภาพตาได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น โดยสาเหตุที่พบได้บ่อย มีดังนี้   โรคทางพันธุกรรม แม้ว่าภาวะกระจกตาบางมักเกิดจากพฤติกรรมบางอย่าง แต่ในบางกรณี ความผิดปกตินี้อาจมีสาเหตุจากโรคพันธุกรรมที่ถ่ายทอดภายในครอบครัว หนึ่งในโรคที่พบบ่อย คือ กระจกตาย้วย (Keratoconus) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของภาวะกระจกตาบาง กระจกตาจะบางลงและโป่งยื่นออกมาคล้ายรูปกรวย ทำให้สายตาเอียงผิดปกติ และการมองเห็นแย่ลงเรื้อรัง มักเริ่มแสดงอาการในช่วงวัยรุ่นถึงอายุ 30 ปี โรคกระจกตาบางจากพันธุกรรมอื่นๆ (Corneal Dystrophies) เช่น Pellucid Marginal Degeneration (PMD) ซึ่งกระจกตาจะบางลงบริเวณขอบด้านล่าง   การบาดเจ็บหรือการผ่าตัดตา การผ่าตัดแก้ไขสายตาบางประเภท เช่น การทำเลสิก (LASIK) หรือ PRK อาจส่งผลให้กระจกตาบางลงได้ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการเลเซอร์เนื้อกระจกตา ออกไปมากเกินความจำเป็น ทำให้ความหนาของกระจกตาที่เหลืออยู่ไม่เพียงพอ เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น กระจกตาย้วยในอนาคต นอกจากนี้การบาดเจ็บที่กระจกตาซ้ำๆ รวมถึงการติดเชื้อที่รุนแรง เช่น แผลที่กระจกตาหรือกระจกตาอักเสบ ก็สามารถทำลายเนื้อเยื่อกระจกตาและทำให้เกิดการบางลงได้เช่นกัน โดยเฉพาะหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที   โรคอื่นๆ หรือการใช้ยา โรคทางภูมิคุ้มกันบางชนิด เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) หรือโรคเอสแอลอี (SLE) อาจส่งผลกระทบต่อกระจกตา ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และนำไปสู่ภาวะกระจกตาบางได้ในระยะยาว เนื่องจากภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเนื้อเยื่อของตาเอง ในขณะเดียวกัน การใช้ยาหยอดตาบางชนิด โดยเฉพาะยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ หากใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจมีผลข้างเคียงต่อโครงสร้างของกระจกตา ทำให้เนื้อเยื่อกระจกตาอ่อนแอและบางลงได้เช่นกัน       อาการของภาวะกระจกตาบาง ภาวะกระจกตาบางมักพัฒนาอย่างช้าๆ จนอาจไม่สังเกตเห็นได้ในระยะแรก การเรียนรู้ที่จะสังเกตอาการเบื้องต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรักษาได้อย่างทันท่วงที โดยอาการที่อาจพบมีดังนี้ การมองเห็นพร่ามัวหรือไม่ชัดเจน ค่าสายตาเปลี่ยนแปลงบ่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ มีค่าสายตาเอียงสูงกว่าปกติ มองเห็นภาพบิดเบี้ยว หรือมีลักษณะผิดรูปจากความจริง       วิธีการตรวจและวินิจฉัยกระจกตาบาง โดยปกติแล้วภาวะกระจกตาบางมักถูกตรวจพบในขั้นตอนการประเมินสายตาก่อนทำเลสิก ซึ่งแพทย์จะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Keratometerตรวจวัดความโค้งของกระจกตาและค่าสายตาเอียง โดยการสะท้อนแสงบนกระจกตาเพื่อตรวจหารูปร่างและความโค้งที่ผิดปกติ ซึ่งความโค้งที่ผิดปกตินี้ อาจสัมพันธ์กับความบางของกระจกตา นอกจากนั้นยังมีการตรวจ Corneal Tophography หรือแผนภูมิดวงตาเพื่อประเมินค่าความหนาบางและความผิดปกติของกระจกตาอื่นๆด้วย โดยอาจจะมีการวัด Tomographic Biomechanical Index หรือ ค่าความเเข็งเเรงของกระจกตา เสริมเพื่อตรวจความเสี่ยงของโรค Corneal Ectasia หรือโรคกระจกตาโป้งอีกด้วย แม้ว่าจะสามารถสังเกตอาการเบื้องต้นได้ เช่น มองเห็นไม่ชัดหรือค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย แต่การวินิจฉัยว่ามีกระจกตาบางจริงหรือไม่นั้น ต้องอาศัยการตรวจโดยจักษุแพทย์เท่านั้น เพราะการสังเกตอาการด้วยตนเองเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น ไม่สามารถยืนยันผลได้ ดังนั้นหากสงสัยว่าตนเองมีกระจกตาบาง ควรเข้ารับการตรวจอย่างละเอียดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวางแผนการดูแลและรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้น   สรุป กระจกตาบางเป็นภาวะที่หลายคนไม่รู้ตัว แต่สามารถส่งผลกระทบต่อการมองเห็น เช่น ตาพร่ามัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย หรือภาพบิดเบี้ยว ซึ่งอาจเกิดจากพันธุกรรม โรคภูมิคุ้มกัน การผ่าตัดแก้ไขสายตา หรือการใช้ยาบางชนิด การตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกจึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่วางแผนทำเลสิก ควรเข้ารับการตรวจวัดความหนาและความโค้งของกระจกตาอย่างละเอียดที่ Bangkok Eye Hospital ด้วยเครื่องมือทันสมัยและแพทย์เฉพาะทาง เพื่อป้องกันและดูแลสุขภาพดวงตาได้อย่างมั่นใจ   คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกระจกตาบาง (FAQ) หลายคนที่เพิ่งเคยได้ยินเกี่ยวกับภาวะกระจกตาบางอาจมีข้อสงสัยมากมาย เพื่อช่วยให้เข้าใจมากขึ้น เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาวะกระจกตาบาง พร้อมคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญมาฝากกันในบทความนี้   ทำอย่างไรให้กระจกตาหนาขึ้น ความหนาของกระจกตาไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากเป็นความผิดปกติที่เกิดจากโครงสร้างภายในชั้นกระจกตาเอง   ถ้าปล่อยให้กระจกตาบางแล้วไม่รักษา จะเป็นอย่างไร? สายตาพร่ามัวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถแก้ไขด้วยแว่นหรือคอนแท็กต์เลนส์ปกติได้ กระจกตาโป่งยื่นออกมามากผิดปกติ ทำให้การมองเห็นแย่ลงอย่างถาวร ในบางกรณีรุนแรงมาก อาจเกิดภาวะกระจกตาบวมน้ำฉับพลัน (Acute Hydrops) หรือกระจกตาทะลุ ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินและอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้หากไม่ได้รับการปลูกถ่ายกระจกตา   สามารถป้องกันภาวะกระจกตาบางได้ไหม หลีกเลี่ยงการขยี้ตาแรงๆ เพราะการขยี้ตาเป็นประจำและรุนแรงสามารถทำให้กระจกตาบางลงและเป็นตัวกระตุ้นให้โรคกระจกตาย้วยแย่ลง ดูแลสุขภาพตาโดยรวม เช่น ไม่ใช้คอนแท็กต์เลนส์นานเกินไป และรักษาความสะอาดของดวงตา พบจักษุแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคเกี่ยวกับกระจกตา เพื่อให้สามารถวินิจฉัยและเริ่มการรักษาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะให้ผลลัพธ์การรักษาที่ดีกว่า  
อ่านเพิ่มเติม
ศูนย์รักษาตาเด็ก

เข้าใจตาขี้เกียจในเด็ก ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงและวิธีป้องกันตั้งแต่แรกเริ่ม

โรคตาขี้เกียจในเด็ก คือภาวะที่ดวงตาข้างใดข้างหนึ่งมองเห็นไม่คมชัด เนื่องจากการพัฒนาการด้านการมองเห็นในช่วงวัยเด็กไม่ได้รับการกระตุ้นเต็มที่ โรคตาขี้เกียจในเด็กเกิดจากปัญหาการมองเห็นที่ไม่สมดุลระหว่างตาข้างซ้ายและขวา เช่น สายตาสั้น ตาเอียง หรือการที่ตาไม่สามารถโฟกัสได้เท่ากัน การรักษาตาขี้เกียจในเด็กมักจะใช้วิธีการกระตุ้นการมองเห็น เช่น การใช้แว่นสายตา การปิดตาข้างที่มองเห็นได้ดี เพื่อฝึกการใช้ตาข้างที่อ่อนแอ ใช้ยาหยอดตา และผ่าตัดดวงตา ภาวะตาขี้เกียจมักเกิดขึ้นในช่วงวัยเด็ก ซึ่งหากตรวจพบและรักษาแต่เนิ่นๆ สามารถช่วยให้การพัฒนาการมองเห็นของเด็กกลับมาเป็นปกติได้ บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดตาขี้เกียจในเด็ก พร้อมทั้งวิธีการป้องกันและดูแลลูกน้อยของคุณตั้งแต่แรกเริ่ม เพื่อให้พวกเขามีพัฒนาการทางสายตาที่ดีที่สุด     โรคตาขี้เกียจในเด็กคืออะไร? ภาวะสายตาที่เกิดขึ้นบ่อยในเด็ก ตาขี้เกียจในเด็ก (Lazy Eye) คือภาวะที่ตาข้างใดข้างหนึ่งมองเห็นไม่ชัดเท่าข้างที่เหลือ ซึ่งเกิดจากการสูญเสียพัฒนาการของการมองเห็นในช่วงวัยเด็ก โดยทั่วไปพัฒนาการการมองเห็นในเด็กจะเกิดขึ้นตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 7 ปี หากไม่ได้รับการรักษาในช่วงนี้ อาจส่งผลให้การมองเห็นผิดปกติหรือสูญเสียการมองเห็นในระยะยาว     อาการที่บ่งชี้ว่าลูกเป็นตาขี้เกียจในเด็ก โรคตาขี้เกียจในเด็กมักสังเกตได้ยาก และเด็กเองก็อาจไม่ทราบว่ามีปัญหากับการมองเห็นที่ตาข้างใดข้างหนึ่ง ยกเว้นในกรณีที่มีอาการผิดปกติอย่างชัดเจน โดยมักมีอาการดังนี้ การมองเห็นของตาข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้ง 2 ข้างลดลง มีอาการตาเหล่ เด็กอาจต้องเอียงศีรษะหรือปิดตาข้างหนึ่งเพื่อให้มองเห็นได้ชัด การกะระยะหรือการวัดระยะห่างระหว่างวัตถุทำได้ยาก ดวงตามักเบนเข้าหรือออกจากกัน ปวดศีรษะบ่อยครั้งจากการพยายามมอง     โรคตาขี้เกียจในเด็กเกิดจากอะไร? สาเหตุหลักและปัจจัยเสี่ยง การทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้เด็กเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้จะช่วยให้ผู้ปกครองสามารถตรวจสอบและป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ มาดูกันว่าสาเหตุอะไรบ้างที่สามารถทำให้เด็กเสี่ยงต่อการเกิดโรคตาขี้เกียจในเด็ก ภาวะสายตาผิดปกติที่แตกต่างกัน เด็กที่มีสายตาผิดปกติและค่าสายตาทั้งสองข้างแตกต่างกันมากอาจเสี่ยงต่อการเกิดตาขี้เกียจในเด็ก เนื่องจากแสงที่เข้าสู่เลนส์ตาทั้งสองข้างไม่เท่ากัน ทำให้สมองตอบสนองกับตาข้างที่สามารถรับแสงได้ดีขึ้น ส่วนดวงตาอีกข้างที่มองเห็นไม่ชัดจะไม่ได้รับการใช้งานเท่าที่ควร ส่งผลให้การพัฒนาการของดวงตาข้างนั้นช้ากว่าข้างที่ใช้งานมากขึ้น จึงมีโอกาสสูงที่จะเกิดโรคตาขี้เกียจได้ ตาเขและตาเหล่ การที่ดวงตาทั้งสองข้างไม่ประสานกันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดตาขี้เกียจในเด็ก โดยปกติแล้วดวงตาทั้งสองข้างจะมองตรงและรวมภาพให้เป็นหนึ่งเดียว แต่หากตาข้างใดข้างหนึ่งมองตรงในขณะที่อีกข้างมองเบี่ยงไปด้านข้าง ด้านบน หรือด้านล่าง ซึ่งเกิดจากกล้ามเนื้อตาผิดปกติ จะทำให้มองเห็นภาพซ้อน เด็กที่มีอาการตาเขหรือตาเหล่มักเลือกใช้ตาข้างที่มองตรงเพียงข้างเดียว เพื่อหลีกเลี่ยงการเห็นภาพซ้อน หากปล่อยไว้นานอาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนาการมองเห็นของเด็ก ความผิดปกติที่ทำให้การมองเห็นไม่ชัด โรคตาขี้เกียจในเด็กนี้เกิดจากสิ่งบางอย่างที่บดบังการมองเห็นของดวงตา ทำให้แสงไม่สามารถรวมตัวกันและตกลงบนจอตาได้อย่างถูกต้อง จึงทำให้มองเห็นภาพไม่ชัด เช่น การเป็นต้อกระจก หนังตาตกแต่กำเนิด หรือมีแผลที่กระจกตา     การรักษาตาขี้เกียจในเด็ก วิธีการต่างๆ ที่ช่วยให้การมองเห็นดีขึ้น แนวทางการรักษาโรคตาขี้เกียจในเด็กจะมุ่งไปที่การแก้ไขความผิดปกติที่เป็นสาเหตุของอาการ และกระตุ้นให้ผู้ป่วยใช้งานดวงตาข้างที่มีปัญหามากขึ้น เพื่อช่วยให้สมองประสานการทำงานกับดวงตาข้างนั้น เช่น สวมแว่นสายตา การสวมแว่นสายตาหรือคอนแท็กต์เลนส์สามารถช่วยแก้ไขปัญหาสายตาของผู้ป่วยที่มีความแตกต่างระหว่างสายตาทั้งสองข้างได้ โดยช่วยให้มองเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น และกระตุ้นให้สมองทำงานประสานกับดวงตาข้างที่มีปัญหาตาขี้เกียจมากขึ้น ซึ่งจะช่วยพัฒนาการทำงานของสายตาทั้งสองข้างให้มีความสมดุลและเป็นปกติ ปิดหรือครอบตา แพทย์มักแนะนำให้ผู้ป่วยสวมที่ครอบตาหรือปิดตาข้างที่ปกติเป็นระยะเวลาประมาณ 2-6 ชั่วโมงต่อวันในช่วงเวลาที่ใช้งานดวงตา เพื่อกระตุ้นให้ดวงตาเด็กข้างที่มีปัญหาตาขี้เกียจได้ใช้งานมากขึ้น วิธีนี้ช่วยกระตุ้นการพัฒนาของดวงตาข้างที่ผิดปกติจนการมองเห็นทั้งสองข้างเท่ากันได้ จักษุแพทย์จะวางแผนการรักษาและประเมินผลเป็นระยะ เนื่องจากอาการและการตอบสนองต่อการรักษาอาจแตกต่างกันไปตามอายุและความรุนแรงของโรคในเด็กแต่ละคน ใช้ยาหยอดตา ยาหยอดตาที่มีสารอะโทรปีนจะหยอดลงในตาข้างที่ปกติสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อทำให้ภาพเบลอชั่วคราว ซึ่งช่วยให้ดวงตาข้างที่มีปัญหาตาขี้เกียจได้ใช้งานมากขึ้น อย่างไรก็ตามการใช้ยานี้อาจทำให้ตาข้างที่หยอดมีความไวต่อแสงมากขึ้นในช่วงเวลานั้น ผ่าตัดดวงตา หากการรักษาด้วยวิธีที่กล่าวมาไม่ได้ช่วยให้ตำแหน่งของดวงตากลับมาเป็นปกติ แพทย์อาจแนะนำให้ทำการผ่าตัดกล้ามเนื้อดวงตา เพื่อให้ดวงตาทำงานได้ตามปกติ โดยเฉพาะในกรณีของเด็กที่มีภาวะตาเข ตาเหล่ ต้อกระจก หรือหนังตาตก ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของตาขี้เกียจในเด็ก การผ่าตัดกล้ามเนื้อดวงตาจึงช่วยให้ดวงตากลับมาทำงานได้เป็นปกติ     ป้องกันตาขี้เกียจในเด็ก ดูแลและตรวจสอบตั้งแต่แรกเริ่ม การป้องกันการเกิดตาขี้เกียจในเด็กตั้งแต่ระยะเริ่มต้นสามารถทำได้ เพื่อให้การพัฒนาการการมองเห็นเป็นไปอย่างเต็มที่ ดังนี้ สังเกตดวงตาเด็กตั้งแต่แรกเกิดว่ามีขนาดปกติหรือไม่ และตรวจสอบว่ามีสิ่งใดบดบังตาดำของเด็กหรือไม่ เมื่อเด็กอายุ 2-3 เดือน ควรสังเกตว่าเด็กสามารถจ้องมองเราขณะให้นมหรือไม่ หากไม่ ควรปรึกษาจักษุแพทย์ เมื่อเด็กอายุ 6 เดือน ควรสังเกตว่าเด็กสามารถจ้องมองตามวัตถุได้ในขณะที่ตาอยู่นิ่ง หากตาไม่คงที่ ควรปรึกษาจักษุแพทย์ เมื่อเด็กอายุประมาณ 3 ปี สายตาจะใกล้เคียงกับผู้ใหญ่ ควรทดสอบสายตาด้วยการให้มองภาพขนาดต่างๆ และพาเด็กไปพบจักษุแพทย์เพื่อประเมินระดับการมองเห็น สรุป ตาขี้เกียจในเด็ก (Lazy Eye) คือภาวะที่การมองเห็นของดวงตาข้างหนึ่งพัฒนาช้าหรือไม่ดีเท่าดวงตาข้างอื่น ซึ่งมักเกิดในช่วงอายุ 1-7 ปี สาเหตุหลักๆ ได้แก่ สายตาผิดปกติที่มีความแตกต่างกันมาก ตาเขหรือตาเหล่ และปัญหาทางกายภาพอื่นๆ เช่น ต้อกระจกหรือหนังตาตก การรักษามักเริ่มด้วยการสวมแว่นสายตาหรือใช้การปิดตา (ครอบตา) เพื่อกระตุ้นให้ดวงตาข้างที่มีปัญหาทำงานมากขึ้น ในบางกรณีอาจต้องใช้ยาหยอดตาหรือผ่าตัดเพื่อแก้ไขปัญหากล้ามเนื้อตา หากต้องการวินิจฉัยและรักษาตาขี้เกียจในเด็กBangkok Eye Hospitalมีจักษุแพทย์ที่ชำนาญการพร้อมบริการพร้อมให้บริการด้วยมาตรฐานสูง เพื่อให้ลูกของคุณได้รับการดูแลที่เหมาะสมและตรงตามความต้องการ

รู้เท่าทันโรคตาขี้เกียจ! วิธีสังเกตอาการ พร้อมหาสาเหตุและวิธีรักษา

โรคตาขี้เกียจ หรือ Lazy Eyes คือโรคที่พบบ่อยในเด็ก หากปล่อยไว้นานโดยไม่ทำการรักษาจะมีผลต่อกล้ามเนื้อตาในระยะยาวได้ ผู้ปกครองจึงควรสังเกตอาการและพฤติกรรมของเด็กอย่างใกล้ชิด หากมีอาการเพ่งมองสิ่งต่างๆ ปวดศีรษะร่วมกับปวดตา และมองเห็นชัดข้างเดียว ควรพาพบแพทย์เนื่องจากอาจเป็นอาการของโรคตาขี้เกียจได้ มาดูว่าโรคตาขี้เกียจคืออะไร มีอาการอย่างไร การวินิจฉัย พร้อมแนวทางการรักษาได้ที่นี่ โรคตาขี้เกียจคืออาการที่ดวงตาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างสูญเสียประสิทธิภาพการมองเห็นจนสมองปิดการรับรู้ อาการของตาขี้เกียจที่สังเกตได้ เช่น ต้องเพ่งมอง ตาล้า ปวดศีรษะง่ายหรืออาจพบต้อในตาได้ โรคตาขี้เกียจรักษาได้หลายวิธี ทั้งการปิดตาหนึ่งข้าง การใส่แว่น การใช้ยาหยอดตาขยายรูม่านตา เป็นต้น อาการตาขี้เกียจป้องกันได้โดยการสังเกตพฤติกรรมของเด็กหรือหมั่นตรวจสุขภาพและสายตาอย่างสม่ำเสมอ รักษาโรคตาขี้เกียจที่ศูนย์รักษาโรคตาเด็ก Bangkok Eye Hospital มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ประสบการณ์สูงในเรื่องการรักษาตาขี้เกียจ พร้อมด้วยอุปกรณ์และเทคโนโลยีสำหรับการรักษาที่ทันสมัย ใส่ใจการให้บริการในทุกเคส     โรคตาขี้เกียจ (Amblyopia) คืออะไร โรคตาขี้เกียจ (Amblyopia) หรือที่รู้จักกันในชื่อ Lazy Eyes คืออาการที่ดวงตาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างมองเห็นไม่ชัดจนทำให้สมองปิดการรับรู้ หรือทำให้ประสาทสัมผัสปิดการใช้งานและพัฒนาด้านอื่นแทน จนทำให้กล้ามเนื้อตานั้นอ่อนแอและมีการมองเห็นที่แย่ลง เป็นโรคสายตาที่พบบ่อยในเด็กอายุน้อยกว่า 6 ปีได้ 2 - 5% โรคตาขี้เกียจ มีอาการอย่างไร ตาขี้เกียจมีอาการที่สามารถสังเกตที่บ่งชี้ได้ โดยสังเกตได้จากการพฤติกรรมการมองของเด็ก ดังนี้ เพ่งตามองสิ่งต่างๆ ในระยะใกล้ หรือเอียงคอมอง ปิดตาข้างใดข้างหนึ่งเพื่อมองให้ชัดเจน ตาเหล่หรือตาเข ปวดศีรษะร่วมกับอาการตาล้าหรือปวดตาบ่อยๆ     สาเหตุโรคตาขี้เกียจ เกิดจากอะไร สาเหตุของโรคตาขี้เกียจอาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ดังนี้ 1. ค่าสายตาผิดปกติตั้งแต่เด็ก หากมีค่าสายตามากทั้งสองข้างตั้งแต่เด็กจะทำให้สมองปิดการรับรู้จนหยุดพัฒนาค่าสายตาและพัฒนาประสาทสัมผัสด้านอื่นๆ ทดแทน หรือหากมีค่าสายตาเพียงข้างใดข้างหนึ่งที่มากตั้งแต่เด็กจะทำให้การพัฒนาการมองเห็นมีเพียงข้างเดียวและส่งผลให้กล้ามเนื้อตาอ่อนแอได้ในระยะยาว 2. อาการตาเหล่ ตาเข อาการตาเหล่หรือตาเขข้างเดียวเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคตาขี้เกียจได้มากที่สุด เนื่องจากอาการตาเหล่หรือ ตาเขข้างเดียวจะทำให้ดวงตานั้นมีการใช้สายตาเพียงข้างเดียว หากเกิดขึ้นกับเด็ก โดยเฉพาะเด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปี จะทำให้การพัฒนาสายตาด้านการรับรู้ภาพ 3 มิตินั้นไม่เต็มที่ หากไม่รักษาดวงตาที่ไม่สามารถรับภาพ 3 มิติได้จะกลายเป็นโรคตาขี้เกียจที่รักษาได้ยาก 3. ภาวะเปลือกตาตก ภาวะเปลือกตาตก หากมีอาการเปลือกตาตกจะทำให้ถูกบดบังการมองเห็นหรือมองเห็นได้ไม่เต็มที่ ทำให้สายตานั้นทำงานได้แย่ลง จนเกิดเป็นโรคตาขี้เกียจได้ทั้งสองข้าง 4. ระบบประสาทผิดปกติ สาเหตุของตาขี้เกียจจากระบบประสาทผิดปกติ หากมีความผิดปกติของการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง กระแสประสาทหรือเส้นประสาทดวงตา ทำให้สมองไม่สามารถประมวลผลหรือรับภาพได้ตามปกติ จะทำให้การพัฒนาของสายตาทำได้ไม่เต็มที่จนเกิดโรคตาขี้เกียจ 5. โรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โรคทางสายตาอื่นๆ ก็สามารถทำให้เกิดโรคตาขี้เกียจได้ เช่นต้อกระจกเลนส์ตาผิดปกติหรือจอประสาทตาเสื่อมในเด็ก ทำให้การมองเห็นของดวงตาผิดปกติหรือไม่ชัดเจน จนเกิดเป็นโรคตาขี้เกียจได้     ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคตาขี้เกียจ ภาวะแทรกซ้อนของโรคตาขี้เกียจคืออาจทำให้สูญเสียการมองเห็นแบบภาพ 3 มิติและสายตาสั้นผิดปกติได้ หากไม่รักษาตั้งแต่ก่อนอายุ 2 ปีก็จะทำให้รักษาไม่ค่อยเห็นผล และมีผลต่อการมองเห็นได้มาก จึงควรสังเกตอาการตั้งแต่ยังเด็กและรีบรักษาให้เร็วที่สุด การวินิจฉัยอาการตาขี้เกียจจากแพทย์ การวินิจฉัยโรคตาขี้เกียจโดยแพทย์นั้นจะทำการตรวจดูอาการตาเหล่ ตาเข เปลือกตา หรือส่วนอื่นๆ ในดวงตาที่อาจบดบังหรือทำให้การมองเห็นไม่สมบูรณ์ นอกจากนี้ยังต้องวินิจฉัยอาการตาขี้เกียจจากการวัดค่าสายตาของดวงตาทั้งสองข้างด้วย     แนวทางการรักษาโรคตาขี้เกียจ การรักษาโรคตาขี้เกียจนั้น หากยิ่งพบแพทย์และทำการวินิจฉัยการรักษาเร็วก็ยิ่งได้ประสิทธิภาพ โดยแพทย์จะทำการประเมินโรคตาขี้เกียจจากสาเหตุและอาการต่างๆ เพื่อเลือกวิธีรักษา ดังนี้ การสวมใส่แว่น การสวมใส่แว่นจะเป็นการรักษาตาขี้เกียจที่เกิดจากค่าสายตาที่มากผิดปกติ โดยการใส่แว่นจะช่วยปรับให้ดวงตาที่มีอาการตาขี้เกียจนั้นถูกกระตุ้นและใช้งานได้ดีขึ้นจนทำให้เกิดการพัฒนาการมองเห็นขึ้นตามลำดับ วิธีการรักษาตาขี้เกียจด้วยการสวมแว่นอาจทำร่วมกับการปิดตาข้างหนึ่งหากอาการตาขี้เกียจนั้นเกิดจากค่าสายตามากข้างเดียวหรืออาการตาเหล่ตาเขข้างเดียว การปิดตาข้างเดียว การปิดตาข้างเดียว เป็นการกระตุ้นในกรณีที่มีอาการโรคตาขี้เกียจข้างเดียว เนื่องจากอาการตาขี้เกียจคือการหยุดใช้งานดวงตา การปิดตาข้างเดียวจะเป็นการกระตุ้นให้ดวงตาที่หยุดการทำงานหรือการพัฒนานั้นกลับมาถูกกระตุ้นและใช้งานมากขึ้นเพื่อให้เทียบเท่ากับดวงตาที่มีการใช้งานปกติ การรักษาตาขี้เกียจด้วยการปิดตาข้างเดียวนั้นอาจใช้ระยะเวลา 5 - 6 ชั่วโมงต่อวันหรือตามที่แพทย์แนะนำ ในระหว่างการรักษาด้วยการปิดตาข้างเดียวในแต่ละวันนั้นควรที่จะมีกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้เด็กที่รับการรักษาได้ถูกกระตุ้นให้ใช้ดวงตาตามปกติมากที่สุด วิธีการรักษาตาขี้เกียจด้วยการปิดตาข้างเดียวต้องอาศัยความสม่ำเสมอในการรักษาและอาจใช้ระยะเวลาหลายเดือนหรือเป็นปีจนกว่าอาการตาขี้เกียจจะถูกกระตุ้นจนสามารถพัฒนาต่อได้ หยอดยาขยายรูม่านตา การหยอดยาขยายรูม่านตา ใช้ในกรณีที่คล้ายคลึงกันกับการปิดตาข้างเดียว คือการลดการมองเห็นของดวงตาข้างที่ถนัดเพื่อเปิดการกระตุ้นการใช้งานดวงตาที่มีอาการของโรคตาขี้เกียจให้มากขึ้น เนื่องจากการขยายรูม่านตาจะทำให้การมองเห็นนั้นน้อยลง การผ่าตัดรักษาตาขี้เกียจ การผ่าตัดรักษาโรคตาขี้เกียจ เป็นการแก้ไขอาการตาขี้เกียจที่เกิดจากอาการตาเหล่ ตาเข หรือหนังตาตกโดยแก้ที่สาเหตุของโรค เมื่อผ่าตัดรักษาอาการตาเหล่ ตาเข และหนังตาตกที่บดบังการมองเห็นหรือทำให้การมองเห็นไม่สมบูรณ์แล้ว ก็จะทำให้การมองเห็นชัดเจนขึ้นและมีการกระตุ้นสายตาให้พัฒนาขึ้นตามลำดับ อย่างไรก็ตาม วิธีนี้อาจไม่เหมาะกับอาการตาขี้เกียจในวัยผู้ใหญ่ที่มีการพัฒนาการมองเห็นเต็มที่แล้ว ป้องกันอาการตาขี้เกียจได้อย่างไร การรักษาอาการตาขี้เกียจอาจทำได้ยาก แพทย์จึงแนะนำให้ป้องกันอาการตาขี้เกียจตั้งแต่เนิ่นๆ โดยมีแนวทางในการป้องกัน ได้แก่ ตรวจสุขภาพและค่าสายตาเป็นประจำ โดยเฉพาะเด็กก่อนอายุ 2 - 3 ปี หมั่นสังเกตอาการที่อาจบ่งชี้ถึงโรคตาขี้เกียจ เช่น อาการเพ่งหรือเอียงคอมองสิ่งต่างๆ อาการปวดศีรษะหรือดวงตา สังเกตการค่าสายตาที่แตกต่างกันของดวงตาทั้งสองข้าง สอนให้เด็กรู้จักการสังเกตการมองเห็นของตนเองเพื่อให้รับรู้ได้อย่างรวดเร็วในช่วงที่พบความผิดปกติซึ่งอาจนำไปสู่โรคตาขี้เกียจได้ รักษาโรคตาขี้เกียจ (Amblyopia) ที่ศูนย์โรคตาเด็ก Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร หากมีอาการตาขี้เกียจ (Amblyopia) แนะนำให้เข้ามาปรึกษาและรักษาอาการเหล่านี้ได้ที่ศูนย์รักษาตาเด็ก Bangkok Eye Hospital ที่นี่โดดเด่นด้านการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ด้วยทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกล้ามเนื้อตาเข มีจุดเด่นดังนี้ โรงพยาบาลมีทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย พร้อมให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง สรุป โรคตาขี้เกียจ หรือ Lazy eyes คือ อาการที่การมองเห็นของดวงตาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างนั้นมีปัญหาจนทำให้สมองปิดการรับรู้หรือหยุดพัฒนาประสาทสัมผัสการมองเห็นและนำไปพัฒนาด้านอื่นทดแทน หากปล่อยไว้นานและไม่ทำการรักษาจะส่งผลในระยะยาวคือทำให้กล้ามเนื้อตาอ่อนแอหรือสายตาสั้นผิดปกติ หากสังเกตเห็นอาการผิดปกติเกี่ยวกับการมองเห็นของลูก แนะนำให้รีบพบแพทย์เพื่อทำการรักษา โดยการรักษามีหลากหลายวิธี เช่น การใส่แว่น การปิดตาหนึ่งข้าง หรือการหยอดยาขยายรูม่านตาเพื่อเป็นการปรับการมองเห็น และกระตุ้นสายตาข้างที่มีอาการของโรคตาขี้เกียจให้มีการใช้งานและพัฒนาการมองเห็นให้ดีขึ้น ที่ศูนย์โรคตาเด็ก Bangkok Eye Hospitalมีการดูแลจากแพทย์ที่มีประสบการณ์ด้วยเทคโนโลยีและเครื่องมือในการรักษาที่ทันสมัย ดูแลอย่างครบวงจรตั้งแต่ขั้นตอนของการให้คำปรึกษา การวินิจฉัย และการรักษาโรคตาขี้เกียจ ด้วยใจบริการที่ใส่ใจในทุกเคสภายใต้สถานที่ที่มีความเป็นกันเอง ทำให้มั่นใจในการรักษาได้อย่างผ่อนคลายไร้กังวล
calling
ติดต่อเรา : +662 511 2111