|
การทำความเข้าใจกับสาเหตุที่ทำให้เกิดต้อเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพดวงตา เพราะโรคต้อทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นต้อลม ต้อหิน ต้อกระจก และต้อเนื้อ ต่างก็มีสาเหตุและอาการที่แตกต่างกันออกไป การรู้จักปัจจัยเสี่ยงและวิธีการป้องกันจะช่วยให้เราดูแลรักษาดวงตาของเราได้อย่างเหมาะสม เพื่อรักษาสุขภาพดวงตาให้คงความสดใสและมองเห็นได้ชัดเจนต่อไป มาหาคำตอบได้ในบทความนี้
โรคต้อ หรือที่เรียกกันว่าภาวะตาเป็นต้อ หมายถึงกลุ่มของโรคที่เกิดบริเวณดวงตา ทำให้เกิดปัญหาที่เลนส์ตา โดยส่วนมากจะทำให้การมองเห็นลดลงหรือมองเห็นได้ผิดปกติ โดยภาวะตาเป็นต้อสามารถระบุได้หลายชนิดขึ้นอยู่กับอาการและสาเหตุที่แตกต่างกัน เพื่อให้ป้องกันและรักษาอย่างถูกวิธี ควรระบุก่อนว่าเป็นต้อชนิดใด
ภาวะตาเป็นต้อแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทมีอาการและสาเหตุที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ทั้งยังเกิดขึ้นในบริเวณที่แตกต่างกัน รวมทั้งมีความรุนแรงต่างกันด้วย ดังนี้
ต้อลมมีลักษณะเป็นเยื่อสีขาวหรือขาวอมเหลืองที่เกิดบริเวณตาขาวใกล้ตาดำ สาเหตุหลักมาจากการสัมผัสกับสิ่งที่ระคายเคืองต่อเยื่อบุตา เช่น ลม ฝุ่น และแสงแดดเป็นเวลานาน ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการเคืองตาได้ง่าย อย่างไรก็ตาม ต้อลมไม่ทำให้การมองเห็นพร่ามัวหรือสูญเสียการมองเห็น
การรักษาต้อลม ทำได้โดยการผ่าตัดหรือการใช้เลเซอร์ โดยจักษุแพทย์มักจะแนะนำให้ทำการผ่าตัดพร้อมปลูกเนื้อเยื่อลงแทนที่เยื่อบุตาขาวที่ถูกตัดออกไป เนื้อเยื่อที่ใช้ปลูกเป็นเนื้อเยื่อหุ้มรก ซึ่งจะถูกเย็บด้วยไหมหรือใช้กาว Fibrin Glue เพื่อเชื่อมสมานแผลระหว่างเนื้อเยื่อเดิมและเนื้อเยื่อที่ปลูกใหม่ หลังการผ่าตัดอาจเกิดอาการระคายเคืองบ้าง แต่วิธีนี้ช่วยลดโอกาสการเกิดต้อลมซ้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน หากจำเป็นต้องออกแดดก็ควรสวมแว่นกันแดดกันลมหรือสวมหมวกปีกกว้างขณะอยู่กลางแจ้ง
พักสายตาเป็นระยะเมื่อรู้สึกตาล้าหรือตาเมื่อยจากการใช้สายตามากเกินไป
ไม่ควรขยี้ตา แต่หากรู้สึกระคายเคืองตาหรือตาแห้งให้ใช้น้ำตาเทียมหยอดเพื่อบรรเทาอาการ ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเลือกใช้น้ำตาเทียม
หมั่นสังเกตอาการของดวงตา เช่น อาการคัน ระคายเคือง หรือการมองเห็นที่เปลี่ยนไป หากมีความผิดปกติควรพบแพทย์ทันที
ตรวจสุขภาพดวงตากับจักษุแพทย์อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี หรือมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคต้อเนื้อหรือต้อลม ควรเข้าตรวจตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
ต้อกระจกเป็นภาวะที่เลนส์ตาเกิดความขุ่น มีอาการมองเห็นผิดปกติ เหมือนมีหมอกหรือควันขาวบังสายตา โดยทั่วไปต้อกระจกมักเกิดจากการเสื่อมสภาพของเลนส์ตาตามอายุ แต่ก็ยังเกิดขึ้นตั้งแต่กำเนิดหรือหลังได้รับอุบัติเหตุต่อดวงตาได้เช่นกัน หากไม่ได้รับการรักษาการมองเห็นจะมัวลงเรื่อยๆ จนอาจสูญเสียการมองเห็นในที่สุด
การรักษาต้อกระจกมีหลายวิธี ดังนี้
การผ่าตัดสลายต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Phacoemulsification) เป็นการใช้คลื่นเสียงสลายต้อและดูดออก จากนั้นใส่เลนส์แก้วตาเทียมแบบพับได้ลงไปในแผลขนาดเล็ก 2.6-3.0 มม. เพื่อฟื้นฟูการมองเห็นให้ชัดเจน เหมาะกับผู้ที่มีสายตาสั้น ยาว หรือเอียง
วิธีสลายต้อ (Phacoemulsification) เป็นการนำเลนส์ตาธรรมชาติที่ขุ่นมัวออก แล้วแทนที่ด้วยเลนส์แก้วตาเทียม เพื่อฟื้นฟูการมองเห็นให้กลับมาชัดเจน
การเลเซอร์ Femtosecond Laser Assisted Cataract Surgery การใช้เลเซอร์ช่วยเปิดแผล เปิดถุงหุ้มเลนส์ และแบ่งเลนส์ต้อให้เป็นชิ้นเล็กๆ ทำให้การสลายและดูดออกด้วย Ultrasound ง่ายขึ้น เพิ่มความแม่นยำในการวางเลนส์แก้วตาเทียม
สวมแว่นกันแดดเพื่อป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต
เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะที่มีวิตามินเอ อี และซี ซึ่งช่วยบำรุงสายตา
จัดสภาพแวดล้อมการทำงานให้เหมาะสม มีแสงสว่างเพียงพอและระยะการมองที่พอดี
พักสายตาเป็นระยะๆ เมื่อใช้สายตานานๆ โดยเฉพาะการจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ
หากต้องทำงานที่เสี่ยงต่ออุบัติเหตุต่อดวงตา ควรสวมอุปกรณ์ป้องกัน
ควรตรวจสายตาทุกปี โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป
ต้อเนื้อ เป็นภาวะเนื้อเยื่อที่เติบโตบนกระจกตา มีลักษณะเป็นสามเหลี่ยม เป็นเนื้อเยื่อสีขาวอมแดงที่มักปรากฏบริเวณหัวตาหรือหางตา เกิดจากการระคายเคืองอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ผู้ป่วยจะมีอาการตาแดงหรือเคืองตาเมื่อถูกสิ่งกระตุ้น แต่โรคนี้ไม่ทำให้ตามัวหรือตาบอดในระยะเริ่มต้น
ต้อเนื้อที่เป็นน้อย รักษาได้ด้วยยาหยอดตาลดอาการอักเสบเพื่อบรรเทาการระคายเคือง หากมีอาการรุนแรงมากขึ้น แพทย์จะรักษาโดยการลอกต้อเนื้อออก หรือใช้วิธีลอกต้อเนื้อแล้วปลูกเนื้อเยื่อใหม่ ซึ่งอาจใช้เนื้อเยื่อจากเยื่อบุตาของผู้ป่วยเอง การปลูกเนื้อเยื่อช่วยลดโอกาสการกลับเป็นซ้ำได้อีกด้วย
สวมแว่นกันแดดที่มีเลนส์กรองรังสีอัลตราไวโอเลต หรือแว่นตาที่ช่วยปกป้องดวงตาจากลม ฝุ่น มลภาวะ และแสงสะท้อน
เมื่ออยู่กลางแจ้ง ควรสวมหมวกปีกกว้างเพื่อปกป้องดวงตาจากแสงอาทิตย์
หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีแสงแดดจ้า ฝุ่น ควัน ลม หรือมลภาวะมาก
ใช้น้ำตาเทียมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและหล่อลื่นดวงตา
โรคต้อหินเกิดจากการระบายออกของน้ำเลี้ยงในลูกตาผิดปกติจนทำให้ความดันในลูกตาสูง มีอาการลูกตาแข็งขึ้นจนกดขั้วประสาทตา (Optic Disc) ซึ่งอาจทำให้เกิดการสูญเสียลานสายตาจนถึงขั้นตาบอดได้ โรคต้อหินแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
ต้อหินมุมเปิด เกิดจากการอุดตันรูระบายน้ำระหว่างกระจกตาดำและตาขาว (Trabecular meshwork) ทำให้น้ำในลูกตาไหลออกไม่ได้ จนความดันในลูกตาสูงขึ้น
ต้อหินมุมปิด เกิดจากม่านตาถูกดันให้ยกตัวขึ้นจนปิดมุมระบายน้ำ ทำให้น้ำไหลออกทาง Trabecular meshwork ไม่ได้ ความดันในลูกตาจึงสูงขึ้น ซึ่งอาจเกิดได้ทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง
ต้อหินแต่กำเนิด เกิดจากความผิดปกติของดวงตาที่เกิดจากพันธุกรรม โดยยีนที่ทำให้เกิดโรคเป็นยีนด้อย และจะเกิดขึ้นได้เมื่อทั้งพ่อและแม่เป็นพาหะ โดยมีโอกาสเกิด 25%
ต้อหินแทรกซ้อน เกิดจากการกระตุ้นบางประการที่ทำให้ขั้วประสาทตาเสื่อม หรือจากความดันในลูกตาสูง ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อการเกิดโรคนี้
การรักษาต้อหินมีหลายวิธี ได้แก่ การใช้ยาหยอดเพื่อลดการสร้างน้ำในลูกตาหรือช่วยระบายน้ำให้ดีขึ้น การรักษาด้วยเลเซอร์เพื่อควบคุมความดันในลูกตา และการผ่าตัดที่ทำได้สองวิธีคือ การทำทางระบายน้ำและการติดตั้งท่อเล็กๆ เพื่อช่วยลดความดันในลูกตา
สังเกตอาการร่างกายตนเองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจสอบความผิดปกติ
เข้าตรวจสุขภาพประจำปีและตรวจตากับจักษุแพทย์ปีละครั้ง โดยไม่ต้องรอจนมีอาการ
ควบคุมโรคที่อาจทำให้เกิดต้อหิน เช่น โรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง โดยปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
สวมเครื่องป้องกันดวงตาเมื่ออยู่ในสถานที่ที่มีความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ
หลีกเลี่ยงการซื้อยาหยอดตามาหยอดเองเป็นระยะเวลานาน เนื่องจากอาจเสี่ยงต่อการเกิดต้อหิน
โรคต้อมี 4 ประเภท ได้แก่ ต้อลมจากการระคายเคือง ต้อกระจกจากเลนส์แก้วตาขุ่น ต้อเนื้อจากเยื่อบุตาขยาย และต้อหินจากความดันลูกตาสูง การป้องกันทำได้โดยหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงและตรวจตากับจักษุแพทย์เป็นประจำ
หากเป็นโรคต้อ เข้ารับการรักษาที่Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ที่นี่พร้อมให้บริการดูแลและรักษาโรคเกี่ยวกับดวงตาอย่างครบวงจร ด้วยจักษุแพทย์มากประสบการณ์และเทคโนโลยีทันสมัย