မျက်လုံး ကျန်းမာရေး : #วัดค่าสายตา

Sort

Dry eyes

Dry eyes Tears play a crucial role in keeping our eyes moist, ensuring clear vision by letting light effectively pass through the eye's lens, and supplying oxygen to nourish the eye. They also help fend off infections and keep foreign substances at bay.   Now, when it comes to dry eyes, it's a pretty common issue that can stem from abnormal tear production or tears evaporating too quickly. This can lead to discomfort, irritation, that feeling like there's something foreign in your eye, redness, pain, blurry vision that gets better with blinking, or even feeling like your eyes are tired and heavy. What causes dry eyes can vary—getting older, being a woman (yeah, we're more prone to it), certain allergy medications, spending loads of time on screens, being in places with dust and smoke, gusty winds, and bright lights, they can all have a hand in it.   But hey, the good news is there are ways to tackle dry eyes:   Keep away from things that can make it worse, like strong winds and dust, by popping on some sunglasses and protecting those peepers. Remember to take breaks or blink more often, especially when you're glued to screens for a while. You've got these cool eye drops called artificial tears. There's a type for daytime (more watery) and nighttime (a bit thicker). Which one to use depends on how serious your dry eye situation is. Sometimes your doc might suggest special eye drops that encourage your eyes to make more tears. Give your eyes a treat with warm, clean cloths over your closed eyelids to help them feel better. If the dry eye struggle is real and isn't improving, it's wise to chat with an eye doctor.   All in all, dry eyes can be a bother, but there are solutions out there. It's important to take good care of your eyes, especially when it's all dry outside. If you suspect you've got dry eyes, having a chat with an eye care expert is a smart move.      
Read More

เข้าใจค่าสายตาแบบต่างๆ และผลกระทบต่อการมองเห็นในชีวิตประจำวัน

การเข้าใจค่าสายตาต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพตา เนื่องจากแต่ละประเภทของค่าสายตาจะส่งผลต่อการมองเห็นในชีวิตประจำวัน การเลือกแว่นตาหรือการรักษาที่เหมาะสมสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็นได้มากขึ้น ดังนั้นการรู้จักค่าสายตาจึงเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาสุขภาพตาอย่างถูกต้อง   ค่าสายตาคือการวัดความสามารถในการมองเห็น โดยใช้หน่วยเป็นไดออปเตอร์ (D) แสดงค่าความผิดปกติของสายตา เช่น สายตาสั้น (–) หรือสายตายาว (+) ค่าเหล่านี้จะช่วยกำหนดว่าต้องใช้แว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์เพื่อปรับการมองเห็นให้ชัดเจนขึ้น การวัดค่าสายตาทำโดยการใช้เครื่องมือที่เรียกว่า เครื่องวัดค่าสายตา (Refractometer) ซึ่งจะให้ผู้ตรวจสวมแว่นที่มีเลนส์ต่างๆ เพื่อทดสอบการมองเห็น โดยจะแสดงผลค่าสายตาในรูปแบบ SPH, CYL, AXIS และ ADD ขึ้นอยู่กับลักษณะของการมองเห็น การทำเลสิกที่ Bangkok Eye Hospital มีข้อดีคือใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยในกระบวนการรักษา รวมถึงการให้คำปรึกษาจากแพทย์ผู้ชำนาญการ สามารถแก้ไขค่าสายตาสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย     ทำความรู้จักกับค่าสายตา ค่าสายตาคือค่าที่บ่งชี้ถึงความสามารถในการมองเห็น ซึ่งวัดจากกำลังของกระจกตาและเลนส์ตารวมกัน โดยใช้หน่วยวัดเป็นไดออปเตอร์ (Diopter หรือ D.) ค่าสายตาที่เราคุ้นเคยเช่น สายตาสั้น 50, 75, 150 หรือ 200 แต่การเรียกค่าสายตาแบบนี้ไม่เป็นมาตรฐานสากล เนื่องจากจริงๆ แล้วจะใช้เลขทศนิยมสองตำแหน่งในหน่วยไดออปเตอร์ในการวัดค่าสายตา วิธีอ่านค่าสายตาเบื้องต้น วิธีอ่านค่าสายตาเบื้องต้นสามารถทำได้โดยการดูตัวเลขที่ระบุในใบสั่งแว่นตา เช่น RE -2.00 -0.50x180 โดยค่าสายตาจะมีลักษณะดังนี้ RE (Right Eye) หรือ OD (Oculus Dexter) หมายถึงค่าสายตาของตาด้านขวา ส่วน LE (Left Eye) หรือ OS (Oculus Sinister) หมายถึงค่าสายตาของตาด้านซ้าย ดังนั้นในตัวอย่างนี้ ค่าสายตาที่ระบุคือสำหรับตาด้านขวา ค่าสายตาสั้นหรือยาวจะขึ้นอยู่กับเครื่องหมายหน้าตัวเลข หากเป็นเครื่องหมายลบ (-) แสดงว่าเป็นค่าสายตาสั้น เช่น “-2.00” คือสายตาสั้น 2.00 ไดออปเตอร์ หรือสายตาสั้น 200 หากเป็นเครื่องหมายบวก (+) แสดงว่าเป็นค่าสายตายาว ค่าสายตาเอียงจะมีค่าที่บอกทั้งระดับความเอียงในหน่วยไดออปเตอร์ และมุมการเอียงในองศา เช่น จากตัวอย่าง “-0.50x180” หมายถึง สายตาเอียง -0.50 ไดออปเตอร์ ที่มุม 180 องศา     ส่วนประกอบของค่าสายตามีอะไรบ้าง ข้อมูลสำคัญที่อยู่ในใบค่าสายตาจะช่วยในการกำหนดแว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์ให้เหมาะสมกับผู้ใช้ ซึ่งประกอบด้วยหลายส่วน ได้แก่ ตัว R และ Lในใบค่าสายตา "R" หมายถึง ตาข้างขวา และ "L" หมายถึง ตาข้างซ้าย บางแห่งอาจใช้คำย่อว่า OD และ OS ซึ่งมีความหมายเดียวกัน โดยที่ OD หมายถึง ตาข้างขวา และ OS หมายถึง ตาข้างซ้าย SPHค่าสายตาจะถูกวัดในหน่วยไดออปเตอร์ โดยมีเครื่องหมายบวก (+) และลบ (-) ที่กำกับตัวเลข เครื่องหมายบวก (+) หมายถึง สายตายาว และเครื่องหมายลบ (-) หมายถึง สายตาสั้น ตัวอย่างเช่น -2.00 หมายถึง ค่าสายตาสั้น 2 ไดออปเตอร์ หรือสายตาสั้น 200 CYLค่าสายตาเอียง (Cylinder หรือ CYL) สามารถมีทั้งเครื่องหมายบวก (+) และลบ (-) เช่นเดียวกับค่า SPH (Sphere) โดยมีค่าที่บอกมุมองศาของการเอียงในระดับที่แตกต่างกัน AXISค่าสายตาเอียง (Cylinder หรือ CYL) หมายถึง องศาของการเอียงของสายตา ซึ่งจะถูกกำหนดด้วยตัวเลขที่บอกมุมองศาในการเอียงของลูกตา ADDหมายถึง ค่าสายตายาวตามวัย ซึ่งมักพบในผู้ที่อายุ 40 ปีขึ้นไป     การวัดค่าสายตาทำอย่างไร? การวัดค่าสายตาเริ่มจากการใช้เครื่องวัดสายตาระบบคอมพิวเตอร์ (Auto Refractometer) เพื่อหาค่าพื้นฐาน แต่บางครั้งค่าอาจไม่ตรงกับความเป็นจริง จึงต้องใช้การวัดแบบถามตอบ (Subjective Refraction) โดยให้ดูภาพและตอบคำถามเพื่อหาค่าสายตาที่แม่นยำขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถวัดค่าสายตาด้วยตัวเองเบื้องต้นได้ผ่านแอปพลิเคชันหรือเครื่องมือออนไลน์ที่ช่วยตรวจสอบความผิดปกติของสายตา เช่น สายตาสั้น สายตายาว หรือสายตาเอียง     ค่าสายตาสั้นมากแค่ไหนถึงจะจำเป็นต้องใส่แว่นตา ค่าสายตาสั้นมากแค่ไหนถึงจะจำเป็นต้องใส่แว่นตา? คำถามนี้หลายคนสงสัย การใส่แว่นตาจะขึ้นอยู่กับค่าสายตาและความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวัน โดยจะแบ่งค่าสายตาสั้นได้ ดังนี้ สายตาสั้น 50 สายตาสั้น 50 ไดออปเตอร์ไม่จำเป็นต้องใส่แว่นตาเสมอไป เพราะค่าสายตานี้ใกล้เคียงกับสายตาปกติ ผู้ที่มีสายตาสั้น 50 ไดออปเตอร์สามารถเลือกใส่แว่นตาในบางสถานการณ์ที่ต้องใช้สายตามากๆ เช่น การใช้โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ หรืออ่านหนังสือ หรืออาจเลือกไม่ใส่แว่นเลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับความสะดวกและความชัดเจนในการมองเห็นของแต่ละบุคคล สายตาสั้น 75-100 ค่าสายตาสั้น 75 และ 100 ไดออปเตอร์ถือว่าอยู่ในระดับก้ำกึ่ง บางคนอาจรู้สึกว่าการใช้ชีวิตประจำวันยากขึ้นเมื่อไม่ได้ใส่แว่น แต่บางคนก็ไม่ได้รู้สึกแตกต่างจากสายตาปกติ ดังนั้นการใส่แว่นหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละคน สายตาสั้น 100 ไม่ถือว่าอันตราย แต่หากมีอาการอื่นๆ ร่วม เช่น ปวดศีรษะ ปวดตา หรือค่าสายตาเปลี่ยนเร็ว ควรพบจักษุแพทย์เพื่อหาสาเหตุเพิ่มเติม สายตาสั้น 150-200 สายตาสั้น 150-200 ไดออปเตอร์ส่วนใหญ่จะเริ่มทำให้มองเห็นไม่ชัด หากส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันหรือการทำงาน ควรใส่แว่นเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ หรือหากต้องเพ่งสายตาเพื่อมองเห็น ควรใส่แว่นเพื่อลดอาการตาล้าปวดหัวจากการใช้สายตามากเกินไป สายตาสั้น 300 ขึ้นไป สายตาสั้น 300 ถือว่าค่อนข้างเยอะและมีผลกระทบต่อการมองเห็นอย่างมาก ผู้ที่มีค่าสายตาสั้น 300 ควรใส่แว่นตลอดเวลา เพื่อป้องกันอาการตาเมื่อย ตาล้า และช่วยลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุที่อาจเกิดจากการมองเห็นไม่ชัด     ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสายตาสั้น หลายคนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับสายตาสั้น ดังนั้นมาปรับความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับสายตาสั้นเพื่อการดูแลสุขภาพตาอย่างเหมาะสม และหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการมองเห็นไม่ชัดและอาการต่างๆ ที่อาจตามมา   ไม่ใส่แว่นตลอดสายตาจะสั้นลง เรื่องนี้ไม่จริงเสมอไป เพราะเกิดเฉพาะในเด็กที่ดวงตายังเติบโตได้ หากไม่ใส่แว่นตลอดเวลาจะทำให้ลูกตายืดออกผิดปกติ (Elongation) ส่งผลให้สายตาสั้นมากขึ้น ในขณะที่ผู้ใหญ่จะไม่เกิดการยืดลูกตาเพียงแค่เพ่งสายตาชั่วขณะ แต่จะทำให้เกิดอาการตาเมื่อย ตาล้า หรือปวดศีรษะแทน และไม่ทำให้สายตาสั้นขึ้นแต่อย่างใด   เด็กไม่ควรใส่แว่นตามค่าสายตา หลายคนเข้าใจผิดว่าเด็กควรหลีกเลี่ยงการใส่แว่นที่ค่าสายตามากๆ เพราะกลัวว่าจะทำให้สายตาสั้นมากขึ้น แต่ในความจริง หากเด็กไม่ใส่แว่นตามค่าสายตาที่ควรเป็น จะทำให้เด็กต้องเพ่งสายตาบ่อยๆ ซึ่งจะทำให้ลูกตายืดออกและทำให้สายตาสั้นมากขึ้น ดังนั้นการใส่แว่นตาที่เหมาะสมกับค่าสายตาตั้งแต่เริ่มต้นจึงสำคัญเพื่อป้องกันการเพิ่มขึ้นของสายตาสั้น   สายตาสั้นไม่ได้ทำให้ตาบอด จริงๆ แล้ว สายตาสั้นอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นได้ หากค่าสายตาสั้นมากและไม่ได้รับการรักษา เช่น การใส่แว่นหรือคอนแท็กต์เลนส์ หรือการทำเลสิก อาจทำให้เห็นภาพไม่ชัดเจน และในกรณีที่สายตาสั้นมาก อาจเสี่ยงต่อโรคที่ทำให้เกิดการสูญเสียการมองเห็น เช่นจอประสาทตาเสื่อมน้ำวุ้นตาเสื่อม หรือจอตาฉีกขาดได้   ค่าสายตายาวและค่าสายตาสั้นหักลบกันได้ สายตาสั้นและสายตายาวไม่สามารถหักลบกันได้ เพราะเป็นความผิดปกติที่เกิดจากส่วนต่างกันในดวงตา สายตาสั้นเกิดจากสรีระดวงตา ส่วนสายตายาวเกิดจากการเสื่อมของกล้ามเนื้อควบคุมเลนส์ตาเมื่ออายุมากขึ้น ค่าสายตาจึงอาจมีทั้งสายตาสั้นและสายตายาวพร้อมกัน เช่น “LE -1.00 +2.00 add” ในการทำแว่นตา เลนส์จะถูกแบ่งเป็นสองส่วน เพื่อให้สามารถแก้ไขทั้งสองค่าสายตาได้   สายตาสั้นน้อยลงเมื่ออายุมากขึ้น บางกรณีสำหรับเด็กที่มีสายตาสั้น เมื่อโตขึ้นอาจพบว่าค่าสายตาสั้นน้อยลง เนื่องจากการเติบโตของลูกตาที่สมดุลขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าสายตาสั้นจะหายไปเมื่ออายุมากขึ้น แม้ว่าจะมีอาการสายตายาวตามวัย สายตาสั้นและสายตายาวเป็นปัญหาคนละส่วนกัน จึงไม่สามารถหักล้างกันได้ สายตาสั้นจะไม่หายไปจากการเกิดสายตายาว     ทางเลือกในการรักษาสายตาสั้นโดยไม่ต้องใส่แว่น นอกจากการใส่แว่นแล้ว ยังมีหลายวิธีในการรักษาสายตาสั้นขึ้นอยู่กับค่าสายตาและความสะดวกของแต่ละบุคคล เช่น ใส่คอนแท็กต์เลนส์ คอนแท็กต์เลนส์เป็นวิธีที่นิยมสำหรับคนที่มีปัญหาสายตาสั้น เพราะสะดวก ไม่ต้องใส่แว่น เหมาะสำหรับสายตาสั้น 50 หรือ 200 ขึ้นไป ข้อดีคือใช้งานสะดวก แต่ก็ต้องมีวินัยในการดูแลความสะอาด หากละเลยอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรืออักเสบที่ตาได้ เลสิกรักษาค่าสายตา เลสิกเป็นการรักษาสายตาสั้นโดยการใช้เลเซอร์ปรับความโค้งของกระจกตาให้แบนลง เพื่อให้จุดตัดของแสงมาตรงที่จอตา ซึ่งช่วยแก้ไขสายตาสั้นได้สูงสุดถึง -14.00 ไดออปเตอร์ ข้อจำกัดของการทำเลสิกคือกระจกตาต้องมีความหนาพอและค่าสายตาต้องคงที่ เนื่องจากไม่สามารถทำซ้ำได้ง่ายหากมีการเปลี่ยนแปลงของค่าสายตาหลังการทำเลสิก SMILE Pro® รักษาค่าสายตา SMILE Pro® เป็นเทคโนโลยีการผ่าตัดแก้ไขสายตาด้วยเลเซอร์ที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน มอบความรวดเร็วและความแม่นยำสูง โดยใช้เลเซอร์ VisuMax 800 ซึ่งสามารถแก้ไขสายตาได้ภายในเพียง 8 วินาทีต่อข้าง โดยไม่ต้องเปิดแผลขนาดใหญ่ ทำให้เจ็บน้อย ฟื้นตัวเร็ว และลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะตาแห้ง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขสายตาอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย Femto LASIKแยกชั้นกระจกตา Femto LASIK หรือเลสิกไร้ใบมีด ใช้เลเซอร์ในการแยกชั้นกระจกตาให้มีความแม่นยำสูง โดยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด ข้อจำกัดคือจะทำให้ตาแห้งมากหลังผ่าตัด และแผลผ่าตัดจะมีขนาดใหญ่ ทำให้ต้องระมัดระวังอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ วิธีนี้สามารถแก้ไขสายตาสั้นได้ระหว่าง -1.00 ถึง -10.00 ไดออปเตอร์ PRK แก้ไขค่าสายตา PRK เป็นการแก้ไขค่าสายตาโดยการปรับความโค้งกระจกตาด้านนอกโดยไม่ต้องเปิดชั้นกระจกตา เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาชีพเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุที่ตา เช่น ตำรวจหรือทหาร อีกทั้งยังเหมาะกับผู้ที่มีข้อจำกัด เช่น ตาแห้งหรือกระจกตาบาง ข้อจำกัดของวิธีนี้คือสามารถแก้ไขสายตาสั้นได้สูงสุดที่ -5.00 ไดออปเตอร์ และหลังการผ่าตัดต้องใส่คอนแท็กต์เลนส์พิเศษเพื่อให้กระจกตาฟื้นตัว ทำICL ใส่เลนส์เทียม ICL (Implantable Collamer Lens) เป็นการรักษาสายตาด้วยการใส่เลนส์เทียมเข้าไปในตาเพื่อปรับการหักเหแสง แผลจากการผ่าตัดมีขนาดเล็กเพียง 3 มิลลิเมตร ใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 10-15 นาที   วิธีนี้ปลอดภัยมากและสามารถใช้ได้กับผู้ที่มีค่าสายตาสั้นสูง หรือผู้ที่มีตาแห้งและกระจกตาบาง ข้อจำกัดคืออาจพบความผิดปกติของความดันตาหลังการผ่าตัด แต่สามารถควบคุมได้โดยแพทย์   สรุป ค่าสายตาสั้นคือความผิดปกติของการหักเหแสงในตา ทำให้มองเห็นภาพในระยะไกลไม่ชัดเจน โดยเกิดจากดวงตาที่ยาวเกินไปหรือความโค้งของกระจกตาที่มากเกินไป การรักษาหลักๆ ได้แก่ การใส่แว่นตา คอนแท็กต์เลนส์ หรือการผ่าตัด เช่น เลสิกหรือการใส่เลนส์เทียม ICL ขึ้นอยู่กับระดับค่าสายตาและความต้องการของผู้ใช้   ศูนย์เลเซอร์วิชั่น Bangkok Eye Hospitalบริการทำเลสิกสำหรับผู้ที่มีสายตาสั้น ซึ่งเป็นวิธีการรักษาค่าสายตาด้วยการใช้เลเซอร์ปรับรูปกระจกตาให้มีความโค้งที่เหมาะสม เพื่อให้การมองเห็นในระยะไกลชัดเจน โดยไม่ต้องใส่แว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์หลังการผ่าตัด   FAQ หลายคนมักมีคำถามเกี่ยวกับค่าสายตา ในส่วนนี้เราจะตอบคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับค่าสายตา เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจค่าสายตาของตัวเองได้ง่ายขึ้น   ค่าสายตา +1.75 คืออะไร   ค่าสายตายาวจะมีเครื่องหมายบวก (+) เช่น +1.75 ซึ่งหมายความว่าผู้ที่มีค่าสายตานี้จะพบปัญหาในการมองเห็นวัตถุใกล้   ค่าสายตาปกติเท่ากับเท่าไร ค่าสายตา 0.00 หมายถึงค่าสายตาปกติ ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้แว่นตาหรือการแก้ไขใดๆ เพราะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนทั้งระยะใกล้และไกล ค่าสายตา -1.25 คือเท่าไร   ค่าสายตา -1.25 คือค่าสายตาที่เริ่มทำให้มองเห็นไม่ชัดในบางช่วง หรือจำเป็นต้องมองใกล้ขึ้น การใส่แว่นตลอดเวลาจะช่วยลดความเครียดจากการใช้สายตามากเกินไป
calling
ဆက်သွယ်ရန် : +66965426179