ជ្រុងនៃសុខភាពភ្នែក : #ต้อหิน

តម្រៀប

What Is Thin Cornea? Causes, Symptoms, and Eye Care Tips

A thin cornea refers to a condition where the cornea—the clear, dome-shaped front layer of the eye—has a thickness lower than normal, which can affect vision and overall eye health. This condition may result from various causes such as natural aging, frequent eye rubbing, genetic disorders, or side effects from eye surgeries like LASIK. Common symptoms include blurry vision, frequent changes in prescription, distorted images, and unusually high astigmatism.   Understanding the Cornea The cornea is the transparent, curved layer covering the front part of the eye. It helps focus light into the eye for clear vision and serves as a protective barrier against dust and germs. Normally, corneal thickness ranges between 520–550 microns, but it may thin with age.   What Is a Thin Cornea? A thin cornea is typically defined as a corneal thickness of less than 500 microns (0.5 mm). It is not necessarily a disease and often requires no treatment. However, thin corneas can affect certain diagnoses—such as glaucoma—since intraocular pressure readings may appear lower than actual values. Corneal thickness also plays an important role in refractive surgery decisions. For example, patients with thin corneas and high refractive errors (nearsightedness or astigmatism) may not be ideal candidates for LASIK, as the remaining corneal tissue after surgery might be too thin. This could increase the risk of complications like keratoconus or corneal ectasia. In such cases, ophthalmologists may recommend alternative procedures such as PRK, ICL, FemtoLASIK, ReLEx SMILE Pro, or NanoLASIK, which preserve more corneal tissue. Therefore, detailed corneal thickness assessment is essential before undergoing LASIK to ensure safe and effective outcomes.   Does Wearing Contact Lenses Cause Thinning of the Cornea? Generally, wearing contact lenses correctly does not thin the cornea. However, prolonged use without proper cleaning or rest may lead to oxygen deprivation or corneal infections, which can gradually weaken or thin corneal tissue.   Causes of Thin Cornea There are several factors that can lead to corneal thinning: 1. Genetic Conditions Keratoconus: The most common cause, where the cornea gradually thins and bulges outward into a cone shape, leading to irregular astigmatism and blurred vision. It usually appears during the teenage years to early adulthood. Corneal Dystrophies: Such as Pellucid Marginal Degeneration (PMD), where thinning occurs in the lower peripheral cornea. 2. Eye Surgery or Injury Procedures like LASIK or PRK can thin the cornea, especially if excessive corneal tissue is removed. Repeated eye injuries or untreated infections (e.g., corneal ulcers, keratitis) can also cause thinning due to tissue damage. 3. Systemic Diseases and Medication Autoimmune diseases such as Rheumatoid Arthritis or SLE can cause chronic inflammation, leading to corneal thinning.Long-term use of steroid eye drops may also weaken corneal tissue over time.   Symptoms of Thin Cornea Corneal thinning often progresses slowly and may not show early signs. Key symptoms include: Blurry or distorted vision Frequent changes in prescription High or irregular astigmatism Difficulty focusing or double vision   Diagnosis Thin cornea is often detected during pre-LASIK evaluations.Eye doctors use devices like: Keratometer: Measures corneal curvature and astigmatism. Corneal Topography: Creates a detailed map of corneal thickness and shape. Tomographic Biomechanical Index (TBI): Evaluates corneal strength and risk of ectasia. While early symptoms can hint at the condition, only a comprehensive eye exam by an ophthalmologist can confirm it.   Summary Thin cornea is a silent condition that can significantly impact vision if left untreated. Early detection—especially before refractive surgery—is crucial.At Bangkok Eye Hospital, advanced diagnostic tools and experienced specialists ensure accurate corneal thickness evaluation and personalized treatment planning to maintain long-term eye health.     FAQ: Frequently Asked Questions About Thin Cornea 1. Can corneal thickness be increased?No, corneal thickness cannot naturally increase as it is determined by the cornea’s internal structure. 2. What happens if thin cornea is left untreated?It may lead to worsening blurred vision, irregular astigmatism, or even corneal ectasia. In severe cases, acute hydrops or corneal perforation may occur, leading to permanent vision loss if untreated. 3. Can thin cornea be prevented?Yes — by avoiding vigorous eye rubbing, maintaining good eye hygiene, limiting contact lens wear time, and having regular eye checkups, especially if there is a family history of corneal diseases.
អាន​បន្ថែម
Glaucoma Center

วิธีรักษาต้อหิน พร้อมแนวทางการป้องกันไม่ให้เกิดต้อหิน

ต้อหินมักเกิดจากปัจจัยภายในที่ควบคุมไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นอายุที่มากขึ้น พันธุกรรม โรคเบาหวาน และความผิดปกติของโครงสร้างลูกตา ซึ่งล้วนส่งผลให้ความดันตาสูงขึ้น จนไปกดทับเส้นประสาทตา ส่งผลให้เส้นประสาทตาเสื่อมสภาพและถูกทำลายอย่างช้าๆ และเกิดเป็นต้อหินในท้ายที่สุด วิธีรักษาต้อหินรวมทั้งการประคองอาการทำได้หลายวิธี ตั้งแต่การใช้ยาหยอดตา การจ่ายยาเพื่อรับประทาน การทำเลเซอร์ ไปจนถึงการผ่าตัดระบายน้ำหล่อเลี้ยงดวงตา ป้องกันต้อหินได้ด้วยการหมั่นตรวจสุขภาพดวงตา และปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น เลือกกินอาหารบำรุงดวงตา ออกกำลังกายเป็นประจำ นอนหมอนสูง และสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันดวงตาเมื่อต้องออกแดด แนะนำมารักษาต้อหินได้ที่Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ)ที่นี่มีจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษาตั้งแต่ขั้นตอนการวินิจฉัย ให้คำแนะนำ ตลอดจนการรักษาด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ปลอดภัย ให้ผลลัพธ์การรักษาที่มีประสิทธิภาพ   ต้อหิน เป็นภัยเงียบที่สังเกตอาการได้ยาก ผู้ป่วยบางคนอาจรู้ตัวเมื่อสายไป ส่งผลให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้เลยทีเดียว! มาทำความรู้จักกับโรคต้อหินให้มากขึ้น หาสาเหตุและอาการ กลุ่มเสี่ยงเป็นต้อหินที่ควรรู้ ตลอดจากการวินิจฉัยและวิธีการรักษาต้อหิน มีรายละเอียดอย่างไรบ้าง หาคำตอบได้ที่นี่     รู้จักกับต้อหิน มีสาเหตุและอาการอย่างไร ต้อหินคือหนึ่งในกลุ่มโรคต้อโดยเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของเส้นประสาทตาที่เป็นตัวนำกระแสการมองเห็นสู่สมอง หากเส้นประสาทตาถูกทำลายก็จะสูญเสียลานสายตา ส่งผลให้เส้นประสาทตาเสื่อมสภาพและถูกทำลายอย่างช้าๆ หากปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษา อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นได้อย่างถาวร และไม่สามารถรักษาให้กลับมาเป็นปกติได้ ต้อหินมักเกิดจากปัจจัยภายในที่ควบคุมไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นอายุที่มากขึ้น พันธุกรรม โรคเบาหวาน และความผิดปกติของโครงสร้างลูกตา ปัจจัยเหล่านี้เป็นต้นตอที่ทำให้ความดันภายในลูกตาสูงขึ้นจนกดทับเส้นประสาทตาจนเกิดความเสียหาย นอกจากนี้ อุบัติเหตุที่ส่งผลกระทบต่อดวงตา อาจทำให้ความดันตาสูงขึ้นจนเป็นเหตุให้เกิดต้อหินได้เช่นกัน อาการของต้อหินในระยะเริ่มแรกมักไม่แสดงอาการที่ชัดเจน ผู้ป่วยอาจสังเกตเห็นเพียงแค่ขอบภาพมัวลง หรือมีจุดบอดเล็กๆ ในสายตา แต่เมื่อปล่อยไว้นานขึ้นโรคก็จะยิ่งรุนแรงขึ้น อาจมีอาการเห็นภาพซ้อน หรือมองเห็นเป็นแสงวาบได้ ดังนั้น หากสังเกตเห็นอาการผิดปกติเกี่ยวกับสายตา ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและหาวิธีรักษาต้อหิน     กลุ่มคนที่เสี่ยงเป็นต้อหินมากที่สุด แม้ว่าต้อหินเกิดจากปัจจัยภายในที่ควบคุมไม่ได้ แต่ก็มีกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเป็นต้อหินมากกว่ากลุ่มคนทั่วไปอยู่ หากคุณเป็นหนึ่งในกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ ควรตรวจสายตาเป็นประจำ หรือ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อสังเกตอาการต้อหินอย่างใกล้ชิด และหาวิธีรักษาต้อหินได้อย่างทันท่วงที   กลุ่มผู้สูงอายุเพราะโครงสร้างของดวงตาจะเสื่อมสภาพตามวัย กลุ่มผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นต้อหินเพราะพันธุกรรมมีส่วนสำคัญในการกำหนดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ กลุ่มผู้ที่มีความดันตาสูงความดันภายในลูกตาที่สูงขึ้นเรื้อรังจะกดทับเส้นประสาทตา ทำให้เกิดความเสียหายได้ง่าย กลุ่มผู้ที่มีสายตาสั้นหรือยาวมากรูปร่างของลูกตาที่ผิดปกติอาจส่งผลต่อการระบายน้ำในลูกตา ทำให้ความดันตาสูงขึ้นได้ กลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานเพราะโรคเบาหวานสามารถทำลายหลอดเลือดฝอยที่เลี้ยงเส้นประสาทตาได้ กลุ่มผู้ที่เคยผ่าตัดตาเพราะการผ่าตัดบางชนิดอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดต้อหิน กลุ่มผู้ที่ใช้ยาบางชนิดเป็นเวลานานเช่น สเตียรอยด์ที่อาจเพิ่มความดันในลูกตา กลุ่มผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆเช่น มีขั้วตาใหญ่ เคยได้รับอุบัติเหตุที่ตา หรือมีโรคทางระบบอื่นๆ อย่างโรคไทรอยด์เป็นพิษ ระยะเวลาของการเกิดต้อหิน ระยะเวลาในการเกิดต้อหินตั้งแต่เริ่มแรกไปจนถึงการสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรใช้เวลาประมาณ 5 - 10 ปี โดยเฉพาะโรคต้อหินที่มีสาเหตุมาจากความเสื่อมสภาพตามวัย ทั้งนี้ ระยะเวลาขึ้นอยู่กับว่าผู้ป่วยตรวจพบต้อหินในระยะไหนด้วย หากพบไวก็จะหาวิธีรักษาต้อหินได้ไว แต่หากตรวจพบต้อหินในระยะท้าย อาจหาวิธีการรักษาต้อหินได้ยาก หรืออาจสูญเสียการมองเห็นภายในไม่กี่เดือน     วิธีการตรวจวินิจฉัยเพื่อรักษาต้อหิน วิธีการตรวจวินิจฉัยเพื่อหาวิธีรักษาต้อหิน แพทย์จะเริ่มต้นจากการซักประวัติ จากนั้นจะตรวจสายตาโดยละเอียด ซึ่งมีวิธีการตรวจดังนี้   การวัดสายตา การวัดความดันในลูกตา การตรวจขั้วประสาทตาและจอตา การตรวจดูลานตา การวัดความหนาของกระจกตา การตรวจมุมระบายน้ำหล่อเลี้ยงในลูกตา     วิธีรักษาต้อหินหรือกลับมาใกล้เคียงปกติ วิธีการรักษาต้อหินหรือประคองอาการไม่ให้ประสาทตาถูกทำลายมากขึ้น และคงการมองเห็นเอาไว้ให้กลับมาใกล้เคียงปกติมีอยู่หลายวิธี โดยจักษุแพทย์จะพิจารณาการรักษาแต่ละวิธีจากสาเหตุ อาการ และความรุนแรงของอาการ ดังนี้ การรักษาต้อหินโดยใช้ยาหยอดตา โดยทั่วไปแล้ว การรักษาต้อหินมักจะใช้วิธีการจ่ายยาหยอดตาที่มีส่วนช่วยลดความดันภายในลูกตา เพื่อลดการกดทับของเส้นประสาทในดวงตา ตัวยาจะเข้าไปลดการสร้างน้ำในดวงตา หรืออาจช่วยเพิ่มอัตราการไหลออกของน้ำหล่อเลี้ยงลูกตา โดยมีกลุ่มยาหยอดตาที่แพทย์พิจารณาใช้ ดังนี้   ยาต้านเบต้า (Beta-blockers)ลดการผลิตน้ำหล่อเลี้ยงในลูกตา ทำให้ความดันภายในลูกตาลดลง ยาคาร์บอนิกแอนไฮเดรสอินฮิบิเตอร์ (Carbonic Anhydrase Inhibitors)ยับยั้งการสร้างน้ำหล่อเลี้ยงในลูกตา โปรสตาแกลนดินแอนะล็อก (Prostaglandin Analogs)เพิ่มการระบายน้ำหล่อเลี้ยงออกจากลูกตา อะดรีนเนอร์จิกอะโกนิสต์ (Adrenergic Agonists)ทำให้รูม่านตาหดตัวและช่วยเพิ่มการระบายน้ำหล่อเลี้ยง พาราซิมพาโทมิเมติก (Parasympathomimetics)ทำให้รูม่านตาหดตัวและช่วยเพิ่มการระบายน้ำหล่อเลี้ยง     การรักษาต้อหินโดยการรับประทานยา หากการรักษาต้อหินโดยยาหยอดตาไม่ได้ผล จักษุแพทย์จะพิจารณาจ่ายยาชนิดรับประทานให้ผู้ป่วย โดยใช้ยาคาร์บอนิก แอนไฮเดรส อิฮิบิเตอร์ (Carbonic Anhydrase Inhibitors) ที่มีทั้งชนิดเม็ดและยาหยอดตา มีส่วนช่วยลดการสร้างของเหลวในลูกตา ทำให้ความดันภายในตาลดลง การรักษาต้อหินด้วยเลเซอร์ การรักษาต้อหินด้วยเลเซอร์มีจุดมุ่งหมายเพื่อระบายน้ำในตาออก ลดความดันภายในดวงตา ซึ่งการใช้เลเซอร์แบ่งออกเป็น 2 ชนิดขึ้นอยู่กับชนิดของต้อหิน ดังนี้   ใช้เลเซอร์กับต้อหินมุมปิดโดยจักษุแพทย์จะยิงเลเซอร์เข้าไปรักษาต้อหิน โดยเจาะรูเล็กๆ บนม่านตา เพื่อสร้างช่องทางให้ของเหลวในลูกตาไหลเวียนได้สะดวกขึ้น เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดต้อหินมุมปิดเฉียบพลัน ใช้เลเซอร์กับต้อหินมุมเปิดโดยจักษุแพทย์จะยิงเลเซอร์พลังงานต่ำเข้าไปรักษาต้อหิน โดยยิงไปที่บริเวณมุมระบายน้ำของลูกตา เพื่อกระตุ้นให้เซลล์ที่เกี่ยวข้องกับการระบายน้ำทำงานได้ดีขึ้น     การรักษาต้อหินด้วยการผ่าตัด จักษุแพทย์จะพิจารณาผ่าตัดต้อหินเพื่อสร้างช่องทางระบายน้ำภายในลูกตาที่มีขนาดเล็กประมาณ 1 - 1.5 มิลลิเมตร เพื่อให้ความดันในลูกตาต่ำลง ลดโอกาสกดทับเส้นประสาทตาที่เป็นต้นตอของต้อหิน โดยจักษุแพทย์จะมีแนวทางการผ่าตัดรักษาต้อหิน ดังนี้ 1. ผ่าตัดรักษาต้อหินด้วยวิธี Trabeculectomy ผ่าตัดรักษาต้อหินด้วยวิธี Trabeculectomy เป็นวิธีการผ่าตัดที่นิยมใช้มากที่สุด โดยการผ่าตัดสร้างแผ่นเนื้อเยื่อบางๆ ที่มุมระบายน้ำของลูกตา เพื่อให้น้ำหล่อเลี้ยงไหลออกจากลูกตาได้ง่ายขึ้น วิธีนี้จะช่วยลดความดันภายในลูกตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การรั่วของน้ำหล่อเลี้ยง การติดเชื้อ หรือการเกิดต้อกระจก 2. ผ่าตัดรักษาต้อหินด้วยวิธี Aqueous Shunt Surgery ผ่าตัดรักษาต้อหินด้วยวิธี Aqueous Shunt Surgery เป็นการผ่าตัดโดยการใส่ท่อระบายน้ำขนาดเล็กเข้าไปในลูกตา เพื่อเชื่อมต่อกับช่องว่างใต้เยื่อบุตาขาว ทำให้น้ำหล่อเลี้ยงไหลออกจากลูกตาได้โดยตรง วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีความดันตาสูงมาก หรือผู้ป่วยที่เคยผ่าตัด Trabeculectomy แล้วไม่ประสบความสำเร็จ 3. ผ่าตัดรักษาต้อหินด้วยวิธี Xen Implantation ผ่าตัดรักษาต้อหินด้วยวิธีXen Implantationเป็นการผ่าตัดเพื่อใส่ท่อระบายน้ำขนาดเล็กและยืดหยุ่นเข้าไปในดวงตา เพื่อสร้างทางระบายใหม่สำหรับของเหลวภายในลูกตา จากนั้นของเหลวส่วนเกินก็จะไหลออกจากตัวท่อไปยังใต้เยื่อบุตาขาว ส่งผลให้ความดันตาลดลง     ขั้นตอนการผ่าตัดรักษาต้อหิน การผ่าตัดรักษาต้อหินมีขั้นตอนหลักๆ ดังนี้   วิสัญญีแพทย์จะให้ยาชาเฉพาะที่บริเวณดวงตา หรืออาจให้ยาสลบในบางกรณี จักษุแพทย์จะผ่าตัดเพื่อสร้างช่องทางระบายน้ำหล่อเลี้ยงในลูกตา โดยวิธีการผ่าตัดจะแตกต่างกันไปตามชนิดของการผ่าตัด หลังจากทำการสร้างช่องทางระบายน้ำแล้ว จักษุแพทย์จะทำการเย็บปิดแผล     ผ่าตัดต้อหินเตรียมตัวอย่างไรและพักฟื้นกี่วัน? ผ่าตัดต้อหินพักฟื้นกี่วัน? โดยทั่วไปแล้วระยะเวลาในการพักฟื้นหลังการผ่าตัดต้อหินจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล อาจใช้เวลาประมาณ 1 - 2 สัปดาห์ในการพักฟื้นที่บ้าน และอาจต้องใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์ในการกลับมาทำกิจกรรมประจำวันได้ตามปกติ   และเพื่อให้วิธีการผ่าตัดรักษาต้อหินหรือประคองอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด คนไข้ควรดูแลตัวเองทั้งก่อนและหลังการผ่าตัดอย่างถูกวิธี โดยมีแนวทางการดูแลตัวเองดังนี้ การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดต้อหิน แจ้งประวัติสุขภาพทั้งหมดให้แพทย์ทราบ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับโรคประจำตัว ยาที่กำลังรับประทาน และอาการแพ้ ตรวจสุขภาพ โดยแพทย์จะทำการตรวจตาและตรวจร่างกายโดยละเอียด เพื่อประเมินสภาพร่างกายก่อนการผ่าตัด หยุดยาบางชนิดก่อนการผ่าตัด เช่น ยาละลายลิ่มเลือด ยาแอสไพริน เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออก งดอาหารและเครื่องดื่มก่อนการผ่าตัดตามเวลาที่แพทย์กำหนด หากต้องเข้าพักโรงพยาบาล ให้เตรียมเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวที่จำเป็น ควรมีญาติหรือเพื่อนมาคอยดูแลหลังการผ่าตัด การดูแลตนเองหลังผ่าตัดต้อหิน หยอดยาตามที่จักษุแพทย์กำหนดอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการติดเชื้อและลดการอักเสบ หลีกเลี่ยงการขยี้ตา หลีกเลี่ยงการยกของหนัก หลีกเลี่ยงการก้มหน้า เพราะการก้มหน้าอาจทำให้น้ำหล่อเลี้ยงไหลออกจากลูกตาได้ หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ใช้แรงมาก เช่น การออกกำลังกายหนัก การพักผ่อนจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ติดตามผลการผ่าตัดและตรวจสอบภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น     แนวทางในการป้องกันต้อหิน อย่างที่ทราบกันไปแล้วว่าต้อหินมีอาการที่สังเกตเห็นได้ยาก บางรายอาจเสี่ยงสูญเสียการมองเห็นก่อนรู้ว่าเป็นต้อหินก็ได้ ดังนั้น การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีเพื่อป้องกันต้อหินจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรรู้ โดยมีแนวทางดังนี้     ตรวจสายตาทุก 5 - 10 ปี ควรตรวจสุขภาพดวงตาเป็นประจำ ซึ่งความถี่อาจขึ้นอยู่กับอายุของแต่ละบุคคล ดังนี้   อายุต่ำกว่า 40 ปี ควรตรวจสุขภาพดวงตาทุก 5 - 10 ปี อายุ 40 - 54 ปี ควรตรวจสุขภาพดวงตาทุก 2 - 4 ปี อายุ 55 - 64 ปี ควรตรวจสุขภาพดวงตาทุก 1 - 3 ปี อายุ 65 ปีขึ้นไป ควรตรวจสุขภาพดวงตาทุก 1 - 2 ปี     การออกกำลังกาย การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอมีส่วนช่วยลดความดันภายในดวงตาลงได้ อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาแนวทางการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคลด้วย รับประทานวิตามินบำรุงสายตา ควรเลือกกินอาหารที่มีวิตามินบำรุงสายตา เพื่อรักษาสุขภาพของดวงตาให้แข็งแรง โดยมีวิตามินที่แนะนำ เช่น วิตามินเอ (Vitamin A) วิตามินซี (Vitamin C) วิตามินดี (Vitamin D) และวิตามินอี (Vitamin E) เป็นต้น     สวมอุปกรณ์ป้องกันสายตา หากจำเป็นต้องออกแดด หรือต้องออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งบ่อยๆ เป็นเวลานานๆ แนะนำให้สวมอุปกรณ์ป้องกันสายตา เช่น แว่นดำ หรือหมวกที่มีปีก เพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บของดวงตา และป้องกันการเสื่อมสภาพของดวงตาที่เป็นสาเหตุให้เกิดต้อหินได้ หนุนหมอนในระดับที่พอเหมาะ ควรนอนหนุนหมอนที่มีระดับความสูงประมาณ 20 องศา เพื่อลดความดันของลูกตาขณะนอนหลับได้อย่างมีประสิทธิภาพ รักษาต้อหินที่ศูนย์รักษาต้อหิน Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร หากเป็นต้อหิน แนะนำให้เข้ามาปรึกษาและรักษาอาการได้ที่ศูนย์รักษาต้อหิน Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ)จักษุแพทย์ของเรา มีความเชี่ยวชาญด้านการรักษาอาการต้อหินทุกระยะ ด้วยทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการักษาต้อหินโดยเฉพาะ มีจุดเด่นดังนี้ โรงพยาบาลมีทีมจักษุแพทย์เฉพาะทางด้านต้อหิน ที่มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย พร้อมให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง สรุป แม้ว่าจะไม่มีวิธีรักษาต้อหินได้ แต่ผู้ป่วยสามารถรีบรักษาเพื่อประคองและบรรเทาอาการ ป้องกันการสูญเสียการมองเห็นในระยะยาวได้ โดยควรตรวจสุขภาพดวงตาอย่างสม่ำเสมอ ออกกำลังกายเป็นประจำ เลือกกินอาหารที่มีสารอาหารบำรุงสุขภาพดวงตา นอนหมอนที่มีระดับเหมาะสม และสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันดวงตาทุกครั้งที่ต้องออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นเวลานาน เท่านี้ก็สามารถรักษาดวงตาให้สุขภาพดี ห่างไกลต้อหินได้แล้ว แนะนำมารักษาต้อหินได้ที่ศูนย์รักษาต้อหินBangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ)ที่นี่มีจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยให้บริการตั้งแต่ขั้นตอนการวินิจฉัย ให้คำปรึกษา ตลอดจนการรักษาด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ปลอดภัย ให้ผลลัพธ์การรักษาที่มีประสิทธิภาพ
Cornea Center

ต้อเนื้อและต้อลม แตกต่างกันอย่างไร? |ศูนย์รักษาโรคกระจกตา โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ

ต้อเนื้อ (Pterygium) ต้อเนื้อคืออะไร: เป็นเนื้อเยื่อที่งอกผิดปกติจากเยื่อบุตาขาว ลักษณะเป็นแผ่นเนื้อรูปสามเหลี่ยม มีสีขาวขุ่นหรือเหลือง มักเกิดขึ้นบริเวณหัวตาและค่อยๆ ลุกลามเข้าสู่ตาดำ สาเหตุ  เกิดจากการระคายเคืองของเยื่อบุตาขาวจากแสงแดด ลม ฝุ่น หรือสารเคมีต่างๆ พบได้บ่อยในผู้ที่ทำงานกลางแจ้งหรือสัมผัสกับสิ่งระคายเคืองเหล่านี้เป็นประจำ อาการ  เริ่มแรกอาจไม่มีอาการ แต่เมื่อต้อเนื้อโตขึ้นอาจทำให้เกิดอาการระคายเคือง ตาแดง แสบตา น้ำตาไหล หรือรู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในตา หากลุกลามไปถึงกลางตาดำ อาจทำให้การมองเห็นลดลง การรักษา: หยอดตา  หากมีอาการระคายเคือง ตาแห้ง แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาหยอดตาเพื่อบรรเทาอาการ ผ่าตัด  หากต้อเนื้อมีขนาดใหญ่ ทำให้การมองเห็นลดลง หรือมีอาการรุนแรง แพทย์อาจแนะนำให้ผ่าตัดลอกต้อเนื้อออก ต้อลม (Pinguecula) ต้อลมคืออะไร: เป็นตุ่มนูนสีเหลืองที่เกิดขึ้นบนเยื่อบุตาขาว มักเกิดขึ้นบริเวณหัวตาใกล้กับต้อเนื้อ มีลักษณะคล้ายตุ่มไขมัน สาเหตุ คล้ายกับต้อเนื้อ คือ เกิดจากการระคายเคืองของเยื่อบุตาขาวจากแสงแดด ลม ฝุ่น หรือสารเคมีต่างๆ อาการ มักไม่ก่อให้เกิดอาการรุนแรง อาจมีอาการระคายเคือง ตาแห้ง หรือรู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในตาบ้างเล็กน้อย การรักษา: หยอดตา หากมีอาการระคายเคือง ตาแห้ง แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาหยอดตาเพื่อบรรเทาอาการ ผ่าตัด: ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดออก ยกเว้นในกรณีที่ต้อลมมีขนาดใหญ่และรบกวนการมองเห็น หรือเปลี่ยนเป็นต้อเนื้อ ข้อแตกต่างระหว่างต้อเนื้อและต้อลม :: ลักษณะ :: ต้อเนื้อมีลักษณะเป็นแผ่นเนื้อรูปสามเหลี่ยมที่ลุกลามเข้าสู่ตาดำ ส่วนต้อลมมีลักษณะเป็นตุ่มนูนสีเหลืองที่ไม่ลุกลาม :: อาการ :: ต้อเนื้ออาจทำให้การมองเห็นลดลงได้ หากลุกลามไปถึงกลางตาดำ ส่วนต้อลมมักไม่ก่อให้เกิดอาการรุนแรง :: การรักษา :: ต้อเนื้ออาจจำเป็นต้องผ่าตัดออก หากมีขนาดใหญ่หรือรบกวนการมองเห็น ส่วนต้อลมมักไม่จำเป็นต้องผ่าตัด :: คำแนะนำ ::หากท่านมีอาการผิดปกติที่ดวงตา ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสมนะครับ    บทความโดย นายแพทย์วิวัฒน์ โกมลสุรเดช ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ
Laser Vision LASIK Centre

ជំងឺដក់ទឹកក្នុងភ្នែកស្រួចស្រាវ

ជំងឺដក់ទឹកក្នុងភ្នែកស្រួចស្រាវ ឈ្មោះ​ជំងឺ​នេះ​ប្រាប់​យើង​រួច​ហើយ​ថា​វា​ស្រួចស្រាវ។ "ជំងឺដក់ទឹកក្នុងភ្នែកស្រួចស្រាវ" នឹងធ្វើឱ្យអ្នកជំងឺមានភ្នែកក្រហម ភ្នែកមិនច្បាស់ ឈឺភ្នែក និងងងឹតភ្នែកក្នុងរយៈពេលដ៏ខ្លី។ អ្វីគ្រប់យ៉ាងគឺភ្លាមៗ។   នៅក្នុងភ្នែករបស់យើង យើងមានទាំងទឹកថ្លា និងក្រាស់។ បណ្តាលឱ្យមានសម្ពាធជាក់លាក់មួយនៅក្នុងគ្រាប់ភ្នែក។ ដែលប្រសិនបើអ្នកប្រើឧបករណ៍ដើម្បីវាស់ អ្នកនឹងទទួលបានប្រហែល 10-20 មីលីម៉ែត្របារត។ សារធាតុរាវនៅក្នុងភ្នែក ចរាចរ និងផ្លាស់ប្តូរជាមួយនឹងឈាម។ មានទឹកហូរចូល និងចេញពីភ្នែកជាប្រចាំ។ ទឹកចូលនិងចេញនឹងមានតុល្យភាព។ សម្រាប់អ្នកដែលមានជំងឺដក់ទឹកក្នុងភ្នែកស្រួចស្រាវ បង្កឡើងដោយទឹកហូរចូលខុស។ ទឹក​ចេញ​ពី​ភ្នែក​តិច​ជាង​ទឹក​ចូល​ភ្នែក។ ធ្វើឱ្យសម្ពាធភ្នែកកើនឡើងយ៉ាងឆាប់រហ័ស សម្ពាធ​ភ្នែក​អាច​ត្រូវ​បាន​វាស់​ខ្ពស់​ដល់ 50-60 mmHg ។ ធ្វើឱ្យអ្នកជំងឺឈឺភ្នែក ភ្លាមៗ ឈឺក្បាលធ្ងន់ធ្ងរ សម្ពាធ​ខ្ពស់​នេះ​ធ្វើ​ឱ្យ​កែវភ្នែក​ថ្លា​ធម្មតា​ក្លាយជា​ពពក​ភ្លាមៗ​។ វាក៏ធ្វើឱ្យភ្នែករបស់អ្នកជំងឺងងឹតភ្លាមៗផងដែរ។   ជំងឺដក់ទឹកក្នុងភ្នែកស្រួចស្រាវអាចកើតមានតែចំពោះអ្នកដែលមាន រូបរាងមិនធម្មតានៃភ្នែក ក្រឡេកទៅខាងក្រៅ វាមើលទៅដូចជាគ្រាប់ភ្នែកធម្មតា។ រួមជាមួយនឹងលក្ខខណ្ឌបរិស្ថានដែលធ្វើឱ្យសិស្សរីកធំខុសពីធម្មតា ដូចជាការប្រើប្រាស់ថ្នាំមួយចំនួន ជំងឺនេះត្រូវបានរកឃើញញឹកញាប់ជាងចំពោះស្ត្រីវ័យចំណាស់។ នេះ​ក៏​ព្រោះ​តែ​មនុស្ស​ស្រី​មាន​ភ្នែក​តូច​ជាង​បុរស។ នៅពេលដែលយើងកាន់តែចាស់ ទំហំនៃកែវភ្នែកដែលនៅខាងក្នុងភ្នែកកើនឡើង។ (ដោយសារតែជាលិកាមួយចំនួននៃភ្នែកកាន់តែយ៉ាប់យ៉ឺនតាមអាយុ) បណ្តាលឱ្យមានបណ្តាញផ្សេងៗ ផ្នែកខាងក្នុងនៃភ្នែករួមតូច។   រោគសញ្ញា   នៅក្នុងអ្នកជំងឺមួយចំនួន វាអាចមានរោគសញ្ញាព្រមានមុនពេលចាប់ផ្តើមនៃជំងឺដក់ទឹកក្នុងភ្នែកស្រួចស្រាវ ដូចជាមានអារម្មណ៍ឈឺចាប់ក្នុងភ្នែកពេលប្រើភ្នែកច្រើន។ ចក្ខុវិស័យព្រិលបណ្តោះអាសន្ន ភ្នែកច្រើនតែព្រលប់នៅពេលព្រលប់។ ឬជួនកាលពណ៌ឥន្ទធនូអាចមើលឃើញជុំវិញភ្លើង។ ប៉ុន្តែនៅពេលដែលអ្នកសម្រាក រោគសញ្ញារបស់អ្នកនឹងប្រសើរឡើង។ ប៉ុន្តែ​រោគសញ្ញា​បែបនេះ​តែងតែ​កើតឡើង​។ ដូច្នេះមនុស្សចាស់ ជាពិសេសស្ត្រី ប្រសិនបើអ្នកមានរោគសញ្ញាទាំងនេះ អ្នកគួរតែទៅពិគ្រោះជាមួយគ្រូពេទ្យឯកទេសភ្នែកជាបន្ទាន់។ ប្រសិនបើគ្រូពេទ្យភ្នែករកឃើញរោគសញ្ញាទាំងនេះ រួមជាមួយនឹងភាពមិនធម្មតានៃផ្នែកខាងក្នុងតូចចង្អៀត ឬរាក់នៃភ្នែក វាអាចត្រូវបានការពារដោយការប្រើពន្លឺឡាស៊ែរ។ ដែលអាចការពារជំងឺនេះជារៀងរហូត។   អ្នកដែលមានកត្តាហានិភ័យនៃជំងឺដក់ទឹកក្នុងភ្នែកស្រួចស្រាវ   ទោះបីជាមូលហេតុពិតប្រាកដប្រហែលជាមិនត្រូវបានគេដឹង ដែលបណ្តាលឱ្យសម្ពាធភ្នែកកើនឡើងភ្លាមៗ ប៉ុន្តែគេអាចសន្និដ្ឋានបានថា ក្រុមដែលប្រឈមនឹងជំងឺដក់ទឹកក្នុងភ្នែកស្រួចស្រាវរួមមានៈ អ្នកជំងឺនៃពូជសាសន៍មួយចំនួន ដូចជាជនជាតិអាស៊ី គឺជារឿងធម្មតាជាងជនជាតិអឺរ៉ុប អ្នកជំងឺស្រីមានច្រើនជាងបុរស អ្នកកាន់តែចាស់ អ្នកទំនងជាទទួលបានវា។ ជាធម្មតាត្រូវបានរកឃើញចំពោះមនុស្សដែលមានអាយុលើសពី 60 ឆ្នាំ មានឪពុក ម្តាយ និង/ឬសាច់ញាតិដែលមានជំងឺនេះ នោះគឺជាជំងឺហ្សែន ភាគច្រើនជំងឺនេះកើតឡើងភ្លាមៗ។ ដោយមិនធ្លាប់មានជំងឺភ្នែកផ្សេងទៀតពីមុនមក ខ្លះបណ្តាលមកពីជំងឺភ្នែកមួយចំនួន ដូចជាជំងឺភ្នែកឡើងបាយ ដែលជំងឺភ្នែកឡើងបាយចាស់ ហើយមិនបានទៅវះកាត់ ឬគ្រោះថ្នាក់ដែលបណ្តាលឲ្យកែវភ្នែកផ្លាស់ប្តូរពីសភាពដើម។   ដូចដែលបានបញ្ជាក់រួចមកហើយ រោគសញ្ញាសំខាន់បីនៃជំងឺដក់ទឹកក្នុងភ្នែកស្រួចស្រាវគឺ ភ្នែកក្រហម ភ្នែកមិនច្បាស់ និងឈឺភ្នែក។ វាត្រូវបានចាត់ទុកថាជាគ្រាអាសន្ន។ អ្នកត្រូវតែទៅជួបគ្រូពេទ្យឯកទេសភ្នែកជាបន្ទាន់។ ប្រសិនបើវេជ្ជបណ្ឌិតធ្វើរោគវិនិច្ឆ័យបានលឿន ផ្តល់ថ្នាំដើម្បីកាត់បន្ថយសម្ពាធភ្នែក តាម​រយៈ​ការ​ប្រើ​ពន្លឺ​ឡាស៊ែរ រោគ​សញ្ញា​ទាំង ៣ ខាង​លើ​នឹង​បាត់​ទៅ​វិញ។ អ្នកជំងឺអាចទៅផ្ទះបាន។ ដោយមិនចាំបាច់ស្នាក់នៅមន្ទីរពេទ្យទាល់តែសោះ ដូច្នេះ អ្នកដែលមានកត្តាហានិភ័យគួរទៅពិនិត្យភ្នែក។ យ៉ាងហោចណាស់ 1 ដងក្នុងមួយឆ្នាំ។
Laser Vision LASIK Centre

តើជំងឺដក់ទឹកក្នុងភ្នែកគឺជាការគំរាមកំហែងពិតប្រាកដមែនទេ?

តើជំងឺដក់ទឹកក្នុងភ្នែកគឺជាការគំរាមកំហែងពិតប្រាកដមែនទេ? ជំងឺដក់ទឹកក្នុងភ្នែក គឺជាជំងឺភ្នែកទូទៅដែលបង្កហានិភ័យយ៉ាងខ្លាំងនៃការបាត់បង់ការមើលឃើញជាអចិន្ត្រៃយ៍ នៅពេលដែលមិនបានព្យាបាល ឬនៅពេលដែលការព្យាបាលមិនជាប់លាប់។ វា​អាច​នាំ​ឱ្យ​ការ​មើលឃើញ​កាន់តែ​យ៉ាប់យ៉ឺន ធ្វើឱ្យ​វិស័យ​មើលឃើញ​រួម​តូច ហើយ​ក្នុងករណី​ធ្ងន់ធ្ងរ បាត់បង់​ការមើលឃើញ​ទាំងស្រុង​។ ការបាត់បង់ការមើលឃើញដោយសារជំងឺដក់ទឹកក្នុងភ្នែកគឺមិនអាចត្រឡប់វិញបាន និងមិនអាចស្តារឡើងវិញបានទេ។       តើជំងឺដក់ទឹកក្នុងភ្នែកគឺជាអ្វី?   មនុស្សជាច្រើនប្រហែលជាស៊ាំនឹងជំងឺភ្នែកឡើងបាយ ដែលជាស្ថានភាពមួយដែលកែវភ្នែកក្លាយជាពពក ដូចជាកញ្ចក់ដែលកក។ ជំងឺភ្នែកឡើងបាយច្រើនតែវិវត្តន៍ទៅតាមអាយុ ប៉ុន្តែវាអាចបណ្តាលមកពីមូលហេតុផ្សេងទៀត ដូចជាគ្រោះថ្នាក់ ឬកត្តាពីកំណើតជាដើម។ ជំងឺភ្នែកឡើងបាយប៉ះពាល់ដល់ភាពច្បាស់លាស់នៃការមើលឃើញ ប៉ុន្តែខុសពីជំងឺដក់ទឹកក្នុងភ្នែក ដែលកើតឡើងដោយសារសម្ពាធកើនឡើងនៅក្នុងភ្នែក និងការចុះខ្សោយនៃសរសៃប្រសាទអុបទិក ដែលនាំឱ្យបាត់បង់ការមើលឃើញ។ នៅពេលដែលសម្ពាធក្នុងភ្នែកកើនឡើង វាបង្ហាប់សរសៃប្រសាទអុបទិក បណ្តាលឱ្យខូចខាត។ សម្ពាធខ្ពស់យូរអាចបណ្តាលឱ្យបាត់បង់ការមើលឃើញ។ ការ​បាត់បង់​ការ​មើលឃើញ​ចាប់ផ្តើម​នៅ​គែម​ផ្នែក​ខាងក្រៅ​នៃ​កន្លែង​មើលឃើញ ហើយ​ប្រសិនបើ​មិន​បាន​ព្យាបាល​ទេ វា​នឹង​វិវត្តន៍​ទៅ​ជា​ញឹកញាប់​ដែល​ប៉ះពាល់​ដល់​ភ្នែក​ទាំងសងខាង​។       រោគសញ្ញានៃជំងឺដក់ទឹកក្នុងភ្នែក៖   ជំងឺដក់ទឹកក្នុងភ្នែករីកចម្រើនបន្តិចម្តងៗ ហើយអ្នកជំងឺជាច្រើនមិនបង្ហាញរោគសញ្ញានៅដំណាក់កាលដំបូងឡើយ។ ជារឿយៗ វាត្រូវបានគេធ្វើរោគវិនិច្ឆ័យថាជាជំងឺដក់ទឹកក្នុងភ្នែកដោយគ្មានការឈឺចាប់ ឬភាពមិនប្រក្រតីណាមួយឡើយ លើកលែងតែករណីជំងឺដក់ទឹកក្នុងភ្នែកស្រួចស្រាវ ដែលអាចបណ្តាលឱ្យមានភាពមិនច្បាស់ការមើលឃើញភ្លាមៗនៅពេលប៉ះនឹងពន្លឺភ្លឺ ឈឺភ្នែក និងឈឺក្បាល។ ជំងឺដក់ទឹកក្នុងភ្នែកអាចប៉ះពាល់ដល់មនុស្សគ្រប់វ័យ ប៉ុន្តែក្រុមមួយចំនួនមានហានិភ័យខ្ពស់ រួមទាំងអ្នកដែលមានអាយុលើសពី 60 ឆ្នាំ បុគ្គលដែលមានប្រវត្តិគ្រួសារនៃជំងឺដក់ទឹកក្នុងភ្នែក អ្នកជំងឺទឹកនោមផ្អែម អ្នកដែលមានសម្ពាធឈាមខ្ពស់ និងអ្នកដែលមានរាងភ្នែកមិនប្រក្រតី ទាំងការមើលឃើញខ្លី ឬ ភ្នែកវែង។   តើជំងឺដក់ទឹកក្នុងភ្នែកត្រូវបានព្យាបាលយ៉ាងដូចម្តេច?   ការព្យាបាលផ្តោតលើការកាត់បន្ថយសម្ពាធ intraocular (IOP) ដោយកាត់បន្ថយការផលិតទឹករំអិល ឬបង្កើនការបង្ហូររបស់វា។ វិធីសាស្រ្តផ្សេងៗអាចត្រូវបានអនុវត្តដូចជា ការបន្តក់ភ្នែក ថ្នាំមាត់ ការព្យាបាលដោយឡាស៊ែរ និងការវះកាត់។ ជម្រើសនៃការព្យាបាលគឺអាស្រ័យលើស្ថានភាពរបស់អ្នកជំងឺ និងប្រភេទនៃជំងឺដក់ទឹកក្នុងភ្នែកដែលពួកគេមាន។   ទោះជាយ៉ាងណាក៏ដោយ វាជារឿងសំខាន់ក្នុងការកត់សម្គាល់ថា ការព្យាបាលដក់ទឹកក្នុងភ្នែកមានគោលបំណងបញ្ឈប់ការវិវត្តនៃជំងឺនេះ ប៉ុន្តែមិនអាចស្តារការមើលឃើញដែលបានបាត់បង់នោះទេ។ ដូច្នេះហើយ ការការពារ និងអន្តរាគមន៍ទាន់ពេល គឺមានសារៈសំខាន់ ពីព្រោះជំងឺដក់ទឹកក្នុងភ្នែកក្នុងដំណាក់កាលដំបូងរបស់វា ជារឿយៗមិនមានរោគសញ្ញា ឬសញ្ញាព្រមាននោះទេ ការធ្វើការពិនិត្យភ្នែកជាប្រចាំដោយគ្រូពេទ្យឯកទេសភ្នែក គឺជារឿងចាំបាច់»។
calling
ទំនាក់ទំនងមកយើងខ្ញុំ : +662 511 2111