มุมสุขภาพตา : #ReLEx SMILE

เรียงตาม
ตาแห้งมีอาการอย่างไร วิธีรักษา ป้องกัน และนิสัยที่ช่วยลดอาการตาแห้ง
อาการตาแห้ง คือภาวะตาขาดความชุ่มชื้นเพราะการผลิตน้ำตาน้อยเกินไปหรือคุณภาพน้ำตาไม่ดี ทำให้เกิดอาการระคายเคืองและไม่สบายตาได้ ตาแห้งเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น อายุที่มากขึ้นทำให้การผลิตน้ำตาน้อยลง การสวมใส่คอนแท็กต์เลนส์นานเกินไป การจ้องจอคอมพิวเตอร์นานๆ รวมถึงผลข้างเคียงจากยาบางชนิด การรักษาตาแห้งทำได้หลายวิธี เช่น ยาหยอดตา น้ำตาเทียม การประคบอุ่น และการรักษาด้วยยาลดการอักเสบ รักษาอาการตาแห้งที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ได้รับการดูแลจากจักษุแพทย์ พร้อมเทคโนโลยีทันสมัยและการรักษาที่เหมาะสมกับอาการ   ตาแห้งเป็นโรคที่ทำให้ตารู้สึกแห้งและระคายเคือง เนื่องจากการผลิตน้ำตาลดลงหรือคุณภาพของน้ำตาไม่ดีพอ ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย หากดูแลอย่างถูกวิธี จะช่วยลดอาการและป้องกันภาวะตาแห้งในระยะยาว มาหาสาเหตุของอาการตาแห้ง วิธีรักษา รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันอาการตาแห้งได้ในบทความนี้     อาการตาแห้ง คืออะไร? ก่อนทำความรู้จักกับอาการตาแห้ง ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ‘น้ำตา’ กันก่อน โดยน้ำตามีความสำคัญต่อดวงตา เป็นตัวช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา ทำให้มองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวได้อย่างชัดเจน หล่อเลี้ยงเลี้ยงกระจกตาด้วยออกซิเจน และป้องกันการติดเชื้อและสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้ามาทำร้ายดวงตา ตาแห้ง เป็นอาการที่ปริมาณน้ำตาที่เข้ามาหล่อเลี้ยงผิวตามีไม่เพียงพอส่งผลให้ผิวตาอักเสบได้ โดยอาการของตาแห้งอาจเริ่มจากการแสบตา หรือรู้สึกระคายเคืองเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในตา รวมถึงอาจพบอาการตาแดง เจ็บ หรือมีการพร่ามัวที่ดีขึ้นเมื่อกะพริบตา นอกจากนี้ยังอาจรู้สึกฝืดๆ หนักๆ ที่ตา หรือลืมตาลำบาก และบางครั้งอาจมีอาการตาล้าหรือมีน้ำตาไหลมากผิดปกติ     ทำไมถึงมีอาการตาแห้งได้ ตาแห้งเป็นปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อความสบายของดวงตาและการมองเห็น โดยเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่ พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟนเป็นเวลานานเกินไป อาการภูมิแพ้ที่ตาซึ่งอาจเกิดจากสิ่งแวดล้อมที่มีฝุ่น ควัน หรือมลภาวะ อยู่ในที่ร้อน ลมแรง หรือความชื้นต่ำ ความผิดปกติของต่อมไขมันขอบตา การพบตัวไร (Demodex blepharitis) บริเวณโคนขนตา ซึ่งเกิดจากการอักเสบของต่อมน้ำตา การใช้ยาบางประเภท เช่น ยาคุมกำเนิด ยาแก้แพ้ ยาต้านซึมเศร้า ยาลดความดันโลหิตบางชนิด ฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล โดยเฉพาะในเพศหญิงที่อาจทำให้คุณภาพของน้ำตาลดลง     อาการตาแห้งเกิดจากอะไร มีปัจจัยอะไรบ้าง ปัจจัยที่ส่งผลต่อการผลิตน้ำตาหรือการทำงานของต่อมน้ำตา หากมีลักษณะดังต่อไปนี้ จะทำให้เกิดอาการตาแห้งได้ง่ายขึ้น สร้างน้ำตาได้น้อยกว่าปกติ  (Aqueous Tear Deficiency) กลุ่มคนที่มีความผิดปกติหรือปัจจัยที่ส่งผลให้สามารถสร้างน้ำตาได้น้อย ได้แก่   กลุ่มคนที่เป็นโรค Sjogren’s Syndrome โรครูมาตอยด์ โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือภาวะที่ไม่พบสาเหตุชัดเจน เช่น Primary Sjogren’s Syndrome กลุ่มคนที่ไม่เป็นโรค Sjogren’s Syndrome เช่น ต่อมน้ำตาทำงานผิดปกติตั้งแต่เกิด โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง การแพ้ยารุนแรง หรือการอักเสบที่ทำให้ท่อน้ำตาตัน กลุ่มคนที่ฮอร์โมนเปลี่ยน มักพบในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่ส่งผลให้การผลิตน้ำตาและสารคัดหลั่งอื่นๆ ในร่างกายลดลง การกินยาบางประเภท เช่น ยาแก้หวัด ยาแก้แพ้ ยาลดความดันโลหิต หรือยาคลายเครียดบางชนิด ที่มีสารกันเสียเป็นส่วนประกอบ อาจทำให้ตาแห้งมากขึ้น เนื่องจากสารเหล่านี้สามารถลดการผลิตน้ำตาได้ น้ำตาระเหยเร็ว (Evaporative Dry Eyes)  ปัจจัยที่ส่งผลให้การระเหยของน้ำตาเกิดขึ้นเร็วกว่าปกติ ได้แก่   ต่อมไขมันที่เปลือกตาทำงานผิดปกติ เปลือกตาอักเสบที่เกิดจากความผิดปกติของชั้นไขมัน จะทำให้การสร้างน้ำตาชั้นน้ำมันลดลง ซึ่งทำให้เกิดการระเหยของน้ำตาได้เร็วขึ้น ความผิดปกติของเปลือกตา การปิดตาไม่สนิทหรือการกะพริบตาน้อยผิดปกติ ซึ่งทำให้การกระจายน้ำตาผิดปกติ และเพิ่มการระเหยของน้ำตา โดนสารเคมีหรือแพ้ยารุนแรง การอักเสบของเยื่อบุตาอาจทำให้เกิดแผลเป็น ซึ่งส่งผลต่อการสร้างน้ำตาชั้นเมือกที่ติดกับกระจกตา ทำให้การสร้างน้ำตาผิดปกติ การใช้สายตามาก พบมากในวัยทำงานจากพฤติกรรมจ้องจอคอมพิวเตอร์นานๆ โดยไม่ค่อยกะพริบตา และการใส่คอนแท็กต์เลนส์ที่ดูดน้ำออกจากดวงตา ทำให้การผลิตน้ำตาลดลงและน้ำตาระเหยเร็ว     วิธีรักษาหรือวิธีแก้โรคตาแห้ง วิธีรักษาโรคตาแห้งจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและอาการของแต่ละบุคคล โดยใช้วิธีต่างๆ รวมทั้งการใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการ ดังนี้ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ตาแห้ง ควรหลีกเลี่ยงการโดนลมแรง ฝุ่นควัน หรือแสงจ้า โดยการใส่แว่นกันแดดและแว่นกันลม เพื่อป้องกันสิ่งแวดล้อมที่อาจทำให้ตาแห้งขึ้น นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงการใส่คอนแท็กต์เลนส์เป็นเวลานานๆ เพื่อไม่ให้สูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงจากดวงตาที่อาจทำให้อาการตาแห้งแย่ลงได้ ใช้น้ำตาเทียม ในการรักษาอาการตาแห้ง น้ำตาเทียมเป็นตัวช่วยที่ดี โดยมี 2 ชนิดให้เลือกใช้ ได้แก่   น้ำตาเทียมที่มีสารกันเสีย ในรูปแบบขวด ควรใช้ไม่เกิน 4-5 ครั้งต่อวัน อาจแบ่งการใช้ยาเพิ่มน้ำตาตามช่วงเวลาของวัน เช่น เช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน ซึ่งเหมาะสำหรับอาการตาแห้งที่ไม่รุนแรง น้ำตาเทียมที่ไม่มีสารกันเสีย แบบกระเปาะ เปิดแล้วมีอายุ 24 ชั่วโมง หรือขวดที่มีระบบวาล์วพิเศษใช้ได้นาน 6 เดือน ใช้บ่อยได้ตามต้องการ เช่น ทุก 1-2 ชั่วโมง เหมาะกับผู้ที่มีอาการตาแห้งรุนแรง  ใช้ยาหยอดตาเพิ่มปริมาณน้ำตา มียาหยอดตาที่ช่วยเพิ่มน้ำตาและรักษาอาการตาแห้งได้ โดยแต่ละชนิดจะช่วยรักษาตามอาการที่แตกต่างกัน ดังนี้   ยา Diquafosol ช่วยเพิ่มการสร้างน้ำตาชั้นเมือกและชั้นน้ำเพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ดวงตาและลดอาการแห้ง ยาปฏิชีวนะ Doxycycline ยาลดการอักเสบของเปลือกตาช่วยลดการอักเสบและอาการระคายเคืองที่เกิดจากตาแห้ง ยากลุ่ม Steroids โดยยานี้ช่วยบรรเทาการอักเสบของผิวตาและลดอาการระคายเคืองที่เกิดจากการขาดน้ำตา ยา Cyclosporine ยากดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressant) ชนิดหยอดตา ช่วยลดการอักเสบในตาและเพิ่มการผลิตน้ำตา โดยการปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ซึ่งสามารถช่วยลดอาการตาแห้งได้ การทำความสะอาดเปลือกตา การทำความสะอาดเปลือกตาและประคบอุ่นด้วยแชมพูเด็กผสมเจือจางหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเปลือกตาช่วยลดการอุดตันของต่อมไขมันในเปลือกตา ทำให้ชั้นไขมันที่เคลือบน้ำตาทำงานได้ดีขึ้น ช่วยป้องกันน้ำตาระเหยเร็วและลดอาการตาแห้ง ใช้ Autologous Serum การรักษาอาการตาแห้งชนิดรุนแรงโดยใช้สารที่ช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อทำได้โดยการเจาะเลือดจากผู้ป่วยไปปั่นแยกเป็น Serum และนำมาหยอดร่วมกับการใช้น้ำตาเทียม ซึ่งจะช่วยลดการอักเสบของเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ และส่งเสริมการฟื้นตัวของเนื้อเยื่อให้กลับสู่สภาพปกติได้ดีขึ้น การอุดท่อระบายน้ำตาที่หัวตา (Punctal Plug) การรักษาอาการตาแห้งที่รุนแรงทำได้โดยการอุดช่องทางที่น้ำตาไหลออกจากตา (Punctum) ซึ่งมีทั้งชนิดอุดชั่วคราวและชนิดอุดถาวร โดยการใส่ Silicone Plug หรือ Punctal Cautery ซึ่งเป็นการจี้บริเวณช่องทางที่น้ำตาระบายออกจากตา วิธีนี้ช่วยให้ดวงตาเก็บน้ำตาไว้ได้นานขึ้น ลดการระเหยของน้ำตา และช่วยบรรเทาอาการตาแห้งได้ในกรณีที่อาการรุนแรงมาก     การปรับพฤติกรรมเพื่อป้องกันอาการตาแห้ง การป้องกันอาการตาแห้งทำได้ง่ายๆ ด้วยการปรับพฤติกรรมบางอย่างในชีวิตประจำวัน ดังนี้    หยุดพักจากการใช้งานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือมือถือทุกๆ 20 นาที โดยการหลับตาสัก 20 วินาที หรือมองสิ่งที่อยู่ไกลประมาณ 20 ฟุต เพื่อให้ตาได้พักและผ่อนคลาย งดการใช้คอนแท็กต์เลนส์ต่อเนื่อง ควรสลับใส่แว่นในระหว่างวันเพื่อให้ดวงตาได้พัก ใช้งานคอมพิวเตอร์หรือมือถือในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ เพื่อช่วยลดความเครียดของดวงตา เตือนตัวเองให้กะพริบตาบ่อยๆ เพื่อให้น้ำตาเคลือบตาและช่วยลดการระเหยของน้ำตา หากอยู่ในที่ที่มีอากาศแห้ง ร้อน หรือมีลมแรง ควรสวมแว่นกันแดดกันลมเพื่อปกป้องตาจากสภาพแวดล้อม กินอาหารที่ครบทุกหมู่ โดยเฉพาะผัก ผลไม้ ปลา หรืออาหารที่มีโอเมกา 3 ซึ่งช่วยต้านอนุมูลอิสระและลดการอักเสบของตา  ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อวัน สรุป ตาแห้งคืออาการที่น้ำตาผลิตไม่เพียงพอหรือระเหยเร็วเกินไป ทำให้ดวงตารู้สึกแห้ง ระคายเคือง และอาจเกิดการอักเสบได้ รักษาได้หลายวิธี เช่น ใช้น้ำตาเทียม ประคบอุ่น ใช้ยาเพื่อเพิ่มการสร้างน้ำตาหรือลดการอักเสบ และป้องกันตาแห้งได้ด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้ดวงตา รวมถึงการใช้ยาเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของดวงตา  สำหรับผู้ที่มีอาการตาแห้งรุนแรง รับการรักษาได้ที่ ศูนย์โรคจักษุประสาทวิทยา Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ซึ่งให้การดูแลปัญหาตาแห้งที่ส่งผลต่อการมองเห็นและระบบประสาท โดยจักษุแพทย์ในการวินิจฉัยและรักษาภาวะตาแห้งอย่างครบวงจร
อ่านเพิ่มเติม
ศูนย์เลสิก LASER VISION
เปลี่ยนการมองเห็นให้สดใส เจาะลึกขั้นตอนการทำ NanoRelex & NanoLASIK
เปลี่ยนการมองเห็นให้สดใส เจาะลึกขั้นตอนการทำ NanoRelex & NanoLASIK เปลี่ยนการมองเห็นให้สดใส เจาะลึกขั้นตอนการทำ NanoRelex & NanoLASIK      Laser Vision เรามีเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดในการทำเลสิกในปัจจุบัน ด้วย NanoRelex & NanoLASIK เทคโนโลยีจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่ใช้เลเซอร์พลังงานต่ำทุกขั้นตอนการทำเลสิก ขั้นตอนในการทำ  NanoRelex & NanoLASIK ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน ภายหลังจากการตัดสินใจร่วมกันระหว่างจักษุแพทย์และคนไข้ในการทำเลสิก และคนไข้ทราบถึงข้อควรปฏิบัติก่อนการทำเลสิก เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็จะเป็นการนัดวันและเวลาเพื่อให้การทำเลสิกครั้งนี้สะดวกกับคนไข้มากที่สุด   ขั้นตอนการทำเลสิกด้วยวิธี NanoRelex ก่อนเข้ารับการผ่าตัดทำเลสิกทุกครั้ง ผู้เข้ารับการผ่าตัดจะได้รับการการหยอดยาปฏิชีวนะ ยาชา ก่อนเข้ารับการผ่าตัด เมื่อเข้ารับการทำเลสิก แพทย์จะทำความสะอาดรอบ ๆ ดวงตาก่อน จากนั้นแพทย์จะใส่เครื่องมือช่วยเปิดตาเพื่อใช้ในการทำเลสิก เมื่อเครื่องมือสัมผัสกับดวงตาจะรู้สึกกดทับเพียงเบา ๆ ภายในจะมองเห็นแสงเลเซอร์ที่ใช้ทำการผ่าตัด การรักษาด้วยวิธี NanoRelex เริ่มโดยใช้ Femtosecond Laser เพื่อเข้าไปเปลี่ยนความโค้ง  ความหนาของกระจกตา มีการปรับแต่งเนื้อเยื่อภายในกระจกตาให้เป็นรูปเลนส์ (Lenticule) ตามความเหมาะสมของค่าสายตาของผู้เข้ารับการผ่าตัด แผลที่เกิดขึ้นจะเป็นแผลขนาดที่บริเวณกระจกตาขนาด 2 มิลลิเมตร และนำชิ้น(Lenticule) ที่ผ่านการปรับแต่งแล้วออกทางแผลที่ได้ทำการเปิดเอาไว้ ขั้นตอนนี้ใช้เวลาในการทำข้างละ 5 นาที จากนั้นทีมแพทย์จะหยอดยาฆ่าเชื้อ ยาแก้อักเสบ และ น้ำตาเทียม และนำฝาครอบตามาปิดเพื่อป้องกันการสัมผัสดวงตา เป็นการเสร็จสิ้นการผ่าตัด แพทย์จะนัดพบอีกครั้งในวันรุ่งขึ้นเพื่อทำการติดตามความเรียบร้อยหลังการผ่าตัด   ขั้นตอนการทำเลสิกด้วยวิธี NanoLASIK ก่อนเข้ารับการผ่าตัดทำเลสิกทุกครั้ง ผู้เข้ารับการผ่าตัดจะได้รับการการหยอดยาปฏิชีวนะ ยาชา ก่อนเข้ารับการผ่าตัด เมื่อเข้ารับการทำเลสิก แพทย์จะทำความสะอาดรอบ ๆ ดวงตาก่อน จากนั้นแพทย์จะใส่เครื่องมือช่วยเปิดตาเพื่อใช้ในการทำเลสิก เมื่อเครื่องมือสัมผัสกับดวงตาจะรู้สึกกดทับเพียงเบา ๆ ภายในจะมองเห็นแสงเลเซอร์ที่ใช้ทำการผ่าตัด การรักษาด้วยวิธี NanoLASIK จะเป็นการใช้ Femtosecond Laser เพื่อทำการแยกชั้นกระจกตา เปิดฝากระจกตาขึ้นไปด้านบน จากนั้นจะใช้ Excimer Laser เพื่อใช้ปรับความโค้งของกระจกตาตามความเหมาะสมของค่าสายตาของผู้เข้ารับการผ่าตัด ขั้นตอนนี้ใช้เวลาในการทำข้างละ 1 – 2 นาที เมื่อเสร็จสิ้นจะทำการปิดฝากระจกตากลับเข้าที่เดิม รอประมาณ 3 นาทีเพื่อให้กระจกตาสมานและปิดสนิท จากนั้นทีมแพทย์จะ หยอดยาฆ่าเชื้อ ยาแก้อักเสบ น้ำตาเทียม และนำฝาครอบตามาปิดเพื่อป้องกันการสัมผัสดวงตา เป็นการเสร็จสิ้นการผ่าตัด แพทย์จะนัดพบอีกครั้งในวันรุ่งขึ้นเพื่อทำการติดตามความเรียบร้อยหลังการผ่าตัด      ภายหลังการผ่าตัด อาจมีน้ำตาไหล หรืออาการคันคล้ายกับมีทรายในตา ผู้เข้ารับการผ่าตัดนำทิชชู่มาซับน้ำตาบริเวณรอบฝาครอบตา อาการดังกล่าวจะเกิดขึ้นประมาณ 4-6 ชั่วโมงหลังการผ่าตัดและจะหายไปเอง นอกจากนี้ควรพักสายตาและพักผ่อน จะทำให้แผลที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดหายได้ไวมากยิ่งขึ้น  
ศูนย์เลสิก LASER VISION
คุ้มค่ามากกว่าที่ผ่านมาด้วย NanoRelex
คุ้มค่ามากกว่าที่ผ่านมาด้วย NanoRelex คุ้มค่ามากกว่าที่ผ่านมาด้วย NanoRelex      ถ้าหากจะต้องเลือกวิธีในการรักษาสายตาคู่นี้ให้กับคุณหรือคนที่คุณรักแล้วล่ะก็ หนึ่งในทางเลือกที่น่าตัดสินใจในวิธีการทำ LASIK ก็คงไม่พ้นวิธีการแบบ FemtoLASIK หรือ ReLEx SMILE แต่ก่อนที่คุณจะรีบตัดสินใจลองมาทำความรู้จักกับ NanoRelex เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดจากสวิซเซอร์แลนด์ ที่ไม่ใช่แค่ดีกว่า แต่มากกว่าด้วยความคุ้มค่าจากปัญญาประดิษฐ์อัจฉริยะ (Artificial Intelligence : AI)   ทำความรู้จักกับ NanoRelex      ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักการทำ LASIK ทั่วไปกันก่อน LASIK หรือ Laser In-Situ Keratomileusis เป็นเทคโนโลยีรักษาสายตาโดยใช้แสงเลเซอร์ ที่ใช้รักษาสายตาทั้งสั้น ยาว หรือ เอียง ให้กลับมามองเห็นชัดสดใสเหมือนเดิม การทำ LASIK เป็นเทคโนโลยีที่มีมานานมากแล้ว กว่า 20 ปี แต่ความเข้าใจของคนทั่วไปอาจจะนึกถึงภาพของ LASIK ที่ใช้ใบมีดในการเปิดกระจกตา ก่อนที่จะใช้เลเซอร์ปรับความโค้งของกระจกตา จากนั้นก็จะเป็นภาพที่เห็นได้ประจำ ที่มีคนใส่ที่ครอบตาเป็นเวลานานอยู่หลายวัน   ส่วนอีกวิธีการหนึ่งคือ FemtoLASIK      ที่จะเป็นการใช้เลเซอร์แทนใบมีดในการปรับความโค้งของกระจกตา ที่จะมีความแม่นยำสูงกว่า แผลสมานหายเร็ว เพียงแค่ 1 คืนก็สามารถถอดที่ครอบตาออกได้แล้ว ในขณะที่เทคโนโลยีแบบ ReLEx SMILE เป็นการนำเทคโนโลยี FemtoLASIK มาต่อยอดและพัฒนาวิธีการผ่าตัดโดยใช้เครื่อง Femtosecond Laser ทำการแยกชิ้นกระจกตาเป็นเลนส์ 3มิติ ขนาดเล็กเรียกว่า Lenticules และนำชิ้นเลนส์นั้นออกมาผ่านช่องขนาดเล็กเพียง 2-4 มม. โดยไม่มีการใช้ Excimer Laser จึงใช้เวลาในการรักษา ลดลงกว่าครึ่งหนึ่ง ถือได้ว่าเป็นวิธีการล่าสุดในการทำ LASIK ในปัจจุบัน และใช้เวลาในการทำลดลงกว่าครึ่ง ถือได้ว่าเป็นเทคโนโลยีล่าสุดในการทำ LASIK ในปัจจุบัน      แต่คำว่าใหม่ล่าสุดนั้นคงไม่ใช่อีกต่อไป เพราะตอนนี้ Laser Vision ได้นำเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดจากสวิซเซอร์แลนด์ส่งตรงถึงดวงตาของคนไทย กับ NanoRelex ที่มาพร้อมระบบ AI อัจฉริยะ ใช้พลังงานน้อยที่สุดในการรักษาเพียงระดับนาโนจูลเท่านั้น คนไข้ไม่รู้สึกเจ็บขณะผ่าตัด พร้อมระบบติดตามการกรอกตาที่ช่วยให้การทำเลสิกมีความแม่นยำกว่าเดิม ลดขั้นตอนในการเปิดและปิดชั้นกระจกตาทำให้เวลาผ่าตัดน้อยลง และหลังผ่าตัดก็ไม่ส่งผลกระทบให้ตาระคายเคือง ที่สำคัญแผลจากการทำเลสิกสามารถหายได้ภายใน 24 ชม. เพียงแค่หลับตาโลกก็กลับมาสดใสเหมือนใหม่ คุ้มค่าและประหยัดเวลามากกว่าที่เคย
calling
ติดต่อเรา : +662 511 2111