มุมสุขภาพตา : #PRK Lasik

เรียงตาม

กระจกตาบางเกิดจากอะไร? อาการ ผลกระทบต่อสายตาและวิธีรักษา

กระจกตาบางคือภาวะที่กระจกตาซึ่งเป็นชั้นโปร่งใสด้านหน้าตาของดวงตามีความหนาน้อยกว่าปกติ ส่งผลต่อการมองเห็นและสุขภาพตา กระจกตาบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การเสื่อมตามวัย การขยี้ตาบ่อยๆ โรคทางพันธุกรรม หรือผลข้างเคียงจากการผ่าตัดตา เช่น เลสิก อาการของกระจกตาบางที่สังเกตได้ เช่น ตาพร่ามัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย มองเห็นภาพบิดเบี้ยว และสายตาเอียงสูงผิดปกติ กระจกตาบางคือภาวะที่ความหนาของกระจกตาลดลงกว่าปกติ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการโฟกัสแสงเข้าสู่ดวงตา ทำให้การมองเห็นมีความคมชัด หากกระจกตาบางเกินไป อาจเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสายตา เช่น สายตาผิดปกติ หรือมีผลกระทบต่อการรักษาดวงตาด้วยวิธีต่างๆ เช่น เลสิก การเข้าใจสาเหตุ อาการ และการดูแลกระจกตาบางอย่างถูกต้อง จึงช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและดูแลสุขภาพตาได้ดีขึ้น       กระจกตาคืออะไร? สิ่งสำคัญต่อการมองเห็น กระจกตา (Cornea) คือชั้นโปร่งใสและโค้งอยู่ด้านหน้าสุดของดวงตา ครอบคลุมตาดำ มีหน้าที่ช่วยหักเหแสงให้เข้าสู่ดวงตา ทำให้เรามองเห็นชัดเจน และยังเป็นเกราะป้องกันเชื้อโรคโดยตรง โดยปกติความหนาของกระจกตาจะอยู่ที่ประมาณ 520-550 ไมครอน และสามารถบางลงได้ตามอายุที่เพิ่มขึ้นด้วย       รู้จักกับกระจกตาบาง กระจกตาบางคือลักษณะของกระจกตาที่มีความหนาน้อยกว่า 500 ไมครอน (0.5 มิลลิเมตร) โดยทั่วไปไม่ถือเป็นโรคและไม่ต้องรักษา แต่กระจกตาบางจะส่งผลต่อการวินิจฉัยโรคบางอย่าง เช่น ต้อหิน เพราะทำให้วัดความดันตาต่ำกว่าความจริง รวมถึงส่งผลต่อการเลือกวิธีแก้ไขสายตา เช่น หากผู้ป่วยต้องการทำ LASIK และ มีระดับค่าสายตาที่มีผิดปกติสูง เช่น สั้น หรือ เอียงมาก โดยมีความหนาของกระจกตาน้อย เมื่อเปรียบเทียบกันกับเนื้อกระจกตาที่ต้องใช้ผ่าตัด หลังจากได้รับการตรวจจากผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียด เเพทย์ประเมินแล้วอาจจะไม่สามารถแก้ไขค่าสายตาได้หมด หรืออาจทำให้ กระจกตาเสี่ยงเป็นโรคกระจกตาอื่นๆหลังการแก้ไข เเพทย์อาจประเมินให้ผู้ป่วยทำการรักษาด้วยวิธีการอื่นๆ เช่น PRK ICL FemtoLASIK ReLEx SMILE Pro หรือ NanoLASIK  แทนการทำ LASIK แบบทั่วๆไป ซึ่งเป็นการเเก้ไขที่ใช้หรือรบกวนความหนาของกระจกตาน้อยกว่าเพราะฉะนั้น ก่อนทำเลสิกจึงต้องสังเกตและตรวจประเมินความหนาของกระจกตาอย่างละเอียด เพราะหากบางเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะสายตาเอียงผิดปกติ หรือกระจกตาย้วย ซึ่งส่งผลต่อการมองเห็นได้ นอกจากนี้หลายคนยังสงสัยว่า “ใส่คอนแท็กต์เลนส์ ทำให้กระจกตาบางจริงไหม?” คำตอบคือ โดยทั่วไปการใส่คอนแท็กต์เลนส์อย่างถูกวิธี ไม่ได้ทำให้กระจกตาบางลง แต่หากใส่นานเกินไป ไม่ถอดล้างหรือดูแลอย่างถูกต้อง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเกิดภาวะขาดออกซิเจนที่กระจกตา ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อบางลงได้เช่นกัน       กระจกตาบางเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง? กระจกตาบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ การเข้าใจสาเหตุเหล่านี้ช่วยให้สามารถป้องกันและดูแลสุขภาพตาได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น โดยสาเหตุที่พบได้บ่อย มีดังนี้   โรคทางพันธุกรรม แม้ว่าภาวะกระจกตาบางมักเกิดจากพฤติกรรมบางอย่าง แต่ในบางกรณี ความผิดปกตินี้อาจมีสาเหตุจากโรคพันธุกรรมที่ถ่ายทอดภายในครอบครัว หนึ่งในโรคที่พบบ่อย คือ กระจกตาย้วย (Keratoconus) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของภาวะกระจกตาบาง กระจกตาจะบางลงและโป่งยื่นออกมาคล้ายรูปกรวย ทำให้สายตาเอียงผิดปกติ และการมองเห็นแย่ลงเรื้อรัง มักเริ่มแสดงอาการในช่วงวัยรุ่นถึงอายุ 30 ปี โรคกระจกตาบางจากพันธุกรรมอื่นๆ (Corneal Dystrophies) เช่น Pellucid Marginal Degeneration (PMD) ซึ่งกระจกตาจะบางลงบริเวณขอบด้านล่าง   การบาดเจ็บหรือการผ่าตัดตา การผ่าตัดแก้ไขสายตาบางประเภท เช่น การทำเลสิก (LASIK) หรือ PRK อาจส่งผลให้กระจกตาบางลงได้ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการเลเซอร์เนื้อกระจกตา ออกไปมากเกินความจำเป็น ทำให้ความหนาของกระจกตาที่เหลืออยู่ไม่เพียงพอ เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น กระจกตาย้วยในอนาคต นอกจากนี้การบาดเจ็บที่กระจกตาซ้ำๆ รวมถึงการติดเชื้อที่รุนแรง เช่น แผลที่กระจกตาหรือกระจกตาอักเสบ ก็สามารถทำลายเนื้อเยื่อกระจกตาและทำให้เกิดการบางลงได้เช่นกัน โดยเฉพาะหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที   โรคอื่นๆ หรือการใช้ยา โรคทางภูมิคุ้มกันบางชนิด เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) หรือโรคเอสแอลอี (SLE) อาจส่งผลกระทบต่อกระจกตา ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และนำไปสู่ภาวะกระจกตาบางได้ในระยะยาว เนื่องจากภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเนื้อเยื่อของตาเอง ในขณะเดียวกัน การใช้ยาหยอดตาบางชนิด โดยเฉพาะยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ หากใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจมีผลข้างเคียงต่อโครงสร้างของกระจกตา ทำให้เนื้อเยื่อกระจกตาอ่อนแอและบางลงได้เช่นกัน       อาการของภาวะกระจกตาบาง ภาวะกระจกตาบางมักพัฒนาอย่างช้าๆ จนอาจไม่สังเกตเห็นได้ในระยะแรก การเรียนรู้ที่จะสังเกตอาการเบื้องต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรักษาได้อย่างทันท่วงที โดยอาการที่อาจพบมีดังนี้ การมองเห็นพร่ามัวหรือไม่ชัดเจน ค่าสายตาเปลี่ยนแปลงบ่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ มีค่าสายตาเอียงสูงกว่าปกติ มองเห็นภาพบิดเบี้ยว หรือมีลักษณะผิดรูปจากความจริง       วิธีการตรวจและวินิจฉัยกระจกตาบาง โดยปกติแล้วภาวะกระจกตาบางมักถูกตรวจพบในขั้นตอนการประเมินสายตาก่อนทำเลสิก ซึ่งแพทย์จะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Keratometerตรวจวัดความโค้งของกระจกตาและค่าสายตาเอียง โดยการสะท้อนแสงบนกระจกตาเพื่อตรวจหารูปร่างและความโค้งที่ผิดปกติ ซึ่งความโค้งที่ผิดปกตินี้ อาจสัมพันธ์กับความบางของกระจกตา นอกจากนั้นยังมีการตรวจ Corneal Tophography หรือแผนภูมิดวงตาเพื่อประเมินค่าความหนาบางและความผิดปกติของกระจกตาอื่นๆด้วย โดยอาจจะมีการวัด Tomographic Biomechanical Index หรือ ค่าความเเข็งเเรงของกระจกตา เสริมเพื่อตรวจความเสี่ยงของโรค Corneal Ectasia หรือโรคกระจกตาโป้งอีกด้วย แม้ว่าจะสามารถสังเกตอาการเบื้องต้นได้ เช่น มองเห็นไม่ชัดหรือค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย แต่การวินิจฉัยว่ามีกระจกตาบางจริงหรือไม่นั้น ต้องอาศัยการตรวจโดยจักษุแพทย์เท่านั้น เพราะการสังเกตอาการด้วยตนเองเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น ไม่สามารถยืนยันผลได้ ดังนั้นหากสงสัยว่าตนเองมีกระจกตาบาง ควรเข้ารับการตรวจอย่างละเอียดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวางแผนการดูแลและรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้น   สรุป กระจกตาบางเป็นภาวะที่หลายคนไม่รู้ตัว แต่สามารถส่งผลกระทบต่อการมองเห็น เช่น ตาพร่ามัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย หรือภาพบิดเบี้ยว ซึ่งอาจเกิดจากพันธุกรรม โรคภูมิคุ้มกัน การผ่าตัดแก้ไขสายตา หรือการใช้ยาบางชนิด การตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกจึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่วางแผนทำเลสิก ควรเข้ารับการตรวจวัดความหนาและความโค้งของกระจกตาอย่างละเอียดที่ Bangkok Eye Hospital ด้วยเครื่องมือทันสมัยและแพทย์เฉพาะทาง เพื่อป้องกันและดูแลสุขภาพดวงตาได้อย่างมั่นใจ   คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกระจกตาบาง (FAQ) หลายคนที่เพิ่งเคยได้ยินเกี่ยวกับภาวะกระจกตาบางอาจมีข้อสงสัยมากมาย เพื่อช่วยให้เข้าใจมากขึ้น เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาวะกระจกตาบาง พร้อมคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญมาฝากกันในบทความนี้   ทำอย่างไรให้กระจกตาหนาขึ้น ความหนาของกระจกตาไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากเป็นความผิดปกติที่เกิดจากโครงสร้างภายในชั้นกระจกตาเอง   ถ้าปล่อยให้กระจกตาบางแล้วไม่รักษา จะเป็นอย่างไร? สายตาพร่ามัวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถแก้ไขด้วยแว่นหรือคอนแท็กต์เลนส์ปกติได้ กระจกตาโป่งยื่นออกมามากผิดปกติ ทำให้การมองเห็นแย่ลงอย่างถาวร ในบางกรณีรุนแรงมาก อาจเกิดภาวะกระจกตาบวมน้ำฉับพลัน (Acute Hydrops) หรือกระจกตาทะลุ ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินและอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้หากไม่ได้รับการปลูกถ่ายกระจกตา   สามารถป้องกันภาวะกระจกตาบางได้ไหม หลีกเลี่ยงการขยี้ตาแรงๆ เพราะการขยี้ตาเป็นประจำและรุนแรงสามารถทำให้กระจกตาบางลงและเป็นตัวกระตุ้นให้โรคกระจกตาย้วยแย่ลง ดูแลสุขภาพตาโดยรวม เช่น ไม่ใช้คอนแท็กต์เลนส์นานเกินไป และรักษาความสะอาดของดวงตา พบจักษุแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคเกี่ยวกับกระจกตา เพื่อให้สามารถวินิจฉัยและเริ่มการรักษาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะให้ผลลัพธ์การรักษาที่ดีกว่า  
อ่านเพิ่มเติม

PRK และ LASIK คืออะไร? เทคนิคการผ่าตัดสายตาที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ

ในปัจจุบันประชากรทั่วโลกประสบปัญหาสายตาเพิ่มขึ้น ทั้งสายตาสั้นและสายตาเอียงที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในทุกเพศทุกวัย สาเหตุสำคัญมาจากพฤติกรรมการใช้สายตาที่มากเกินความจำเป็น วิธีการใช้สายตาที่ไม่ถูกต้อง รวมถึงปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ในชีวิตประจำวัน ส่งผลให้มีความต้องการในการรักษาค่าสายตาเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการใช้แว่นตา คอนแท็กต์เลนส์ หรือแม้กระทั่งการผ่าตัดแก้ไขสายตา สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพตาอย่างถูกวิธีในยุคนี้ PRK คือการผ่าตัดแก้ไขสายตาที่ต่างจาก LASIK ทั่วไป บทความนี้พามาดูว่า แล้ว PRK กับ LASIK ต่างกันอย่างไร? พร้อมอธิบายขั้นตอนการรักษา ข้อดี-ข้อเสีย และการพักฟื้นให้เห็นแบบชัดๆ กัน   PRK และ LASIK คือการผ่าตัดแก้ไขสายตาด้วยเลเซอร์ แต่มีขั้นตอนที่แตกต่างกัน โดย PRK ไม่มีการเปิดกระจกตาในขณะที่ LASIK มีการเปิดและปิดกระจกตาหลังจากเลเซอร์ยิงแก้ไขสายตา PRK มีระยะเวลาฟื้นตัวนานกว่า LASIK เนื่องจากไม่มีการปิดกระจกตากลับเหมือน LASIK แต่มีความปลอดภัยสูงกว่าในระยะยาวสำหรับบางอาชีพหรือผู้ที่มีสายตาสั้นมาก PRK เหมาะกับผู้ที่มีกระจกตาบางหรือมีความเสี่ยงจากกิจกรรมที่ต้องใช้แรงมาก ส่วน LASIK เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นตัวเร็วและไม่ต้องทนต่ออาการระคายเคืองนาน Bangkok Eye Hospital มีแพทย์เฉพาะทางและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ให้บริการทั้ง PRK และ LASIK พร้อมคำแนะนำที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล     นวัตกรรมผ่าตัดสายตา PRK คืออะไร? PRK (Photorefractive Keratectomy) คือวิธีรักษาสายตาที่ปรับแก้กระจกตาคล้ายเลสิก แต่เลสิกมีผลข้างเคียงน้อยกว่า PRK และต่างกันที่วิธีผ่าตัด โดย PRK มีมาตั้งแต่ทศวรรษ 1980 ก่อนหน้าเลสิก และยังได้รับความนิยมอยู่เนื่องจากให้ผลถาวร PRK เป็นทางเลือกที่ดีในการแก้ปัญหาสายตาสั้น สายตาสั้นข้างเดียว และสายตาเอียง โดยสามารถแก้ไขสายตาสั้นได้ถึง 500 (5.00 Diopters) และสายตาเอียงไม่เกิน 200 (2.00 Diopters) วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีกระจกตาบางหรือมีอาการตาแห้งซึ่งไม่สามารถทำเลสิกได้ เนื่องจากเลสิกต้องตัดกระจกตาชั้นบนออกชั่วคราว ทำให้อาการตาแห้งอาจรุนแรงขึ้น สำหรับผู้ที่มีข้อจำกัดเหล่านี้ PRK จึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากกว่าในการแก้ไขปัญหาสายตา กระบวนการนี้ใช้เวลาในการหายประมาณ 5- 7 วัน และอาจมีอาการระคายตาบ้าง ข้อดี-ข้อเสียของการทำ PRK รู้จักนวัตกรรมการทำ PRK หรือ Photorefractive Keratectomy กันไปแล้ว มาเช็กข้อดีและข้อเสียของการทำ PRK กันว่ามีอะไรบ้าง ข้อดีของการทำ PRK ข้อดีของการทำ PRK คือเป็นวิธีรักษาสายตาที่ให้ผลลัพธ์ถาวรและมีผลข้างเคียงน้อยกว่าการทำเลสิก ขั้นตอนการรักษาสะดวกสบาย เพียงหยอดยาชาโดยไม่ต้องฉีดยา ไม่เจ็บระหว่างทำ และไม่ต้องเย็บแผล ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ทันทีหลังผ่าตัด PRK มีข้อจำกัดน้อยกว่าเลสิก เหมาะสำหรับผู้ที่มีกระจกตาบาง ตาแห้ง หรือเป็นโรคที่ทำเลสิกไม่ได้ และไม่มีความเสี่ยงกระจกตาเปิดเหมือนการทำเลสิก นอกจากนี้ ยังเพิ่มโอกาสในการทำงานสำหรับอาชีพนักบิน ทหาร ตำรวจ และช่วยให้ใช้ชีวิตประจำวันสะดวกขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพาแว่นตาอีกต่อไป ผลข้างเคียงของการทำ PRK ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงแรกหลังผ่าตัด PRK   อาการปวดและไม่สบายตาในช่วง 2 - 3 วันแรกอาจมีอาการปวดตา แสบตา และรู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในตา โดยอาการนี้จะค่อยๆ บรรเทาลงตามระยะเวลา อาการตาแห้งอาจคงอยู่นานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน ผู้ป่วยอาจรู้สึกถึงความแห้งในดวงตา ซึ่งสามารถบรรเทาได้ด้วยน้ำตาเทียมและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด มองเห็นภาพไม่ชัดในช่วงแรกหลังผ่าตัด การมองเห็นอาจยังไม่ชัดและต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว โดยอาจต้องใช้ระยะเวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์กว่าสายตาจะปรับตัวและมองเห็นได้อย่างชัดเจน ไวต่อแสงผู้ป่วยจะรู้สึกมีความไวต่อแสงเป็นพิเศษในช่วงระยะแรกหลังผ่าตัด ซึ่งอาจทำให้ต้องสวมแว่นกันแดดหรือหลีกเลี่ยงแสงจ้าเพื่อความสบายและป้องกันความระคายเคืองของดวงตา   ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาวหลังผ่าตัด PRK   กระจกตาเป็นฝ้า (Corneal haze)ในบางกรณีอาจเกิดฝ้าที่กระจกตาหลังผ่าตัด PRK แต่โดยทั่วไปแล้วอาการนี้จะดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป การมองเห็นแสงกระจาย (Glare) หรือแสงฟุ้ง (Halos)โดยเฉพาะในสภาวะแสงน้อยหรือเวลากลางคืน ผู้ป่วยจะรับรู้ถึงแสงที่กระจายหรือมีวงแหวนรอบแหล่งกำเนิดแสง อาการเหล่านี้จะค่อยๆ ดีขึ้น แต่ในบางกรณีอาจเป็นถาวร การมองเห็นไม่คงที่ (Fluctuating Vision)โดยเฉพาะในช่วงระยะแรกฟื้นตัว การมองเห็นอาจเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงเวลาของวัน โดยทั่วไปอาการจะค่อยๆ ดีขึ้นและคงที่ขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป การแก้ไขสายตาไม่สมบูรณ์อาจมีการแก้ไขสายตาน้อยเกินไป (Under-correction) หรือมากเกินไป (Over-correction) ทำให้ผู้ป่วยยังต้องพึ่งแว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์ในบางระดับ ในกรณีนี้ แพทย์อาจพิจารณาผ่าตัดเสริมหรือแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกับเป้าหมายมากที่สุด การกลับมาของสายตาผิดปกติ (Regression)สายตาอาจกลับมาสั้น ยาว หรือเอียงอีกครั้ง อัตราการเกิดจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับบางปัจจัย อายุ และสภาพร่างกายของผู้ป่วย การทำ PRK เหมาะกับใครบ้าง ผู้ที่เหมาะสมกับการทำ PRK ต้องมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป โดยค่าสายตาจะต้องคงที่ไม่น้อยกว่า 1 ปี กระจกตาต้องแข็งแรงไม่มีประวัติกระจกตาถลอกหรือหลุดลอก และไม่มีโรคอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการผ่าตัด เช่น เบาหวาน วิธีนี้เหมาะกับสายตาสั้นหรือเอียงในระดับที่รักษาได้ รวมถึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีกระจกตาบางกว่าปกติ ตาแห้งแบบรักษายาก หรือกระจกตาโค้งผิดรูป ผู้ที่เป็นต้อหินอาจทำได้ในบางกรณีแต่ต้องปรึกษาแพทย์ก่อน นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการประกอบอาชีพที่ต้องการสายตาดี เช่น นักบิน ตำรวจ หรือทหาร เป็นต้น     ขั้นตอนการทำ PRK หยดแอลกอฮอล์ลงบนผิวตาเพื่อละลายเยื่อหุ้มกระจกตาออก ใช้เครื่องมือผ่าตัดปรับผิวกระจกตาให้เรียบ ใช้ Excimer Laser ปรับรูปทรงกระจกตาใหม่ให้พอดีกับค่าสายตา ปิดแผลด้วยคอนแท็กต์เลนส์พิเศษเป็นเวลา 5 - 7 วัน เพื่อรอให้เยื่อหุ้มกระจกตาสร้างใหม่ ไม่จำเป็นต้องเย็บแผลผ่าตัดหลังจากนำคอนแท็กต์เลนส์ออก     เทคนิคการผ่าตัดสายตา LASIK คืออะไร? เลสิก (LASIK)คือวิธีผ่าตัดแก้ไขปัญหาสายตาผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นสายตาสั้น สายตายาวโดยกำเนิด หรือสายตาเอียง โดยใช้เทคโนโลยีเลเซอร์ปรับเปลี่ยนความโค้งของกระจกตาอย่างแม่นยำตามค่าสายตาที่คำนวณไว้ ทำให้แสงที่สะท้อนเข้าสู่ดวงตาหักเหไปรวมกันที่เรตินาได้พอดี ส่งผลให้ผู้รับการรักษากลับมามองเห็นได้ชัดเจนอีกครั้ง การรักษาด้วยเลสิกมีจุดเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1949 โดย Dr.Jose I. Barraquer จักษุแพทย์ผู้คิดค้นวิธีการผ่าตัดแบบแยกชั้นกระจกตา (Keratomileusis) ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่นำไปสู่การพัฒนาเทคนิคเลสิกที่ใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ข้อดี-ข้อเสียของการทำ LASIK แม้การทำ LASIK จะเป็นการผ่าตัดแก้ไขปัญหาสายตาผิดปกติที่เคยได้ยินกันมานาน แต่หลายคนก็ยังไม่เคยทราบถึงข้อดีและข้อเสียของการทำ LASIK เลย ซึ่งข้อดีและข้อเสียของการทำเลสิกมีดังนี้ ข้อดีของการทำ LASIK LASIK เป็นเทคโนโลยีการแก้ไขสายตาชั้นสูงที่ใช้ Femtosecond Laser และ Excimer Laser ปรับความโค้งของกระจกตาได้อย่างแม่นยำ แก้ไขสายตาสั้น ยาว เอียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ การผ่าตัดทำได้รวดเร็ว ไม่เจ็บ ไม่ต้องเย็บแผล และใช้เวลาพักฟื้นสั้นมาก สามารถใช้สายตาได้ภายใน 1 วันและเห็นชัดขึ้นใน 2 - 3 วัน ผลลัพธ์คงทนในระยะยาว ช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น ลดข้อจำกัดในการทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งการเล่นกีฬา การอ่านหนังสือ การใช้อุปกรณ์สื่อสาร หรือการขับรถได้อย่างอิสระ ผลข้างเคียงของการทำ LASIK การทำ LASIK มีข้อเสียที่ควรพิจารณาทั้งในด้านผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นและค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดสำหรับผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับตา สตรีตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร ทำให้ไม่สามารถทำได้ทุกคน ภายหลังการผ่าตัด ผู้ป่วยบางรายอาจประสบปัญหาตาแห้ง จึงจำเป็นต้องดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัดตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อให้การฟื้นฟูเป็นไปอย่างราบรื่น การทำ LASIK เหมาะกับใคร การทำ LASIK เหมาะกับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป มีค่าสายตาที่คงที่ไม่เปลี่ยนแปลงในรอบ 1 ปี และมีสุขภาพดวงตาที่แข็งแรงสมบูรณ์ โดยมีความหนาของกระจกตาที่เพียงพอสำหรับการรักษา นอกจากนี้ ยังต้องไม่มีโรคเกี่ยวกับกระจกตาหรือโรคประจำตัวที่ส่งผลต่อดวงตา เช่น โรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี หรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องต่างๆ     ขั้นตอนการทำ LASIK แยกชั้นกระจกตาด้วยเครื่องไมโครเครราโตม (Microkeratome) หรือใช้ใบมีดเพื่อสร้างชั้นกระจกตา (Flap) สำหรับเข้าถึงพื้นที่การรักษา ยกชั้นกระจกตาขึ้นเพื่อเตรียมพื้นที่ชั้นกลางของกระจกตา ทำให้พร้อมสำหรับการปรับความโค้งด้วยเลเซอร์ในขั้นตอนต่อไป ใช้ Excimer Laser ยิงไปที่ชั้นกลางของกระจกตา เพื่อปรับเปลี่ยนความโค้งให้ได้ตามการคำนวณที่ได้ออกแบบไว้ ปิดชั้นกระจกตา (Flap) กลับคืนตำแหน่งเดิม โดยกระจกตาจะสมานตัวเองได้โดยอัตโนมัติ ไม่จำเป็นต้องเย็บแผลใดๆ ทั้งสิ้น     PRK VS. LASIK เปรียบเทียบให้ชัดต่างกันอย่างไร? การทำ PRK และ LASIK เจ็บไหม? ระหว่างการทำจะไม่รู้สึกเจ็บเพราะมีการใช้ยาชาหยอดตา อย่างไรก็ตาม การทำ PRK อาจมีอาการระคายตาในช่วงฟื้นตัวมากกว่าการทำ LASIK ค่ารักษาของการทำ PRK และ LASIK ต่างกันไหม? โดยทั่วไป การทำ PRK และ LASIK มีค่าใช้จ่ายใกล้เคียงกัน แต่ขึ้นอยู่กับสถานพยาบาลและเทคโนโลยีที่ใช้ด้วย การแก้ไขสายตาด้วยเลเซอร์สามารถทำซ้ำได้ไหม? สามารถทำซ้ำได้หากมีการเปลี่ยนแปลงของสายตาในอนาคต แต่ต้องรอให้สายตาคงที่ก่อน ทำ PRK และ LASIK ที่ ศูนย์เลเซอร์วิชั่น Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร หากต้องการแก้ไขปัญหาสายตา มาปรึกษาและรักษาได้ที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) เพื่อการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ด้วยจักษุแพทย์ผู้มากความรู้เกี่ยวกับดวงตาและทีมงานที่มีประสบการณ์ และจุดเด่นดังนี้   โรงพยาบาลมีจักษุแพทย์มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย พร้อมให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง สรุป PRK และ LASIK คือวิธีผ่าตัดแก้ไขสายตาด้วยเลเซอร์ที่แตกต่างกันตรงที่การทำ PRK ไม่มีการเปิดกระจกตา ขณะที่การทำ LASIK มีการเปิดและปิดกระจกตาหลังการยิงเลเซอร์ ทำให้การทำ PRK มีระยะเวลาฟื้นตัวนานกว่าแต่มีความปลอดภัยสูงในระยะยาวสำหรับบางอาชีพหรือผู้ที่มีสายตาสั้นมาก การทำ PRK จึงเหมาะกับผู้ที่มีกระจกตาบางหรือมีความเสี่ยงจากกิจกรรมที่ต้องใช้แรงมาก ส่วนการทำ LASIK เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นตัวเร็วและไม่ต้องทนต่ออาการระคายเคืองเป็นเวลานาน หากมีความผิดปกติของดวงตา มาเช็กสุขภาพตาอย่างละเอียดที่ ศูนย์เลเซอร์วิชั่น Bangkok Eye Hospital โรงพยาบาลเฉพาะทางที่มีทีมแพทย์มากประสบการณ์ อุปกรณ์ที่ทันสมัย ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล มั่นใจได้ว่าการรักษาเป็นไปอย่างถูกต้อง แม่นยำ และปลอดภัย
calling
ติดต่อเรา : +662 511 2111