มุมสุขภาพตา : #LASIK

เรียงตาม

ตาแห้งมีอาการอย่างไร วิธีรักษา ป้องกัน และพฤติกรรมที่ช่วยลดอาการตาแห้ง

อาการตาแห้ง คือภาวะตาขาดความชุ่มชื้นเพราะการผลิตน้ำตาน้อยเกินไปหรือคุณภาพน้ำตาไม่ดี ทำให้เกิดอาการระคายเคืองและไม่สบายตาได้ ตาแห้งเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น อายุที่มากขึ้นทำให้การผลิตน้ำตาน้อยลง การสวมใส่คอนแท็กต์เลนส์นานเกินไป การจ้องจอคอมพิวเตอร์นานๆ รวมถึงผลข้างเคียงจากยาบางชนิด การรักษาตาแห้งทำได้หลายวิธี เช่น ยาหยอดตา น้ำตาเทียม การประคบอุ่น และการรักษาด้วยยาลดการอักเสบ รักษาอาการตาแห้งที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ได้รับการดูแลจากจักษุแพทย์ พร้อมเทคโนโลยีทันสมัยและการรักษาที่เหมาะสมกับอาการ   ตาแห้งเป็นโรคที่ทำให้ตารู้สึกแห้งและระคายเคือง เนื่องจากการผลิตน้ำตาลดลงหรือคุณภาพของน้ำตาไม่ดีพอ ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย หากดูแลอย่างถูกวิธี จะช่วยลดอาการและป้องกันภาวะตาแห้งในระยะยาว มาหาสาเหตุของอาการตาแห้ง วิธีรักษา รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันอาการตาแห้งได้ในบทความนี้     อาการตาแห้ง คืออะไร? ก่อนทำความรู้จักกับอาการตาแห้ง ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ‘น้ำตา’ กันก่อน โดยน้ำตามีความสำคัญต่อดวงตา เป็นตัวช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา ทำให้มองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวได้อย่างชัดเจน หล่อเลี้ยงเลี้ยงกระจกตาด้วยออกซิเจน และป้องกันการติดเชื้อและสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้ามาทำร้ายดวงตา ตาแห้ง เป็นอาการที่ปริมาณน้ำตาที่เข้ามาหล่อเลี้ยงผิวตามีไม่เพียงพอส่งผลให้ผิวตาอักเสบได้ โดยอาการของตาแห้งอาจเริ่มจากการแสบตา หรือรู้สึกระคายเคืองเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในตา รวมถึงอาจพบอาการตาแดง เจ็บ หรือมีการพร่ามัวที่ดีขึ้นเมื่อกะพริบตา นอกจากนี้ยังอาจรู้สึกฝืดๆ หนักๆ ที่ตา หรือลืมตาลำบาก และบางครั้งอาจมีอาการตาล้าหรือมีน้ำตาไหลมากผิดปกติ     ทำไมถึงมีอาการตาแห้งได้ ตาแห้งเป็นปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อความสบายของดวงตาและการมองเห็น โดยเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่ พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟนเป็นเวลานานเกินไป อาการภูมิแพ้ที่ตาซึ่งอาจเกิดจากสิ่งแวดล้อมที่มีฝุ่น ควัน หรือมลภาวะ อยู่ในที่ร้อน ลมแรง หรือความชื้นต่ำ ความผิดปกติของต่อมไขมันขอบตา การพบตัวไร (Demodex blepharitis) บริเวณโคนขนตา ซึ่งเกิดจากการอักเสบของต่อมน้ำตา การใช้ยาบางประเภท เช่น ยาคุมกำเนิด ยาแก้แพ้ ยาต้านซึมเศร้า ยาลดความดันโลหิตบางชนิด ฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล โดยเฉพาะในเพศหญิงที่อาจทำให้คุณภาพของน้ำตาลดลง     อาการตาแห้งเกิดจากอะไร มีปัจจัยอะไรบ้าง ปัจจัยที่ส่งผลต่อการผลิตน้ำตาหรือการทำงานของต่อมน้ำตา หากมีลักษณะดังต่อไปนี้ จะทำให้เกิดอาการตาแห้งได้ง่ายขึ้น สร้างน้ำตาได้น้อยกว่าปกติ  (Aqueous Tear Deficiency) กลุ่มคนที่มีความผิดปกติหรือปัจจัยที่ส่งผลให้สามารถสร้างน้ำตาได้น้อย ได้แก่   กลุ่มคนที่เป็นโรค Sjogren’s Syndrome โรครูมาตอยด์ โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือภาวะที่ไม่พบสาเหตุชัดเจน เช่น Primary Sjogren’s Syndrome กลุ่มคนที่ไม่เป็นโรค Sjogren’s Syndrome เช่น ต่อมน้ำตาทำงานผิดปกติตั้งแต่เกิด โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง การแพ้ยารุนแรง หรือการอักเสบที่ทำให้ท่อน้ำตาตัน กลุ่มคนที่ฮอร์โมนเปลี่ยน มักพบในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่ส่งผลให้การผลิตน้ำตาและสารคัดหลั่งอื่นๆ ในร่างกายลดลง การกินยาบางประเภท เช่น ยาแก้หวัด ยาแก้แพ้ ยาลดความดันโลหิต หรือยาคลายเครียดบางชนิด ที่มีสารกันเสียเป็นส่วนประกอบ อาจทำให้ตาแห้งมากขึ้น เนื่องจากสารเหล่านี้สามารถลดการผลิตน้ำตาได้ น้ำตาระเหยเร็ว (Evaporative Dry Eyes)  ปัจจัยที่ส่งผลให้การระเหยของน้ำตาเกิดขึ้นเร็วกว่าปกติ ได้แก่   ต่อมไขมันที่เปลือกตาทำงานผิดปกติ เปลือกตาอักเสบที่เกิดจากความผิดปกติของชั้นไขมัน จะทำให้การสร้างน้ำตาชั้นน้ำมันลดลง ซึ่งทำให้เกิดการระเหยของน้ำตาได้เร็วขึ้น ความผิดปกติของเปลือกตา การปิดตาไม่สนิทหรือการกะพริบตาน้อยผิดปกติ ซึ่งทำให้การกระจายน้ำตาผิดปกติ และเพิ่มการระเหยของน้ำตา โดนสารเคมีหรือแพ้ยารุนแรง การอักเสบของเยื่อบุตาอาจทำให้เกิดแผลเป็น ซึ่งส่งผลต่อการสร้างน้ำตาชั้นเมือกที่ติดกับกระจกตา ทำให้การสร้างน้ำตาผิดปกติ การใช้สายตามาก พบมากในวัยทำงานจากพฤติกรรมจ้องจอคอมพิวเตอร์นานๆ โดยไม่ค่อยกะพริบตา และการใส่คอนแท็กต์เลนส์ที่ดูดน้ำออกจากดวงตา ทำให้การผลิตน้ำตาลดลงและน้ำตาระเหยเร็ว     วิธีรักษาหรือวิธีแก้โรคตาแห้ง วิธีรักษาโรคตาแห้งจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและอาการของแต่ละบุคคล โดยใช้วิธีต่างๆ รวมทั้งการใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการ ดังนี้ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ตาแห้ง ควรหลีกเลี่ยงการโดนลมแรง ฝุ่นควัน หรือแสงจ้า โดยการใส่แว่นกันแดดและแว่นกันลม เพื่อป้องกันสิ่งแวดล้อมที่อาจทำให้ตาแห้งขึ้น นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงการใส่คอนแท็กต์เลนส์เป็นเวลานานๆ เพื่อไม่ให้สูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงจากดวงตาที่อาจทำให้อาการตาแห้งแย่ลงได้ ใช้น้ำตาเทียม ในการรักษาอาการตาแห้ง น้ำตาเทียมเป็นตัวช่วยที่ดี โดยมี 2 ชนิดให้เลือกใช้ ได้แก่   น้ำตาเทียมที่มีสารกันเสีย ในรูปแบบขวด ควรใช้ไม่เกิน 4-5 ครั้งต่อวัน อาจแบ่งการใช้ยาเพิ่มน้ำตาตามช่วงเวลาของวัน เช่น เช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน ซึ่งเหมาะสำหรับอาการตาแห้งที่ไม่รุนแรง น้ำตาเทียมที่ไม่มีสารกันเสีย แบบกระเปาะ เปิดแล้วมีอายุ 24 ชั่วโมง หรือขวดที่มีระบบวาล์วพิเศษใช้ได้นาน 6 เดือน ใช้บ่อยได้ตามต้องการ เช่น ทุก 1-2 ชั่วโมง เหมาะกับผู้ที่มีอาการตาแห้งรุนแรง  ใช้ยาหยอดตาเพิ่มปริมาณน้ำตา มียาหยอดตาที่ช่วยเพิ่มน้ำตาและรักษาอาการตาแห้งได้ โดยแต่ละชนิดจะช่วยรักษาตามอาการที่แตกต่างกัน ดังนี้   ยา Diquafosol ช่วยเพิ่มการสร้างน้ำตาชั้นเมือกและชั้นน้ำเพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ดวงตาและลดอาการแห้ง ยาปฏิชีวนะ Doxycycline ยาลดการอักเสบของเปลือกตาช่วยลดการอักเสบและอาการระคายเคืองที่เกิดจากตาแห้ง ยากลุ่ม Steroids โดยยานี้ช่วยบรรเทาการอักเสบของผิวตาและลดอาการระคายเคืองที่เกิดจากการขาดน้ำตา ยา Cyclosporine ยากดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressant) ชนิดหยอดตา ช่วยลดการอักเสบในตาและเพิ่มการผลิตน้ำตา โดยการปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ซึ่งสามารถช่วยลดอาการตาแห้งได้ การทำความสะอาดเปลือกตา การทำความสะอาดเปลือกตาและประคบอุ่นด้วยแชมพูเด็กผสมเจือจางหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเปลือกตาช่วยลดการอุดตันของต่อมไขมันในเปลือกตา ทำให้ชั้นไขมันที่เคลือบน้ำตาทำงานได้ดีขึ้น ช่วยป้องกันน้ำตาระเหยเร็วและลดอาการตาแห้ง ใช้ Autologous Serum การรักษาอาการตาแห้งชนิดรุนแรงโดยใช้สารที่ช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อทำได้โดยการเจาะเลือดจากผู้ป่วยไปปั่นแยกเป็น Serum และนำมาหยอดร่วมกับการใช้น้ำตาเทียม ซึ่งจะช่วยลดการอักเสบของเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ และส่งเสริมการฟื้นตัวของเนื้อเยื่อให้กลับสู่สภาพปกติได้ดีขึ้น การอุดท่อระบายน้ำตาที่หัวตา (Punctal Plug) การรักษาอาการตาแห้งที่รุนแรงทำได้โดยการอุดช่องทางที่น้ำตาไหลออกจากตา (Punctum) ซึ่งมีทั้งชนิดอุดชั่วคราวและชนิดอุดถาวร โดยการใส่ Silicone Plug หรือ Punctal Cautery ซึ่งเป็นการจี้บริเวณช่องทางที่น้ำตาระบายออกจากตา วิธีนี้ช่วยให้ดวงตาเก็บน้ำตาไว้ได้นานขึ้น ลดการระเหยของน้ำตา และช่วยบรรเทาอาการตาแห้งได้ในกรณีที่อาการรุนแรงมาก     การปรับพฤติกรรมเพื่อป้องกันอาการตาแห้ง การป้องกันอาการตาแห้งทำได้ง่ายๆ ด้วยการปรับพฤติกรรมบางอย่างในชีวิตประจำวัน ดังนี้    หยุดพักจากการใช้งานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือมือถือทุกๆ 20 นาที โดยการหลับตาสัก 20 วินาที หรือมองสิ่งที่อยู่ไกลประมาณ 20 ฟุต เพื่อให้ตาได้พักและผ่อนคลาย งดการใช้คอนแท็กต์เลนส์ต่อเนื่อง ควรสลับใส่แว่นในระหว่างวันเพื่อให้ดวงตาได้พัก ใช้งานคอมพิวเตอร์หรือมือถือในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ เพื่อช่วยลดความเครียดของดวงตา เตือนตัวเองให้กะพริบตาบ่อยๆ เพื่อให้น้ำตาเคลือบตาและช่วยลดการระเหยของน้ำตา หากอยู่ในที่ที่มีอากาศแห้ง ร้อน หรือมีลมแรง ควรสวมแว่นกันแดดกันลมเพื่อปกป้องตาจากสภาพแวดล้อม กินอาหารที่ครบทุกหมู่ โดยเฉพาะผัก ผลไม้ ปลา หรืออาหารที่มีโอเมกา 3 ซึ่งช่วยต้านอนุมูลอิสระและลดการอักเสบของตา  ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อวัน สรุป ตาแห้งคืออาการที่น้ำตาผลิตไม่เพียงพอหรือระเหยเร็วเกินไป ทำให้ดวงตารู้สึกแห้ง ระคายเคือง และอาจเกิดการอักเสบได้ รักษาได้หลายวิธี เช่น ใช้น้ำตาเทียม ประคบอุ่น ใช้ยาเพื่อเพิ่มการสร้างน้ำตาหรือลดการอักเสบ และป้องกันตาแห้งได้ด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้ดวงตา รวมถึงการใช้ยาเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของดวงตา  สำหรับผู้ที่มีอาการตาแห้งรุนแรง รับการรักษาได้ที่ ศูนย์โรคจักษุประสาทวิทยา Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ซึ่งให้การดูแลปัญหาตาแห้งที่ส่งผลต่อการมองเห็นและระบบประสาท โดยจักษุแพทย์ในการวินิจฉัยและรักษาภาวะตาแห้งอย่างครบวงจร
อ่านเพิ่มเติม

PRK และ LASIK คืออะไร? เทคนิคการผ่าตัดสายตาที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ

ในปัจจุบันประชากรทั่วโลกประสบปัญหาสายตาเพิ่มขึ้น ทั้งสายตาสั้นและสายตาเอียงที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในทุกเพศทุกวัย สาเหตุสำคัญมาจากพฤติกรรมการใช้สายตาที่มากเกินความจำเป็น วิธีการใช้สายตาที่ไม่ถูกต้อง รวมถึงปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ในชีวิตประจำวัน ส่งผลให้มีความต้องการในการรักษาค่าสายตาเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการใช้แว่นตา คอนแท็กต์เลนส์ หรือแม้กระทั่งการผ่าตัดแก้ไขสายตา สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพตาอย่างถูกวิธีในยุคนี้ PRK คือการผ่าตัดแก้ไขสายตาที่ต่างจาก LASIK ทั่วไป บทความนี้พามาดูว่า แล้ว PRK กับ LASIK ต่างกันอย่างไร? พร้อมอธิบายขั้นตอนการรักษา ข้อดี-ข้อเสีย และการพักฟื้นให้เห็นแบบชัดๆ กัน   PRK และ LASIK คือการผ่าตัดแก้ไขสายตาด้วยเลเซอร์ แต่มีขั้นตอนที่แตกต่างกัน โดย PRK ไม่มีการเปิดกระจกตาในขณะที่ LASIK มีการเปิดและปิดกระจกตาหลังจากเลเซอร์ยิงแก้ไขสายตา PRK มีระยะเวลาฟื้นตัวนานกว่า LASIK เนื่องจากไม่มีการปิดกระจกตากลับเหมือน LASIK แต่มีความปลอดภัยสูงกว่าในระยะยาวสำหรับบางอาชีพหรือผู้ที่มีสายตาสั้นมาก PRK เหมาะกับผู้ที่มีกระจกตาบางหรือมีความเสี่ยงจากกิจกรรมที่ต้องใช้แรงมาก ส่วน LASIK เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นตัวเร็วและไม่ต้องทนต่ออาการระคายเคืองนาน Bangkok Eye Hospital มีแพทย์เฉพาะทางและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ให้บริการทั้ง PRK และ LASIK พร้อมคำแนะนำที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล     นวัตกรรมผ่าตัดสายตา PRK คืออะไร? PRK (Photorefractive Keratectomy) คือวิธีรักษาสายตาที่ปรับแก้กระจกตาคล้ายเลสิก แต่เลสิกมีผลข้างเคียงน้อยกว่า PRK และต่างกันที่วิธีผ่าตัด โดย PRK มีมาตั้งแต่ทศวรรษ 1980 ก่อนหน้าเลสิก และยังได้รับความนิยมอยู่เนื่องจากให้ผลถาวร PRK เป็นทางเลือกที่ดีในการแก้ปัญหาสายตาสั้น สายตาสั้นข้างเดียว และสายตาเอียง โดยสามารถแก้ไขสายตาสั้นได้ถึง 500 (5.00 Diopters) และสายตาเอียงไม่เกิน 200 (2.00 Diopters) วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีกระจกตาบางหรือมีอาการตาแห้งซึ่งไม่สามารถทำเลสิกได้ เนื่องจากเลสิกต้องตัดกระจกตาชั้นบนออกชั่วคราว ทำให้อาการตาแห้งอาจรุนแรงขึ้น สำหรับผู้ที่มีข้อจำกัดเหล่านี้ PRK จึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากกว่าในการแก้ไขปัญหาสายตา กระบวนการนี้ใช้เวลาในการหายประมาณ 5- 7 วัน และอาจมีอาการระคายตาบ้าง ข้อดี-ข้อเสียของการทำ PRK รู้จักนวัตกรรมการทำ PRK หรือ Photorefractive Keratectomy กันไปแล้ว มาเช็กข้อดีและข้อเสียของการทำ PRK กันว่ามีอะไรบ้าง ข้อดีของการทำ PRK ข้อดีของการทำ PRK คือเป็นวิธีรักษาสายตาที่ให้ผลลัพธ์ถาวรและมีผลข้างเคียงน้อยกว่าการทำเลสิก ขั้นตอนการรักษาสะดวกสบาย เพียงหยอดยาชาโดยไม่ต้องฉีดยา ไม่เจ็บระหว่างทำ และไม่ต้องเย็บแผล ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ทันทีหลังผ่าตัด PRK มีข้อจำกัดน้อยกว่าเลสิก เหมาะสำหรับผู้ที่มีกระจกตาบาง ตาแห้ง หรือเป็นโรคที่ทำเลสิกไม่ได้ และไม่มีความเสี่ยงกระจกตาเปิดเหมือนการทำเลสิก นอกจากนี้ ยังเพิ่มโอกาสในการทำงานสำหรับอาชีพนักบิน ทหาร ตำรวจ และช่วยให้ใช้ชีวิตประจำวันสะดวกขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพาแว่นตาอีกต่อไป ผลข้างเคียงของการทำ PRK ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงแรกหลังผ่าตัด PRK   อาการปวดและไม่สบายตาในช่วง 2 - 3 วันแรกอาจมีอาการปวดตา แสบตา และรู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในตา โดยอาการนี้จะค่อยๆ บรรเทาลงตามระยะเวลา อาการตาแห้งอาจคงอยู่นานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน ผู้ป่วยอาจรู้สึกถึงความแห้งในดวงตา ซึ่งสามารถบรรเทาได้ด้วยน้ำตาเทียมและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด มองเห็นภาพไม่ชัดในช่วงแรกหลังผ่าตัด การมองเห็นอาจยังไม่ชัดและต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว โดยอาจต้องใช้ระยะเวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์กว่าสายตาจะปรับตัวและมองเห็นได้อย่างชัดเจน ไวต่อแสงผู้ป่วยจะรู้สึกมีความไวต่อแสงเป็นพิเศษในช่วงระยะแรกหลังผ่าตัด ซึ่งอาจทำให้ต้องสวมแว่นกันแดดหรือหลีกเลี่ยงแสงจ้าเพื่อความสบายและป้องกันความระคายเคืองของดวงตา   ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาวหลังผ่าตัด PRK   กระจกตาเป็นฝ้า (Corneal haze)ในบางกรณีอาจเกิดฝ้าที่กระจกตาหลังผ่าตัด PRK แต่โดยทั่วไปแล้วอาการนี้จะดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป การมองเห็นแสงกระจาย (Glare) หรือแสงฟุ้ง (Halos)โดยเฉพาะในสภาวะแสงน้อยหรือเวลากลางคืน ผู้ป่วยจะรับรู้ถึงแสงที่กระจายหรือมีวงแหวนรอบแหล่งกำเนิดแสง อาการเหล่านี้จะค่อยๆ ดีขึ้น แต่ในบางกรณีอาจเป็นถาวร การมองเห็นไม่คงที่ (Fluctuating Vision)โดยเฉพาะในช่วงระยะแรกฟื้นตัว การมองเห็นอาจเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงเวลาของวัน โดยทั่วไปอาการจะค่อยๆ ดีขึ้นและคงที่ขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป การแก้ไขสายตาไม่สมบูรณ์อาจมีการแก้ไขสายตาน้อยเกินไป (Under-correction) หรือมากเกินไป (Over-correction) ทำให้ผู้ป่วยยังต้องพึ่งแว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์ในบางระดับ ในกรณีนี้ แพทย์อาจพิจารณาผ่าตัดเสริมหรือแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกับเป้าหมายมากที่สุด การกลับมาของสายตาผิดปกติ (Regression)สายตาอาจกลับมาสั้น ยาว หรือเอียงอีกครั้ง อัตราการเกิดจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับบางปัจจัย อายุ และสภาพร่างกายของผู้ป่วย การทำ PRK เหมาะกับใครบ้าง ผู้ที่เหมาะสมกับการทำ PRK ต้องมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป โดยค่าสายตาจะต้องคงที่ไม่น้อยกว่า 1 ปี กระจกตาต้องแข็งแรงไม่มีประวัติกระจกตาถลอกหรือหลุดลอก และไม่มีโรคอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการผ่าตัด เช่น เบาหวาน วิธีนี้เหมาะกับสายตาสั้นหรือเอียงในระดับที่รักษาได้ รวมถึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีกระจกตาบางกว่าปกติ ตาแห้งแบบรักษายาก หรือกระจกตาโค้งผิดรูป ผู้ที่เป็นต้อหินอาจทำได้ในบางกรณีแต่ต้องปรึกษาแพทย์ก่อน นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการประกอบอาชีพที่ต้องการสายตาดี เช่น นักบิน ตำรวจ หรือทหาร เป็นต้น     ขั้นตอนการทำ PRK หยดแอลกอฮอล์ลงบนผิวตาเพื่อละลายเยื่อหุ้มกระจกตาออก ใช้เครื่องมือผ่าตัดปรับผิวกระจกตาให้เรียบ ใช้ Excimer Laser ปรับรูปทรงกระจกตาใหม่ให้พอดีกับค่าสายตา ปิดแผลด้วยคอนแท็กต์เลนส์พิเศษเป็นเวลา 5 - 7 วัน เพื่อรอให้เยื่อหุ้มกระจกตาสร้างใหม่ ไม่จำเป็นต้องเย็บแผลผ่าตัดหลังจากนำคอนแท็กต์เลนส์ออก     เทคนิคการผ่าตัดสายตา LASIK คืออะไร? เลสิก (LASIK)คือวิธีผ่าตัดแก้ไขปัญหาสายตาผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นสายตาสั้น สายตายาวโดยกำเนิด หรือสายตาเอียง โดยใช้เทคโนโลยีเลเซอร์ปรับเปลี่ยนความโค้งของกระจกตาอย่างแม่นยำตามค่าสายตาที่คำนวณไว้ ทำให้แสงที่สะท้อนเข้าสู่ดวงตาหักเหไปรวมกันที่เรตินาได้พอดี ส่งผลให้ผู้รับการรักษากลับมามองเห็นได้ชัดเจนอีกครั้ง การรักษาด้วยเลสิกมีจุดเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1949 โดย Dr.Jose I. Barraquer จักษุแพทย์ผู้คิดค้นวิธีการผ่าตัดแบบแยกชั้นกระจกตา (Keratomileusis) ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่นำไปสู่การพัฒนาเทคนิคเลสิกที่ใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ข้อดี-ข้อเสียของการทำ LASIK แม้การทำ LASIK จะเป็นการผ่าตัดแก้ไขปัญหาสายตาผิดปกติที่เคยได้ยินกันมานาน แต่หลายคนก็ยังไม่เคยทราบถึงข้อดีและข้อเสียของการทำ LASIK เลย ซึ่งข้อดีและข้อเสียของการทำเลสิกมีดังนี้ ข้อดีของการทำ LASIK LASIK เป็นเทคโนโลยีการแก้ไขสายตาชั้นสูงที่ใช้ Femtosecond Laser และ Excimer Laser ปรับความโค้งของกระจกตาได้อย่างแม่นยำ แก้ไขสายตาสั้น ยาว เอียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ การผ่าตัดทำได้รวดเร็ว ไม่เจ็บ ไม่ต้องเย็บแผล และใช้เวลาพักฟื้นสั้นมาก สามารถใช้สายตาได้ภายใน 1 วันและเห็นชัดขึ้นใน 2 - 3 วัน ผลลัพธ์คงทนในระยะยาว ช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น ลดข้อจำกัดในการทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งการเล่นกีฬา การอ่านหนังสือ การใช้อุปกรณ์สื่อสาร หรือการขับรถได้อย่างอิสระ ผลข้างเคียงของการทำ LASIK การทำ LASIK มีข้อเสียที่ควรพิจารณาทั้งในด้านผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นและค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดสำหรับผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับตา สตรีตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร ทำให้ไม่สามารถทำได้ทุกคน ภายหลังการผ่าตัด ผู้ป่วยบางรายอาจประสบปัญหาตาแห้ง จึงจำเป็นต้องดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัดตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อให้การฟื้นฟูเป็นไปอย่างราบรื่น การทำ LASIK เหมาะกับใคร การทำ LASIK เหมาะกับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป มีค่าสายตาที่คงที่ไม่เปลี่ยนแปลงในรอบ 1 ปี และมีสุขภาพดวงตาที่แข็งแรงสมบูรณ์ โดยมีความหนาของกระจกตาที่เพียงพอสำหรับการรักษา นอกจากนี้ ยังต้องไม่มีโรคเกี่ยวกับกระจกตาหรือโรคประจำตัวที่ส่งผลต่อดวงตา เช่น โรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี หรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องต่างๆ     ขั้นตอนการทำ LASIK แยกชั้นกระจกตาด้วยเครื่องไมโครเครราโตม (Microkeratome) หรือใช้ใบมีดเพื่อสร้างชั้นกระจกตา (Flap) สำหรับเข้าถึงพื้นที่การรักษา ยกชั้นกระจกตาขึ้นเพื่อเตรียมพื้นที่ชั้นกลางของกระจกตา ทำให้พร้อมสำหรับการปรับความโค้งด้วยเลเซอร์ในขั้นตอนต่อไป ใช้ Excimer Laser ยิงไปที่ชั้นกลางของกระจกตา เพื่อปรับเปลี่ยนความโค้งให้ได้ตามการคำนวณที่ได้ออกแบบไว้ ปิดชั้นกระจกตา (Flap) กลับคืนตำแหน่งเดิม โดยกระจกตาจะสมานตัวเองได้โดยอัตโนมัติ ไม่จำเป็นต้องเย็บแผลใดๆ ทั้งสิ้น     PRK VS. LASIK เปรียบเทียบให้ชัดต่างกันอย่างไร? การทำ PRK และ LASIK เจ็บไหม? ระหว่างการทำจะไม่รู้สึกเจ็บเพราะมีการใช้ยาชาหยอดตา อย่างไรก็ตาม การทำ PRK อาจมีอาการระคายตาในช่วงฟื้นตัวมากกว่าการทำ LASIK ค่ารักษาของการทำ PRK และ LASIK ต่างกันไหม? โดยทั่วไป การทำ PRK และ LASIK มีค่าใช้จ่ายใกล้เคียงกัน แต่ขึ้นอยู่กับสถานพยาบาลและเทคโนโลยีที่ใช้ด้วย การแก้ไขสายตาด้วยเลเซอร์สามารถทำซ้ำได้ไหม? สามารถทำซ้ำได้หากมีการเปลี่ยนแปลงของสายตาในอนาคต แต่ต้องรอให้สายตาคงที่ก่อน ทำ PRK และ LASIK ที่ ศูนย์เลเซอร์วิชั่น Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร หากต้องการแก้ไขปัญหาสายตา มาปรึกษาและรักษาได้ที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) เพื่อการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ด้วยจักษุแพทย์ผู้มากความรู้เกี่ยวกับดวงตาและทีมงานที่มีประสบการณ์ และจุดเด่นดังนี้   โรงพยาบาลมีจักษุแพทย์มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย พร้อมให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง สรุป PRK และ LASIK คือวิธีผ่าตัดแก้ไขสายตาด้วยเลเซอร์ที่แตกต่างกันตรงที่การทำ PRK ไม่มีการเปิดกระจกตา ขณะที่การทำ LASIK มีการเปิดและปิดกระจกตาหลังการยิงเลเซอร์ ทำให้การทำ PRK มีระยะเวลาฟื้นตัวนานกว่าแต่มีความปลอดภัยสูงในระยะยาวสำหรับบางอาชีพหรือผู้ที่มีสายตาสั้นมาก การทำ PRK จึงเหมาะกับผู้ที่มีกระจกตาบางหรือมีความเสี่ยงจากกิจกรรมที่ต้องใช้แรงมาก ส่วนการทำ LASIK เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นตัวเร็วและไม่ต้องทนต่ออาการระคายเคืองเป็นเวลานาน หากมีความผิดปกติของดวงตา มาเช็กสุขภาพตาอย่างละเอียดที่ ศูนย์เลเซอร์วิชั่น Bangkok Eye Hospital โรงพยาบาลเฉพาะทางที่มีทีมแพทย์มากประสบการณ์ อุปกรณ์ที่ทันสมัย ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล มั่นใจได้ว่าการรักษาเป็นไปอย่างถูกต้อง แม่นยำ และปลอดภัย

FemtoLASIK เทคโนโลยีล้ำสมัย การผ่าตัดสายตาที่ปลอดภัย แม่นยำกว่า

FemtoLASIK คือหนึ่งในเทคโนโลยีการทำเลสิกที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน โดยใช้เลเซอร์ Femtosecond (เฟมโตเซคอนด์เลเซอร์) ในการสร้างฝาปิดกระจกตา (Flap) ซึ่งมีความแม่นยำสูง ช่วยลดความเสี่ยง และฟื้นตัวเร็วกว่าวิธีแบบเดิม มาดูข้อดีและข้อเสียที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจกันได้เลยในบทความนี้   FemtoLASIK คือนวัตกรรมการแก้ไขสายตาสั้น สายตายาวโดยกำเนิด และสายตาเอียงแบบไร้ใบมีด แผลสมานตัวเร็ว ใช้เวลาผ่าตัดน้อย ระยะฟื้นตัวสั้น และผลข้างเคียงน้อย FemtoLASIK โดดเด่นด้วยเทคโนโลยี Femtosecond Laser ที่ช่วยแยกชั้นกระจกตาและปรับแต่งค่าสายตาด้วยความแม่นยำสูง โอกาสเกิดตาแห้งและการติดเชื้อต่ำ กระจกตาฟื้นตัวเร็ว มีความเสี่ยงน้อยที่ฝากระจกตาจะเคลื่อน ทำให้เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยสำหรับผู้ต้องการแก้ไขสายตา การทำ FemtoLASIK ไม่เหมาะสำหรับสตรีตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนเช่นกระจกตาหมอกได้ในบางราย รวมถึงผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับกระจกตาหรือโรคทางกายที่ส่งผลต่อการมองเห็นไม่สามารถรับการรักษาด้วยวิธีนี้ได้ ผู้ที่เหมาะกับการผ่าตัด FemtoLASIK คือผู้ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไปที่มีค่าสายตาคงที่อย่างน้อย 1 ปี มีสายตาสั้นไม่เกิน 1,300 หรือมีสายตายาวและเอียงในระดับที่เหมาะสม มีสุขภาพดวงตาดีและกระจกตาแข็งแรง เป็นผู้ที่ไม่สะดวกใส่แว่นหรือคอนแท็กต์เลนส์เนื่องจากความจำเป็นในการทำงานหรือทำกิจกรรมพิเศษ และมีความคาดหวังที่สมเหตุสมผลเกี่ยวกับผลลัพธ์หลังการผ่าตัด     เลสิกไร้ใบมีด FemtoLASIK คืออะไร? FemtoLASIK คือนวัตกรรมการแก้ไขสายตาสั้น สายตายาวโดยกำเนิด และสายตาเอียงแบบไร้ใบมีด ใช้เลเซอร์ Visumax 800 ความถี่สูงถึง 2 MHz และใช้เวลาในการเปิดฝากระจกตาเพียง 5 วินาทีเท่านั้น เทคโนโลยีนี้สามารถกำหนดความหนาของฝากระจก และแยกชั้นกระจกตาได้อย่างเรียบเนียนโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อโดยรอบ ส่งผลให้แผลสมานตัวได้เร็ว ใช้เวลาผ่าตัดน้อย ระยะพักฟื้นสั้น และลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อดีของการทำ FemtoLASIK FemtoLASIK มีข้อดีหลายประการที่โดดเด่นกว่าการผ่าตัดแบบเดิม โดยเทคโนโลยีเลเซอร์เฟมโตเซคันด์ (Femtosecond Laser) ช่วยให้การแยกชั้นกระจกตาและปรับแต่งค่าสายตามีความแม่นยำสูง ทำให้ผลข้างเคียงเกิดขึ้นน้อยและสามารถรักษาได้ทั้งสายตาสั้น สายตายาวโดยกำเนิด สายตายาวตามอายุ และสายตาเอียง   นอกจากนี้ ผู้เข้ารับการผ่าตัดมีโอกาสเกิดภาวะตาแห้งและการติดเชื้อต่ำมาก อีกทั้งกระจกตายังสมานตัวและฟื้นฟูได้รวดเร็ว พร้อมโอกาสที่ฝากระจกตาจะเคลื่อนน้อยมาก ทำให้เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขสายตา ข้อเสียของการทำ FemtoLASIK การทำ FemtoLASIK ไม่เหมาะสำหรับสตรีตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนในบางราย เช่น กระจกตาหมอก ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการผ่าตัดเพื่อลดความเสี่ยง หลังการผ่าตัดต้องระมัดระวังอุบัติเหตุกระทบดวงตาเป็นพิเศษ เนื่องจากแผลโค้งยาวที่กระจกตาอาจเกิดการเคลื่อนจนแผลเปิดได้ นอกจากนี้ ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับกระจกตาหรือโรคทางกายที่ส่งผลต่อการมองเห็นจะไม่สามารถเข้ารับการรักษาด้วยวิธีนี้ได้ วิธีเตรียมตัวก่อนทำ FemtoLASIK ก่อนทำ FemtoLASIK จำเป็นต้องเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมามีประสิทธิภาพและผ่านไปด้วยดีมากที่สุด   ศึกษาและรวบรวมข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับการทำ FemtoLASIK เพื่อสร้างความเข้าใจและความคาดหวังที่เหมาะสมต่อผลลัพธ์ ค้นหาข้อมูลสถานที่ให้บริการโดยพิจารณาทั้งประสบการณ์ของแพทย์ ความสะดวกในการเดินทาง มาตรฐานความสะอาด และค่าใช้จ่าย งดใส่คอนแท็กต์เลนส์ก่อนตรวจวิเคราะห์สภาพตา โดยเลนส์ชนิดนิ่มต้องงดอย่างน้อย 3 วัน ส่วนเลนส์ชนิดแข็งหรือแข็งกึ่งนิ่มต้องงดอย่างน้อย 14 วัน งดรับประทานยารักษาสิวกลุ่ม Isotretinoin เช่น Roaccutane, Acnotin และ Sotret เป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือนก่อนตรวจวิเคราะห์สภาพตาและก่อนการผ่าตัด งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และแจ้งให้จักษุแพทย์ทราบหากมีการรับประทานยาประจำตัว เช่น ยาเบาหวาน ยาความดัน หรือยานอนหลับ เตรียมแว่นตากันแดดและผู้ดูแลมาด้วยในวันตรวจ เนื่องจากต้องหยอดยาขยายม่านตาซึ่งทำให้มองเห็นไม่ชัดและแพ้แสง เข้ารับการตรวจวิเคราะห์สภาพตาเพื่อประเมินว่าสุขภาพตาเหมาะสมกับการรักษาด้วยวิธี FemtoLASIK หรือไม่     ขั้นตอนการทำ FemtoLASIK หลายๆ คนยังกังวลว่าการทำ FemtoLASIK เป็นอย่างไร? น่ากลัวไหม? มาดูขั้นตอนการทำ FemtoLASIK เพื่อให้คลายข้อกังวลก่อนทำกันดีกว่า   ก่อนการผ่าตัด แพทย์จะหยอดยาชาและรอให้ยาออกฤทธิ์จนพร้อมสำหรับเริ่มขั้นตอนการรักษา แพทย์ใช้ Femtosecond Laser แยกชั้นกระจกตาตามความหนาที่คำนวณไว้อย่างแม่นยำ หลังจากเปิดฝากระจกตา แพทย์จะใช้เลเซอร์เอ็กไซเมอร์ (Excimer Laser) ปรับแต่งความโค้งภายในชั้นกระจกตา เมื่อปรับแต่งเสร็จสมบูรณ์ แพทย์จะนำฝากระจกตาปิดกลับเข้าตำแหน่งเดิมอย่างแนบสนิท ขั้นตอนสุดท้าย จักษุแพทย์จะทำการปิดฝาครอบตาเพื่อป้องกันและส่งเสริมการฟื้นตัวของดวงตา ดูแลตัวเองอย่างไรหลังทำ FemtoLASIK เพื่อประสิทธิภาพของผลลัพธ์ การดูแลตัวเองหลังทำ FemtoLASIK จึงมีความสำคัญมาก ดังนี้   ใส่ที่ครอบตาขณะนอนหลับเพื่อป้องกันการเผลอขยี้ตาโดยไม่รู้ตัว ระมัดระวังไม่ให้น้ำ ฝุ่น เหงื่อ หรือสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ดวงตา งดกิจกรรมที่ไม่จำเป็นและพยายามนอนพักผ่อนให้มากเพื่อพักฟื้นสายตา หยอดยาตามที่แพทย์กำหนดอย่างเคร่งครัด ใช้น้ำตาเทียมเมื่อเกิดภาวะตาแห้ง งดการแต่งหน้าบริเวณรอบดวงตา มัดผมเพื่อป้องกันไม่ให้เส้นผมสัมผัสดวงตา (สำหรับผู้ที่มีผมยาว) สวมแว่นตากันแดดเมื่อต้องออกไปข้างนอก หลีกเลี่ยงการขับรถในตอนกลางคืนเนื่องจากอาจมองเห็นแสงเป็นแฉก เข้าพบจักษุแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ รีบพบจักษุแพทย์ทันทีหากพบความผิดปกติใดๆ นอกเหนือจากที่กล่าวมา     ใครเหมาะกับการทำ FemtoLASIK ผู้ที่เหมาะสมกับการผ่าตัด FemtoLASIK ได้แก่ ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป โดยค่าสายตาต้องคงที่อย่างน้อย 1 ปี มีสายตาสั้นไม่เกิน 1,300 หรือมีสายตายาวหรือเอียงในระดับที่เหมาะสม และมีสุขภาพดวงตาโดยรวมดีพร้อมกระจกตาที่แข็งแรง นอกจากนี้ ผู้เข้ารับการผ่าตัดควรมีความคาดหวังที่สมเหตุสมผลเกี่ยวกับผลลัพธ์ และมักเป็นผู้ที่ไม่สะดวกใส่แว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์เนื่องจากความจำเป็นในการประกอบอาชีพหรือการทำกิจกรรมบางประเภท ใครไม่เหมาะกับการทำ FemtoLASIK ผู้ที่ไม่ควรทำ FemtoLASIK ได้แก่ ผู้ที่มีโรคหลอดเลือด โรคแพ้ภูมิต้านทานตัวเองและเบาหวานที่ยังควบคุมไม่ได้ รวมถึงผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรืออยู่ระหว่างการรักษาที่กดภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ สตรีตั้งครรภ์และให้นมบุตร หรือผู้ที่วางแผนตั้งครรภ์ภายใน 6 เดือนหลังผ่าตัดก็ไม่ควรเข้ารับการรักษานี้ ท้ายที่สุด ผู้ที่เป็นโรคตาอื่นๆ เช่น ต้อกระจก ต้อหิน และผู้ติดเชื้อเอชไอวี ก็เป็นข้อห้ามในการทำ Femto LASIK เช่นเดียวกับการทำเลสิกทั่วไป หลังผ่าตัด FemtoLASIK ต้องพักฟื้นไหม? หลังจากรับการรักษาสายตาด้วย FemtoLASIK ผู้ป่วยจำเป็นต้องพักฟื้นประมาณ 2 - 3 วัน โดยในช่วงเวลานี้อาจมีอาการระคายตาและน้ำตาไหลบ่อยเกิดขึ้นได้ ซึ่งเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการฟื้นตัวของดวงตาหลังการผ่าตัดด้วยเทคโนโลยีเลเซอร์ชั้นสูงนี้ FemtoLASIK แก้ไขปัญหาสายตาได้ถาวรไหม? การทำ FemtoLASIK คือนวัตกรรมการแก้ไขปัญหาสายตาที่มีอยู่เดิมให้กลับมาชัดเจนได้อย่างถาวร แต่ไม่สามารถยับยั้งการเสื่อมถอยของร่างกายตามธรรมชาติหรือปัญหาใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ ดังนั้น ผู้ที่ผ่านการทำ FemtoLASIK แล้วควรเข้าใจว่าการรักษานี้แก้ไขสภาพสายตาที่เป็นปัญหา ณ เวลาที่ทำการรักษาเท่านั้น ไม่ใช่วิธีป้องกันความเสื่อมของสายตาที่อาจเกิดขึ้นตามวัยในภายหลัง ทำ FemtoLASIK ราคาเท่าไร? การทำ FemtoLASIK ที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) โดยทั่วไปมีค่าใช้จ่ายราคาเริ่มต้นประมาณ 118,000 บาท โดยจะมีค่าตรวจประเมินสภาพสายตาโดยละเอียดอีก 3,500 บาท สามารถตรวจสอบโปรโมชันเพิ่มเติมได้ที่นี่ อัตราค่าบริการตรวจและรักษาสายตาเป็นค่าบริการสำหรับการรักษา 2 ตาในวันเดียวกัน โดยค่าบริการรวมค่ายาและเวชภัณฑ์ที่ใช้ในการผ่าตัด และค่าบริการตรวจติดตามผลหลังการผ่าตัด 5 ครั้ง ภายในระยะเวลา 1 ปี (1 วัน 1 อาทิตย์ 1 เดือน 6 เดือน และ 1 ปี) เท่านั้น ทำ FemtoLASIK ที่ศูนย์เลเซอร์วิชั่น Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร หากต้องการรักษาปัญหาสายตาด้วยการทำ FemtoLASIK มาปรึกษาและรักษาได้ที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) เพื่อการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ด้วยจักษุแพทย์ผู้มากความรู้เกี่ยวกับดวงตาและทีมงานที่มีประสบการณ์ ด้วยจุดเด่นดังนี้   โรงพยาบาลมีจักษุแพทย์มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เทคโนโลยีสมัยใหม่สำหรับการรักษาดวงตา เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย พร้อมให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง สรุป FemtoLASIK คือนวัตกรรมการแก้ไขสายตาสั้น สายตายาวโดยกำเนิด และสายตาเอียงแบบไร้ใบมีด ที่โดดเด่นด้วยเทคโนโลยี Femtosecond Laser ซึ่งช่วยแยกชั้นกระจกตาและปรับแต่งค่าสายตาด้วยความแม่นยำสูง ทำให้แผลสมานตัวเร็ว ใช้เวลาผ่าตัดน้อย และมีระยะฟื้นตัวสั้น ข้อดีที่สำคัญคือมีโอกาสเกิดตาแห้งและการติดเชื้อต่ำ ความเสี่ยงที่ฝากระจกตาจะเคลื่อนมีน้อย ทำให้เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขสายตา หากมีความผิดปกติของดวงตา มาเช็กสุขภาพตาอย่างละเอียดที่ศูนย์เลเซอร์วิชั่น Bangkok Eye Hospitalโรงพยาบาลเฉพาะทางที่มีทีมแพทย์มากประสบการณ์ อุปกรณ์ที่ทันสมัย ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล มั่นใจได้ว่าการรักษาเป็นไปอย่างถูกต้อง แม่นยำ และปลอดภัย

ทำเลสิกที่ไหนดี? เปรียบเทียบเทคนิคและเกณฑ์การเลือกโรงพยาบาล

เป็นที่รู้กันดีว่า หากมีปัญหาสายตา ไม่ว่าจะเป็นสายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง หรือปัญหาเหล่านี้ร่วมกัน การทำเลสิกเป็นวิธีรักษาที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากสามารถแก้ไขค่าสายตาให้กลับมาปกติ ช่วยให้ผู้ที่มีปัญหาสายตากลับมามองเห็นได้ชัดเจนโดยไม่ต้องพึ่งพาแว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์อีกต่อไป ส่งผลให้การใช้ชีวิตประจำวันสะดวกสบายมากขึ้น แล้วจะทำเลสิกที่ไหนดี? ปี 2567 ผ่านไปแล้ว บทความมาแนะนำวิธีเลือกโรงพยาบาลทำเลสิกที่ปลอดภัยและได้มาตรฐานปีล่าสุดกัน พร้อมเช็กลิสต์เทคนิคการทำเลสิกก่อนตัดสินใจว่าจะทำเลสิกที่ไหนดี   การทำเลสิกคือการผ่าตัดที่ใช้เลเซอร์เอ็กไซเมอร์ปรับความโค้งของกระจกตา เพื่อแก้ไขปัญหาสายตาผิดปกติต่างๆ ทั้งสายตาสั้น สายตายาวโดยกำเนิด หรือสายตาเอียง โดยเลเซอร์จะปรับแต่งกระจกตาให้หักเหแสงไปยังจุดรับภาพได้พอดี ส่งผลให้ผู้รับการผ่าตัดสามารถมองเห็นภาพในระยะต่างๆ ได้ชัดเจนเป็นปกติ เทคนิคการรักษาด้วยวิธีการทำเลสิกมีหลากหลายรูปแบบ เช่น SMILE Pro เทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด FemtoLASIK หรือเลสิกไร้ใบมีด PRK เป็นวิธีแรกในการแก้ไขสายตาผิดปกติด้วยเลเซอร์ TransPRK พัฒนาต่อยอดจาก PRK แบบเดิม Nano NV LASIK และ NanoLASIK ที่พัฒนาต่อยอดจาก FemtoLASIK NV LASIK เป็นนวัตกรรมรักษาสายตายาวตามอายุ NanoRelex เป็นนวัตกรรมการผ่าตัดแก้ไขสายตาแบบไร้ใบมีด MicrokeratomeLASIK นวัตกรรมการผ่าตัดแก้ไขสายตาแบบใช้ใบมีด หรือจะเป็นวิธี ICL ที่แก้ไขปัญหาสายตาด้วยการใส่เลนส์เสริมถาวร เลสิกที่ไหนดี? ปัจจัยสำคัญที่ควรตรวจสอบก่อนตัดสินใจเลือกโรงพยาบาลทำเลสิก ได้แก่ ใบอนุญาตและมาตรฐานสถานพยาบาล ความพร้อมของทีมแพทย์เฉพาะทาง เทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่ทันสมัย ทางเลือกในการรักษาที่หลากหลาย รีวิวที่น่าเชื่อถือ ความสะดวกในการเดินทาง และราคาที่สมเหตุสมผลเหมาะสมกับคุณภาพการบริการที่ได้รับ     รู้จักการทำเลสิก (LASIK) คืออะไร? การทำเลสิก(Laser In Situ Keratomileusis: LASIK) คือการผ่าตัดที่ใช้เลเซอร์เอ็กไซเมอร์ (Excimer Laser) ปรับความโค้งของกระจกตา เพื่อแก้ไขปัญหาสายตาผิดปกติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสายตาสั้น สายตายาวโดยกำเนิด หรือสายตาเอียง โดยเลเซอร์จะยิงเข้าไปในลูกตาเพื่อปรับแต่งกระจกตาให้สามารถหักเหแสงไปตกยังจุดรับภาพได้พอดี ทำให้ผู้รับการผ่าตัดสามารถมองเห็นภาพในระยะต่างๆ ได้ชัดเจนเป็นปกติ   เทคนิคการทำเลสิก เลือกแบบไหนดีให้เหมาะกับปัญหาสายตา? เทคนิคการรักษาด้วยวิธีการทำเลสิกจึงมีทั้งเลสิกสายตาสั้นเลสิกสายตายาวและเลสิกสายตาเอียง ขึ้นอยู่กับลักษณะความผิดปกติของสายตาที่ต้องการแก้ไข ดังนี้     1.NanoRelex(สำหรับสายตาสั้นและเอียงเท่านั้น) NanoRelex เป็นนวัตกรรมขั้นสูงของการผ่าตัดแผลเล็กที่ใช้เทคโนโลยี Femtosecond Laser ความแม่นยำสูง โดยปรับแต่งเนื้อเยื่อในชั้น Stroma ของกระจกตาด้วยการคำนวณชิ้นเนื้อกระจกตาเป็นรูป 3 มิติ (Lenticule) ตามค่าสายตาของแต่ละบุคคล จากนั้นนำ Lenticule ออกผ่านแผลขนาดเพียง 2 - 3 มิลลิเมตร ข้อดีคือใช้พลังงานต่ำระดับนาโนจูลย์ ทำให้กระทบกระเทือนดวงตาน้อยและฟื้นตัวเร็วขึ้น การผ่าตัดด้วยวิธี NanoRelex ใช้เวลาผ่าตัดน้อย ลดอาการตาแห้งหลังการรักษา และเนื่องจากแผลมีขนาดเล็ก ทำให้กระจกตายังคงรูปร่างและความแข็งแรงหลังการผ่าตัด   NanoRelex คลิกเลย       2.SMILE Pro(สำหรับสายตาสั้นและเอียงเท่านั้น) SMILE Pro คือเทคโนโลยีการผ่าตัดแก้ไขสายตาที่ทันสมัยที่สุดด้วยนวัตกรรม Femtosecond Laser ผ่านเครื่อง Visumax 800 ที่ทำงานเร็วกว่าแบบเดิมถึง 3 เท่า โดยใช้เวลาเพียง 8 - 10 วินาทีต่อตา กระบวนการทำงานคือการแยกชั้นเนื้อเยื่อกระจกตาส่วนกลางเป็นแผ่นบางๆ เรียกว่า “เลนส์ติคูล” แล้วดึงออกผ่านแผลเล็กขนาดเพียง 2 - 4 มิลลิเมตร เพื่อปรับรูปร่างกระจกตาให้แสงตกกระทบจอประสาทตาได้พอดี การผ่าตัดแบบแผลเล็กนี้ช่วยลดภาวะแทรกซ้อน แผลหายไว ใช้สายตาได้เร็ว และคงความแข็งแรงของกระจกตาได้มากกว่าวิธีเลสิกทั่วไป จึงได้รับการยอมรับว่ามีความแม่นยำและปลอดภัยสูง   SMILE Pro คลิกเลย       3. ReLEx SMILE (สำหรับสายตาสั้นและเอียงเท่านั้น) ReLEx SMILE (Refractive Lenticule Extraction and Small Incision Lenticule Extraction) เป็นนวัตกรรมการผ่าตัดสายตาที่เปลี่ยนจากวิธีการใช้ใบมีดมาเป็นการใช้เลเซอร์ในการปรับรูปทรงกระจกตา ซึ่งพัฒนามาจากเทคนิคเลสิกแบบเดิม ทำให้มีความปลอดภัยและแม่นยำขึ้น เทคนิคนี้เป็นการผ่าตัดที่ไม่เจ็บ แผลเล็ก ใช้เวลาน้อย และสามารถแก้ไขปัญหาสายตาสั้นได้ถึง -10.00 ไดออปเตอร์ พร้อมทั้งลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการผ่าตัดแบบเก่า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทางเลือกใหม่ในการรักษาสายตา แม้จะเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยน้อยกว่า Smile Pro แต่ด้วยความปลอดภัย ReLEx SMILE จึงกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการแก้ไขปัญหาสายตาในปัจจุบัน     4.NanoLASIK(สำหรับสายตาสั้น ยาว และเอียง) NanoLASIK เป็นการพัฒนาขึ้นมาอีกขั้นจาก FemtoLASIK ซึ่งเป็นการรักษาสายตาผิดปกติที่ใช้เลเซอร์ในทุกขั้นตอน โดยใช้ Femtosecond Laser ที่มีความเร็วสูงและพลังงานต่ำในการแยกชั้นกระจกตา ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้ใบมีด จึงไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดหรือความไม่สบายตา และมีความแม่นยำ ปลอดภัยสูงสุด Laser Vision International LASIK Centerถือเป็นศูนย์รักษาสายตาเอกชนแห่งแรกของประเทศไทยที่ติดตั้งเครื่อง Femtosecond Laser นี้และนำมาใช้ในการรักษาจนประสบความสำเร็จ ได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง   NanoLASIK คลิกเลย       5.Nano NV LASIK(สำหรับสายตายาวเท่านั้น) Nano NV LASIK คือการพัฒนาต่อยอดจาก FemtoLASIK ที่ใช้เลเซอร์ความเร็วสูงและพลังงานต่ำระดับนาโนจูลในทุกขั้นตอน โดยเทคโนโลยี Femtosecond Laser ช่วยแยกชั้นกระจกตาโดยไม่ต้องใช้ใบมีด ทำให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือไม่สบายตา ถือเป็นการรักษาที่มีความแม่นยำและปลอดภัยสูงสุด Laser Vision International LASIK Centerนับเป็นศูนย์รักษาสายตาเอกชนแห่งแรกในประเทศไทยที่นำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในการรักษาและประสบความสำเร็จอย่างน่าพอใจ   Nano NV LASIK คลิกเลย       6.FemtoLASIK(สำหรับสายตาสั้น ยาว และเอียง) FemtoLASIK หรือเลสิกไร้ใบมีด (Bladeless LASIK) เป็นเทคนิคการผ่าตัดแก้ไขสายตาผิดปกติที่ใช้ Femtosecond Laser ในการแยกชั้นและเปิดฝากระจกตาอย่างแม่นยำ ก่อนใช้ Excimer Laser ปรับแต่งความโค้งของกระจกตาทีละจุดเพื่อให้ได้ค่าสายตาปกติ วิธีนี้แตกต่างจากเลสิกแบบดั้งเดิมที่ใช้ใบมีด โดย Femtosecond Laser สามารถปล่อยพัลส์สั้นระดับ 1 เฟมโตวินาที (1 ในพันล้านวินาที) ทำให้การผ่าตัดมีความแม่นยำสูง ไม่ทำลายเนื้อเยื่อโดยรอบ อ่อนโยนต่อดวงตา ใช้เวลาพักฟื้นสั้น และช่วยให้ผู้ป่วยมองเห็นได้อย่างมีคุณภาพรวดเร็วยิ่งขึ้น   FemtoLASIK คลิกเลย       7.NV LASIK(สำหรับสายตายาวเท่านั้น) ก่อนจะไปดูว่าเลสิกสายตายาวที่ไหนดี? มาดูเทคนิค NV LASIK หรือ Near Vision LASIK นวัตกรรมการรักษาสายตายาวตามอายุด้วยเทคนิคเลสิกที่อาศัยหลักการ Blended Vision โดยแพทย์จะปรับให้ตาข้างหนึ่งมองเห็นระยะไกลชัดเจน ส่วนอีกข้างจะถูกปรับให้มีสายตาสั้นเล็กน้อยเพื่อการมองระยะใกล้ได้ดี เมื่อใช้ตาทั้งสองข้างพร้อมกัน สมองจะประมวลผลให้มองเห็นได้ชัดทั้งระยะใกล้และไกล ช่วยลดการพึ่งพาแว่นในชีวิตประจำวัน แม้ว่าผู้รับการรักษาจะต้องใช้เวลาปรับตัวระยะหนึ่งเพื่อให้เกิดความคุ้นเคยกับการมองเห็นรูปแบบใหม่นี้   NV LASIK คลิกเลย       8.LASIK(สำหรับสายตาสั้น ยาว และเอียง) LASIK หรือ Laser In Situ Keratomileusis เป็นเทคโนโลยีการแก้ไขสายตาที่มีความก้าวหน้าและแม่นยำสูง โดยใช้เครื่องมือพิเศษที่เรียกว่า Microkeratome หรือเลเซอร์ เพื่อสร้างแผ่นกระจกตาบางพิเศษหนาประมาณ 100 - 120 ไมครอน ซึ่งจะถูกยกขึ้นอย่างระมัดระวังเพื่อเปิดชั้นในของกระจกตา จากนั้นจะใช้เลเซอร์ Excimer ส่องไปที่เนื้อเยื่อกระจกตาด้านใน เพื่อปรับแก้ความโค้งให้ตรงกับค่าสายตาที่ต้องการแก้ไขอย่างแม่นยำ และเมื่อปรับแก้เสร็จจะปิดแผ่นกระจกตากลับคืนสู่ตำแหน่งเดิม ซึ่งทำหน้าที่เป็นแผ่นปิดธรรมชาติเพื่อช่วยให้การหายของแผลเป็นไปอย่างรวดเร็วและราบรื่น     9.TransPRK(สำหรับสายตาสั้น ยาว และเอียง) TransPRK (Transepithelial Photorefractive Keratectomy) เป็นวิธีแก้ไขสายตาด้วยเลเซอร์ที่พัฒนาต่อยอดจาก PRK แบบดั้งเดิม ใช้รักษาสายตาสั้น ยาว หรือเอียง โดยใช้ Excimer Laser ลอกผิวกระจกตาและปรับความโค้งในขั้นตอนเดียวกัน ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ขูดผิวกระจกตาเหมือน PRK แบบเดิม จุดเด่นสำคัญคือไม่ต้องสัมผัสดวงตาโดยตรงในขั้นตอนใดๆ ทำให้ลดอาการระคายเคืองหลังทำ แผลหายเร็วขึ้น และลดความเสี่ยงในการติดเชื้อที่ดวงตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ   TransPRK LASIK คลิกเลย       10.PRK(สำหรับสายตาสั้น ยาว และเอียง) PRK (Photorefractive Keratectomy) เป็นวิธีแรกในการแก้ไขภาวะสายตาผิดปกติด้วยเลเซอร์ โดยใช้เทคนิคการลอกผิวกระจกตาชั้นนอกสุด (Epithelium) ออกด้วยเอ็กไซเมอร์เลเซอร์หรือสารละลายแอลกอฮอล์เจือจาง แล้วจึงปรับความโค้งของกระจกตาชั้นในด้วยเลเซอร์เพื่อให้สายตาเป็นปกติ หลังผ่าตัดผู้ป่วยต้องใส่คอนแท็กต์เลนส์ชนิดพิเศษแบบไม่มีค่าสายตาประมาณ 5 - 7 วัน เพื่อลดอาการระคายเคืองระหว่างที่ร่างกายสร้างผิวกระจกตาชั้นนอกใหม่ PRK เหมาะสำหรับผู้ที่มีกระจกตาบางหรือมีอาการตาแห้งซึ่งไม่เหมาะกับการทำเลสิก ข้อดีคือไม่ต้องใช้เลเซอร์เปิดฝากระจกตา ช่วยรักษาความแข็งแรงตามธรรมชาติของกระจกตาไว้ได้   PRK LASIK คลิกเลย       ทำเลสิกที่ไหนดี? รวมข้อควรรู้ก่อนเลือกโรงพยาบาล หลังจากรู้จักแต่ละเทคนิคการทำเลสิกไปแล้ว มาพิจารณาอย่างรอบคอบดูว่าควรทำเลสิกที่ไหนดี? การตัดสินใจเลือกโรงพยาบาลที่มีคุณภาพมีความสำคัญ เพราะดวงตาเป็นอวัยวะสำคัญในชีวิตประจำวัน หากเลือกไม่ดีอาจทำให้มีปัญหาที่แก้ไขได้ยาก เพื่อป้องกันการตัดสินใจผิดพลาดและปัญหาหลังการผ่าตัด บทความนี้ได้รวบรวมเทคนิคการเลือกโรงพยาบาลทำเลสิกที่มีคุณภาพ เพื่อให้พิจารณาก่อนตัดสินใจเข้ารับบริการ โรงพยาบาลได้มาตรฐาน มีใบอนุญาต การมีเลขที่ใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาลเป็นสิ่งสำคัญที่การันตีว่าสถานพยาบาลนั้นได้จัดตั้งขึ้นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ผ่านการตรวจสอบทั้งด้านอาคาร สิ่งแวดล้อม เครื่องมือ และมีผู้ประกอบวิชาชีพที่มีคุณสมบัติตามกำหนด ดังนั้น เมื่อพิจารณาว่า “เลสิกที่ไหนดี” เลขที่ใบอนุญาตจึงเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ ที่ควรตรวจสอบ โดยคุณสามารถดูได้จากที่สถานพยาบาลต้องติดแสดงไว้อย่างชัดเจน หรือตรวจสอบเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลสะอาด มีมาตรฐานความปลอดภัย การเลือกสถานพยาบาลที่มีความสะอาดและได้มาตรฐานความปลอดภัยระดับสากลเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อเข้ารับบริการที่ศูนย์เลสิก เนื่องจากเป็นการผ่าตัดที่ต้องได้รับการดูแลอย่างพิถีพิถัน หากสถานที่ขาดความสะอาดหรือมาตรฐานความปลอดภัยที่เหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น การติดเชื้อที่ดวงตาหรือการสูญเสียการมองเห็น ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่ไม่ควรประมาทเลย มีแพทย์เฉพาะทางการทำเลสิก หลายคนคงสงสัยว่าควรทำเลสิกที่ไหนดีและกับหมอคนไหน? เริ่มต้นง่ายๆ คุณควรเลือกจากแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านเลสิกและมีประสบการณ์การผ่าตัดแก้ไขสายตามามาก แพทย์ที่ดีต้องจบการศึกษาจากคณะแพทย์ศาสตร์ 6 ปี และเรียนต่อเฉพาะทางด้านจักษุวิทยาในหน่วยที่เกี่ยวข้องกับกระจกตาและการผ่าตัดแก้ไขสายตา พร้อมทั้งมีใบประกอบวิชาชีพที่ถูกต้อง โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อแพทย์ได้จากฐานข้อมูลแพทยสภา อุปกรณ์ครบ เทคโนโลยีการรักษาทันสมัย การทำเลสิกเป็นการผ่าตัดที่สำคัญต่อดวงตาซึ่งจำเป็นต้องใช้เครื่องมือเฉพาะทาง ไม่ว่าจะเป็นใบมีดจากเครื่อง Microkeratome ในการทำเลสิกทั่วไป หรือเลเซอร์จากเครื่อง Femtosecond Laser สำหรับเฟมโตเลสิกและรีแลกซ์ ดังนั้น การเลือกสถานพยาบาลที่มีความพร้อมทั้งด้านเทคโนโลยีทันสมัยที่ได้มาตรฐานสากล รวมถึงบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ พร้อมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกและสถานที่ที่เหมาะสมในการรองรับผู้ป่วยจำนวนมาก จึงเป็นสิ่งที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ มีบริการทำเลสิกที่หลากหลายให้เลือก เลสิกสายตายาวที่ไหนดี? เลสิกสายตาเอียงที่ไหนดี? ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป หากเลือกสถานพยาบาลที่มีทางเลือกในการทำเลสิกที่หลากหลาย เพราะเลสิกมีรูปแบบการแก้ไขปัญหาสายตาที่แตกต่างกัน โดยแต่ละประเภทมีเอกลักษณ์และข้อจำกัดเฉพาะตัว ซึ่งแต่ละคนก็เหมาะสมกับวิธีการที่แตกต่างกันไป ดังนั้น เมื่อต้องตัดสินใจว่า “เลสิกที่ไหนดี?” การเลือกศูนย์เลสิกที่มีตัวเลือกการรักษาหลากหลายจึงเป็นข้อได้เปรียบสำคัญ เพราะสามารถให้บริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เข้ารับบริการได้อย่างครอบคลุมทุกรูปแบบ มีรีวิวที่น่าเชื่อถือ ในการเลือกว่าจะทำเลสิกที่ไหนดี นอกจากการศึกษารายละเอียดต่างๆ แล้ว รีวิวจากผู้เคยรับการรักษามีความสำคัญอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ควรเลือกอ่านรีวิวจากแหล่งที่น่าเชื่อถือและใช้วิจารณญาณพิจารณา เนื่องจากรีวิวเป็นความคิดเห็นส่วนตัวที่อาจมีทั้งจริงและปลอม การอ่านรีวิวที่เชื่อถือได้จะช่วยให้ทราบข้อมูลที่สถานพยาบาลอาจไม่ได้แจ้งไว้ และเป็นประสบการณ์ตรงที่หาไม่ได้จากแหล่งอื่น เดินทางสะดวกสบาย ตำแหน่งที่ตั้งของสถานพยาบาลเป็นเกณฑ์สำคัญในการพิจารณาว่าเลสิกที่ไหนดี เนื่องจากหลังทำเลสิก การมองเห็นจะไม่ชัดชั่วคราวและต้องกลับไปพักฟื้น อีกทั้งผู้ป่วยจำเป็นต้องกลับมาพบจักษุแพทย์เป็นระยะเพื่อติดตามผลหรือหากมีภาวะแทรกซ้อน ดังนั้น ควรเลือกสถานพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่พักหรือที่ทำงาน มีการเดินทางสะดวกทั้งรถส่วนตัว (มีที่จอดรถเพียงพอ) หรือรถสาธารณะที่มีหลากหลายเส้นทาง ราคาสมเหตุสมผล การเลือกโรงพยาบาลทำเลสิกที่เหมาะสมนั้นจำเป็นต้องพิจารณาทั้งด้านค่าใช้จ่ายและคุณภาพการบริการที่ได้รับ โดยสถานพยาบาลที่ดีควรมีการแจกแจงรายละเอียดค่าใช้จ่ายอย่างชัดเจนเพื่อป้องกันค่าใช้จ่ายบานปลาย ราคาการทำเลสิกในแต่ละสถานพยาบาลจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับประเภทการรักษาและรายละเอียดบริการ บางแห่งรวมค่าตรวจทั้งหมดแล้ว ขณะที่บางแห่งอาจคิดเฉพาะค่าผ่าตัดและมีค่าใช้จ่ายอื่นเพิ่มเติม ผู้สนใจจึงควรศึกษาเงื่อนไขอย่างละเอียดและเปรียบเทียบโปรโมชันระหว่างสถานพยาบาลต่างๆ ที่ศูนย์รักษาตา Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) มีบริการทำเลสิกหลายประเภท ดังนี้ ประเภทการรักษาและราคา NanoRelexราคาปกติ 148,000 บาท Smile Proราคาปกติ 148,000 บาท NanoLASIKราคาปกติ 148,000 บาท Nano NV LASIKราคาปกติ 148,000 บาท FemtoLASIKราคาปกติ 118,000 บาท NV LASIKราคาปกติ 88,000 บาท LASIKราคาปกติ 78,000 บาท TransPRKราคาปกติ 78,000 บาท PRKราคาปกติ 78,000 บาท   ตรวจสอบโปรโมชั่นได้ที่              คลิก ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ค่าตรวจประเมินสภาพสายตาโดยละเอียด 3,500 บาท อัตราค่าบริการตรวจและรักษาสายตาเป็นค่าบริการสำหรับการรักษา 2 ตาในวันเดียวกัน โดยค่าบริการรวมค่ายาและเวชภัณฑ์ที่ใช้ในการผ่าตัด และค่าบริการตรวจติดตามผลหลังการผ่าตัด 5 ครั้ง ภายในระยะเวลา 1 ปี (1 วัน 1 อาทิตย์ 1 เดือน 6 เดือน และ 1 ปี) เท่านั้น ทำเลสิกที่ Laser Vision International LASIK Center ศูนย์รักษาตา Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร หากใครสนใจทำเลสิก มาปรึกษาและรักษาได้ที่ Laser Vision International LASIK Center ศูนย์รักษาสายตานานาชาติ เลเซอร์วิชั่น Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) เป็นศูนย์รักษาสายตาผิดปกติ ที่มีครบทุกทางเลือก เน้นการรักษาที่มีประสิทธิภาพ และการบริการที่ประทับใจ ด้วยจักษุแพทย์ผู้มากความรู้เกี่ยวกับดวงตาและทีมงานที่มีประสบการณ์ และจุดเด่นดังนี้ ศูนย์เลสิกเเห่งแรกที่ในเอเชีย ที่ได้ผ่านการรับรองมาตรฐาน AACI (Ameican Accreditation Comission Internataional) ทีมแพทย์มีประสบการณ์กว่า 27 ปี ผ่าตัดมาแล้วมากกว่า 100,000 ตา ทีมเเพทย์เฉพาะทางด้านกระจกตาและการผ่าตัดแก้ไขสายตาผิดปกติ นำโดย รศ.นพ. อนันต์ วงศ์ทองศรี แพทย์ไทยท่านแรกที่ใช้นวัตกรรมเลสิกแบบไร้ใบมีด ที่เดียวในไทยที่มีเทคโนโลยีเลสิกใหม่ล่าสุด มีรูปแบบการทำเลสิกให้เลือกหลากหลายที่สุด สามารถแก้ไขสายตาได้ครบทุกรูปแบบการรักษา ด้วยเทคโนโลยี Nano Relex, NanoLASIK หรือ SMILE Pro บริการโดย Patient Experience Executive Team พร้อมให้บริการทั้งชาวไทยและต่างประเทศแบบครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง เทคโนโลยีสำหรับการทำเลสิกสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย สรุป การทำเลสิกเป็นการผ่าตัดด้วยเลเซอร์เอ็กไซเมอร์เพื่อปรับความโค้งของกระจกตา แก้ไขปัญหาสายตาผิดปกติทั้งสายตาสั้น สายตายาวโดยกำเนิด และสายตาเอียง ทำให้สามารถมองเห็นได้ชัดเจนในระยะต่างๆ เมื่อต้องการเลือกว่าเลสิกที่ไหนดี? ควรพิจารณาปัจจัยสำคัญ เช่น ใบอนุญาตและมาตรฐานสถานพยาบาล ความเชี่ยวชาญของแพทย์ ความทันสมัยของเทคโนโลยีและอุปกรณ์ ทางเลือกในการรักษาที่หลากหลาย รีวิวที่น่าเชื่อถือ ความสะดวกในการเดินทาง และความคุ้มค่าของราคากับคุณภาพบริการที่ได้รับ หากใครสนใจทำเลสิก มาปรึกษาและรักษาได้ที่ ศูนย์เลเซอร์วิชั่น Bangkok Eye Hospital โรงพยาบาลเฉพาะทางที่มีทีมแพทย์มากประสบการณ์ อุปกรณ์ที่ทันสมัย ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล มั่นใจได้ว่าการรักษาเป็นไปอย่างถูกต้อง แม่นยำ และปลอดภัย
ศูนย์เลสิก LASER VISION

เทคนิคการเลือกแว่นตาหลังทำเลสิก

เทคนิคการเลือกแว่นตาหลังทำเลสิก หลังจากที่ทำเลสิกแล้วเพื่อให้แผลหายเร็วและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด สิ่งที่สำคัญไม่แพ้การรักษาความสะอาดคือการหลีกเลี่ยงแสงแดด การใส่แว่นกันแดดเป็นสิ่งหนึ่งที่คุณสามารถทำเพื่อดูแลดวงตาของคุณหลังการผ่าตัดได้ โดยมีเทคนิคการเลือกแว่นกันแดดดังนี้   🌞 เลือกเลนส์ที่สามารถป้องกันแสง UV ได้ 99-100% แสงอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์สามารถทำอันตรายต่อดวงตาได้ แม้ว่าจะทำเลสิกแล้วก็ตาม การใส่แว่นกันแดดที่มีเลนส์ป้องกัน UV จึงเป็นสิ่งสำคัญ 🌞 ถ้าอยู่ในที่ ๆ มีแสงสะท้อนเยอะ ควรเลือกเลนส์โพลาไรซ์ซึ่งช่วยตัดแสงสะท้อนจะทำให้สบายตามากขึ้น 🌞 เลือกสีให้เหมาะกับการใช้งาน โดยไม่จำเป็นต้องเป็นสีดำมืดก็ได้ 🌞 เลือกขนาดที่เหมาะกับใบหน้า เลนส์ควรมีความกว้างเท่ากับใบหน้าของคุณ สันจมูกควรสวมได้พอดีโดยไม่รัดแน่นเกินไป และขาแว่นควรสวมได้พอดีโดยไม่กดทับใบหน้า   สามารถมาเลือกแว่นตากันแดดแบรนด์ชั้นนำได้ที่ร้าน WALTZ ในโรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ Bangkok Eye Hospital ชั้น 3 เปิดให้บริการ ตั้งแต่เวลา 10.00 -19.00 น. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.02-511-2111
ศูนย์เลสิก LASER VISION

เทคโนโลยีเลสิคขั้นสูงล่าสุดของ Laser Vision เพื่อการมองเห็นที่คมชัด

Laser Vision ซึ่งเป็นผู้นำด้านการรักษาด้วยเลเซอร์สายตามากว่า 25 ปีในประเทศไทย ขณะนี้ได้ขยายบริการเปิดเป็น Bangkok Eye Hospital พร้อมนำเทคโนโลยี AI และ Robotic ล่าสุดมาใช้ในการตรวจวินิจฉัยและรักษาปัญหาสุขภาพตาแบบครบวงจรในที่เดียว ขั้นตอนการรักษาด้วยเลเซอร์สายตาที่ Laser Vision ประกอบด้วย Comprehensive Eye Examination: เนื่องจากดวงตาและกระจกตาของแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกัน เราจึงใช้ AI และเครื่องมือที่ทันสมัยที่สุด เพื่อตรวจวิเคราะห์สุขภาพตา สภาพกระจกตา และปัญหาสายตาที่ต้องแก้ไขโดยจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระจกตาและการหักเหแสงจะเป็นผู้ตรวจวินิจฉัยด้วยตนเอง และจะอนุญาตให้รักษาด้วยเลเซอร์เฉพาะในกรณีที่ดวงตาและกระจกตาอยู่ในสภาพที่ปลอดภัย หากพบว่าไม่เหมาะสมกับการรักษาด้วยเลเซอร์ เรามีทางเลือกการรักษาอื่นๆ ที่เหมาะสมกับสภาพดวงตา หรือในกรณีที่ตรวจพบปัญหาสุขภาพตาอื่นๆ ท่านสามารถรับการรักษาจากจักษุแพทย์เฉพาะทางสาขาอื่นๆ ได้ทันทีที่นี่ วิธีการรักษาสายตาด้วยเลเซอร์ ผลลัพธ์ของการรักษาด้วยเลเซอร์ขึ้นอยู่กับปัญหาสุขภาพตา วิธีการ และเทคโนโลยีที่ใช้ ที่ Laser Vision เรามีเทคโนโลยีการรักษาด้วยเลเซอร์ที่ทันสมัยที่สุด 2 ชนิด คือ NanoRelex และ NanoLASIK ซึ่งเป็นเทคนิคแบบ Bladeless Technique ที่ไม่ต้องใช้ใบมีด ท่านสามารถเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับสภาพกระจกตาและปัญหาสายตาได้ ✅NanoRelex: เป็นเทคนิค SMILE ที่ไม่ต้องเปิดแผลที่กระจกตา มีหลักการทำงานคล้ายกับ ReLExSMILE แต่ใช้เทคโนโลยีที่แตกต่าง ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่คมชัดยิ่งขึ้น ✅NanoLASIK: เหมาะสำหรับผู้ที่มีค่าสายตาสูง หรือกระจกตาบาง เป็นเทคนิคที่เปิดแผลที่กระจกตาเป็นรูปตัว C เพื่อรักษาด้วยเลเซอร์ ช่วยแก้ไขค่าสายตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีขั้นสูงใน NanoRelex และ NanoLASIK ทั้ง NanoRelex และ NanoLASIK ใช้ Ziemer FemtoLDV Platform จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งมีข้อดีดังนี้ 👁️‍🗨️Nanojoules-powered Femtosecond Laser: ใช้พลังงานต่ำที่สุดในบรรดาเลเซอร์ Femtosecond 👁️‍🗨️AI Technology: ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการรักษา และให้ผลลัพธ์ที่คมชัดยิ่งขึ้น 👁️‍🗨️Real-Time OCT Scan: ช่วยให้แพทย์เห็นข้อมูลสำคัญแบบเรียลไทม์ เพื่อปรับการรักษาให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ลดโอกาสการเกิดแสงฟุ้งกระจายหลังผ่าตัด เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะตาแห้ง แสงฟุ้งกระจาย และช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ฟื้นตัวเร็วขึ้น AI ยังช่วยเพิ่มความแม่นยำและความรวดเร็วในการรักษา และให้ผลลัพธ์ที่คมชัดยิ่งขึ้น ทำไมต้องเลือก Bangkok Eye Hospital? ℹ️ก่อตั้งและบริหารงานโดยจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระจกตาและการหักเหแสง ที่มีประสบการณ์มากกว่า 26 ปีในประเทศไทย ให้บริการรักษาโรคตาแบบครบวงจร ทั้ง LASIK, ต้อกระจก, ต้อหิน, จอประสาทตา, ศัลยกรรมตกแต่งเปลือกตา และโรคทางระบบประสาทตา ℹ️มีประสบการณ์รักษาด้วยเลเซอร์มากกว่า 90,000 เคส รวมถึงเคสที่ซับซ้อน มั่นใจได้ในความปลอดภัย ℹ️ใช้เทคโนโลยี AI และ Robotic ล่าสุด ช่วยให้การตรวจวินิจฉัยรวดเร็ว แม่นยำ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ℹ️มีที่ปรึกษาชาวเมียนมาร์คอยให้คำแนะนำ และดูแลตลอดการรักษา (โดยไม่มีค่าใช้จ่าย) เพื่อให้คนไข้ชาวเมียนมาร์ได้รับความสะดวกสบาย ℹ️ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีคนไข้ชาวเมียนมาร์กว่า 400 คน ที่เข้ารับการรักษาด้วย NanoRelex และ NanoLASIK และมีคนไข้จำนวนมากที่เข้ารับการรักษาโรคตาอื่นๆ "เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับการมองเห็น นัดหมายวันนี้" ติดต่อ 📲Viber, Whatsapp (In-House Myanmar Consultant): +66965426179 🗨️ส่งข้อความ: https://bit.ly/laservisionmyanmarofficialpage
ศูนย์เลสิก LASER VISION

อย่าให้ปัญหาสายตาสั้นทำให้ชีวิตของคุณยุ่งยาก!

หลายคนมีปัญหาสายตาสั้น ทำให้มีทัศนวิสัยในการมองเห็นแย่ มองเห็นภาพไกล ๆ ไม่ชัด มองเห็นเป็นภาพเบลอ ซึ่งสร้างความลำบากในการใช้ชีวิตไม่น้อย โดยเฉพาะคนที่มีค่าสายตาสั้นสูงมาก จนทำให้ต้องใส่แว่นหรือคอนแทคเลนส์แทบจะตลอดเวลา ซึ่งถือเป็นการเพิ่มอุปกรณ์จำเป็นในการดำรงชีวิตและเพิ่มค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตประจำวันอีกด้วย โดยเฉพาะคนที่สายตาสั้นและต้องใส่คอนแทคเลนส์ยังต้องเพิ่มเรื่องของการดูแลความสะอาด เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ดวงตาติดเชื้อและอาจนำไปสู่อันตรายร้ายแรงต่อดวงตาอีกด้วย   ทั้งนี้ทั้งนั้นสายตาสั้นอาจไม่ใช่แค่ปัญหาที่สร้างความรำคาญ หรือทำให้ขาดความคล่องตัวในการดำเนินชีวิตเพียงแค่นั้น แต่ยังส่งผลกระทบกับชีวิตได้อีกหลายด้าน ทั้งด้านสุขภาพ ด้านการเงิน หรือแม้กระทั่งยังอาจเป็นตัวกำหนดอาชีพในอนาคตเราได้อีกด้วย ดังนั้นหากไม่อยากปล่อยให้เรื่องสายตาสั้นเป็นปัญหากวนใจ ควรหาทางแก้ไขตั้งแต่เนิ่น ๆ   ผลกระทบด้านต่าง ๆ ที่เกิดจากสายตาสั้น ด้านสุขภาพ หลายคนยังไม่ทราบว่าหากใครที่มีสายตาสั้นมาก ๆ ในอนาคตอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ ในบริเวณดวงตาได้ เช่น จอประสาทตาเสื่อม จอตาลอก จอตาฉีกขาด หรือวุ้นในตาเสื่อม ซึ่งในบางกรณีอาจรุนแรงถึงขึ้นทำทำให้สูญเสียการมองเห็นได้เลย   ด้านสังคมและการดำเนินชีวิตประจำวัน สายตาสั้นทำให้ขาดความคล่องตัวในการดำเนินชีวิตและการทำกิจกรรมบางอย่าง เช่น ในวัยเรียนอาจประสบปัญหามองกระดานเรียนไม่ชัด ทำให้มีปัญหาการเรียนสะดุดได้ เมื่อโตขึ้นการทำกิจกรรมบางอย่างก็ต้องใช้สายตาเป็นส่วนสำคัญ เช่น การขับขี่รถจักรยานยนต์หรือรถมอเตอร์ไซต์และอื่น ๆ ดังนั้นเพื่อความคล่องตัวและความปลอดภัยจึงต้องใส่แว่นสายตาและคอนแทคเลนส์ และนำมาสู่ผลกระทบในข้อถัดไป   ด้านการเงิน เมื่อเริ่มรู้ว่าตนเองมีค่าสายตาที่ผิดปกติ ควรตรวจวัดค่าสายตาก่อนเป็นอันดับแรก แล้วจึงทำการตัดแว่นหรือหาซื้อคอนแทคเลนส์ตามค่าสายตาของตนเอง เพื่อปรับให้มีการมองเห็นที่เหมาะสม ซึ่งค่าใช้จ่ายในส่วนนี้จะเป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมา ต่างจากคนที่มีค่าสายตาปกติ และค่าสายตาเป็นอะไรที่ไม่คงที เมื่ออายุมากขึ้นค่าสายตาสั้นก็อาจสูงขึ้นตามไปด้วยทำให้ต้องเปลี่ยนเลนส์แว่นหรือคอนแทคเลนส์ใหม่ ๆ ทุกครั้งที่ค่าสายตาเปลี่ยน ทำให้มีภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้นในชีวิตประจำวัน   ด้านการประกอบอาชีพ รู้หรือไม่ว่าบางอาชีพมีการกำหนดค่าสายตาสูงสุดที่สามารถประกอบอาชีพนั้น ๆ ได้ด้วย ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นอาชีพที่ต้องใช้สายตาเพื่อความละเอียดแม่นยำเพื่อความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน ของทั้งตนเองและผู้อื่น อย่างเช่น อาชีพนักบินถูกกำหนดห้ามสายตาสั้นเกิน -3.00D ห้ามสายตาเอียงเกิน -1.50D ส่วนนายสิบ นายร้อย ตำรวจและทหาร ต้องมีสายตาปกติและอ่าน snellen chart ได้หกต่อหก   แก้ไขสายตาสั้น ให้หมดความกังวลใจ ด้วยการทำเลสิกกับ LASERVISION เพื่อความคล่องตัวในการดำเนินชีวิต และสำหรับบางคนที่อยากทำอาชีพได้แบบที่หวังโดยไม่ต้องกังวลใจกับเรื่องค่าสายตา หนทางเดียวที่จะทำให้ค่าสายตาเป็นปกติ คือ การผ่าตัดเพื่อแก้ไขค่าสายตา โดยที่ในปัจจุบันการผ่าตัดแก้ไขค่าสายตานั้นนิยมทำด้วยการเลเซอร์ ซึ่งเป็นการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพื่อให้ผลลัพธ์มีความแม่นยำมากขึ้น มีความปลอดภัยมากขึ้น ที่สำคัญคือแผลผ่าเล็กไม่ต้องพักฟื้นนาน เหมือนกับการที่ศูนย์รักษาสายตานานาชาติ เลเซอร์วิชั่น เป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียวในไทยที่นำเอาเทคโนโลยี NanoRelex® เข้ามาใช้ในการผ่าตัดแก้ไขค่าสายตา   โดย NanoRelex® เป็นการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงของ Femtosecond Laser ที่มีความแม่นยำสูง ในการปรับแต่งเนื้อเยื่อภายในชั้น Stroma ของกระจกตา ด้วยการคำนวณชิ้นเนื้อกระจกตา เป็นรูป 3 มิติ ที่เรียกว่า Lenticule ตามค่าสายตาของแต่ละบุคคล แล้วทำการนำ Lenticule ออกผ่านทางแผลขนาดเล็กประมาณ 2-3 มิลลิเมตร ใช้เวลาผ่าตัดน้อย ลดอาการตาแห้งได้ดี ที่สำคัญคือ หลังการผ่าตัดกระจกตาจะยังคงรูปร่างและความแข็งแรงอยู่ ทำให้คุณมั่นใจในการใช้ชีวิตด้วยการมองเห็นที่ดีขึ้น และไม่มีปัญหากวนใจอื่น ๆ ตามมาในภายหลัง
calling
ติดต่อเรา : +662 511 2111