มุมสุขภาพตา : #สายตายาว

เรียงตาม

กระจกตาบางเกิดจากอะไร? อาการ ผลกระทบต่อสายตาและวิธีรักษา

กระจกตาบางคือภาวะที่กระจกตาซึ่งเป็นชั้นโปร่งใสด้านหน้าตาของดวงตามีความหนาน้อยกว่าปกติ ส่งผลต่อการมองเห็นและสุขภาพตา กระจกตาบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การเสื่อมตามวัย การขยี้ตาบ่อยๆ โรคทางพันธุกรรม หรือผลข้างเคียงจากการผ่าตัดตา เช่น เลสิก อาการของกระจกตาบางที่สังเกตได้ เช่น ตาพร่ามัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย มองเห็นภาพบิดเบี้ยว และสายตาเอียงสูงผิดปกติ กระจกตาบางคือภาวะที่ความหนาของกระจกตาลดลงกว่าปกติ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการโฟกัสแสงเข้าสู่ดวงตา ทำให้การมองเห็นมีความคมชัด หากกระจกตาบางเกินไป อาจเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสายตา เช่น สายตาผิดปกติ หรือมีผลกระทบต่อการรักษาดวงตาด้วยวิธีต่างๆ เช่น เลสิก การเข้าใจสาเหตุ อาการ และการดูแลกระจกตาบางอย่างถูกต้อง จึงช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและดูแลสุขภาพตาได้ดีขึ้น       กระจกตาคืออะไร? สิ่งสำคัญต่อการมองเห็น กระจกตา (Cornea) คือชั้นโปร่งใสและโค้งอยู่ด้านหน้าสุดของดวงตา ครอบคลุมตาดำ มีหน้าที่ช่วยหักเหแสงให้เข้าสู่ดวงตา ทำให้เรามองเห็นชัดเจน และยังเป็นเกราะป้องกันเชื้อโรคโดยตรง โดยปกติความหนาของกระจกตาจะอยู่ที่ประมาณ 520-550 ไมครอน และสามารถบางลงได้ตามอายุที่เพิ่มขึ้นด้วย       รู้จักกับกระจกตาบาง กระจกตาบางคือลักษณะของกระจกตาที่มีความหนาน้อยกว่า 500 ไมครอน (0.5 มิลลิเมตร) โดยทั่วไปไม่ถือเป็นโรคและไม่ต้องรักษา แต่กระจกตาบางจะส่งผลต่อการวินิจฉัยโรคบางอย่าง เช่น ต้อหิน เพราะทำให้วัดความดันตาต่ำกว่าความจริง รวมถึงส่งผลต่อการเลือกวิธีแก้ไขสายตา เช่น หากผู้ป่วยต้องการทำ LASIK และ มีระดับค่าสายตาที่มีผิดปกติสูง เช่น สั้น หรือ เอียงมาก โดยมีความหนาของกระจกตาน้อย เมื่อเปรียบเทียบกันกับเนื้อกระจกตาที่ต้องใช้ผ่าตัด หลังจากได้รับการตรวจจากผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียด เเพทย์ประเมินแล้วอาจจะไม่สามารถแก้ไขค่าสายตาได้หมด หรืออาจทำให้ กระจกตาเสี่ยงเป็นโรคกระจกตาอื่นๆหลังการแก้ไข เเพทย์อาจประเมินให้ผู้ป่วยทำการรักษาด้วยวิธีการอื่นๆ เช่น PRK ICL FemtoLASIK ReLEx SMILE Pro หรือ NanoLASIK  แทนการทำ LASIK แบบทั่วๆไป ซึ่งเป็นการเเก้ไขที่ใช้หรือรบกวนความหนาของกระจกตาน้อยกว่าเพราะฉะนั้น ก่อนทำเลสิกจึงต้องสังเกตและตรวจประเมินความหนาของกระจกตาอย่างละเอียด เพราะหากบางเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะสายตาเอียงผิดปกติ หรือกระจกตาย้วย ซึ่งส่งผลต่อการมองเห็นได้ นอกจากนี้หลายคนยังสงสัยว่า “ใส่คอนแท็กต์เลนส์ ทำให้กระจกตาบางจริงไหม?” คำตอบคือ โดยทั่วไปการใส่คอนแท็กต์เลนส์อย่างถูกวิธี ไม่ได้ทำให้กระจกตาบางลง แต่หากใส่นานเกินไป ไม่ถอดล้างหรือดูแลอย่างถูกต้อง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเกิดภาวะขาดออกซิเจนที่กระจกตา ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อบางลงได้เช่นกัน       กระจกตาบางเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง? กระจกตาบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ การเข้าใจสาเหตุเหล่านี้ช่วยให้สามารถป้องกันและดูแลสุขภาพตาได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น โดยสาเหตุที่พบได้บ่อย มีดังนี้   โรคทางพันธุกรรม แม้ว่าภาวะกระจกตาบางมักเกิดจากพฤติกรรมบางอย่าง แต่ในบางกรณี ความผิดปกตินี้อาจมีสาเหตุจากโรคพันธุกรรมที่ถ่ายทอดภายในครอบครัว หนึ่งในโรคที่พบบ่อย คือ กระจกตาย้วย (Keratoconus) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของภาวะกระจกตาบาง กระจกตาจะบางลงและโป่งยื่นออกมาคล้ายรูปกรวย ทำให้สายตาเอียงผิดปกติ และการมองเห็นแย่ลงเรื้อรัง มักเริ่มแสดงอาการในช่วงวัยรุ่นถึงอายุ 30 ปี โรคกระจกตาบางจากพันธุกรรมอื่นๆ (Corneal Dystrophies) เช่น Pellucid Marginal Degeneration (PMD) ซึ่งกระจกตาจะบางลงบริเวณขอบด้านล่าง   การบาดเจ็บหรือการผ่าตัดตา การผ่าตัดแก้ไขสายตาบางประเภท เช่น การทำเลสิก (LASIK) หรือ PRK อาจส่งผลให้กระจกตาบางลงได้ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการเลเซอร์เนื้อกระจกตา ออกไปมากเกินความจำเป็น ทำให้ความหนาของกระจกตาที่เหลืออยู่ไม่เพียงพอ เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น กระจกตาย้วยในอนาคต นอกจากนี้การบาดเจ็บที่กระจกตาซ้ำๆ รวมถึงการติดเชื้อที่รุนแรง เช่น แผลที่กระจกตาหรือกระจกตาอักเสบ ก็สามารถทำลายเนื้อเยื่อกระจกตาและทำให้เกิดการบางลงได้เช่นกัน โดยเฉพาะหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที   โรคอื่นๆ หรือการใช้ยา โรคทางภูมิคุ้มกันบางชนิด เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) หรือโรคเอสแอลอี (SLE) อาจส่งผลกระทบต่อกระจกตา ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และนำไปสู่ภาวะกระจกตาบางได้ในระยะยาว เนื่องจากภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเนื้อเยื่อของตาเอง ในขณะเดียวกัน การใช้ยาหยอดตาบางชนิด โดยเฉพาะยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ หากใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจมีผลข้างเคียงต่อโครงสร้างของกระจกตา ทำให้เนื้อเยื่อกระจกตาอ่อนแอและบางลงได้เช่นกัน       อาการของภาวะกระจกตาบาง ภาวะกระจกตาบางมักพัฒนาอย่างช้าๆ จนอาจไม่สังเกตเห็นได้ในระยะแรก การเรียนรู้ที่จะสังเกตอาการเบื้องต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรักษาได้อย่างทันท่วงที โดยอาการที่อาจพบมีดังนี้ การมองเห็นพร่ามัวหรือไม่ชัดเจน ค่าสายตาเปลี่ยนแปลงบ่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ มีค่าสายตาเอียงสูงกว่าปกติ มองเห็นภาพบิดเบี้ยว หรือมีลักษณะผิดรูปจากความจริง       วิธีการตรวจและวินิจฉัยกระจกตาบาง โดยปกติแล้วภาวะกระจกตาบางมักถูกตรวจพบในขั้นตอนการประเมินสายตาก่อนทำเลสิก ซึ่งแพทย์จะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Keratometerตรวจวัดความโค้งของกระจกตาและค่าสายตาเอียง โดยการสะท้อนแสงบนกระจกตาเพื่อตรวจหารูปร่างและความโค้งที่ผิดปกติ ซึ่งความโค้งที่ผิดปกตินี้ อาจสัมพันธ์กับความบางของกระจกตา นอกจากนั้นยังมีการตรวจ Corneal Tophography หรือแผนภูมิดวงตาเพื่อประเมินค่าความหนาบางและความผิดปกติของกระจกตาอื่นๆด้วย โดยอาจจะมีการวัด Tomographic Biomechanical Index หรือ ค่าความเเข็งเเรงของกระจกตา เสริมเพื่อตรวจความเสี่ยงของโรค Corneal Ectasia หรือโรคกระจกตาโป้งอีกด้วย แม้ว่าจะสามารถสังเกตอาการเบื้องต้นได้ เช่น มองเห็นไม่ชัดหรือค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย แต่การวินิจฉัยว่ามีกระจกตาบางจริงหรือไม่นั้น ต้องอาศัยการตรวจโดยจักษุแพทย์เท่านั้น เพราะการสังเกตอาการด้วยตนเองเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น ไม่สามารถยืนยันผลได้ ดังนั้นหากสงสัยว่าตนเองมีกระจกตาบาง ควรเข้ารับการตรวจอย่างละเอียดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวางแผนการดูแลและรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้น   สรุป กระจกตาบางเป็นภาวะที่หลายคนไม่รู้ตัว แต่สามารถส่งผลกระทบต่อการมองเห็น เช่น ตาพร่ามัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย หรือภาพบิดเบี้ยว ซึ่งอาจเกิดจากพันธุกรรม โรคภูมิคุ้มกัน การผ่าตัดแก้ไขสายตา หรือการใช้ยาบางชนิด การตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกจึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่วางแผนทำเลสิก ควรเข้ารับการตรวจวัดความหนาและความโค้งของกระจกตาอย่างละเอียดที่ Bangkok Eye Hospital ด้วยเครื่องมือทันสมัยและแพทย์เฉพาะทาง เพื่อป้องกันและดูแลสุขภาพดวงตาได้อย่างมั่นใจ   คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกระจกตาบาง (FAQ) หลายคนที่เพิ่งเคยได้ยินเกี่ยวกับภาวะกระจกตาบางอาจมีข้อสงสัยมากมาย เพื่อช่วยให้เข้าใจมากขึ้น เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาวะกระจกตาบาง พร้อมคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญมาฝากกันในบทความนี้   ทำอย่างไรให้กระจกตาหนาขึ้น ความหนาของกระจกตาไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากเป็นความผิดปกติที่เกิดจากโครงสร้างภายในชั้นกระจกตาเอง   ถ้าปล่อยให้กระจกตาบางแล้วไม่รักษา จะเป็นอย่างไร? สายตาพร่ามัวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถแก้ไขด้วยแว่นหรือคอนแท็กต์เลนส์ปกติได้ กระจกตาโป่งยื่นออกมามากผิดปกติ ทำให้การมองเห็นแย่ลงอย่างถาวร ในบางกรณีรุนแรงมาก อาจเกิดภาวะกระจกตาบวมน้ำฉับพลัน (Acute Hydrops) หรือกระจกตาทะลุ ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินและอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้หากไม่ได้รับการปลูกถ่ายกระจกตา   สามารถป้องกันภาวะกระจกตาบางได้ไหม หลีกเลี่ยงการขยี้ตาแรงๆ เพราะการขยี้ตาเป็นประจำและรุนแรงสามารถทำให้กระจกตาบางลงและเป็นตัวกระตุ้นให้โรคกระจกตาย้วยแย่ลง ดูแลสุขภาพตาโดยรวม เช่น ไม่ใช้คอนแท็กต์เลนส์นานเกินไป และรักษาความสะอาดของดวงตา พบจักษุแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคเกี่ยวกับกระจกตา เพื่อให้สามารถวินิจฉัยและเริ่มการรักษาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะให้ผลลัพธ์การรักษาที่ดีกว่า  
อ่านเพิ่มเติม

คอนเเทคเลนส์คืออะไร? วิธีดูแลทำความสะอาด พร้อมข้อควรรู้เบื้องต้น

คอนเเทคเลนส์คือเลนส์ใสที่สวมบนดวงตาเพื่อแก้ไขปัญหาสายตาหรือเปลี่ยนลุคให้ดูดีขึ้น คอนเเทคเลนส์มีหลายประเภท เช่น เลนส์นิ่ม เลนส์แข็ง (RGP) เลนส์รายวัน เลนส์รายเดือน เลนส์แก้สายตาเอียง และเลนส์แฟชันสีต่างๆ วิธีดูแลคอนเเทคเลนส์ที่ถูกต้อง คือล้างมือให้สะอาดก่อนจับ ใช้น้ำยาล้างถูเลนส์ทุกครั้งหลังถอด หลีกเลี่ยงน้ำเปล่าหรือน้ำลาย เก็บเลนส์ในกล่องพร้อมน้ำยาใหม่ทุกวัน และทำความสะอาดกล่องพร้อมเปลี่ยนทุก 3 เดือน เพื่อป้องกันเชื้อโรคและติดเชื้อที่ตา ข้อควรรู้ในการใช้คอนเเทคเลนส์ คือใส่ตามคำแนะนำแพทย์ ไม่ใช้เลนส์ร่วมกับผู้อื่น ล้างมือก่อนจับเลนส์ หลีกเลี่ยงใส่นานเกินไปและไม่ควรนอนหลับขณะใส่ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและระคายเคืองตา คอนเเทคเลนส์ (Contact Lens) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการแก้ปัญหาสายตาหรือเปลี่ยนลุคให้ดวงตาดูโดดเด่นมากขึ้น ไม่ว่าจะใส่แทนแว่นสายตาหรือเพื่อความสวยงาม แต่การใช้คอนเเทคเลนส์อย่างไม่ระวัง อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพตาได้ ดังนั้นจึงควรรู้วิธีการใช้งาน การดูแลรักษา และข้อควรระวังเบื้องต้น เพื่อความปลอดภัยและสุขภาพตาที่ดีในระยะยาว   คอนเเทคเลนส์คืออะไร? คอนเเทคเลนส์เป็นแผ่นพลาสติกบางใสรูปวงกลม ที่สวมใส่บนกระจกตาเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาภาวะสายตาผิดปกติ ซึ่งเกิดจากการที่ดวงตาไม่สามารถรวมแสงให้ตกบนจอรับภาพได้อย่างพอดี ทำให้มองเห็นภาพไม่ชัดเจน โดยคอนเเทคเลนส์สามารถช่วยปรับการมองเห็นให้ดีขึ้นในผู้ที่มีปัญหาสายตาสั้น สายตายาวโดยกำเนิด สายตาเอียง และสายตายาวตามอายุ     ประเภทของคอนเเทคเลนส์ คอนเเทคเลนส์มีให้เลือกหลายประเภท ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้งาน ลักษณะสายตา และความสะดวกสบายของผู้ใช้ โดยสามารถแบ่งออกได้ตามวัสดุและระยะเวลาการใช้งานดังนี้   คอนเเทคเลนส์แบบแข็ง คอนเเทคเลนส์ชนิดแข็งที่พบได้บ่อยคือแบบกึ่งแข็ง (Rigid Gas-Permeable: RGP) ซึ่งสามารถให้ออกซิเจนซึมผ่านเข้าสู่กระจกตาได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีค่าสายตาเอียงมาก หรือผู้ป่วยโรคกระจกตาโป่ง (Keratoconus) โดยเลนส์ชนิดนี้จะช่วยปรับรูปร่างความโค้งของกระจกตาให้ใกล้เคียงปกติมากขึ้น ส่งผลให้การมองเห็นชัดเจนขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ   คอนเเทคเลนส์แบบนิ่ม คอนเเทคเลนส์ชนิดนิ่มเป็นประเภทที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากสวมใส่สบายและหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาด แบ่งออกได้เป็นหลายประเภท ดังนี้ คอนเเทคเลนส์รายวัน คือเลนส์ที่ใส่เฉพาะระหว่างวันแล้วถอดทิ้ง ไม่ต้องทำความสะอาด ลดความเสี่ยงติดเชื้อ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้งาน และเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและสะดวกที่สุด คอนเเทคเลนส์รายสัปดาห์ คือเลนส์ที่ใส่และถอดออกทุกวัน และเปลี่ยนใหม่ทุก 1-2 สัปดาห์ คอนเเทคเลนส์รายเดือน คือเลนส์ที่ใส่และถอดออกทุกวัน และเปลี่ยนเป็นชิ้นใหม่ทุก 1 เดือน คอนเเทคเลนส์แบบใส่ระยะยาว สามารถใส่นอนได้ต่อเนื่องหลายวัน แต่เสี่ยงติดเชื้อสูง แพทย์จึงไม่แนะนำให้ใช้งานเป็นประจำ คอนเเทคเลนส์แก้สายตาเอียง เป็นเลนส์ชนิดนิ่ม ราคาสูง แก้ปัญหาสายตาเอียงได้แต่ประสิทธิภาพอาจสู้เลนส์แข็งไม่ได้ มีทั้งแบบรายวันและใส่ระยะยาว คอนเเทคเลนส์สี ใช้ได้ทั้งแก้ไขสายตาผิดปกติและเสริมความสวยงาม แบ่งตามการใช้งาน เช่น เลนส์แฟชั่น บิ๊กอาย เลนส์กรองแสงยูวี และเลนส์แก้ตาบอดสี ควรปรึกษาจักษุแพทย์ก่อนใช้งานเพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด คอสเมติกคอนเเทคเลนส์ (Cosmetic Contact Lenses) เป็นเลนส์ที่ใส่เพื่อเปลี่ยนสีหรือลักษณะดวงตา เช่น ตาแมวหรือแวมไพร์ แม้ไม่ใช้เพื่อแก้สายตา แต่ควรปรึกษาจักษุแพทย์ก่อนใช้เพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อ   คอนเเทคเลนส์แบบอื่นๆ นอกจากคอนเเทคเลนส์ที่ใช้เพื่อแก้ไขค่าสายตาทั่วไปแล้ว ยังมีคอนเเทคเลนส์ประเภทอื่นๆ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ เช่น คอนเเทคเลนส์ไฮบริด เป็นเลนส์ผสมระหว่างนิ่มและแข็ง ช่วยแก้ไขสายตาสั้น ยาว เอียง และปัญหากระจกตาได้ดี เหมาะสำหรับผู้สูงอายุและผู้ที่มีกระจกตาผิดปกติ คอนเเทคเลนส์ชนิดแก้สายตายาวตามอายุ เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ใช้ช่วยให้มองเห็นทั้งใกล้และไกลได้ชัด เช่น แบบ Bifocal, Multifocal หรือแบบ Monovision ที่ใส่คนละค่าสายตาในแต่ละข้าง คอนเเทคเลนส์หลายระดับ (Multifocal Contact Lenses) คือเลนส์ที่มีทั้งแบบแข็งและนิ่ม ภายในเลนส์มีค่าสายตาหลายระดับช่วยให้ใช้งานได้สะดวก เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสายตายาวตามวัย (Presbyopia) คอนเเทคเลนส์ครอบแผลชนิดพิเศษ ใช้หลังการผ่าตัดดวงตา เพื่อช่วยปกป้องและส่งเสริมการสมานตัวของผิวกระจกตาให้เร็วขึ้น     ประโยชน์ของคอนเเทคเลนส์ คอนเเทคเลนส์มีประโยชน์หลากหลายด้าน เช่น ช่วยแก้ไขปัญหาสายตา ด้วยการใส่คอนเเทคเลนส์สายตาสั้นและสายตายาว ทำให้ผู้ใส่มองเห็นชัดทั้งระยะใกล้และไกล รวมถึงมีทัศนวิสัยที่ดีกว่าแว่นตา นอกจากนี้ผู้ใส่แว่นมักมีมุมมองด้านข้าง (Peripheral Vision) ที่จำกัด คอนเเทคเลนส์สายตาจึงช่วยเพิ่มการมองเห็นด้านข้างให้ชัดเจนขึ้น คอนเเทคเลนส์ยังเหมาะสำหรับคนที่ไม่สะดวกใส่แว่น และช่วยปรับลุคให้ดูดี มีความมั่นใจมากขึ้น โดยเฉพาะคอนเเทคเลนส์แฟชัน เช่น เลนส์สี หรือเลนส์บิ๊กอาย     วิธีใส่คอนเเทคเลนส์อย่างถูกวิธี การใส่คอนเเทคเลนส์อย่างถูกวิธีช่วยเพิ่มความสบายตาและลดความเสี่ยงในการระคายเคืองหรือการติดเชื้อ โดยมีขั้นตอนดังนี้ ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำ หลีกเลี่ยงสบู่ที่มีกลิ่นหรือน้ำมันมาก เพราะอาจทำให้ตาระคายเคือง เช็ดมือให้แห้งด้วยผ้าสะอาดที่ไม่เป็นขุยหรือผ้าเช็ดมือ ยืนบนพื้นเรียบและสะอาด เช่น ใกล้อ่างล้างหน้า ปิดฝาท่อระบายน้ำถ้าอยู่เหนืออ่าง เริ่มใส่เลนส์ข้างขวาก่อน (ถ้าถนัดซ้าย ให้เริ่มข้างซ้าย) เพื่อไม่ให้ใส่สลับข้าง หยิบเลนส์จากกล่องเก็บโดยใช้ปลายนิ้ว (หลีกเลี่ยงเล็บ) ล้างเลนส์ด้วยน้ำยาล้างคอนเเทคเลนส์ทุกครั้ง หากเลนส์ตกพื้น ให้ล้างน้ำยาใหม่ก่อนใส่ วางเลนส์ไว้ที่ปลายนิ้วชี้หรือนิ้วกลาง ตรวจสอบว่าเลนส์ไม่ฉีกขาด ตรวจดูว่าเลนส์ไม่กลับด้าน โดยดูขอบเลนส์ ถ้าขอบเลนส์เป็นรูปถ้วยและตั้งตรงคือถูกต้อง ใช้มือที่ไม่ถนัดดึงเปลือกตาบนขึ้น และใช้นิ้วกลางหรืออื่นๆ ดึงเปลือกตาล่างลง มองตรงไปข้างหน้าแล้วค่อยๆ วางเลนส์ลงบนตา ปิดตาเบาๆ แล้วลืมตา กะพริบตาช้าๆ เพื่อให้เลนส์อยู่กลางตา เช็กในกระจกว่าเลนส์อยู่ตรงกลางและรู้สึกสบาย หากไม่สบายหรือตาไม่ชัด ให้ขยับเลนส์หรือนำเลนส์ออกแล้วใส่ใหม่ ทำซ้ำขั้นตอนเดียวกันกับเลนส์อีกข้าง   วิธีถอดคอนเเทคเลนส์อย่างถูกต้อง การถอดคอนเเทคเลนส์อย่างถูกต้องสำคัญต่อสุขภาพดวงตาและช่วยป้องกันการระคายเคืองหรือการติดเชื้อ มีขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้ ล้างมือให้สะอาดและเช็ดให้แห้งก่อนจับคอนเเทคเลนส์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่ตา รินสารละลายที่ใช้แช่คอนเเทคเลนส์ทิ้งให้หมด จากนั้นผึ่งลมหรือเช็ดกล่องเก็บเลนส์ให้แห้งด้วยผ้าสะอาด ยืนหน้ากระจก ดึงเปลือกตาล่างลงด้วยนิ้วกลางของมือที่ถนัด ถอดเลนส์ออกจากตาข้างที่ต้องการก่อน เพื่อป้องกันความสับสน ใช้นิ้วชี้เลื่อนเลนส์ลงไปที่ขอบตาสีขาวอย่างช้าๆ บีบเลนส์ด้วยนิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือเบาๆ เพื่อดึงเลนส์ออกจากตา ทำซ้ำขั้นตอนกับตาอีกข้าง ใช้น้ำยาล้างคอนเเทคเลนส์ที่แนะนำทำความสะอาดเลนส์อย่างถูกวิธี หลีกเลี่ยงน้ำยาที่ทำเองหรือไม่ผ่านการรับรอง ใส่คอนเเทคเลนส์ลงในกล่องเก็บเลนส์ที่แช่ในสารละลาย หรือทิ้งเลนส์หากเป็นแบบใช้ครั้งเดียว     การเก็บรักษาคอนเเทคเลนส์หลังใช้งาน การเก็บรักษาคอนเเทคเลนส์หลังใช้งานอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและยืดอายุการใช้งานของเลนส์ รวมถึงช่วยรักษาความสะอาดและความปลอดภัยให้กับดวงตาของคุณก่อนใช้ในครั้งต่อไป ทำความสะอาดคอนเเทคเลนส์ทุกวันด้วยน้ำยาล้างเลนส์ โดยถูเลนส์เบาๆ ด้วยปลายนิ้วเพื่อขจัดเชื้อและสิ่งสกปรกอย่างทั่วถึง ก่อนเก็บแช่ค้างคืนในตลับ เปลี่ยนน้ำยาแช่เลนส์ใหม่ทุกครั้งหลังใช้ หลีกเลี่ยงการแช่เลนส์ทันทีหลังถอดโดยไม่ทำความสะอาดก่อน ล้างทำความสะอาดตลับใส่เลนส์ทุกสัปดาห์ด้วยน้ำสะอาดและสบู่ แล้วปล่อยให้แห้งก่อนใช้งานครั้งต่อไป ห้ามล้างคอนเเทคเลนส์ด้วยน้ำเปล่า น้ำเกลือ หรือน้ำลายเด็ดขาด เพราะเสี่ยงติดเชื้อและทำให้เลนส์ปนเปื้อนได้ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมาตรฐาน เพื่อยืดอายุเลนส์และป้องกันติดเชื้อดวงตา ควรเปลี่ยนตลับคอนเเทคเลนส์ทุก 3 เดือน และล้างตลับก่อนใช้แล้วตากให้แห้งเพื่อฆ่าเชื้อ หลีกเลี่ยงการแบ่งน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ใส่ขวดอื่น เพื่อป้องกันการติดเชื้อ ห้ามใช้น้ำยาล้างคอนเเทคเลนส์ที่หมดอายุ เก่าเก็บ หรือเปิดทิ้งไว้นานแล้ว   ผู้ที่ไม่ควรใส่คอนเเทคเลนส์ ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพดวงตาหรือภาวะบางอย่างควรหลีกเลี่ยงการใส่คอนเเทคเลนส์ เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างรุนแรง ผู้ที่มีอาการตาแห้งหรือกระจกตาผิดปกติ ผู้ป่วยโรคผิวหนังที่มีอาการบริเวณหนังตาหรือเปลือกตา ผู้ป่วยโรคไทรอยด์ที่มีอาการตาโปน ซึ่งอาจทำให้คอนเเทคเลนส์หลุดง่าย ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี อาจส่งผลต่อการสร้างน้ำตา ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ที่อาจแพ้วัสดุพลาสติกในคอนเเทคเลนส์หรือน้ำยาล้างเลนส์ ผู้ที่มีปัญหาในการหยิบจับคอนเเทคเลนส์ เช่น มือสั่นจากโรคสมอง หรือมีปัญหาผิวหนังบริเวณนิ้วมือและเล็บ   สิ่งควรรู้ เพื่อให้ใส่คอนเเทคเลนส์อย่างปลอดภัย คอนเเทคเลนส์สัมผัสกับดวงตาที่บอบบาง จึงต้องใส่ให้ถูกวิธี เพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อและปัญหาร้ายแรง วิธีใช้ที่ปลอดภัยมีดังนี้ เลือกใช้คอนเเทคเลนส์ที่เหมาะสมกับดวงตา โดยปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อตรวจวัดสายตาและลักษณะลูกตาก่อนใช้ ล้างมือให้สะอาดและเช็ดมือให้แห้งก่อนใส่คอนเเทคเลนส์ทุกครั้ง ใส่เลนส์ด้วยปลายนิ้วชี้ และตรวจสอบเลนส์ว่าด้านถูกต้อง (ขอบเลนส์เป็นรูปตัว U ไม่แหลม) หลีกเลี่ยงการใช้เลนส์ร่วมกับผู้อื่น เพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อ ห้ามสลับใส่เลนส์ข้างซ้าย-ขวาหรือใส่ขณะว่ายน้ำ ไม่ควรนอนหลับขณะใส่เลนส์ เพราะจะลดการรับออกซิเจนของดวงตา หลีกเลี่ยงให้ปลายขวดน้ำยาล้างเลนส์สัมผัสกับสิ่งอื่น เพื่อป้องกันการปนเปื้อน สวมแว่นกันแดดเมื่อต้องใส่คอนเเทคเลนส์ เพื่อลดอาการแสบตาจากแสง ใช้น้ำตาเทียมหยอดตาเพื่อช่วยให้ดวงตาชุ่มชื้น ป้องกันอาการตาแห้ง     อันตรายจากการใช้คอนเเทคเลนส์ผิดวิธี คอนเเทคเลนส์เป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์และปลอดภัยเมื่อใช้อย่างถูกวิธี แต่หากใช้งานไม่ถูกต้อง ไม่ได้มาตรฐาน หรือขาดความสะอาด อาจทำให้เกิดปัญหารุนแรงต่อสุขภาพดวงตาได้ เช่น   ปัญหาที่มาจากคอนเเทคเลนส์ การเลือกคอนเเทคเลนส์ที่มีขนาดไม่พอดีกับตาดำ อาจส่งผลกระทบต่อกระจกตาและการมองเห็นได้ โดยเลนส์ที่เล็กเกินไปอาจทำให้รู้สึกไม่สบายตาและเกิดปัญหากระจกตา ส่วนเลนส์ที่ใหญ่เกินไปอาจเคลื่อนหลุดง่าย ทำให้มองเห็นไม่ชัดเจน นอกจากนี้การดูแลและเก็บรักษาคอนเเทคเลนส์ไม่ถูกต้อง ยังเสี่ยงให้เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค ทำให้เกิดอันตรายต่อกระจกตาและเสียสมรรถภาพการใช้งานได้ด้วยเช่นกัน   ปัญหาต่อเยื่อบุตาและกระจกตา ปัญหาเยื่อบุตาและกระจกตาอาจเกิดจากคอนเเทคเลนส์ไม่สะอาด ใช้ของไม่ได้มาตรฐาน หรือแพ้วัสดุที่ใช้ผลิต โดยอันตรายที่พบได้บ่อยมีดังนี้ ตาแห้ง (Dry eyes) อาจเกิดจากการใส่คอนเเทคเลนส์นาน หรือมีน้ำตาน้อย ทำให้ระคายเคือง แสบตา และไวต่อแสง โรคภูมิแพ้ (Allergies) อาจเกิดจากการแพ้คอนเเทคเลนส์หรือสารที่ใช้ร่วม ทำให้ตาแดง แสบ และคันตา เยื่อบุตาอักเสบจากคอนเเทคเลนส์ (Giant Papillary Conjunctivitis) ใส่คอนเเทคเลนส์แล้วตาแดงมักเกิดจากการแพ้เลนส์หรือสารดูแลเลนส์ นอกจากนี้อาจมีอาการระคายเคือง และตุ่มด้านในเปลือกตา เยื่อบุตาอักเสบจากสารเคมี (Toxic Conjunctivitis) เกิดจากการแพ้สารในผลิตภัณฑ์คอนเเทคเลนส์ ทำให้ตาอักเสบหรือกระจกตาถลอกได้ แผลอักเสบที่กระจกตา (Superficial Punctate Keratitis) อาจเกิดจากตาแห้งขณะใส่คอนเเทคเลนส์ ทำให้เกิดแผลเล็กๆ บริเวณกระจกตา ส่งผลให้รู้สึกเจ็บหรือคอนแท็กต​์เลนส์ฉีกขาดได้ อาการเลนส์คับแน่น (Tight Lenses Syndrome) เกิดจากการใส่คอนเเทคเลนส์นานเกินไป ทำให้เลนส์ติดแน่นกับกระจกตา กระจกตาบวมน้ำ มองเห็นไม่ชัด เปลือกตาอักเสบ หรือมีเส้นเลือดเล็กๆ ขึ้นที่ตา กระจกตาขาดออกซิเจน (Corneal hypoxia) มักเกิดจากการใส่คอนเเทคเลนส์นานเกินไป อาจทำให้กระจกตาเป็นแผล เลือดออก และเสี่ยงต่อการสูญเสียการมองเห็น กระจกตาอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย (Microbial Keratitis) มักเกิดในผู้ที่ใส่คอนเเทคเลนส์นิ่มหรือใส่ขณะนอนหลับ ทำให้ตาแดง เจ็บตา แฉะ แพ้แสง และระคายเคืองจากการติดเชื้อในเลนส์   สรุป คอนเเทคเลนส์เป็นตัวช่วยแก้ไขปัญหาสายตาที่สะดวกและได้รับความนิยมสูง เช่น คอนเเทคเลนส์รายวัน รายเดือน และคอนเเทคเลนส์สีเพื่อแฟชัน แต่การใช้งานที่ไม่ถูกวิธีหรือขาดการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม อาจทำให้เกิดปัญหาตา เช่น ตาแห้ง ติดเชื้อ หรือเยื่อบุตาอักเสบได้ ควรล้างมือก่อนใส่และถอดเลนส์ทุกครั้ง ทำความสะอาดและเปลี่ยนน้ำยาในกล่องเก็บเลนส์อย่างสม่ำเสมอเพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อ หากมีอาการผิดปกติหรือปัญหาจากการใส่คอนเเทคเลนส์ สามารถมารักษาและปรึกษาจักษุแพทย์ได้ที่ Bangkok Eye Hospital เพื่อดูแลดวงตาให้ปลอดภัยและสุขภาพดีอย่างยั่งยืน   คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับคอนเเทคเลนส์ (FAQ) รวมคำตอบสำหรับคำถามทั่วไปเกี่ยวกับการใช้งาน การดูแลรักษา และข้อควรรู้ที่สำคัญ เพื่อช่วยให้คุณใช้คอนเเทคเลนส์อย่างถูกวิธีและปลอดภัย ก่อนตัดสินใจใช้งานจริง   ใส่คอนเเทคเลนส์เกิน 8 ชม. อันตรายไหม ใน 1 วัน ใส่คอนเเทคเลนส์เกิน 8 ชม. ได้ไหม? คอนเเทคเลนส์ใส่ได้กี่ชั่วโมง? คำตอบคือควรใส่ไม่เกิน 8-9 ชั่วโมง เพราะใส่นานเกินไปอาจทำให้ตาแห้ง ระคายเคือง หรืออักเสบ หากจำเป็นต้องใส่นาน ให้ใช้หยดน้ำตาเทียมเติมความชุ่มชื้นระหว่างวัน   การใส่คอนเเทคเลนส์นาน ทำให้กระจกตาบางจริงไหม กระจกตาแต่ละคนมีความหนาแตกต่างกันตามธรรมชาติ การใส่คอนเเทคเลนส์อาจทำให้ตาแห้งได้ แต่ไม่ได้ส่งผลต่อความหนาของกระจกตาโดยตรง การหยุดใส่คอนเเทคเลนส์ช่วยให้อาการตาแห้งดีขึ้น แต่กระจกตาจะไม่กลับมาหนาขึ้น   เผลอใส่คอนเเทคเลนส์นอน เป็นอะไรไหม ดวงตาต้องการออกซิเจนตลอดเวลา แต่เมื่อใส่คอนเเทคเลนส์ ไม่ว่าจะรายวันหรือรายเดือน ดวงตาจะได้รับออกซิเจนน้อยกว่าปกติ หากนอนหลับขณะใส่เลนส์จะทำให้ออกซิเจนลดลงมาก เพราะเปลือกตาปิดกระจกตาไม่สามารถรับอากาศได้ ส่งผลให้ตาแดง ระคายเคือง และเพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อได้ง่ายขึ้น   ผู้เขียนบทความ : รศ.นพ.อนันต์ วงศ์ทองศรี จักษุแพทย์เฉพาะทางด้านกระจกตาและการผ่าตัดแก้ไขสายตา (LASIK) ต้อกระจก รักษาโรคตาทั่วไป

เลสิกสายตาเอียง แก้ไขปัญหาภาพเบลอ ภาพไม่ชัด กับข้อควรรู้ก่อนทำ

สายตาเอียง ปัญหาสายตาที่ส่งผลให้การมองผิดเพี้ยน ไม่ชัดเจน การทำเลสิกสายตาเอียงจึงเป็นตัวช่วยแก้ปัญหาสายตาสายตาเอียง มองไม่ชัด มองเห็นภาพเบลอ ภาพซ้อน มองเห็นได้ไม่ชัดทั้งจากระยะใกล้และระยะไกล มาดูว่ามีการทำเลสิกสายตาเอียงกี่ประเภท แต่ละประเภทเหมาะกับใคร พร้อมข้อควรรู้ก่อนและหลังทำเลสิก สายตาเอียง (Astigmatism) คือ ภาวะที่ทำให้การมองเห็นผิดเพี้ยนไป เนื่องจากการโค้งของกระจกตาที่ผิดปกติ ไม่โค้งเป็นทรงกลม ทำให้เกิดการหักเหแสงที่ผิดปกติ ทำให้มองเห็นไม่ชัด ภาพเบลอ หรือมีเงาซ้อน สายตาเอียงมักมีอาการ ตาเบลอ มองเห็นไม่ชัด เห็นเงาซ้อน มองเห็นภาพบิดเบี้ยวจากความจริง มองเห็นรายละเอียดสิ่งของไม่ชัดเจน ต้องหยีตาเพื่อมองเห็นชัดขึ้น มีปัญหาการมองเห็นเวลากลางคืน มีอาการปวดหัว ล้าสายตา การทำเลสิกสายตาเอียง คือการรักษาสายตาผิดปกติโดยใช้ใบมีดเปิดแยกชั้นกระจกตา และใช้เลเซอร์ปรับแก้ความโค้งของกระจกตาให้มีรูปทรงปกติให้ได้มากที่สุด จากนั้นปิดกระจกตาโดยไม่ต้องเย็บแผล การทำเลสิกสายตาเอียงแบ่งได้เป็น 7 ประเภทหลักๆ ได้แก่ ผ่าตัดเลสิกแบบใช้ใบมีด (LASIK) ผ่าตัดเลสิกแบบไร้ใบมีด (FemtoLASIK) ผ่าตัดเลสิกแบบแผลเล็ก ReLEx SMILE ผ่าตัดเลสิกแบบไร้ใบมีดพลังงานต่ำ (NanoLASIK) ผ่าตัดเลสิกแบบไร้ใบมีด แผลเล็ก พลังงานต่ำ NanoRelex ผ่าตัดเลสิกแบบไร้ใบมีด แผลเล็ก ความเร็วสูง (SMILE Pro) และการทำเลสิก PRK (Photorefractive Keratectomy) ศูนย์เลเซอร์วิชั่น Bangkok Eye Hospital โดดเด่นด้านการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ด้วยทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมเทคโนโลยีเลสิกสายตาเอียงที่ทันสมัย ให้คำแนะนำและวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม     สายตาเอียง คืออะไร สายตาเอียง (Astigmatism) คือ ภาวะที่ทำให้การมองเห็นผิดเพี้ยนไป เนื่องจากการโค้งของกระจกตาที่ผิดปกติ ไม่โค้งเป็นทรงกลม การหักเหแสงจึงผิดเพี้ยนไปด้วย ผู้ที่มีภาวะสายตาเอียงจึงมองเห็นภาพไม่ชัดเจน ภาพเบลอ มีเงาซ้อน ทั้งในระยะใกล้หรือระยะไกล สายตาเอียงพบได้บ่อยถึง 1 ใน 3 ของประชากร และเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกวัย โดยบางรายมีภาวะสายตาเอียงมาตั้งแต่เกิด หรือเพิ่งเป็นในช่วงวัยผู้ใหญ่ก็ได้เช่นกัน ซึ่งอาจเกิดจากการบาดเจ็บ โรคบางอย่าง อายุที่เพิ่มมากขึ้น หรือเกิดขึ้นควบคู่กับปัญหาสายตาสั้นหรือยาว อาการสายตาเอียง เป็นอย่างไร สายตาเอียง โดยทั่วไปแล้วจะมีอาการดังต่อไปนี้ ตาเบลอ มองเห็นไม่ชัด มองเห็นเงาซ้อน มองเห็นภาพบิดเบี้ยวจากความเป็นจริง มองเห็นรายละเอียดของสิ่งต่างๆ ได้ไม่ดี เมื่อมองแสงไฟ จะเห็นแสงจ้าแยงตา แตกเป็นเส้น หรือเห็นเป็นวงแหวนรอบๆ ต้องหยีตาเพื่อให้มองเห็นชัดขึ้น ปวดล้าสายตา เมื่อใช้สายตาเป็นเวลานาน เช่น จ้องจอคอมพิวเตอร์ หรืออ่านหนังสือ มีปัญหาในการมองเห็นตอนกลางคืน ปวดศีรษะ ขยี้ตาบ่อย ตาเหล่     สายตาเอียงมีกี่ประเภท สายตาเอียงมักมาพร้อมกับปัญหาทางสายตาอื่นๆ ซึ่งแบ่งประเภทของสายตาเอียงได้ ดังนี้ สายตาเอียงร่วมกับสายตาสั้น สายตาเอียงร่วมกับสายตาสั้น (Myopic Astigmatism)คือ การที่ส่วนโค้งทั้งสองของเลนส์ตาหรือกระจกตาโฟกัสแสงที่ด้านหน้าของจอประสาทตา เมื่อรูปร่างของกระจกตาผิดปกติ แสงจึงตกกระทบไม่ถึงจอประสาทตา และเกิดจุดโฟกัสมากกว่า 1 ทำให้มองวัตุระยะไกลไม่ชัดเจน และเกิดภาพเงาซ้อน ซึ่งสายตาเอียงร่วมกับสายตาสั้น ยังสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด ดังนี้ Simple Myopic Astigmatismคือแสงสร้างจุดโฟกัส 2 จุด โดยที่ 1 จุด อยู่ที่ด้านหน้าจอประสาทตา และอีก 1 จุดอยู่ในจุดที่ถูกต้อง คือ ตรงบริเวณจอประสาทตา Compound Myopic Astigmatismคือแสงโฟกัสทั้ง 2 อยู่ที่ด้านหน้าจอประสาทตา และอยู่คนละจุด สายตาเอียงร่วมกับสายตาสั้นไม่อันตราย แต่ส่งผลต่อการใช้ชีวิต รักษาได้ด้วยการใส่แว่น คอนแท็กต์เลนส์ หรือทำเลสิกสายตาเอียงเพื่อแก้ไขปัญหาการมองเห็นได้ สายตาเอียงร่วมกับสายตายาว สายตาเอียงร่วมกับสายตายาว (Hyperopic Astigmatism)เกิดขึ้นเมื่อแกนที่เรียกว่า principal meridian 1 หรือทั้ง 2 อันเป็นแกนสายตายาว เมื่อแสงสะท้อนเข้าสู่ดวงตา ทำให้เกิดจุดโฟกัสแสงด้านหลังของจอประสาทตา ทั้งยังเกิดจุดโฟกัสมากกว่า 1 ทำให้มองใกล้ไม่ชัดเจน เกิดภาพเบลอ เงา ภาพบิดเบี้ยว ซึ่งสายตาเอียงร่วมกับสายตายาว ยังสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด ดังนี้ Simple Hyperopic Astigmatismเกิดขึ้นเมื่อจุดโฟกัสแสงหนึ่งจุดตกกระทบโดยตรงไปยังจอประสาทตาและอีกหนึ่งจุดตกกระทบด้านหลัง ซึ่งแกนสายตาหนึ่งเป็นแกนสายตายาวแต่กำเนิด และอีกแกนหนึ่งเป็นปกติ Compound Hyperopic Astigmatism เกิดขึ้นเมื่อจุดโฟกัสแสงอยู่ด้านหลังจอประสาทตา โดยมีแกนสายตายาวทั้งสองแนวแกนโดยกำเนิด แต่ปริมาณไม่เท่ากัน สายตาเอียงร่วมกับสายตายาวไม่อันตราย เพียงจะส่งผลต่อการใช้ชีวิต ผู้ป่วยสามารถใส่แว่น ใส่คอนแท็กต์เลนส์ หรือทำเลสิกสายตาเอียงเพื่อแก้ไขปัญหาการมองเห็นได้เช่นเดียวกับสายตาเอียงร่วมกับสายตาสั้น สายตาเอียงแบบผสม สายตาเอียงแบบผสม (Mixed Astigmatism)เกิดขึ้นเมื่อแกน principal meridian โดยหนึ่งแกนเป็นแกนสายตายาว และอีกหนึ่งแกนเป็นแกนสายตาสั้น ทำให้การหักเหแสงตกกระทบที่ด้านหลังจอประสาทตา และอีกจุดหนึ่งที่ด้านหน้าจอประสาทตา ทำให้การมองเห็นไม่ชัดเจน และบิดเบือนค่อนข้างมาก สายตาเอียงแบบผสมไม่อันตรายแต่มีผลต่อการใช้ชีวิตค่อนข้างมาก การแก้ไขด้วยการตัดแว่นก็ถือว่าค่อนข้างยากที่จะแก้ไขให้สายตามองเห็นได้ปกติ แต่สามารถใส่คอนแท็กต์เลนส์ที่เรียกว่า Orthokeratology (Ortho-K) เพื่อปรับรูปร่างกระจกตาในขณะนอนหลับ ช่วยให้การมองเห็นดีขึ้น หรือทำเลสิกสายตาเอียงเองก็ช่วยได้เช่นกัน สาเหตุสายตาเอียง เกิดจากอะไร สายตาเอียง เกิดจากความผิดปกติของความโค้งกระจกตา โดยปกติแล้วกระจกตาจะโค้งเป็นทรงกลม คล้ายลูกเบสบอล ในคนที่มีสายตาเอียงกระจกตาจะผิดรูป เป็นรูปไข่หรือทรงรี ทำให้จุดโฟกัสแสงผิดพลาด เกิดจุดโฟกัสมากกว่า 1 จุด ทำให้มองเห็นไม่ชัดเจน ทั้งระยะใกล้และไกล มักเกิดร่วมกับปัญหาสายตาสั้นและสายตายาว โดยสาเหตุของสายตาเอียงเกิดจาก กรรมพันธุ์ ตาเหล่ การบาดเจ็บบริเวณดวงตา ผลข้างเคียงจากการผ่าตัดดวงตา ภาวะกระจกตาย้วย (Keratoconus)     การวินิจฉัยสายตาเอียงโดยแพทย์ การวินิจฉัยสายตาเอียง ต้องทำโดยจักษุแพทย์หรือนักนักทัศนมาตร เพื่อวินิจฉัยและวางแผนการรักษาให้เหมาะสมกับปัญหาสายตา ผู้มีปัญหาสายตาจะได้รับการตรวจ ดังนี้ การตรวจวัดระดับการมองเห็น (Visual Acuity Test)เพื่อทดสอบความสามารถและความชัดเจนในการมองเห็น โดยการอ่านตัวเลขหรือตัวอักษรบนแผนภูมิสเนลแลน (Snellen Chart) ซึ่งตัวอักษรจะมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ การวัดค่าความโค้งกระจกตา (Keratometer Test) แพทย์จะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า เราโทมิเตอร์เพื่อตรวจวัดระดับความโค้งของกระจกตาและแสงสะท้อนที่กระทบกระจกตา การทดสอบการหักเหของแสงที่เข้าสู่ดวงตาแพทย์จะใช้ โฟรอพเตอร์ (Phoropter) เพื่อวัดข้อผิดพลาดในการหักเหของแสง การโฟกัสของดวงตา โดยผู้ป่วยจะมองเลนส์หลายๆ ชุด และอ่านแผนภูมิเพื่อวัดค่าเลนส์ที่สามารถแก้ไขปัญหาข้อผิดพลาดในการหักเหของแสงได้ ทำเลสิกสายตาเอียง คืออะไร การทำเลสิกสายตาเอียง คือการรักษาสายตาผิดปกติ โดยการใช้เลเซอร์ปรับแก้ความโค้งของกระจกตา ให้มีรูปทรงปกติให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะสายตาสั้น ยาว เอียง ก็ทําเลสิกได้ โดยจักษุแพทย์จะทำการใช้ใบมีดไมโครเคอราโตม (Microkeratome) เพื่อแยกชั้นกระจกตา และใช้เลเซอร์ Excimer Laser เพื่อปรับความโค้งกระจกตา และปิดกระจกตากลับไปตำแหน่งเดิม และกระจกตาจะสมานตัวเองได้โดยไม่ต้องเย็บแผล     ประเภทการทำเลสิกสายตาเอียง และการแก้ไขอื่นๆ หลายคนอาจไม่ทราบว่าการทำเลสิกสายตาเอียงนั้นมีหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทก็วิธีการและจุดเด่น รวมถึงเหมาะกับปัญหาสายตาที่แตกต่างกันออกไป มาดูการทำเลสิกสายตาเอียงมี 5 ประเภทหลัก ดังนี้ 1. ผ่าตัดเลสิกแบบใช้ใบมีด การผ่าตัดเลสิกสายตาเอียงแบบใช้ใบมีด (Microkeratome Lasik) คือ การผ่าตัดโดยใช้ใบมีดตัดแยกชั้นกระจกตา จากนั้นยิงเลเซอร์เข้าไปเพื่อแก้ไขปัญหาความผิดปกติของสายตา มีความแม่นยำสูง ปลอดภัย ระคายเคืองน้อย ใช้เวลาพักฟื้นน้อย กลับมามองเห็นชัดเจนได้อย่างรวดเร็ว วิธีนี้เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาสายตาเอียงไม่เกิน 500 และสั้นไม่เกิน 1,200 - 1,300 ราคาเริ่มต้นที่ 30,000 - 45,000 บาท วิธีนี้ราคาเริ่มต้นที่ 50,000 - 70,000 บาท 2. ผ่าตัดเลสิกแบบไร้ใบมีด การผ่าตัดเลสิกสายตาเอียงแบบไม่ใช้ใบมีด เรียกว่า Bladeless Femto LASIK คือการผ่าตัดโดยใช้แสงเลเซอร์แทนการใช้ใบมีด โดยมีสแกนไปตามความโค้งของกระจกตา ความเร็ว 500 กิโลเฮิร์ต โดยที่ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อดวงตา จากนั้นใช้เลเซอร์อีกตัวเจียระไนกระจกตา การผ่าตัดวิธีนี้มีความแม่นยำสูง ลดความคลาดเคลื่อนในการแยกชั้นกระจกตา และความเสี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อน วิธีนี้เหมาะกับผู้ที่มีสายตาเอียงไม่เกิน 600 และสายตาสั้นระหว่าง 100 - 1,000 3. ผ่าตัดเลสิกแบบแผลเล็ก ReLEx SMILE คือ การเลสิกสายตาที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีมาจากการทำเลสิกแบบดั้งเดิม เป็นเทคโนโลยีล่าสุดที่ใช้เลเซอร์เฟมโตตัดเนื้อเยื่อกระจกตาเป็นแผ่นบางๆ คล้ายแพนเค้ก เรียกว่า Lenticule และทำการเปิดแผลขนาดเล็ก 2-4 มม. เพื่อนำ Lenticule ออกมา มีความแม่นยำ ไม่เจ็บขณะผ่าตัด แผลขนาดเล็ก หายไว รบกวนเส้นประสาทที่บริเวณกระจกตาน้อย จึงลดอาการเคืองตา หรืออาการอื่นๆ ที่จะตามมาหลังผ่าตัด วิธีนี้เหมาะกับผู้ที่มีค่าสายตาสั้นไม่เกิน 1,000 เอียงไม่เกิน 500 และผู้ที่มีปัญหาสายตาสั้นร่วมกับสายตาเอียง ราคาประมาณ 85,000 - 140,000 บาท 4. ผ่าตัดเลสิก NanoLASIK ผ่าตัดเลสิกแบบไร้ใบมีดพลังงานต่ำ NanoLASIK คือการเลสิกสายตาที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ทั้งสายตาสั้น สายตายาว และสายตาเอียงได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่จำเป็นต้องใช้ใบมีด แต่จะเปลี่ยนมาใช้เชเซอร์ในการสร้างแผ่นกระจกตาแทน มั่นใจได้ในผลลัพธ์การรักษาที่แม่นยำ รวดเร็ว และปลอด นอกจากนี้ NanoLASIK ทำงานในระดับพลังงานนาโนจูลที่ต่ำ ช่วยลดโอกาสระคายเคืองตาหลังทำเลสิกและช่วยให้ฟื้นฟูหลังทำได้เร็วมากยิ่งขึ้นอีกด้วย โดยการทำ NanoLASIK เหมาะกับผู้ที่มีกระจกตาบางและไม่สามารถทำเลสิกแบบดั้งเดิมได้ 5. ผ่าตัดเลสิก NanoRelex ผ่าตัดเลสิกแบบไร้ใบมีด แผลเล็ก พลังงานต่ำ NanoRelex คือเทคโนโลยีการทำเลสิกใหม่ล่าสุดที่ออกแบบมาเพื่อรักษาปัญหาสายตาสั้นและสายตาเอียงด้วยการใช้พลังของเทคโนโลยี Femtosecond Laser ปรับเปลี่ยนเนื้อเยื่อกระจกตา โดยการเอาเนื้อเยื่อกระจกตาส่วนเกินออกผ่านรอยกรีดขนาดเล็กเพียง 2-3 มม. ได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้ใบมีด พร้อมลดโอกาสเกิดความเสี่ยงตาแห้งหลังทำเลสิกได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย 6. ผ่าตัดเลสิก SMILE Pro ผ่าตัดเลสิกแบบไร้ใบมีด แผลเล็ก ความเร็วสูง SMILE Pro คือการผ่าตัดแก้ไขสายตาผิดปกติด้วย Femtosecond Laser เป็นตัวช่วยในการแยกชั้นเนื้อเยื่อกระจกตาออกเป็นแผ่นบางๆ จากนั้นจะดึงแผ่นเนื้อเยื่อกระจกตาเหล่านั้นออกผ่านแผนที่มีขนาดเล็กเพียง 2 - 4 มม. เพื่อช่วยปรับรูปร่างและความโค้งของกระจกตาให้กลับมาคล้ายปกติ และช่วยให้มองเห็นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีค่าสายตาสั้นไม่เกิน 1000 สายตาเอียงไม่เกิน 500 หรือมีสายตาสั้นร่วมกับสายตาเอียง 7. การทำเลสิก PRK (Photorefractive Keratectomy) PRK (Photorefractive Keratectomy) คือ วิธีผ่าตัดแก้ไขปัญหาความผิดปกติของสายตาในช่วงแรกๆ แต่ยังคงได้รับความนิยมจนถึงปัจจุบัน เป็นการผ่าตัดที่ไม่เปิดฝากระจกตา แต่จะกำจัดเซลล์ชั้นนอกของกระจกตาออก และใช้เอ็กไซเมอร์เลเซอร์ปรับรูปร่างกระจกตา ผลข้างเคียงน้อย ไม่ต้องเย็บแผล และเป็นวิธีเดียวที่อนุญาตให้ผู้ที่ต้องการสอบเป็นนักบินสามารถทำได้ ราคาไม่แพง เริ่มต้นประมาณ 35,000 - 40,000 บาทขึ้นไป วิธีนี้เหมาะกับผู้ที่มีอาการตาแห้งหรือกระจกตาบาง ผู้ที่มีสายตาเอียงไม่เกิน 200 และสายตาสั้นได้ถึง 500 การเตรียมตัวก่อนทำเลสิกสายตาเอียง ก่อนการเลสิกสายตาเอียงต้องมีการเตรียมตัว เตรียมความพร้อมก่อนทำ เพื่อให้ผ่าตัดเป็นไปได้ด้วยดี ป้องกันปัญหาที่ไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้น การเตรียมตัวก่อนทำเลสิกสายตาเอียงทำได้ดังนี้ หาข้อมูลและปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกสถานพยาบาลที่มีมาตรฐานและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม งดใส่คอนแท็กต์เลนส์อย่างน้อย 3 สัปดาห์ก่อนเข้ารับการผ่าตัด งดแต่งหน้า งดใช้น้ำหอม ครีมบำรุงบริเวณรอบดวงตา งดดื่มชา กาแฟ ควรพาญาติหรือผู้ดูแลมาด้วย เนื่องจากหลังทำเลสิกตาเอียง การมองเห็นจะยังคงไม่ชัดเจน เตรียมแว่นกันแดดเพื่อป้องกันดวงตาจากแสง UV     การดูแลตัวเองหลังทำเลสิกสายตาเอียง หลังการทำเลสิกสายตาเอียง ควรดูแลตนเองให้ถูกต้องเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี และป้องกันการเกิดผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์ โดยการดูแลตัวเองหลังทำเลสิกสายตาเอียง มีดังนี้ หากมีอาการปวดตา สามารถใช้ยาบรรเทาอาการปวดได้ ควรใช้ยาหยอดตาเพื่อป้องกันอาการตาแห้ง ใช้สำลีน้ำอุ่นเช็ดรอบดวงตาเบาๆ เช้า-เย็น เป็นเวลา 2 สัปดาห์ งดแต่งหน้าหรือทาครีมบริเวณรอบดวงตา งดสูบบุหรี่ อย่างน้อย 2 สัปดาห์ พักผ่อนสายตา งดการใช้สายตาหานักๆ เลี่ยงกิจกรรมที่ใช้กำลัง อย่างน้อย 1 เดือน สวมที่ครอบตาก่อนนอน เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น และป้องกันการขยี้ตา ระวังน้ำหรือฝุ่นเข้าดวงตา ควรสวมแว่นกันแดดหากอยู่ในบริเวณที่มีแสงจ้า หากพบอาการผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์ ทำเลสิกสายตาเอียงที่ศูนย์เลเซอร์วิชั่น Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร หากต้องการทำเลสิกสายตาเอียง แนะนำให้เข้ามาปรึกษาและรักษาอาการเหล่านี้ได้ที่ศูนย์เลเซอร์วิชั่น Bangkok Eye Hospital ที่นี่โดดเด่นด้านการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ด้วยทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีจุดเด่นดังนี้ โรงพยาบาลมีทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย พร้อมให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง สรุป สายตาเอียงเป็นปัญหาสายตาที่ส่งผลต่อการมองเห็นที่ไม่ชัดเจน ภาพเบลอ ทั้งในระยะใกล้และไกล มักเกิดควบคู่กับปัญหาสายตาสั้นหรือสายตายาว เนื่องจากความโค้งของกระจกตาที่ผิดปกติ เกิดจุดโฟกัสแสงมากกว่าหนึ่งจุด สายตาเอียงเกิดได้กับทุกคน ทุกวัย ทำเลสิกสายตาเอียงเพื่อทำการรักษาได้ โดยใช้เลเซอร์ปรับความโค้งของกระจกตาให้การมองเห็นกลับมาเป็นปกติ แนะนำมาที่ศูนย์เลเซอร์วิชั่น Bangkok Eye Hospitalศูนย์รักษาตาครบวงจร ดูแลรักษาปัญหาสายตาผิดปกติ ด้วยทีมจักษุแพทย์ที่เชี่ยวชาญ มีเทคโนโลยีการเลสิกสายตาเอียงที่ทันสมัย มุ่งเน้นการรักษาที่มีประสิทธิภาพ และบริการที่ประทับใจ

เลสิกสายตายาว ปรับปรุงคุณภาพการมองเห็น พร้อมข้อควรรู้ก่อนทำ

สายตายาว คือ ภาวะการมองเห็นผิดปกติ ความสามารถในการมองเห็นระยะไกลชัดเจน แต่มองเห็นสิ่งของในระยะใกล้ต่ำ หรืออาจเป็นได้ทั้ง 2 ระยะ สาเหตุของสายตายาว เกิดจากอายุที่เพิ่มมากขึ้นและเกิดโดยกำเนิดผ่านทางพันธุกรรม ทำเลสิกสายตายาว คือ วิธีการใช้เทคโนโลยีเลเซอร์ในการปรับค่าสายตาให้กลับมาอยู่ที่ค่าปกติ โดยการเพิ่มระยะโฟกัส การทำเลสิกสายตายาวแบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ Full Correction Lasik, Monovision Lasik, Presbylasik และ Laser Blended Vision (LBV) การทำเลสิกสายตายาวให้ปลอดภัย ควรเลือกทำกับโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐาน น่าเชื่อ พร้อมทั้งแพทย์ที่มีประสบการณ์ชำนาญทางด้านการทำเลสิกตาโดยเฉพาะ ทำเลสิกสายตายาว ที่ศูนย์เลเซอร์วิชั่น Bangkok Eye Hospital มีเครื่องมือได้มาตรฐานสากล พร้อมทั้งเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการรักษาสายตายาว และจักษุแพทย์มากประสบการณ์ มีเทคนิคที่หลากหลายรูปแบบตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล   ปัจจุบันมีการทำเลสิกสายตายาวเพื่อปรับคุณภาพการมองเห็นให้ดียิ่งขึ้น มาดูกันว่าการทำเลสิกสายตายาว คืออะไร หากสนใจอยากปรับค่าสายให้กลับมาตามปกติ จะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้างทั้งก่อนและหลังทำเลสิก รวมทั้งประเภทเลสิกต่างๆ หาคำตอบได้ในบทความนี้     สายตายาว คืออะไร ภาวะสายตายาวเป็นภาวะผิดปกติทางการมองเห็น เกิดจากกระจกตาแบนเกินไปหรือกล้ามเนื้อตาและเลนส์แก้วภายในเสื่อมอายุ ผู้ที่มีภาวะนี้จะสามารถมองเห็นภาพชัดเจนเมื่ออยู่ในระยะไกล แต่จะมองเห็นภาพที่อยู่ใกล้ตัวไม่ชัดเจน ซึ่งในบางรายอาจมองเห็นไม่ชัดเจนทั้งในระยะใกล้และไกล โดยภาวะสายตายาวมักจะเกิดกับผู้สูงอายุที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป จะเรียกว่า สายตายาวตามวัย (Presbyopia) และในเด็กตั้งแต่เกิดผ่านทางพันธุกรรม เรียกว่า สายตายาวโดยกำเนิด (Farsightedness) อาการสายตายาว เป็นอย่างไร ใครที่สงสัยว่าตนเองหรือคนใกล้ตัวเริ่มมีภาวะสายตายาว สังเกตได้จากอาการเหล่านี้ ปวดศีรษะหรือปวดตา มีอาการตาล้าอยู่บ่อยๆ เนื่องจากจำเป็นต้องใช้สายตาเพ่งหรือจ้องขณะมอง มองเห็นภาพซ้อน ต้องหรี่ตาเพื่อให้มองเห็นได้ชัดเจน แสบตา น้ำตาไหล ตาไวต่อแสง มองเห็นในที่ที่มีแสงน้อยหรือตอนกลางคืนได้ยากลำบาก เด็กที่มีสายตายาวอาจมีอาการตาเข หรือตาเหล่จากการเพ่งจ้อง เด็กที่มีสายตายาวจะมีพฤติกรรมขยี้ตาบ่อย ส่งผลกระทบในชีวิตประจำวันเช่นการขับขี่ยานพาหนะ การอ่านหนังสือ การทำงาน ต่างๆ สายตายาว มีกี่ประเภท สายตายาวแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท สายตายาวตามวัยเกิดจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น กล้ามเนื้อตาเริ่มเสื่อมสภาพทำให้ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปประสบปัญหาในการมองเห็นสายตายาว เมื่อต้องใช้สายตาจึงต้องยื่นวัตถุระยะห่างมากขึ้น สายตายาวตั้งแต่กำเนิดเป็นภาวะที่เกิดโดยกำเนิด ไม่รู้ตัว เด็กที่มีสายตายาวจะไม่สามารถสื่อสารหรือบอก ได้ถึงความผิดปกติในการมองเห็นของตน ผู้ปกครองควรหมั่นสังเกตพฤติกรรมของเด็กเพื่อสังเกตอาการ     สาเหตุสายตายาว เกิดจากอะไร สายตายาวเกิดขึ้นเมื่อมีความผิดปกติที่รูปร่างของกระจกตา (ชั้นใสด้านหน้าของดวงตา) หรือเลนส์ตา (ส่วนภายในของดวงตาที่ช่วยในการโฟกัสภาพ) ความผิดปกตินี้ทำให้แสงโฟกัสไปที่จุดด้านหลังจอประสาทตา แทนที่จะตกลงบนจอประสาทตาโดยตรง ส่งผลให้การมองเห็นวัตถุที่อยู่ใกล้เกิดความพร่ามัว ผู้ที่มีสายตายาวส่วนใหญ่มักมีภาวะนี้ตั้งแต่กำเนิด แต่อาจไม่แสดงอาการหรือมีปัญหาการมองเห็นจนกว่าจะมีอายุมากขึ้น โดยคนที่มีประวัติสายตายาวในครอบครัวมีโอกาสที่จะเป็นสายตายาวได้มากกว่าคนทั่วไป การวินิจฉัยสายตายาวโดยแพทย์ ปัญหาสายตายาวหากปล่อยทิ้งไว้ อาจส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน ดังนั้น ควรพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและหาวิธีรักษาที่เหมาะสม วินิจฉัยโดยวิธีต่างๆ ดังนี้ ส่องตรวจในตา (Ophthalmoscopy) วัดความดันลูกตา (Tonometry) การวัดค่าสายตา (Refraction) ตรวจด้วยเครื่องตรวจตา (Slit Lamp) เพื่อทดสอบความสามารถในการมองเห็น ถ่ายภาพกระจกตา (Corneal Topography) วัดความหนาของกระจกตาในการทำเลสิกสายตายาว วัดกำลังสายตา (Phoropter) วัดความโค้งของกระจกตา (Keratometer) หลังจากที่วินิจฉัย จักษุแพทย์จะอธิบายถึงปัญหาสายตายาวและแนะนำวิธีแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เพื่อให้รักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดและคนไข้สามารถกลับใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ทำเลสิกสายตายาว คืออะไร การทำเลสิกสายตายาวคือ การเพิ่มระยะโฟกัสโดยใช้เลเซอร์แก้ไขค่าสายตาให้กลับมองเห็นในระยะไกลได้ชัดเจน เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสายตายาว ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ขาดความมั่นใจ ทำให้อ่านหนังสือ หรือทำงานลำบาก นอกจากนี้ การสวมใส่แว่นอาจเป็นวิธีแก้ไขปัญหาที่ไม่ได้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ในผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมผาดโผน ออกกำลังกาย หรือต้องขับรถบ่อยๆ เป็นต้น     ประเภทการทำเลสิกสายตายาว การทำ LASIK สายตายาวมีหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทมีความแตกต่างกันออกไป สามารถศึกษาเพื่อสอบถามจักษุแพทย์เพิ่มเติมในการพิจารณาวินิจฉัยเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมกับตนเองได้ ดังนี้ 1. Full Correction Lasik Full Correction Lasik เป็นวิธีการรักษาด้วยเลเซอร์แบบดั้งเดิม เน้นการแก้ไขความผิดปกติของผู้ที่มีปัญหาสายตายาวแต่กำเนิด เพื่อให้สามารถกลับมองเห็นได้ชัดเจนระยะไกล ซึ่งวิธีนี้อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาสายตายาวจากอายุที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากยังจำเป็นที่้ต้องใช้แว่นสายตาสำหรับการมองเห็นในระยะใกล้ 2. Monovision Lasik Monovision Lasik เป็นเทคโนโลยีการรักษาด้วยเลเซอร์นี้จะปรับแต่งการมองเห็นของตาแต่ละข้างให้แตกต่างกัน โดยปรับสายตาข้างที่ถนัด (Dominance Eye) ให้เหมาะกับการมองเห็นระยะไกล และปรับตาข้างที่ไม่ถนัดให้มีสายตาสั้นเล็กน้อยเพื่อรองรับการมองเห็นในระยะใกล้ ซึ่งคนไข้จำเป็นต้องใช้เวลาปรับตัวหลังจากทำเลสิกสายตายาววิธีนี้ เนื่องจากสมองต้องใช้เวลาในการประมวลผลให้มองเห็นได้อย่างชัดเจนทั้งสองระยะ ในช่วงแรกประสิทธิภาพในการมองเห็นตอนกลางคืนอาจลดลงบ้างเล็กน้อย และจะค่อยๆ กลับมาเต็มประสิทธิภาพหลังจากร่างกายปรับตัวได้ 3. Presbylasik เทคโนโลยี Presbymax เป็นนวัตกรรมใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาสายตายาว ทั้งความผิดปกติที่มีมาแต่กำเนิดและภาวะสายตายาวที่เกิดตามวัย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นของดวงตาข้างเดียวกันในระยะต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องสวมใส่แว่นตา 4. Laser Blended Vision (LBV) Laser Blended Vision (LBV) เป็นเทคโนโลยีที่แก้ไขปัญหาสายตาได้หลายรูปแบบพร้อมกัน ทั้งสายตายาวตามวัย สายตาสั้น สายตาเอียง และสายตายาวแต่กำเนิด ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถมองเห็นได้ชัดเจนในทุกระยะด้วยตาข้างเดียวโดยไม่ต้องใช้แว่นสายตา ทำเลสิกสายตายาววิธีนี้ใช้เทคโนโลยีเลสิกแบบไร้ใบมีด หรือเลเซอร์ในการรักษาทุกขั้นตอน เข้าไปปรับแต่งความโค้งของกระจกตาแบบพิเศษที่เรียกว่า Spherical Aberration เพื่อเพิ่มระยะโฟกัสให้มากขึ้น (Depth of Focus) จากนั้นจึงใช้เลเซอร์ปรับแต่งความโค้งของกระจกตาทั้งสองข้างให้แตกต่างกันเล็กน้อย ซึ่งวิธีการรักษาจะแบ่งการปรับแต่งตามความถนัดของตาแต่ละข้าง ดังนี้ ตาข้างที่ถนัด (Dominant)จะปรับความโค้งเพียงเล็กน้อยเพื่อช่วยการมองเห็นระยะกลางโดยไม่กระทบการมองระยะไกล ตาข้างที่ไม่ถนัด (Non Dominant)จะปรับความโค้งมากกว่าเพื่อเน้นการมองเห็นในระยะใกล้และระยะกลาง การเตรียมตัวก่อนทำเลสิกสายตายาว ก่อนทำเลสิกสายตายาวหากทราบการเตรียมตัวอย่างเหมาะสม จะช่วยให้การทำเลสิกผ่านไปอย่างราบรื่น สำหรับคนที่ใส่คอนแท็กต์เลนส์ แนะนำให้สวมแว่นแทนก่อนทำเลสิกอย่างน้อย 1 สัปดาห์ ควรเตรียมลางาน 2-3 วัน เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ เดินทางโดยใช้รถสาธารณะในวันที่มาตรวจ เพราะหลังจากทำแล้วจะมีอาการตาพร่ามัว 6-8 ชั่วโมง แนะนำให้มีผู้ติดตามมาด้วย และควรพกแว่นกันแดด ควรสระผม สวมเสื้อที่มีกระดุมติดหน้าเพื่อให้สะดวกต่อการถอดและสวมใส่ และงดการฉีดน้ำหอม การดูแลตัวเองหลังทำเลสิกสายตายาว หลังจากทำเลสิกสายตายาว ควรดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ดังนี้ หลังจากทำเลสิก 24 ชั่วโมงแรก ควรนอนหลับพักผ่อนให้ได้มากที่สุด หมั่นหยอดตาตามที่แพทย์แนะนำ สัปดาห์แรกให้ระวังไม่ให้น้ำเข้าตา เช็ดหน้าแทนการล้างหน้า และระมัดระวังบริเวณรอบดวงตา โดยทางโรงพยาบาลจะแนะนำวิธีเช็ดให้ ภายในเดือนแรกจะสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติได้ แต่ควรเว้นบางกิจกรรม เช่น ว่ายน้ำ หรือการเข้าซาวน่า หลังจาก 1 เดือนเป็นต้นไป สามารถทำกิจกรรมได้ตามปกติแบบเต็มที่ เลือกโรงพยาบาลทำเลสิกสายตายาวอย่างไรให้ปลอดภัย การเลือกโรงพยาบาลทำเลสิกสายตายาวเป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อความปลอดภัยในการรักษา สามารถพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ได้แก่ สถานพยาบาลต้องได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการอย่างถูกต้อง พร้อมแสดงเลขที่ใบอนุญาตอย่างชัดเจน มีจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการรับรองจากแพทยสภา โดยเฉพาะในด้านจักษุวิทยาและการผ่าตัดแก้ไขความผิดปกติทางสายตา มีอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยได้มาตรฐานระดับสากล พร้อมบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ โรงพยาบาลที่มีเทคนิคและทางเลือกในการรักษาที่หลากหลายและครอบคลุม ค่าใช้จ่ายในการรักษาสมเหตุสมผลกับบริการ มีเคสรีวิวจากผู้ที่เคยเข้ารับบริการที่น่าเชื่อถือ เดินทางสะดวก รองรับจำนวนคนไข้เพียงพอ     ทำเลสิกสายตายาวที่ศูนย์เลเซอร์วิชั่น Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร หากต้องการทำเลสิกสายตายาว แนะนำให้เข้ามาปรึกษาและรักษาอาการเหล่านี้ได้ที่ศูนย์เลเซอร์วิชั่น Bangkok Eye Hospital ที่นี่โดดเด่นด้านการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ด้วยทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีจุดเด่นดังนี้ โรงพยาบาลมีทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย พร้อมให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง สรุป สายตายาว คือความผิดปกติของการมองเห็นวัตถุในระยะยาว โดยพบภาวะนี้ได้ทั้งวัยเด็กและวัยสูงอายุ ซึ่งแพทย์ทำการวินิจฉัยถึงสาเหตุของสายตายาวได้หลายวิธีเพื่อหาวิธีรักษาที่เหมาะสมอย่างเช่น การทำ LASIK สายตายาว เนื่องจากเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามควรศึกษาข้อมูลให้พร้อมในการดูแลตนเองทั้งก่อนและหลังทำ และควรเลือกโรงพยาบาลที่ปลอดภัย น่าเชื่อถือ และได้มาตรฐาน สำหรับผู้ที่สนใจบริการเลสิกสายตายาว ที่ศูนย์เลเซอร์วิชั่น Bangkok Eye Hospitalมีเครื่องมือได้มาตรฐานสากล และจักษุแพทย์มากประสบการณ์ พร้อมดูแลด้วยเทคโนโลยีและเทคนิคในการรักษาหลากหลายรูปแบบ ให้คุณภาพในการมองเห็นของแต่ละท่านกลับมามีประสิทธิภาพ ดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างสมบูรณ์
ศูนย์รักษาตาเด็ก

การควบคุมภาวะสายตาสั้นในเด็ก

การควบคุมภาวะสายตาสั้นในเด็ก เนื่องจากสายตาสั้นในเด็กเป็นภาวะที่ไม่สามารถทำให้หายขาดได้แต่สามารถควบคุมให้เพิ่มขึ้นน้อยที่สุดหรือเพิ่มขึ้นช้าลง ทางการเเพทย์จึงใช้คำว่าควบคุมแทนคำว่ารักษา แน่นอนว่าลักษณะดวงตาและสภาวะสายตาของเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน จึงจำเป็นที่จะต้องได้รับการวินิจฉัยจากจักษุเเพทย์ก่อน เพื่อประเมินเข้ารับการใช้ยาหรือใส่คอนเเทคเลนส์เพื่อควบคุมสายตาสั้นสำหรับเด็ก   คุณสมบัติและลักษณะเบื้องต้นของเด็กที่ควรเข้ารับการควบคุมสายตาสั้น มีอายุตั้งแต่ 6 ถึง 12 ปีและได้รับการวินิจฉัยว่ามีสายตาสั้นตั้งแต่อายุน้อยๆ เด็กกลุ่มอายุนี้มีโอกาสที่จะตอบสนองต่อการควบคุมสายตาสั้นได้ดีเนื่องจากดวงตายังมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ เด็กที่มีภาวะสายตาสั้นขึ้นอย่างรวดเร็ว(เพิ่มขึ้นมากกว่าหนึ่งร้อยต่อปี) เด็กที่มีคุณพ่อหรือคุณแม่สายตาสั้นมาก เนื่องจากมีโอกาสสูงที่เด็กจะมีสายตาสั้นมากเช่นกัน   ทำไมเด็กๆ จึงควรที่จะได้รับการวินิจฉัยและเข้ารับการควบคุมสายตาสั้น นอกจากอาการมองไม่ชัดแล้วสำหรับเด็กๆที่มีสายตาสั้นยังมีความเสื่ยงอื่นๆที่จะมีภาวะเเทรกซ้อนร่วมด้วย เช่น โรคจอประสาทตาหลุดหรือโรคต้อหิน โรคมาร์แฟนซินโดรม    ปัจจัยอื่นๆที่ควรพิจารณาก่อนเข้ารับการควบคุมสายตาสั้นโดยจักษุเเพทย์ ความส่ํมาเสมอเเละวินัยของเด็ก - เนื่องจากวิธีการควบคุมสายตาสั้นโดยใช้คอนแทคเลนส์หรือการให้ยาต้องมีความส่ํมาเสมอเพื่อให้เห็นผลการรักษา ความเข้าใจในผลข้างเคียง - เนื่องจากการใช้ยาหยอดตาจะมีผลข้างเคียงบางอย่างเช่นมองเห็นใกล้ๆไม่ชัด ซึ่งในบางครั้งเด็กๆอาจจะทนไม่ได้   ท้ายที่สุดแล้วแพทย์และผู้ปกครองควรตัดสินใจร่วมกันเพื่อนพิจารณาการควมคุมสายตาสั้นในเด็กเพื่อให้ได้ผลลัพธ์สูงที่สุด  
ศูนย์เลสิก LASER VISION

หลังทำเลสิคสายตาสั้น เมื่อมีสายตายาวจะสามารถรักษาด้วยวิธีเลสิกได้อีกหรือไม่

หลังทำเลสิคสายตาสั้น เมื่อมีสายตายาวจะสามารถรักษาด้วยวิธีเลสิกได้อีกหรือไม่ หลังทำเลสิคสายตาสั้น เมื่อมีสายตายาวจะสามารถรักษาด้วยวิธีเลสิกได้อีกหรือไม่?      สายตายาวตามอายุเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นกับทุกๆคน ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้ แม้แต่ในผู้ที่ไม่เคยมีปัญหาเรื่องการมองเห็นมาก่อนเลยก็ตาม      สายตายาวตามอายุ เกิดขึ้นในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป สาเหตุเกิดจากเลนส์แก้วตาแข็งขึ้น ประกอบกับกล้ามเนื้อยึดเลนส์ตาเริ่มเสื่อมสภาพ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นภาพในระยะใกล้ได้ชัดเจน      ในกลุ่มผู้ที่มีภาวะสายตาสั้น และได้รับการแก้ไขโดยวิธีการเลสิกไปแล้ว เมื่ออายุประมาณ 40 ปีมีสายตายาวอายุ ทำให้มองใกล้ไม่ชัด สามารถใช้แว่นสายตายาวช่วยในการอ่านหนังสือ หรือช่วยในการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้ แต่หากไม่อยากใส่แว่น สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีเลสิกสายตาได้เช่นกัน การรักษาสายตายาวด้วยวิธี NV LASIK ซึ่งทำให้สามารถมองเห็นในระยะไกลได้ชัดในตาข้างหนึ่ง และมองเห็นใกล้ได้ชัดในตาอีกข้างหนึ่ง เนื่องจากสายตายาวตามอายุเกิดจากความเสื่อมของเลนส์แก้วตา ดังนั้น การรักษาด้วยวิธีนี้จะอยู่ได้ 3- 5 ปีขึ้นอยู่กับสภาพสายตาของคนไข้แต่ละคน การรักษาสายตายาวตามอายุด้วยวิธีการเปลี่ยนเลนส์ (Refractive Lens Exchange-RLE) โดยจะนำเลนส์แก้วตาที่เสื่อมสภาพออก และใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไป **ผู้ที่มีภาวะสายตาสั้นมักเกิดความเข้าใจผิดว่าเมื่อมีภาวะสายตายาวตามอายุร่วมด้วยสายตาจะกลับมาเป็นปกติ ในความเป็นจริง สายตายาวตาอายุเกิดจากความเสื่อมของกล้ามเนื้อตา(เสื่อมตามภาวะร่างกายที่อายุมากขึ้น) ภาวะเสื่อมดังกล่าวอาจทำให้การมองในระยะใกล้ๆได้ดีขึ้น แต่ในระยะที่ใกล้นั้นก็ใกล้กว่าระยะของคนสายตาปกติทั่วๆไป **ผู้ที่มีภาวะสายตาสั้นและไม่ได้รับการแก้ไข เมื่ออายุ 40 ปีมีภาวะสายตายาวตามอายุร่วมด้วย จะทำให้มองไม่ชัดทั้งใกล้และไกล
calling
ติดต่อเรา : +662 511 2111