มุมสุขภาพตา : #ล้างตา

เรียงตาม

ตาแห้งมีอาการอย่างไร วิธีรักษา ป้องกัน และพฤติกรรมที่ช่วยลดอาการตาแห้ง

อาการตาแห้ง คือภาวะตาขาดความชุ่มชื้นเพราะการผลิตน้ำตาน้อยเกินไปหรือคุณภาพน้ำตาไม่ดี ทำให้เกิดอาการระคายเคืองและไม่สบายตาได้ ตาแห้งเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น อายุที่มากขึ้นทำให้การผลิตน้ำตาน้อยลง การสวมใส่คอนแท็กต์เลนส์นานเกินไป การจ้องจอคอมพิวเตอร์นานๆ รวมถึงผลข้างเคียงจากยาบางชนิด การรักษาตาแห้งทำได้หลายวิธี เช่น ยาหยอดตา น้ำตาเทียม การประคบอุ่น และการรักษาด้วยยาลดการอักเสบ รักษาอาการตาแห้งที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ได้รับการดูแลจากจักษุแพทย์ พร้อมเทคโนโลยีทันสมัยและการรักษาที่เหมาะสมกับอาการ   ตาแห้งเป็นโรคที่ทำให้ตารู้สึกแห้งและระคายเคือง เนื่องจากการผลิตน้ำตาลดลงหรือคุณภาพของน้ำตาไม่ดีพอ ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย หากดูแลอย่างถูกวิธี จะช่วยลดอาการและป้องกันภาวะตาแห้งในระยะยาว มาหาสาเหตุของอาการตาแห้ง วิธีรักษา รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันอาการตาแห้งได้ในบทความนี้     อาการตาแห้ง คืออะไร? ก่อนทำความรู้จักกับอาการตาแห้ง ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ‘น้ำตา’ กันก่อน โดยน้ำตามีความสำคัญต่อดวงตา เป็นตัวช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา ทำให้มองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวได้อย่างชัดเจน หล่อเลี้ยงเลี้ยงกระจกตาด้วยออกซิเจน และป้องกันการติดเชื้อและสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้ามาทำร้ายดวงตา ตาแห้ง เป็นอาการที่ปริมาณน้ำตาที่เข้ามาหล่อเลี้ยงผิวตามีไม่เพียงพอส่งผลให้ผิวตาอักเสบได้ โดยอาการของตาแห้งอาจเริ่มจากการแสบตา หรือรู้สึกระคายเคืองเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในตา รวมถึงอาจพบอาการตาแดง เจ็บ หรือมีการพร่ามัวที่ดีขึ้นเมื่อกะพริบตา นอกจากนี้ยังอาจรู้สึกฝืดๆ หนักๆ ที่ตา หรือลืมตาลำบาก และบางครั้งอาจมีอาการตาล้าหรือมีน้ำตาไหลมากผิดปกติ     ทำไมถึงมีอาการตาแห้งได้ ตาแห้งเป็นปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อความสบายของดวงตาและการมองเห็น โดยเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่ พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟนเป็นเวลานานเกินไป อาการภูมิแพ้ที่ตาซึ่งอาจเกิดจากสิ่งแวดล้อมที่มีฝุ่น ควัน หรือมลภาวะ อยู่ในที่ร้อน ลมแรง หรือความชื้นต่ำ ความผิดปกติของต่อมไขมันขอบตา การพบตัวไร (Demodex blepharitis) บริเวณโคนขนตา ซึ่งเกิดจากการอักเสบของต่อมน้ำตา การใช้ยาบางประเภท เช่น ยาคุมกำเนิด ยาแก้แพ้ ยาต้านซึมเศร้า ยาลดความดันโลหิตบางชนิด ฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล โดยเฉพาะในเพศหญิงที่อาจทำให้คุณภาพของน้ำตาลดลง     อาการตาแห้งเกิดจากอะไร มีปัจจัยอะไรบ้าง ปัจจัยที่ส่งผลต่อการผลิตน้ำตาหรือการทำงานของต่อมน้ำตา หากมีลักษณะดังต่อไปนี้ จะทำให้เกิดอาการตาแห้งได้ง่ายขึ้น สร้างน้ำตาได้น้อยกว่าปกติ  (Aqueous Tear Deficiency) กลุ่มคนที่มีความผิดปกติหรือปัจจัยที่ส่งผลให้สามารถสร้างน้ำตาได้น้อย ได้แก่   กลุ่มคนที่เป็นโรค Sjogren’s Syndrome โรครูมาตอยด์ โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือภาวะที่ไม่พบสาเหตุชัดเจน เช่น Primary Sjogren’s Syndrome กลุ่มคนที่ไม่เป็นโรค Sjogren’s Syndrome เช่น ต่อมน้ำตาทำงานผิดปกติตั้งแต่เกิด โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง การแพ้ยารุนแรง หรือการอักเสบที่ทำให้ท่อน้ำตาตัน กลุ่มคนที่ฮอร์โมนเปลี่ยน มักพบในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่ส่งผลให้การผลิตน้ำตาและสารคัดหลั่งอื่นๆ ในร่างกายลดลง การกินยาบางประเภท เช่น ยาแก้หวัด ยาแก้แพ้ ยาลดความดันโลหิต หรือยาคลายเครียดบางชนิด ที่มีสารกันเสียเป็นส่วนประกอบ อาจทำให้ตาแห้งมากขึ้น เนื่องจากสารเหล่านี้สามารถลดการผลิตน้ำตาได้ น้ำตาระเหยเร็ว (Evaporative Dry Eyes)  ปัจจัยที่ส่งผลให้การระเหยของน้ำตาเกิดขึ้นเร็วกว่าปกติ ได้แก่   ต่อมไขมันที่เปลือกตาทำงานผิดปกติ เปลือกตาอักเสบที่เกิดจากความผิดปกติของชั้นไขมัน จะทำให้การสร้างน้ำตาชั้นน้ำมันลดลง ซึ่งทำให้เกิดการระเหยของน้ำตาได้เร็วขึ้น ความผิดปกติของเปลือกตา การปิดตาไม่สนิทหรือการกะพริบตาน้อยผิดปกติ ซึ่งทำให้การกระจายน้ำตาผิดปกติ และเพิ่มการระเหยของน้ำตา โดนสารเคมีหรือแพ้ยารุนแรง การอักเสบของเยื่อบุตาอาจทำให้เกิดแผลเป็น ซึ่งส่งผลต่อการสร้างน้ำตาชั้นเมือกที่ติดกับกระจกตา ทำให้การสร้างน้ำตาผิดปกติ การใช้สายตามาก พบมากในวัยทำงานจากพฤติกรรมจ้องจอคอมพิวเตอร์นานๆ โดยไม่ค่อยกะพริบตา และการใส่คอนแท็กต์เลนส์ที่ดูดน้ำออกจากดวงตา ทำให้การผลิตน้ำตาลดลงและน้ำตาระเหยเร็ว     วิธีรักษาหรือวิธีแก้โรคตาแห้ง วิธีรักษาโรคตาแห้งจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและอาการของแต่ละบุคคล โดยใช้วิธีต่างๆ รวมทั้งการใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการ ดังนี้ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ตาแห้ง ควรหลีกเลี่ยงการโดนลมแรง ฝุ่นควัน หรือแสงจ้า โดยการใส่แว่นกันแดดและแว่นกันลม เพื่อป้องกันสิ่งแวดล้อมที่อาจทำให้ตาแห้งขึ้น นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงการใส่คอนแท็กต์เลนส์เป็นเวลานานๆ เพื่อไม่ให้สูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงจากดวงตาที่อาจทำให้อาการตาแห้งแย่ลงได้ ใช้น้ำตาเทียม ในการรักษาอาการตาแห้ง น้ำตาเทียมเป็นตัวช่วยที่ดี โดยมี 2 ชนิดให้เลือกใช้ ได้แก่   น้ำตาเทียมที่มีสารกันเสีย ในรูปแบบขวด ควรใช้ไม่เกิน 4-5 ครั้งต่อวัน อาจแบ่งการใช้ยาเพิ่มน้ำตาตามช่วงเวลาของวัน เช่น เช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน ซึ่งเหมาะสำหรับอาการตาแห้งที่ไม่รุนแรง น้ำตาเทียมที่ไม่มีสารกันเสีย แบบกระเปาะ เปิดแล้วมีอายุ 24 ชั่วโมง หรือขวดที่มีระบบวาล์วพิเศษใช้ได้นาน 6 เดือน ใช้บ่อยได้ตามต้องการ เช่น ทุก 1-2 ชั่วโมง เหมาะกับผู้ที่มีอาการตาแห้งรุนแรง  ใช้ยาหยอดตาเพิ่มปริมาณน้ำตา มียาหยอดตาที่ช่วยเพิ่มน้ำตาและรักษาอาการตาแห้งได้ โดยแต่ละชนิดจะช่วยรักษาตามอาการที่แตกต่างกัน ดังนี้   ยา Diquafosol ช่วยเพิ่มการสร้างน้ำตาชั้นเมือกและชั้นน้ำเพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ดวงตาและลดอาการแห้ง ยาปฏิชีวนะ Doxycycline ยาลดการอักเสบของเปลือกตาช่วยลดการอักเสบและอาการระคายเคืองที่เกิดจากตาแห้ง ยากลุ่ม Steroids โดยยานี้ช่วยบรรเทาการอักเสบของผิวตาและลดอาการระคายเคืองที่เกิดจากการขาดน้ำตา ยา Cyclosporine ยากดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressant) ชนิดหยอดตา ช่วยลดการอักเสบในตาและเพิ่มการผลิตน้ำตา โดยการปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ซึ่งสามารถช่วยลดอาการตาแห้งได้ การทำความสะอาดเปลือกตา การทำความสะอาดเปลือกตาและประคบอุ่นด้วยแชมพูเด็กผสมเจือจางหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเปลือกตาช่วยลดการอุดตันของต่อมไขมันในเปลือกตา ทำให้ชั้นไขมันที่เคลือบน้ำตาทำงานได้ดีขึ้น ช่วยป้องกันน้ำตาระเหยเร็วและลดอาการตาแห้ง ใช้ Autologous Serum การรักษาอาการตาแห้งชนิดรุนแรงโดยใช้สารที่ช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อทำได้โดยการเจาะเลือดจากผู้ป่วยไปปั่นแยกเป็น Serum และนำมาหยอดร่วมกับการใช้น้ำตาเทียม ซึ่งจะช่วยลดการอักเสบของเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ และส่งเสริมการฟื้นตัวของเนื้อเยื่อให้กลับสู่สภาพปกติได้ดีขึ้น การอุดท่อระบายน้ำตาที่หัวตา (Punctal Plug) การรักษาอาการตาแห้งที่รุนแรงทำได้โดยการอุดช่องทางที่น้ำตาไหลออกจากตา (Punctum) ซึ่งมีทั้งชนิดอุดชั่วคราวและชนิดอุดถาวร โดยการใส่ Silicone Plug หรือ Punctal Cautery ซึ่งเป็นการจี้บริเวณช่องทางที่น้ำตาระบายออกจากตา วิธีนี้ช่วยให้ดวงตาเก็บน้ำตาไว้ได้นานขึ้น ลดการระเหยของน้ำตา และช่วยบรรเทาอาการตาแห้งได้ในกรณีที่อาการรุนแรงมาก     การปรับพฤติกรรมเพื่อป้องกันอาการตาแห้ง การป้องกันอาการตาแห้งทำได้ง่ายๆ ด้วยการปรับพฤติกรรมบางอย่างในชีวิตประจำวัน ดังนี้    หยุดพักจากการใช้งานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือมือถือทุกๆ 20 นาที โดยการหลับตาสัก 20 วินาที หรือมองสิ่งที่อยู่ไกลประมาณ 20 ฟุต เพื่อให้ตาได้พักและผ่อนคลาย งดการใช้คอนแท็กต์เลนส์ต่อเนื่อง ควรสลับใส่แว่นในระหว่างวันเพื่อให้ดวงตาได้พัก ใช้งานคอมพิวเตอร์หรือมือถือในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ เพื่อช่วยลดความเครียดของดวงตา เตือนตัวเองให้กะพริบตาบ่อยๆ เพื่อให้น้ำตาเคลือบตาและช่วยลดการระเหยของน้ำตา หากอยู่ในที่ที่มีอากาศแห้ง ร้อน หรือมีลมแรง ควรสวมแว่นกันแดดกันลมเพื่อปกป้องตาจากสภาพแวดล้อม กินอาหารที่ครบทุกหมู่ โดยเฉพาะผัก ผลไม้ ปลา หรืออาหารที่มีโอเมกา 3 ซึ่งช่วยต้านอนุมูลอิสระและลดการอักเสบของตา  ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อวัน สรุป ตาแห้งคืออาการที่น้ำตาผลิตไม่เพียงพอหรือระเหยเร็วเกินไป ทำให้ดวงตารู้สึกแห้ง ระคายเคือง และอาจเกิดการอักเสบได้ รักษาได้หลายวิธี เช่น ใช้น้ำตาเทียม ประคบอุ่น ใช้ยาเพื่อเพิ่มการสร้างน้ำตาหรือลดการอักเสบ และป้องกันตาแห้งได้ด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้ดวงตา รวมถึงการใช้ยาเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของดวงตา  สำหรับผู้ที่มีอาการตาแห้งรุนแรง รับการรักษาได้ที่ ศูนย์โรคจักษุประสาทวิทยา Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ซึ่งให้การดูแลปัญหาตาแห้งที่ส่งผลต่อการมองเห็นและระบบประสาท โดยจักษุแพทย์ในการวินิจฉัยและรักษาภาวะตาแห้งอย่างครบวงจร
อ่านเพิ่มเติม

วิธีการล้างตาที่ถูกต้อง ปลอดภัย ป้องกันการติดเชื้อ ระคายเคืองดวงตา

ดวงตาของเราเป็นอวัยวะที่บอบบางและสำคัญต่อการมองเห็น หากมีสิ่งแปลกปลอม เช่น ฝุ่นละออง หรือสารเคมีเข้าตา การล้างตาอย่างถูกต้องจึงเป็นเรื่องที่จำเป็น เพื่อป้องกันการระคายเคือง การติดเชื้อ หรืออาการบาดเจ็บรุนแรง บทความนี้จะพามาดูขั้นตอนการล้างตาที่ถูกต้อง ถูกสุขอนามัย เมื่อสิ่งแปลกปลอมเข้าตาจนเคืองตา พร้อมคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านจักษุเพื่อดูแลดวงตาของคุณให้สะอาดและปลอดภัย สิ่งแปลกปลอมและสารเคมีที่เข้าตาอาจก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรง ตั้งแต่การติดเชื้อไปจนถึงการสูญเสียการมองเห็น การล้างตาทันทีจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด มีตัวเลือกในการล้างตาที่ปลอดภัย ได้แก่ น้ำเกลือ น้ำยาล้างตา และน้ำสะอาด โดยน้ำเกลือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเพราะมีความเข้มข้นใกล้เคียงกับน้ำตาธรรมชาติ ควรหลีกเลี่ยงการขยี้ตาเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา เพราะอาจทำให้เกิดแผลที่กระจกตา เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และทำให้กล้ามเนื้อตาอ่อนแรงในระยะยาว วิธีการล้างตาที่ถูกต้องเริ่มจากการกระพริบตาหลายครั้ง ตามด้วยการล้างด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำเกลือ หากอาการไม่ดีขึ้นควรรีบพบจักษุแพทย์ การดูแลสุขอนามัยรอบดวงตาเป็นประจำ เช่น การล้างเครื่องสำอางให้สะอาด และการหลีกเลี่ยงการสัมผัสตาด้วยมือที่ไม่สะอาด จะช่วยป้องกันการติดเชื้อและปัญหาสุขภาพตาในระยะยาว     ทำไมต้องล้างตา? การล้างตาสำคัญอย่างไร เมื่อดวงตาเกิดการระคายเคืองหรือมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา ไม่ว่าจะเป็นสารเคมี ฝุ่นละออง หรือสิ่งสกปรกต่างๆ สิ่งสำคัญที่สุดคือการทำความสะอาดหรือล้างตาโดยเร็วที่สุด เนื่องจากสิ่งเหล่านี้สามารถก่อให้เกิดการติดเชื้อที่เป็นอันตรายต่อดวงตาและการมองเห็นได้ วิธีทำความสะอาดตาเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย เพราะพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ เช่น การล้างเครื่องสำอางไม่สะอาด หรือการขยี้ตาด้วยมือที่สกปรก อาจนำไปสู่การติดเชื้อและก่อให้เกิดอาการผิดปกติได้หลายรูปแบบ ทั้งเปลือกตาอักเสบ เปลือกตาบวมแดง ตาแดง หรือเยื่อบุตาอักเสบ ที่สำคัญที่สุดคือกรณีที่สารเคมีกระเด็นเข้าตา หากไม่รีบล้างออกทันทีอาจเกิดอันตรายร้ายแรงถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นได้     ล้างตาด้วยอะไรได้บ้าง? การดูแลสุขภาพตาด้วยการทำความสะอาดอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนสามารถทำได้เองที่บ้าน ไม่ยุ่งยากและไม่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษมากมาย วิธีการล้างตาที่ถูกต้องไม่เพียงช่วยให้ดวงตาสะอาดสดใสเท่านั้น แต่ยังเป็นการป้องกันการติดเชื้อและปัญหาสุขภาพตาต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็นในระยะยาว มาดูวิธีล้างตาที่ถูกต้องและปลอดภัยเพื่อการดูแลดวงตาให้มีสุขภาพดีกัน! 1. ล้างตาด้วยน้ำเกลือ น้ำเกลือล้างตาได้ไหม? การล้างตาด้วยน้ำเกลือหรือ Normal Saline เป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เนื่องจากน้ำเกลือผ่านการฆ่าเชื้อและมีความเข้มข้นของเกลือใกล้เคียงกับน้ำตาตามธรรมชาติ จึงไม่ก่อให้เกิดอาการแสบตาหรือระคายเคือง เมื่อมีสิ่งสกปรก ฝุ่นละออง หรือสิ่งแปลกปลอมเข้าตา สามารถใช้น้ำเกลือล้างตาได้ทันที โดยเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ใช้นิ้วมือดึงเปลือกตาข้างที่ต้องการล้างลง แล้วค่อยๆ เทน้ำเกลือเพื่อชะล้างสิ่งสกปรกออก 2. ล้างตาด้วยน้ำยาล้างตากับยาหยอดตา น้ำยาล้างตากับยาหยอดตาเป็นผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาสำหรับวิธีทำความสะอาดดวงตาโดยเฉพาะ เหมาะสำหรับใช้เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตาหรือเมื่อมีอาการระคายเคืองและแสบตา ด้วยคุณสมบัติที่ปราศจากเชื้อ มีส่วนผสมของสารควบคุมความเป็นกรดด่าง และส่วนประกอบอื่นๆ ที่ปลอดภัยต่อดวงตา ทำให้น้ำยาล้างตาเป็นตัวเลือกที่ดีในการดูแลสุขอนามัยของดวงตา อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ควรศึกษาฉลากผลิตภัณฑ์ให้ละเอียดก่อนใช้งาน และหากพบว่าอาการระคายเคืองหรือแสบตาไม่บรรเทาลง หรือมีอาการรุนแรงมากขึ้น ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป 3. ล้างตาและประคบอุ่น สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับดวงตา ไม่ว่าจะเป็นอาการเปลือกตาอักเสบ ต่อมไขมันเปลือกตาอุดตัน หรือตาล้า การประคบอุ่นร่วมกับการล้างตาและทำความสะอาดบริเวณรอบดวงตาเป็นวิธีที่ช่วยบรรเทาอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยความอุ่นจะช่วยคลายการอุดตันของต่อมไขมันและให้ความรู้สึกผ่อนคลาย     วิธีล้างตาที่ถูกต้องเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา เมื่อฝุ่นละออง เศษผง หรือสิ่งแปลกปลอมเข้าตา ควรทำตามขั้นตอนการล้างตาดังต่อไปนี้ กระพริบตาหลายครั้ง การกระพริบตาเป็นกลไกธรรมชาติที่ช่วยให้น้ำตาไหลและชะล้างสิ่งแปลกปลอมออกจากดวงตา ให้กระพริบตาเบาๆ หลายๆ ครั้งจนรู้สึกว่าอาการระคายเคืองลดลง ใช้น้ำสะอาดล้างตาให้ใช้น้ำสะอาดที่ผ่านการต้มสุกและเย็นลงแล้ว หรือน้ำดื่มบริสุทธิ์ล้างตาเบาๆ โดยอาจใช้ภาชนะสะอาดรองน้ำแล้วกะพริบตาในน้ำ หรือใช้มือสะอาดตักน้ำล้างตาก็ได้ ใช้น้ำยาล้างตาหรือพบแพทย์หากล้างตาด้วยน้ำสะอาดแล้วยังรู้สึกว่ามีสิ่งแปลกปลอมค้างอยู่ ให้ใช้น้ำยาล้างตาที่ปราศจากเชื้อ หรือรีบไปพบจักษุแพทย์โดยเร็ว โดยเฉพาะถ้ามีอาการปวด แสบ หรือตาแดงร่วมด้วย สิ่งที่ห้ามทำเมื่อสิ่งแปลกปลอมเข้าตา เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตาจนเกิดอาการระคายเคือง หลายคนอาจเผลอขยี้ตาโดยไม่รู้ตัว การถูขยี้ตานั้นเป็นพฤติกรรมที่ทำให้อาการผิดปกติแย่ลง และเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ รวมถึงในกรณีที่ขยี้ตาอย่างแรง อาจทำให้เกิดแผลที่กระจกตาได้ นอกจากนี้พฤติกรรมการขยี้ตาเป็นประจำ อาจนำไปสู่ภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง และผิวหนังรอบดวงตาเหี่ยวย่นได้อีกด้วย ล้างตาทุกวันดีไหม? ดวงตาของมนุษย์มีกลไกทำความสะอาดตัวเองตามธรรมชาติผ่านการกระพริบและการหลั่งน้ำตา จึงไม่จำเป็นต้องล้างตาทุกวันหากไม่มีปัญหาใดๆ การล้างตาควรทำเฉพาะเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา หรือเมื่อรู้สึกระคายเคืองเท่านั้น ในสภาวะปกติ การกระพริบตาตามธรรมชาติจะช่วยกระจายน้ำตาและชะล้างสิ่งสกปรกเล็กๆ น้อยๆ ออกไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ การล้างตาบ่อยเกินไปโดยไม่จำเป็นอาจรบกวนสมดุลตามธรรมชาติของดวงตาได้ ใช้น้ำประปาล้างตาได้ไหม? การใช้น้ำประปาล้างตาเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากน้ำประปามีการปนเปื้อนของคลอรีนและเชื้อโรคหลายชนิด ทั้งไวรัส แบคทีเรีย และอะมีบา แม้เชื้อโรคเหล่านี้อาจไม่ส่งผลร้ายแรงต่อร่างกายโดยตรง แต่สามารถก่อให้เกิดการติดเชื้อที่ดวงตาได้ อย่างไรก็ตาม ในกรณีฉุกเฉินที่มีสารเคมีเข้าตา และไม่มีน้ำเกลือหรือน้ำยาล้างคอนแท็กต์เลนส์อยู่ใกล้ตัว การใช้น้ำประปาล้างตาก็ถือเป็นทางเลือกที่จำเป็น เนื่องจากการปล่อยให้สารเคมีค้างอยู่ในดวงตาเป็นเวลานานจะยิ่งก่อให้เกิดอันตรายมากขึ้น ดังนั้น จึงควรเตรียมน้ำเกลือหรือน้ำยาล้างตาติดบ้านไว้เสมอเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉิน     ใช้น้ำเกลือล้างตาแทนน้ำยาล้างตาได้ไหม? น้ำเกลือเป็นตัวเลือกหนึ่งที่สามารถใช้ล้างตาได้อย่างปลอดภัย แต่สิ่งสำคัญคือต้องเลือกใช้เฉพาะน้ำเกลือทางการแพทย์ (Sterile Saline) ที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อและบรรจุในภาชนะที่ปราศจากเชื้อเท่านั้น การผสมน้ำเกลือใช้เองที่บ้านไม่แนะนำเลย เพราะแม้จะใช้น้ำสะอาดและเกลือบริสุทธิ์ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะมีการปนเปื้อนของเชื้อโรคหรือสิ่งสกปรก ซึ่งอาจนำไปสู่การติดเชื้อที่ตาและก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตาที่ร้ายแรงได้ ระคายเคืองตาแบบไหนที่ควรไปพบแพทย์? หากล้างตาตามขั้นตอนที่ถูกต้องแล้ว แต่ยังคงมีอาการผิดปกติ เช่น รู้สึกระคายเคืองรุนแรง เจ็บปวดภายในดวงตา มีอาการตาแดงที่ไม่ดีขึ้น หรือสังเกตเห็นความผิดปกติในการมองเห็น เช่น มองเห็นภาพไม่ชัด มีจุดดำ หรือแสงจ้า ไม่ควรรอให้อาการรุนแรงขึ้น ควรรีบไปพบจักษุแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพดวงตาในระยะยาว     รักษาอาการระคายเคืองตา ที่ศูนย์รักษาตา Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร หากมีอาการระคายเคืองตาจากสิ่งแปลกปลอม แต่ล้างตาอย่างเดียวไม่หาย แนะนำให้เข้ามาปรึกษาและรักษาอาการเหล่านี้ได้ที่ศูนย์รักษาตา Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ที่นี่โดดเด่นด้านการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ด้วยทีมจักษุแพทย์มากความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับดวงตา มีจุดเด่นดังนี้ โรงพยาบาลมีทีมจักษุแพทย์มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย พร้อมให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง สรุป การล้างตาที่ถูกต้องนั้นมีความสำคัญในการป้องกันปัญหาการระคายเคืองและการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้นกับดวงตา การเลือกใช้น้ำสะอาดที่ผ่านการต้มหรือกรองแล้ว หรือน้ำยาล้างตาที่เหมาะสมกับสภาพและอาการของดวงตา จะช่วยให้การทำความสะอาดมีประสิทธิภาพและปลอดภัย อย่างไรก็ตาม หากสังเกตพบความผิดปกติใดๆ เช่น อาการแสบ ระคายเคือง หรือตาแดงที่ไม่หายไป ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและคำแนะนำในการดูแลรักษาที่เหมาะสม เพราะการดูแลสุขอนามัยของดวงตาอย่างถูกวิธีจะช่วยให้เรามีสุขภาพตาที่ดีและสามารถใช้สายตาได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว สำหรับคนที่มีปัญหาดวงตา แนะนำมาที่Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ)โรงพยาบาลเฉพาะทางที่มีทีมแพทย์มากประสบการณ์ อุปกรณ์ที่ทันสมัย ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล มั่นใจได้ว่าการรักษาเป็นไปอย่างถูกต้อง แม่นยำ และปลอดภัย
calling
ติดต่อเรา : +662 511 2111