มุมสุขภาพตา : #ภูมิแพ้ขึ้นตา

เรียงตาม

กระจกตาบางเกิดจากอะไร? อาการ ผลกระทบต่อสายตาและวิธีรักษา

กระจกตาบางคือภาวะที่กระจกตาซึ่งเป็นชั้นโปร่งใสด้านหน้าตาของดวงตามีความหนาน้อยกว่าปกติ ส่งผลต่อการมองเห็นและสุขภาพตา กระจกตาบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การเสื่อมตามวัย การขยี้ตาบ่อยๆ โรคทางพันธุกรรม หรือผลข้างเคียงจากการผ่าตัดตา เช่น เลสิก อาการของกระจกตาบางที่สังเกตได้ เช่น ตาพร่ามัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย มองเห็นภาพบิดเบี้ยว และสายตาเอียงสูงผิดปกติ กระจกตาบางคือภาวะที่ความหนาของกระจกตาลดลงกว่าปกติ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการโฟกัสแสงเข้าสู่ดวงตา ทำให้การมองเห็นมีความคมชัด หากกระจกตาบางเกินไป อาจเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสายตา เช่น สายตาผิดปกติ หรือมีผลกระทบต่อการรักษาดวงตาด้วยวิธีต่างๆ เช่น เลสิก การเข้าใจสาเหตุ อาการ และการดูแลกระจกตาบางอย่างถูกต้อง จึงช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและดูแลสุขภาพตาได้ดีขึ้น       กระจกตาคืออะไร? สิ่งสำคัญต่อการมองเห็น กระจกตา (Cornea) คือชั้นโปร่งใสและโค้งอยู่ด้านหน้าสุดของดวงตา ครอบคลุมตาดำ มีหน้าที่ช่วยหักเหแสงให้เข้าสู่ดวงตา ทำให้เรามองเห็นชัดเจน และยังเป็นเกราะป้องกันเชื้อโรคโดยตรง โดยปกติความหนาของกระจกตาจะอยู่ที่ประมาณ 520-550 ไมครอน และสามารถบางลงได้ตามอายุที่เพิ่มขึ้นด้วย       รู้จักกับกระจกตาบาง กระจกตาบางคือลักษณะของกระจกตาที่มีความหนาน้อยกว่า 500 ไมครอน (0.5 มิลลิเมตร) โดยทั่วไปไม่ถือเป็นโรคและไม่ต้องรักษา แต่กระจกตาบางจะส่งผลต่อการวินิจฉัยโรคบางอย่าง เช่น ต้อหิน เพราะทำให้วัดความดันตาต่ำกว่าความจริง รวมถึงส่งผลต่อการเลือกวิธีแก้ไขสายตา เช่น หากผู้ป่วยต้องการทำ LASIK และ มีระดับค่าสายตาที่มีผิดปกติสูง เช่น สั้น หรือ เอียงมาก โดยมีความหนาของกระจกตาน้อย เมื่อเปรียบเทียบกันกับเนื้อกระจกตาที่ต้องใช้ผ่าตัด หลังจากได้รับการตรวจจากผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียด เเพทย์ประเมินแล้วอาจจะไม่สามารถแก้ไขค่าสายตาได้หมด หรืออาจทำให้ กระจกตาเสี่ยงเป็นโรคกระจกตาอื่นๆหลังการแก้ไข เเพทย์อาจประเมินให้ผู้ป่วยทำการรักษาด้วยวิธีการอื่นๆ เช่น PRK ICL FemtoLASIK ReLEx SMILE Pro หรือ NanoLASIK  แทนการทำ LASIK แบบทั่วๆไป ซึ่งเป็นการเเก้ไขที่ใช้หรือรบกวนความหนาของกระจกตาน้อยกว่าเพราะฉะนั้น ก่อนทำเลสิกจึงต้องสังเกตและตรวจประเมินความหนาของกระจกตาอย่างละเอียด เพราะหากบางเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะสายตาเอียงผิดปกติ หรือกระจกตาย้วย ซึ่งส่งผลต่อการมองเห็นได้ นอกจากนี้หลายคนยังสงสัยว่า “ใส่คอนแท็กต์เลนส์ ทำให้กระจกตาบางจริงไหม?” คำตอบคือ โดยทั่วไปการใส่คอนแท็กต์เลนส์อย่างถูกวิธี ไม่ได้ทำให้กระจกตาบางลง แต่หากใส่นานเกินไป ไม่ถอดล้างหรือดูแลอย่างถูกต้อง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเกิดภาวะขาดออกซิเจนที่กระจกตา ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อบางลงได้เช่นกัน       กระจกตาบางเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง? กระจกตาบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ การเข้าใจสาเหตุเหล่านี้ช่วยให้สามารถป้องกันและดูแลสุขภาพตาได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น โดยสาเหตุที่พบได้บ่อย มีดังนี้   โรคทางพันธุกรรม แม้ว่าภาวะกระจกตาบางมักเกิดจากพฤติกรรมบางอย่าง แต่ในบางกรณี ความผิดปกตินี้อาจมีสาเหตุจากโรคพันธุกรรมที่ถ่ายทอดภายในครอบครัว หนึ่งในโรคที่พบบ่อย คือ กระจกตาย้วย (Keratoconus) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของภาวะกระจกตาบาง กระจกตาจะบางลงและโป่งยื่นออกมาคล้ายรูปกรวย ทำให้สายตาเอียงผิดปกติ และการมองเห็นแย่ลงเรื้อรัง มักเริ่มแสดงอาการในช่วงวัยรุ่นถึงอายุ 30 ปี โรคกระจกตาบางจากพันธุกรรมอื่นๆ (Corneal Dystrophies) เช่น Pellucid Marginal Degeneration (PMD) ซึ่งกระจกตาจะบางลงบริเวณขอบด้านล่าง   การบาดเจ็บหรือการผ่าตัดตา การผ่าตัดแก้ไขสายตาบางประเภท เช่น การทำเลสิก (LASIK) หรือ PRK อาจส่งผลให้กระจกตาบางลงได้ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการเลเซอร์เนื้อกระจกตา ออกไปมากเกินความจำเป็น ทำให้ความหนาของกระจกตาที่เหลืออยู่ไม่เพียงพอ เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น กระจกตาย้วยในอนาคต นอกจากนี้การบาดเจ็บที่กระจกตาซ้ำๆ รวมถึงการติดเชื้อที่รุนแรง เช่น แผลที่กระจกตาหรือกระจกตาอักเสบ ก็สามารถทำลายเนื้อเยื่อกระจกตาและทำให้เกิดการบางลงได้เช่นกัน โดยเฉพาะหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที   โรคอื่นๆ หรือการใช้ยา โรคทางภูมิคุ้มกันบางชนิด เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) หรือโรคเอสแอลอี (SLE) อาจส่งผลกระทบต่อกระจกตา ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และนำไปสู่ภาวะกระจกตาบางได้ในระยะยาว เนื่องจากภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเนื้อเยื่อของตาเอง ในขณะเดียวกัน การใช้ยาหยอดตาบางชนิด โดยเฉพาะยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ หากใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจมีผลข้างเคียงต่อโครงสร้างของกระจกตา ทำให้เนื้อเยื่อกระจกตาอ่อนแอและบางลงได้เช่นกัน       อาการของภาวะกระจกตาบาง ภาวะกระจกตาบางมักพัฒนาอย่างช้าๆ จนอาจไม่สังเกตเห็นได้ในระยะแรก การเรียนรู้ที่จะสังเกตอาการเบื้องต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรักษาได้อย่างทันท่วงที โดยอาการที่อาจพบมีดังนี้ การมองเห็นพร่ามัวหรือไม่ชัดเจน ค่าสายตาเปลี่ยนแปลงบ่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ มีค่าสายตาเอียงสูงกว่าปกติ มองเห็นภาพบิดเบี้ยว หรือมีลักษณะผิดรูปจากความจริง       วิธีการตรวจและวินิจฉัยกระจกตาบาง โดยปกติแล้วภาวะกระจกตาบางมักถูกตรวจพบในขั้นตอนการประเมินสายตาก่อนทำเลสิก ซึ่งแพทย์จะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Keratometerตรวจวัดความโค้งของกระจกตาและค่าสายตาเอียง โดยการสะท้อนแสงบนกระจกตาเพื่อตรวจหารูปร่างและความโค้งที่ผิดปกติ ซึ่งความโค้งที่ผิดปกตินี้ อาจสัมพันธ์กับความบางของกระจกตา นอกจากนั้นยังมีการตรวจ Corneal Tophography หรือแผนภูมิดวงตาเพื่อประเมินค่าความหนาบางและความผิดปกติของกระจกตาอื่นๆด้วย โดยอาจจะมีการวัด Tomographic Biomechanical Index หรือ ค่าความเเข็งเเรงของกระจกตา เสริมเพื่อตรวจความเสี่ยงของโรค Corneal Ectasia หรือโรคกระจกตาโป้งอีกด้วย แม้ว่าจะสามารถสังเกตอาการเบื้องต้นได้ เช่น มองเห็นไม่ชัดหรือค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย แต่การวินิจฉัยว่ามีกระจกตาบางจริงหรือไม่นั้น ต้องอาศัยการตรวจโดยจักษุแพทย์เท่านั้น เพราะการสังเกตอาการด้วยตนเองเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น ไม่สามารถยืนยันผลได้ ดังนั้นหากสงสัยว่าตนเองมีกระจกตาบาง ควรเข้ารับการตรวจอย่างละเอียดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวางแผนการดูแลและรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้น   สรุป กระจกตาบางเป็นภาวะที่หลายคนไม่รู้ตัว แต่สามารถส่งผลกระทบต่อการมองเห็น เช่น ตาพร่ามัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย หรือภาพบิดเบี้ยว ซึ่งอาจเกิดจากพันธุกรรม โรคภูมิคุ้มกัน การผ่าตัดแก้ไขสายตา หรือการใช้ยาบางชนิด การตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกจึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่วางแผนทำเลสิก ควรเข้ารับการตรวจวัดความหนาและความโค้งของกระจกตาอย่างละเอียดที่ Bangkok Eye Hospital ด้วยเครื่องมือทันสมัยและแพทย์เฉพาะทาง เพื่อป้องกันและดูแลสุขภาพดวงตาได้อย่างมั่นใจ   คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกระจกตาบาง (FAQ) หลายคนที่เพิ่งเคยได้ยินเกี่ยวกับภาวะกระจกตาบางอาจมีข้อสงสัยมากมาย เพื่อช่วยให้เข้าใจมากขึ้น เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาวะกระจกตาบาง พร้อมคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญมาฝากกันในบทความนี้   ทำอย่างไรให้กระจกตาหนาขึ้น ความหนาของกระจกตาไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากเป็นความผิดปกติที่เกิดจากโครงสร้างภายในชั้นกระจกตาเอง   ถ้าปล่อยให้กระจกตาบางแล้วไม่รักษา จะเป็นอย่างไร? สายตาพร่ามัวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถแก้ไขด้วยแว่นหรือคอนแท็กต์เลนส์ปกติได้ กระจกตาโป่งยื่นออกมามากผิดปกติ ทำให้การมองเห็นแย่ลงอย่างถาวร ในบางกรณีรุนแรงมาก อาจเกิดภาวะกระจกตาบวมน้ำฉับพลัน (Acute Hydrops) หรือกระจกตาทะลุ ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินและอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้หากไม่ได้รับการปลูกถ่ายกระจกตา   สามารถป้องกันภาวะกระจกตาบางได้ไหม หลีกเลี่ยงการขยี้ตาแรงๆ เพราะการขยี้ตาเป็นประจำและรุนแรงสามารถทำให้กระจกตาบางลงและเป็นตัวกระตุ้นให้โรคกระจกตาย้วยแย่ลง ดูแลสุขภาพตาโดยรวม เช่น ไม่ใช้คอนแท็กต์เลนส์นานเกินไป และรักษาความสะอาดของดวงตา พบจักษุแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคเกี่ยวกับกระจกตา เพื่อให้สามารถวินิจฉัยและเริ่มการรักษาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะให้ผลลัพธ์การรักษาที่ดีกว่า  
อ่านเพิ่มเติม

เคืองตา กะพริบตาแล้วเจ็บเกิดจากอะไร พร้อมการรักษาอย่างถูกวิธี

ดวงตาเป็นหนึ่งในอวัยวะที่สำคัญที่สุดของร่างกายแต่ด้วยปัจจัยต่างๆ เช่น สภาพแวดล้อม พฤติกรรมการใช้งานดวงตา หรือแม้กระทั่งการสัมผัสกับสารระคายเคือง อาจทำเกิดอาการระคายเคืองตา กะพริบตาแล้วเจ็บ รู้สึกเหมือนมีอะไรเข้าตาอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าอาการนี้จะดูเหมือนไม่รุนแรง แต่หากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม อาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็นและคุณภาพชีวิตในระยะยาวได้ ในบทความนี้ เราจะมาทำความเข้าใจถึงสาเหตุ อาการ พร้อมทั้งวิธีการป้องกันอาการระคายเคืองตา   อาการระคายเคืองตา (Eye Irritation) เป็นภาวะที่รู้สึกไม่สบายดวงตาหรือบริเวณรอบดวงตา เหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในดวงตา โดยมักมีอาการเจ็บ ปวด คัน ตาแดงหรือบวม ตาไวต่อแสง และน้ำตาไหล อาการเคืองตาเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น มลภาวะและแสงแดด สิ่งแปลกปลอม เครื่องสำอาง การบาดเจ็บหรือเป็นโรคบางชนิด พฤติกรรมการใช้งานดวงตา เป็นต้น เมื่อเกิดอาการระคายเคืองตาสามารถบรรเทาด้วยตัวเองได้โดยการล้างทำความสะอาดดวงตาด้วยน้ำเกลือหรือน้ำสะอาด ประคบเย็นหรือร้อน หยอดน้ำตาเทียม หยอดยาหรือกินยาแก้แพ้ หากมีอาการเคืองตารุนแรงเช่น มีของเหลวสีเขียวหรือเหลืองอยู่ในดวงตา ตามีความไวต่อแสงมาก รู้สึกปวดอย่างรุนแรง สูญเสียการมองเห็นอย่างฉับพลัน เกิดการบาดเจ็บอย่างรุนแรง เช่น ถูกของแข็งกระแทก สารเคมีเข้าตา เป็นต้น ต้องรีบเข้าพบแพทย์เพื่อทำการรักษา เมื่อมีอาการเคืองตาสามารถเข้ารับการรักษาได้ที่ศูนย์รักษาโรคกระจกตา Bangkok Eye Hospital ดูแล ให้คำปรึกษาและรักษาแบบครบวงจรโดยทีมจักษุแพทย์ผู้มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญด้านดวงตาโดยเฉพาะ โดยใช้เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาที่ทันสมัยได้มาตรฐานในระดับสากล     อาการระคายเคืองตาเป็นอย่างไร อาการระคายเคืองตา (Eye Irritation) เป็นภาวะที่รู้สึกไม่สบายดวงตาหรือบริเวณรอบดวงตา เหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในดวงตา โดยมักมีอาการเจ็บ ปวด คัน ตาแดงหรือบวม ตาไวต่อแสง และน้ำตาไหล อาการดังกล่าวเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก โดยทั่วไปมักไม่รุนแรงและหายไปได้เอง อย่างไรก็ตาม หากมีอาการเรื้อรังหรือรุนแรงซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ หรือมีสิ่งแปลกปลอมและสารเคมีเข้าดวงตา ควรเข้ารับการตรวจจากจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการรักษาอย่างถูกวิธี     หาสาเหตุอาการเคืองตา เกิดจากอะไรได้บ้าง อาการเคืองตาสามารถเกิดขึ้นมาได้จากหลายสาเหตุทั้งจากปัจจัยภายนอก พฤติกรรมการใช้งานดวงตาและจากการเป็นโรคบางชนิด ดังนี้ 1. แสงแดดและมลภาวะ มลภาวะต่างๆ เช่น ฝุ่นละออง ควันจากบุหรี่ มลพิษจากไอเสียรถยนต์ และรังสียูวีที่มีอยู่ในแสงแดด รวมทั้งการสัมผัสความร้อน โดยเฉพาะบริเวณกลางแจ้งที่มีลมแรง อาจเป็นสาเหตุที่กระตุ้นให้เกิดอาการระคายเคืองตา ทำให้เกิดอาการตาแห้ง ตาแดง และน้ำตาไหลได้ 2. สิ่งแปลกปลอมเข้าตา สิ่งแปลกปลอมลักษณะต่างๆ เช่น ขนตา เศษดิน เศษแก้ว ก้อนหิน ทราย แมลง รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับร่างกาย เช่น แชมพู สบู่ เครื่องสำอาง มีส่วนทำให้เกิดความระคายเคืองในดวงตาได้ อาการที่พบบ่อยได้แก่ แสบหรือเจ็บตา น้ำตาไหล ตาอักเสบ หรือหากสิ่งแปลกปลอมมีความแหลมคม อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บรุนแรง มีเลือดออกจากดวงตาได้ เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตาให้หลีกเลี่ยงการขยี้ตา ควรกะพริบตาถี่ๆ หรือใช้น้ำเกลือหรือน้ำสะอาดล้างตา แต่หากมีอาการบาดเจ็บที่ตารุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษา 3. คอนแท็กต์เลนส์และเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ที่นำมาใช้กับดวงตา เช่น คอนแท็กต์เลนส์และเครื่องสำอาง เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการเคืองตาได้ การใช้เครื่องสำอางที่หมดอายุ การไม่ทำเช็ดล้างเครื่องสำอางให้หมดจดก่อนเข้านอน และการติดขนตาปลอม อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองตา รวมถึงความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ อาการที่พบ ได้แก่ ตาแดง แสบตา น้ำตาไหล การมองเห็นไม่ชัด และมีความไวต่อแสงเพิ่มขึ้น การใช้คอนแท็กต์เลนส์อย่างไม่ถูกวิธี เช่น การล้างทำความสะอาดไม่ถูกต้อง การใส่คอนแท็กต์เลนส์ที่ไม่พอดีกับดวงตา การใช้งานร่วมกับผู้อื่น การใส่คอนแท็กต์เลนส์ขณะนอนหลับ หรือการใช้คอนแท็กต์เลนส์แฟชั่นที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจทำให้ดวงตาระคายเคือง เกิดแผลที่กระจกตา และเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ 4. อาการตาแห้ง ตาแห้งเกิดจากการที่ต่อมน้ำตาไม่สามารถผลิตน้ำตาได้ในปริมาณที่เพียงพอ ทำให้ดวงตาขาดน้ำช่วยหล่อลื่นและรักษาความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ ผู้ที่มีอาการตาแห้งจะรู้สึกระคายเคืองตาเหมือนอะไรเข้าตาแต่ไม่มี มีอาการคันตา บางรายอาจรู้สึกแสบร้อนหรือมองเห็นภาพไม่ชัด การเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตา เช่นการหยอดน้ำตาเทียมจะช่วยบรรเทาอาการดังกล่าวได้ 5. อาการตาล้า อาการตาล้ามักเกิดขึ้นจากการจ้องมองหน้าจอ เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ต เป็นเวลานานโดยไม่ได้พักสายตา หรือเรียกภาวะนี้ว่า "คอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม" (Computer Vision Syndrome) ผู้ที่มีอาการตาล้าจะรู้สึกเมื่อยล้าดวงตา มีอาการตาแห้ง ระคายเคืองตา รวมทั้งมีอาการปวดหัว ปวดคอ และปวดไหล่ร่วมด้วย อาการนี้สามารถบรรเทาได้โดยการหยุดพักการใช้สายตา ไม่ดูหน้าจอต่อเนื่องนานเกินไป     6. เปลือกตาอักเสบ เปลือกตาอักเสบเกิดจากการอุดตันของต่อมไขมันบริเวณเปลือกตา หรืออาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการระคายเคืองตาเปลือกตาบน ตาแดง แสบตา มีสะเก็ดเล็กๆ บริเวณเปลือกตา ขอบตาบวมแดง และมีน้ำตาหรือขี้ตามาก โดยเฉพาะในช่วงเช้าหลังตื่นนอน การบรรเทาอาการสามารถทำได้โดยใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านการอักเสบในกรณีที่เกิดการติดเชื้อและอักเสบ และในบางรายอาจต้องใช้ยารักษาภูมิแพ้ด้วย   7. ตาแดง ตาแดงเป็นภาวะที่เยื่อบุตาข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างเกิดการอักเสบ ส่งผลให้ตาขาวมีลักษณะเป็นสีแดงหรือชมพู มักเกิดจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย ผู้ป่วยอาจรู้สึกระคายเคืองตา รวมถึงอาจส่งผลต่อการมองเห็น ตาแดงจัดเป็นโรคติดต่อประเภทหนึ่ง สามารถติดต่อกันได้ง่ายผ่านการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ หรือการใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดหน้า หรือผ้าเช็ดตัว หากมีอาการตาแดงควรงดเว้นการรบกวนดวงตาเช่น แต่งหน้าหรือใส่คอนแท็กต์เลนส์ ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นและสะอาดวางบนดวงตา และเข้าพบจักษุแพทย์เพื่อวินิจฉัยว่าอาการตาแดงนั้นเกิดจากติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียแล้วทำการรักษาอย่างถูกต้องต่อไป     8. ตากุ้งยิง ตากุ้งยิงเป็นภาวะที่บริเวณดวงตาเกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย ส่งผลให้เกิดตุ่มนูนขนาดเล็ก มีลักษณะบวมแดงคล้ายกับสิวที่บริเวณขอบหรือด้านในของเปลือกตา อาการที่มักพบ ได้แก่ รู้สึกระคายเคืองตาและปวดบริเวณดวงตา โดยเฉพาะเมื่อกะพริบตา บริเวณเปลือกตาบวมแดงและมีน้ำตาไหล โดยปกติแล้วตากุ้งยิงสามารถหายได้เอง ผู้ป่วยสามารถบรรเทาอาการระคายเคืองได้โดยใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่นประคบบริเวณตากุ้งยิงประมาณ 10-15 นาทีต่อครั้ง 4-5 ครั้งต่อวัน ร่วมกับการนวดเปลือกตาเบาๆ แต่หากอาการไม่ดีขึ้นควรรีบพบแพทย์     9. ภูมิแพ้ ภาวะเยื่อบุตาขาวอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic Conjunctivitis) เป็นภาวะที่ร่างกายตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้ เช่น เกสรดอกไม้ ไรฝุ่น มลภาวะทางอากาศ สะเก็ดผิวหนังสัตว์ เป็นต้น ส่งผลให้เกิดอาการระคายเคืองตา มีตุ่มในตา ตาแดง น้ำตาไหล รวมถึงอาการคันตาอย่างรุนแรง อาการเหล่านี้สามารถบรรเทาได้โดยใช้ยาหยอดตาต้านฮิสตามีนหรือกินยาแก้แพ้เพื่อช่วยลดอาการแพ้และระคายเคืองตา ประคบเย็นบริเวณที่มีความคันมาก นอกจากนั้นควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง ดูแลรักษาความสะอาดภายในบ้านและเครื่องนอนอย่างสม่ำเสมอ ปิดประตูและหน้าต่างให้มิดชิด โดยเฉพาะในวันที่มีลมแรง รวมถึงการใช้เครื่องฟอกอากาศเพื่อช่วยลดปริมาณฝุ่นละอองภายในบ้าน     บรรเทาอาการเคืองตาด้วยตัวเอง ทำได้อย่างไร เมื่อมีอาการระคายเคืองตา สามารถดูแลตัวเองเพื่อบรรเทาอาการได้ด้วยวิธีแก้อาการเคืองตาต่างๆ เหล่านี้ ทำความสะอาดดวงตาด้วยน้ำสะอาดโดยลืมตาในภาชนะที่ใส่น้ำสะอาด หรือปล่อยให้น้ำไหลผ่านดวงตาเบาๆ วิธีนี้จะช่วยขจัดฝุ่นละออง สิ่งสกปรก หรือสารก่อภูมิแพ้ที่อาจติดอยู่ และบรรเทาอาการระคายเคืองได้ ประคบร้อนหรือประคบเย็นโดยใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่นหรือน้ำเย็น บิดให้หมาด และวางเบา ๆ บนเปลือกตา การประคบร้อนเหมาะสำหรับการบรรเทาอาการตาแห้ง การอักเสบของเปลือกตา และตากุ้งยิง เนื่องจากความร้อนจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและช่วยลดการอุดตันของต่อมไขมัน ส่วนการประคบเย็นจะช่วยลดอาการบวมบริเวณดวงตาที่เกิดจากการติดเชื้อหรือการอักเสบเฉพาะที่ได้ หยอดน้ำตาเทียมใช้ในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา ใช้ยาแก้แพ้ที่มีกลไกการทำงานในการยับยั้งปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ถูกกระตุ้นจากสารก่อภูมิแพ้มีทั้งรูปแบบยากินและยาหยอดตาเพื่อบรรเทาอาการระคายเคืองที่เกิดจากโรคภูมิแพ้     อาการแทรกซ้อนจากการเคืองตา โดยทั่วไปแล้วอาการระคายเคืองตามักไม่ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนและสามารถหายได้เอง อย่างไรก็ตามในกรณีที่มีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในดวงตาเช่น ฝุ่น ทราย หรือเศษแก้วเล็ก แล้วทำให้ดวงตาเกิดความเสียหายและเกิดรอยแผลบริเวณกระจกตาซึ่งเป็นเนื้อเยื่อใสบางๆ ที่ปกคลุมดวงตาที่เรียกว่า การบาดเจ็บที่กระจกตา (corneal abrasion) แม้ว่าการถลอกของกระจกตามักจะหายได้เองแต่ผู้ป่วยอาจต้องเข้ารับการรักษาเพื่อรับยาหยอดตาบรรเทาอาการปวด ป้องกันอาการเคืองตาได้อย่างไร การดูแลดวงตานอกจากจะทำให้ดวงตามีสุขภาพที่ดีในระยะยาวแล้ว ยังช่วยป้องกันอาการเคืองตาได้ โดยสามารถทำได้ดังนี้ สวมแว่นกันแดดที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA และ UVB ทุกครั้ง ที่ต้องออกไปอยู่กลางแจ้ง สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันดวงตาเช่น แว่นตานิรภัย แว่นตากันกระแทก เมื่อต้องทำงานหรือทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยง เช่น ทำงานใกล้ฝุ่นหรือเครื่องจักร การเล่นกีฬาโลดโผน การทำงานก่อสร้าง การซ่อมแซมบ้าน การขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ เป็นต้น ไม่จ้องมองหน้าจอเป็นเวลานานควรมีช่วงเวลาในการพักสายตาโดยใช้สูตร 20-20-20 โดยหยุดพักสายตาเป็นเวลา 20 วินาที ทุก 20 นาที ด้วยการมองไกลออก 20 ฟุต รักษาความชุ่มชื้นให้กับดวงตาเพื่อป้องกันตาแห้ง เช่น การกะพริบตาบ่อยๆ การหยอดน้ำตาเทียม ไม่ใช้เครื่องสำอางร่วมกับผู้อื่นเครื่องสำอางที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง รวมทั้งไม่ใช่เครื่องสำอางที่หมดอายุ ทำความสะอาดรอบดวงตาเป็นประจำทุกวันด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยน ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับรอบดวงตาโดยเฉพาะ หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสดวงตาหากจำเป็น ควรล้างมือให้สะอาดและเช็ดให้แห้งก่อน เพื่อป้องกันการติดเชื้อ หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสิ่งที่กระตุ้นให้เคืองตาเช่น ฝุ่นละออง ควัน สารก่อภูมิแพ้ ละอองเกสรดอกไม้ ขนหรือสะเก็ดผิวหนังของสัตว์เลี้ยง หรือสารคลอรีนที่อยู่ในสระว่ายน้ำ   อาการเคืองตาแบบไหนควรรีบพบแพทย์ โดยปกติแล้วอาการระคายเคืองตาสามารถหายไปได้เองเมื่อดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี อย่างไรก็ตามหากพบว่ามีอาการเหล่านี้อย่างความรุนแรงและเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน หรือหากอาการยังคงอยู่เกินกว่า 48 ชั่วโมง ควรเข้าพบจักษุแพทย์เพื่อประเมินอาการและทำการรักษา โดยอาการที่ควรรีบพบจักษุแพทย์ได้แก่   มีของเหลวสีเขียวหรือเหลืองอยู่ในดวงตา ตามีความไวต่อแสงมาก รู้สึกปวดอย่างรุนแรง สูญเสียการมองเห็นอย่างฉับพลัน เกิดการบาดเจ็บอย่างรุนแรง เช่น ถูกของแข็งกระแทก สารเคมีเข้าตา เป็นต้น รักษาอาการเคืองตา ที่ศูนย์รักษาโรคกระจกตา Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร หากมีอาการเคืองตา แนะนำให้เข้ามาปรึกษาและรักษาอาการเหล่านี้ได้ที่ศูนย์รักษาโรคกระจกตา Bangkok Eye Hospital ที่นี่โดดเด่นด้านการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ด้วยทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีจุดเด่นดังนี้   โรงพยาบาลมีทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย พร้อมให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง สรุป อาการระคายเคืองตา (Eye Irritation) เป็นภาวะที่รู้สึกไม่สบายดวงตาหรือบริเวณรอบดวงตา เหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในดวงตา โดยมักมีอาการเจ็บ ปวด คัน ตาแดงหรือบวม ตาไวต่อแสง และน้ำตาไหล อาการดังกล่าวเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น มลภาวะและแสงแดด สิ่งแปลกปลอม เครื่องสำอาง การบาดเจ็บหรือโรคบางชนิด พฤติกรรมการใช้งานดวงตา โดยอาการระคายเคืองตาทั่วไปแล้วมักไม่รุนแรงและหายไปได้เอง อย่างไรก็ตาม หากมีอาการเรื้อรังหรือรุนแรง ควรเข้ารับการตรวจจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการรักษาต่อไป หากมีอาการระคายเคืองตาเหมือนอะไรเข้าตาแต่ไม่มีวิธีแก้ไข ต้องการดูแลสุขภาพของดวงตา รวมทั้งมีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับดวงตา เข้ามาปรึกษาได้ที่ศูนย์รักษาโรคกระจกตา Bangkok Eye Hospitalที่นี่ดูแลและรักษาโดยทีมจักษุแพทย์ผู้มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญด้านดวงตาโดยเฉพาะ
calling
ติดต่อเรา : +662 511 2111