มุมสุขภาพตา : #ปัญหาสายตา

เรียงตาม

กระจกตาบางเกิดจากอะไร? อาการ ผลกระทบต่อสายตาและวิธีรักษา

กระจกตาบางคือภาวะที่กระจกตาซึ่งเป็นชั้นโปร่งใสด้านหน้าตาของดวงตามีความหนาน้อยกว่าปกติ ส่งผลต่อการมองเห็นและสุขภาพตา กระจกตาบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การเสื่อมตามวัย การขยี้ตาบ่อยๆ โรคทางพันธุกรรม หรือผลข้างเคียงจากการผ่าตัดตา เช่น เลสิก อาการของกระจกตาบางที่สังเกตได้ เช่น ตาพร่ามัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย มองเห็นภาพบิดเบี้ยว และสายตาเอียงสูงผิดปกติ กระจกตาบางคือภาวะที่ความหนาของกระจกตาลดลงกว่าปกติ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการโฟกัสแสงเข้าสู่ดวงตา ทำให้การมองเห็นมีความคมชัด หากกระจกตาบางเกินไป อาจเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสายตา เช่น สายตาผิดปกติ หรือมีผลกระทบต่อการรักษาดวงตาด้วยวิธีต่างๆ เช่น เลสิก การเข้าใจสาเหตุ อาการ และการดูแลกระจกตาบางอย่างถูกต้อง จึงช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและดูแลสุขภาพตาได้ดีขึ้น       กระจกตาคืออะไร? สิ่งสำคัญต่อการมองเห็น กระจกตา (Cornea) คือชั้นโปร่งใสและโค้งอยู่ด้านหน้าสุดของดวงตา ครอบคลุมตาดำ มีหน้าที่ช่วยหักเหแสงให้เข้าสู่ดวงตา ทำให้เรามองเห็นชัดเจน และยังเป็นเกราะป้องกันเชื้อโรคโดยตรง โดยปกติความหนาของกระจกตาจะอยู่ที่ประมาณ 520-550 ไมครอน และสามารถบางลงได้ตามอายุที่เพิ่มขึ้นด้วย       รู้จักกับกระจกตาบาง กระจกตาบางคือลักษณะของกระจกตาที่มีความหนาน้อยกว่า 500 ไมครอน (0.5 มิลลิเมตร) โดยทั่วไปไม่ถือเป็นโรคและไม่ต้องรักษา แต่กระจกตาบางจะส่งผลต่อการวินิจฉัยโรคบางอย่าง เช่น ต้อหิน เพราะทำให้วัดความดันตาต่ำกว่าความจริง รวมถึงส่งผลต่อการเลือกวิธีแก้ไขสายตา เช่น หากผู้ป่วยต้องการทำ LASIK และ มีระดับค่าสายตาที่มีผิดปกติสูง เช่น สั้น หรือ เอียงมาก โดยมีความหนาของกระจกตาน้อย เมื่อเปรียบเทียบกันกับเนื้อกระจกตาที่ต้องใช้ผ่าตัด หลังจากได้รับการตรวจจากผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียด เเพทย์ประเมินแล้วอาจจะไม่สามารถแก้ไขค่าสายตาได้หมด หรืออาจทำให้ กระจกตาเสี่ยงเป็นโรคกระจกตาอื่นๆหลังการแก้ไข เเพทย์อาจประเมินให้ผู้ป่วยทำการรักษาด้วยวิธีการอื่นๆ เช่น PRK ICL FemtoLASIK ReLEx SMILE Pro หรือ NanoLASIK  แทนการทำ LASIK แบบทั่วๆไป ซึ่งเป็นการเเก้ไขที่ใช้หรือรบกวนความหนาของกระจกตาน้อยกว่าเพราะฉะนั้น ก่อนทำเลสิกจึงต้องสังเกตและตรวจประเมินความหนาของกระจกตาอย่างละเอียด เพราะหากบางเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะสายตาเอียงผิดปกติ หรือกระจกตาย้วย ซึ่งส่งผลต่อการมองเห็นได้ นอกจากนี้หลายคนยังสงสัยว่า “ใส่คอนแท็กต์เลนส์ ทำให้กระจกตาบางจริงไหม?” คำตอบคือ โดยทั่วไปการใส่คอนแท็กต์เลนส์อย่างถูกวิธี ไม่ได้ทำให้กระจกตาบางลง แต่หากใส่นานเกินไป ไม่ถอดล้างหรือดูแลอย่างถูกต้อง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเกิดภาวะขาดออกซิเจนที่กระจกตา ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อบางลงได้เช่นกัน       กระจกตาบางเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง? กระจกตาบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ การเข้าใจสาเหตุเหล่านี้ช่วยให้สามารถป้องกันและดูแลสุขภาพตาได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น โดยสาเหตุที่พบได้บ่อย มีดังนี้   โรคทางพันธุกรรม แม้ว่าภาวะกระจกตาบางมักเกิดจากพฤติกรรมบางอย่าง แต่ในบางกรณี ความผิดปกตินี้อาจมีสาเหตุจากโรคพันธุกรรมที่ถ่ายทอดภายในครอบครัว หนึ่งในโรคที่พบบ่อย คือ กระจกตาย้วย (Keratoconus) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของภาวะกระจกตาบาง กระจกตาจะบางลงและโป่งยื่นออกมาคล้ายรูปกรวย ทำให้สายตาเอียงผิดปกติ และการมองเห็นแย่ลงเรื้อรัง มักเริ่มแสดงอาการในช่วงวัยรุ่นถึงอายุ 30 ปี โรคกระจกตาบางจากพันธุกรรมอื่นๆ (Corneal Dystrophies) เช่น Pellucid Marginal Degeneration (PMD) ซึ่งกระจกตาจะบางลงบริเวณขอบด้านล่าง   การบาดเจ็บหรือการผ่าตัดตา การผ่าตัดแก้ไขสายตาบางประเภท เช่น การทำเลสิก (LASIK) หรือ PRK อาจส่งผลให้กระจกตาบางลงได้ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการเลเซอร์เนื้อกระจกตา ออกไปมากเกินความจำเป็น ทำให้ความหนาของกระจกตาที่เหลืออยู่ไม่เพียงพอ เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น กระจกตาย้วยในอนาคต นอกจากนี้การบาดเจ็บที่กระจกตาซ้ำๆ รวมถึงการติดเชื้อที่รุนแรง เช่น แผลที่กระจกตาหรือกระจกตาอักเสบ ก็สามารถทำลายเนื้อเยื่อกระจกตาและทำให้เกิดการบางลงได้เช่นกัน โดยเฉพาะหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที   โรคอื่นๆ หรือการใช้ยา โรคทางภูมิคุ้มกันบางชนิด เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) หรือโรคเอสแอลอี (SLE) อาจส่งผลกระทบต่อกระจกตา ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และนำไปสู่ภาวะกระจกตาบางได้ในระยะยาว เนื่องจากภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเนื้อเยื่อของตาเอง ในขณะเดียวกัน การใช้ยาหยอดตาบางชนิด โดยเฉพาะยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ หากใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจมีผลข้างเคียงต่อโครงสร้างของกระจกตา ทำให้เนื้อเยื่อกระจกตาอ่อนแอและบางลงได้เช่นกัน       อาการของภาวะกระจกตาบาง ภาวะกระจกตาบางมักพัฒนาอย่างช้าๆ จนอาจไม่สังเกตเห็นได้ในระยะแรก การเรียนรู้ที่จะสังเกตอาการเบื้องต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรักษาได้อย่างทันท่วงที โดยอาการที่อาจพบมีดังนี้ การมองเห็นพร่ามัวหรือไม่ชัดเจน ค่าสายตาเปลี่ยนแปลงบ่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ มีค่าสายตาเอียงสูงกว่าปกติ มองเห็นภาพบิดเบี้ยว หรือมีลักษณะผิดรูปจากความจริง       วิธีการตรวจและวินิจฉัยกระจกตาบาง โดยปกติแล้วภาวะกระจกตาบางมักถูกตรวจพบในขั้นตอนการประเมินสายตาก่อนทำเลสิก ซึ่งแพทย์จะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Keratometerตรวจวัดความโค้งของกระจกตาและค่าสายตาเอียง โดยการสะท้อนแสงบนกระจกตาเพื่อตรวจหารูปร่างและความโค้งที่ผิดปกติ ซึ่งความโค้งที่ผิดปกตินี้ อาจสัมพันธ์กับความบางของกระจกตา นอกจากนั้นยังมีการตรวจ Corneal Tophography หรือแผนภูมิดวงตาเพื่อประเมินค่าความหนาบางและความผิดปกติของกระจกตาอื่นๆด้วย โดยอาจจะมีการวัด Tomographic Biomechanical Index หรือ ค่าความเเข็งเเรงของกระจกตา เสริมเพื่อตรวจความเสี่ยงของโรค Corneal Ectasia หรือโรคกระจกตาโป้งอีกด้วย แม้ว่าจะสามารถสังเกตอาการเบื้องต้นได้ เช่น มองเห็นไม่ชัดหรือค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย แต่การวินิจฉัยว่ามีกระจกตาบางจริงหรือไม่นั้น ต้องอาศัยการตรวจโดยจักษุแพทย์เท่านั้น เพราะการสังเกตอาการด้วยตนเองเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น ไม่สามารถยืนยันผลได้ ดังนั้นหากสงสัยว่าตนเองมีกระจกตาบาง ควรเข้ารับการตรวจอย่างละเอียดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวางแผนการดูแลและรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้น   สรุป กระจกตาบางเป็นภาวะที่หลายคนไม่รู้ตัว แต่สามารถส่งผลกระทบต่อการมองเห็น เช่น ตาพร่ามัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย หรือภาพบิดเบี้ยว ซึ่งอาจเกิดจากพันธุกรรม โรคภูมิคุ้มกัน การผ่าตัดแก้ไขสายตา หรือการใช้ยาบางชนิด การตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกจึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่วางแผนทำเลสิก ควรเข้ารับการตรวจวัดความหนาและความโค้งของกระจกตาอย่างละเอียดที่ Bangkok Eye Hospital ด้วยเครื่องมือทันสมัยและแพทย์เฉพาะทาง เพื่อป้องกันและดูแลสุขภาพดวงตาได้อย่างมั่นใจ   คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกระจกตาบาง (FAQ) หลายคนที่เพิ่งเคยได้ยินเกี่ยวกับภาวะกระจกตาบางอาจมีข้อสงสัยมากมาย เพื่อช่วยให้เข้าใจมากขึ้น เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาวะกระจกตาบาง พร้อมคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญมาฝากกันในบทความนี้   ทำอย่างไรให้กระจกตาหนาขึ้น ความหนาของกระจกตาไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากเป็นความผิดปกติที่เกิดจากโครงสร้างภายในชั้นกระจกตาเอง   ถ้าปล่อยให้กระจกตาบางแล้วไม่รักษา จะเป็นอย่างไร? สายตาพร่ามัวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถแก้ไขด้วยแว่นหรือคอนแท็กต์เลนส์ปกติได้ กระจกตาโป่งยื่นออกมามากผิดปกติ ทำให้การมองเห็นแย่ลงอย่างถาวร ในบางกรณีรุนแรงมาก อาจเกิดภาวะกระจกตาบวมน้ำฉับพลัน (Acute Hydrops) หรือกระจกตาทะลุ ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินและอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้หากไม่ได้รับการปลูกถ่ายกระจกตา   สามารถป้องกันภาวะกระจกตาบางได้ไหม หลีกเลี่ยงการขยี้ตาแรงๆ เพราะการขยี้ตาเป็นประจำและรุนแรงสามารถทำให้กระจกตาบางลงและเป็นตัวกระตุ้นให้โรคกระจกตาย้วยแย่ลง ดูแลสุขภาพตาโดยรวม เช่น ไม่ใช้คอนแท็กต์เลนส์นานเกินไป และรักษาความสะอาดของดวงตา พบจักษุแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคเกี่ยวกับกระจกตา เพื่อให้สามารถวินิจฉัยและเริ่มการรักษาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะให้ผลลัพธ์การรักษาที่ดีกว่า  
อ่านเพิ่มเติม
ศูนย์รักษาต้อกระจก
ศูนย์รักษาจอประสาทตา
ศูนย์เลสิก LASER VISION
ศูนย์รักษาต้อหิน
ศูนย์รักษากระจกตา
ศูนย์รักษาตาเด็ก
ศูนย์ศัลยกรรมตกแต่งรอบดวงตา
ศูนย์รักษาจักษุประสาทวิทยา

ภาพเบลอในสนาม อาจทำให้คุณพลาดโอกาสสำคัญ

"ภาพเบลอในสนาม อาจทำให้คุณพลาดโอกาสสำคัญ" ⚽👀 เพราะในทุกวินาทีของการแข่งขัน… “สายตา” คืออาวุธลับที่คุณอาจมองข้าม จะเล็ง จะส่ง จะยิง ทุกจังหวะต้องแม่นยำ แต่ถ้ามองไม่ชัดตั้งแต่แรก คุณอาจพลาดสิ่งสำคัญที่อยู่ตรงหน้า โอกาสสำคัญที่คุณอาจพลาดไป ไม่ว่าจะเป็น: ✅ โอกาสในการยิงประตู ✅ การอ่านเกมในเสี้ยววินาที ✅ การเคลื่อนไหวที่มั่นใจและคล่องตัว การทำเลสิกช่วยให้คุณกลับมามองเห็นชัด ลดการพึ่งพาแว่นหรือคอนแทคเลนส์ พร้อมเปลี่ยนทุกเกมให้คุณ "คุมสนามได้อยู่หมัด" พร้อมลงสนามด้วยสายตาที่เหนือกว่า 📍 Laser Vision at Bangkok Eye Hospital ปรึกษาการทำเลสิกสอบถามได้ที่ 02-511-2111 #LASERVISION #SMILEPro #LASIK #smarteyehospital #BangkokEyeHospital #QualityEyeCare #BestVisionBestVersion #NoBlade #เลสิกไร้ใบมีด #LASIKForSport #Sport #Football #กีฬาฟุตบอล
ศูนย์รักษาต้อกระจก
ศูนย์รักษาจอประสาทตา
ศูนย์เลสิก LASER VISION
ศูนย์รักษาต้อหิน
ศูนย์รักษากระจกตา
ศูนย์รักษาตาเด็ก
ศูนย์ศัลยกรรมตกแต่งรอบดวงตา
ศูนย์รักษาจักษุประสาทวิทยา

Laser Vision: ปลดล็อกศักยภาพนักกอล์ฟ ด้วยเลสิก (LASIK) และ SMILE Pro

กอล์ฟ คือ เกมของการโฟกัส 🏌️‍♂️ เล่นกอล์ฟเก่งแค่ไหน ถ้ามองไม่ชัด… ก็พลาดได้ง่าย ๆ การทำเลสิก ไม่ได้แค่ช่วยให้คุณมองชัดขึ้นแต่ช่วย “ยกระดับเกม” ของคุณไปอีกขั้น ไม่ต้องเล็งผ่านเลนส์ ไม่ต้องพะวงแว่นหลุด เห็นธงชัดตั้งแต่ระยะ 200 หลา เล่นได้มั่นใจ โฟกัสได้เต็มที่ในทุกหลุม อย่าปล่อยให้สายตาเป็นอุปสรรคของวงสวิง ยกระดับเกมกอล์ฟของคุณวันนี้ 📍 Laser Vision at Bangkok Eye Hospital เลียบทางด่วนรามอินทรา ดวงตามีคู่เดียว มั่นใจให้แพทย์เฉพาะทางดูแล ปรึกษาการทำเลสิกสอบถามได้ที่ 02-511-2111 #LASERVISION #SMILEPro #LASIK #smarteyehospital #BangkokEyeHospital #QualityEyeCare #BestVisionBestVersion #GolfVision #LASIKForGolfers

รู้จักกับแสงสีฟ้าในชีวิตประจำวัน และวิธีลดผลกระทบต่อสุขภาพดวงตา

แสงสีฟ้าคือคลื่นแสงพลังงานสูงที่มีความยาวคลื่นสั้น อยู่ในช่วง 415-455 นาโนเมตร พบได้ทั้งจากแหล่งธรรมชาติ เช่น แสงอาทิตย์ และจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น หน้าจอคอมพิวเตอร์ แท็บเลต สมาร์ตโฟน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อดวงตาและการนอนหลับได้ แสงสีฟ้าอาจทำให้ดวงตาล้า ตาแห้ง มองเห็นไม่ชัด เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคจอประสาทตาเสื่อม และรบกวนการหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนิน ส่งผลให้นอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท การป้องกันแสงสีฟ้าทำได้โดยปรับความสว่างหน้าจอให้เหมาะสม ใช้โหมดแสงสีโทนอุ่น สวมแว่นกรองแสงสีฟ้า พักสายตาด้วยกฎ 20-20-20 ใช้น้ำตาเทียมบรรเทาตาแห้ง และหลีกเลี่ยงการใช้หน้าจอก่อนนอน Bangkok Eye Hospital มีบริการตรวจวินิจฉัยและรักษาอาการตาล้า ตาแห้ง และปัญหาสายตาจากแสงสีฟ้า ด้วยเทคโนโลยีทันสมัยและจักษุแพทย์ผู้ชำนาญการ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมในอนาคต   ยุคที่เทคโนโลยีและการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และแท็บเล็ต เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น แสงสีฟ้าที่ปล่อยออกมาจากหน้าจอเหล่านี้กลายเป็นสิ่งที่เราสัมผัสอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าแสงสีฟ้าจะมีประโยชน์ในหลายด้าน แต่ก็มีผลกระทบต่อสุขภาพดวงตาและการนอนหลับหากได้รับในปริมาณมากเกินไป มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับแสงสีฟ้าและวิธีการลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับดวงตาและการใช้ชีวิตประจำวันกัน     แสงสีฟ้าคืออะไร? ทำไมถึงส่งผลกระทบต่อสุขภาพดวงตา แสงสีฟ้า (Blue Light) คือคลื่นแสงที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งมีความยาวคลื่นอยู่ในช่วง 415-455 nm แสงสีฟ้ามีพลังงานสูงและคล้ายคลึงกับรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) จึงสามารถทะลุผ่านอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะดวงตาและอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตา     แหล่งที่มาของแสงสีฟ้าในชีวิตประจำวัน ในชีวิตประจำวัน การหลีกเลี่ยงแสงสีฟ้าอาจเป็นเรื่องยาก เนื่องจากแสงสีฟ้ามีทั้งที่มาจากแหล่งธรรมชาติและสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ ซึ่งแต่ละแหล่งจะมีระดับความเข้มข้นของแสงสีฟ้าที่แตกต่างกันไป ดังนี้ แสงสีฟ้าจากธรรมชาติ นอกจากแสงสีฟ้าที่มาจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แล้ว แสงสีฟ้ายังสามารถพบได้จากธรรมชาติอีกด้วย เช่น แสงจากดวงอาทิตย์ที่ผ่านชั้นบรรยากาศ ซึ่งมีพลังงานสูงและความยาวคลื่นสั้น เมื่อแสงเหล่านี้ปะทะกับโมเลกุลของน้ำและอากาศ จะกระจายฟุ้งออกทั่วท้องฟ้าในเวลากลางวัน ทำให้เรามองเห็นท้องฟ้าเป็นสีฟ้า แสงสีฟ้าจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แสงสีฟ้าที่มาจากหน้าจอของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิดที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น สมาร์ตโฟน อุปกรณ์ทัชสกรีนต่างๆ หรือแม้กระทั่งหลอดไฟฟ้า ความเข้มข้นของแสงสีฟ้าในแต่ละอุปกรณ์อาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะและประเภทของอุปกรณ์นั้นๆ     ผลกระทบของแสงสีฟ้าต่อสุขภาพดวงตาและการนอนหลับ อันตรายจากแสงสีฟ้าคือการที่คลื่นพลังงานสูงสามารถทำลายเซลล์ในเลนส์ตา โดยเฉพาะจอตา (Retina) ส่งผลให้การส่งภาพไปยังประสาทตาไม่แม่นยำ ทำให้มองเห็นภาพเบลอ ตามัว หรือปรับแสงไม่ทัน ซึ่งอาจทำให้ดวงตาต้องใช้เวลาปรับตัวกับสภาพแสงใหม่ ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพดวงตาและการนอนหลับได้ดังนี้ อาการตาล้าและตาแห้ง อาการตาล้า (Asthenopia)และตาแห้ง (Dry Eyes)มักเกิดจากการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่มีรังสี UV และคลื่นแสงสีฟ้าที่มีความเข้มข้นสูง ซึ่งสามารถทำให้เกิดอาการคันตาและตาแดง หากปล่อยทิ้งไว้อาจนำไปสู่ภาวะผิวกระจกตาอักเสบพร้อมรอยแผลบนกระจกตา และทำให้พื้นผิวกระจกตามีความขรุขระ ส่งผลให้เกิดความระคายเคืองและความรำคาญขณะใช้สายตาในชีวิตประจำวัน จอประสาทตาเสื่อม โรคจอประสาทตาเสื่อม (Macular Degeneration)เกิดจากภาวะจอตาบวมและจุดภาพชัด (Macula) ที่รับคลื่นพลังงานแสงสีฟ้าจากหน้าจอ โดยไม่ใช้แว่นกรองแสงสีฟ้าหรืออุปกรณ์ป้องกันดวงตา ทำให้เกิดการเสื่อมสภาพในการส่งสัญญาณการมองเห็นไปยังเส้นประสาทตา ส่งผลให้เกิดอาการตามัวและการมองเห็นที่เสื่อมลง เช่น เห็นภาพสีเพี้ยน มองไม่ชัด หรือเห็นจุดดำตรงกลางภาพ นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดอาการแพ้แสงสีฟ้า เช่น ตาแสบ ตาร้อน และตาแห้ง หากไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่การตาบอดในที่สุด นอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท การได้รับคลื่นพลังงานแสงสีฟ้ามากเกินไปสามารถส่งผลกระทบต่อการนอนหลับ (Insomnia) โดยการรบกวนระบบนาฬิกาชีวิต (Circadian Rhythm) ของร่างกาย แสงสีฟ้าจากหน้าจอจะทำให้ต่อมไพเนียล (Pineal gland) ที่ผลิตฮอร์โมนเมลาโทนิน (Melatonin) ลดลง ส่งผลให้ผู้ป่วยนอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท ซึ่งอาจทำให้สุขภาพโดยรวมเสื่อมลงหากไม่ได้รับการดูแล     วิธีป้องกันแสงสีฟ้าจากหน้าจอ การป้องกันแสงสีฟ้าจากหน้าจอเป็นสิ่งสำคัญเพื่อช่วยถนอมดวงตาและหลีกเลี่ยงผลกระทบต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้หน้าจอนานๆ ซึ่งมีหลายวิธีที่สามารถช่วยลดการสัมผัสกับแสงสีฟ้า ได้แก่ ใส่แว่นกรองแสงสีฟ้า การเลือกใช้เลนส์กรองแสงสีฟ้าสามารถช่วยลดความเครียดของดวงตาและอาการอักเสบ เช่น ตาแดงได้ โดยควรเลือกเลนส์ที่มีประสิทธิภาพในการกรองแสงสีฟ้าระหว่าง 10-65% การทดสอบคุณภาพสามารถทำได้โดยการวัดผลสเปกตรัม RGB ทดสอบเม็ดสีของเลนส์ หรือการสะท้อนแสงสีฟ้าจากเลนส์เพื่อเช็คประสิทธิภาพการกรองแสง ปรับความสว่างหน้าจอให้พอดี ควรปรับระดับแสงจากหน้าจอให้เป็นโทน Warm light เพื่อให้สอดคล้องกับแสงในห้องที่ใช้งาน หากทำงานในเวลากลางคืน ควรเปิดโคมไฟแสงสีขาวร่วมกับการใช้งานหน้าจอคอมพิวเตอร์ พักสายตาตามหลัก 20-20-20 การถนอมสายตาด้วยกฎ 20-20-20 คือการพักดวงตาที่ได้รับรังสีแสงสีฟ้าจากการใช้งานคอมพิวเตอร์หรือทำกิจกรรมที่ใช้สายตามากเกินไป โดยเริ่มจากการหลับตาหรือมองออกไปยังทิวทัศน์ที่มีระยะห่างอย่างน้อย 20 ฟุต เป็นเวลา 20 วินาที ทุกๆ 20 นาทีในระหว่างทำกิจกรรม ติดฟิล์มกรองแสงสีฟ้า ฟิล์มกรองแสงบนจอคอมพิวเตอร์ช่วยป้องกันแสงสีฟ้าที่มีคลื่นรังสี UV และพลังงานสูง ซึ่งสามารถลดอาการตาล้า สายตามัว และตาเบลอจากการจ้องจอนานๆ นอกจากนี้ยังช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของดวงตา และเพิ่มอายุการใช้งานของสายตาให้ยาวนานขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดภาระการปรับตัวโฟกัสของสายตาจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง     หยอดน้ำตาเทียม น้ำตาเทียม (Artificial tears)เป็นสารที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับน้ำตาธรรมชาติ ช่วยหล่อลื่นและเพิ่มความชุ่มชื่นแก่ดวงตา บรรเทาอาการตาล้า ตาแห้ง และอาการแพ้แสงสีฟ้าจากการใช้จอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน โดยช่วยลดความระคายเคืองในดวงตาและทำให้อาการตาล้าบรรเทาลงได้ รับประทานอาหารบำรุงสายตา สารอาหารบำรุงสายตาที่ช่วยลดอาการตาแห้ง ตาล้า และต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ การรับสารอาหาร Omega-3 fatty acids ที่มักพบใน ปลาทะเลน้ำลึก เช่น แซลมอน ทูน่า แมคเคอเรล ปลาซาร์ดีน นอกจากนี้ยังมีสารสกัดจากบิลเบอร์รี่ที่มีสารแอนโธไซยานิน (Anthocyanins) ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตในดวงตา รวมไปถึง Lutein และ Zeaxanthin ที่มักพบในผักใบเขียว ช่วยลดอาการตาล้า และดวงตาฟื้นตัวเร็วขึ้นจากการใช้งานหนัก ตรวจสุขภาพดวงตาสม่ำเสมอ ผู้ที่ทำงานโดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นระยะเวลานาน เช่น พนักงานออฟฟิศ ฟรีแลนซ์ในสายงานดิจิทัล โปรแกรมเมอร์ และอาชีพอื่นๆ ที่ต้องจดจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์มากเกินไปอาจเกิดภาวะตาล้าสะสมได้ รวมถึงคนที่มีภาวะสายตาสั้นหรืออายุ 40 ปีขึ้นไปที่เริ่มมีอาการสายตายาว ควรนัดตรวจสุขภาพตาประจำปี เพื่อประเมินสภาพการทำงานของดวงตา พร้อมรับคำแนะนำในการถนอมสายตาจากแสงสีฟ้า เช่น การสวมแว่นตาที่มีเลนส์กรองแสงสีฟ้า และการให้ยาบำรุงสายตา   สรุป แสงสีฟ้า (Blue Light) คือแสงที่มาจากแหล่งต่างๆ ทั้งจากธรรมชาติ เช่น แสงแดด และจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ แสงสีฟ้ามีความเข้มข้นสูงและสามารถทะลุผ่านดวงตาไปยังจอตา ทำให้เกิดอาการตาล้า ตาแห้ง และเสี่ยงต่อโรคตาเสื่อมและปัญหาการนอนหลับ วิธีป้องกัน ได้แก่ การใช้เลนส์กรองแสงสีฟ้า การพักสายตา และปรับความสว่างหน้าจอให้เหมาะสม   โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพมีบริการตรวจวินิจฉัยและรักษาอาการตาล้าและตาแห้งจากแสงสีฟ้า ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อป้องกันและรักษาอาการเหล่านี้ก่อนที่จะลุกลามและกลายเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม ที่อาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็นในระยะยาว   FAQ แสงสีฟ้าที่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อดวงตาของเราในชีวิตประจำวัน หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับแสงสีฟ้า นี่คือคำตอบสำหรับคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับแสงสีฟ้า เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจและรับมือได้ดีขึ้น แสงสีฟ้าอันตรายและทำลายตาจริงไหม? แสงสีฟ้าสามารถทะลุเข้าทำลายเซลล์รับแสงในจอตา ซึ่งอาจส่งผลให้การมองเห็นในส่วนกลางของภาพเสื่อมลงได้ แว่นตัดแสงสีฟ้า จำเป็นไหม แว่นตัดแสงสีฟ้ายังไม่จำเป็นสำหรับบุคคลทั่วไป แต่เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้หน้าจอเป็นเวลานาน หรือผู้ที่มีปัญหาจอตาเสื่อมอยู่แล้ว ทำไมแสงสีฟ้าทำให้นอนไม่หลับ   เมื่อดวงตามองเห็นแสงสีฟ้า มันจะส่งสัญญาณไปยังสมองว่าเป็นเวลากลางวัน ซึ่งจะไปกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนเมลาโทนิน ฮอร์โมนนี้มีบทบาทสำคัญในการควบคุมนาฬิกาชีวิตของเรา โดยเฉพาะการนอนหลับและการตื่นนอน เมื่อมีแสงสีฟ้ามากเกินไปในช่วงเย็น จะทำให้การผลิตเมลาโทนินลดลง จึงทำให้เรานอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท
ศูนย์รักษาตาเด็ก

3 สัญญาณเตือนว่าลูกน้อยอาจมีปัญหาสายตา

3 สัญญาณเตือนว่าลูกน้อยอาจมีปัญหาสายตา   หรี่ตาหรือเอียงคอมอง: ถ้าลูกชอบหรี่ตาหรือเอียงคอเวลาจะมองอะไรไกลๆ เช่น ดูทีวีหรือมองกระดาน อาจเป็นสัญญาณว่ามองไม่ค่อยชัด ชอบเอาของมาดูใกล้ๆ: ถ้าลูกชอบเอาหนังสือหรือของเล่นมาจ่อใกล้หน้า หรือต้องเข้าไปดูทีวีใกล้กว่าปกติ ก็อาจเป็นสัญญาณว่าลูกกำลังมีปัญหาสายตา ขยี้ตาบ่อยๆ: ถึงแม้บางทีเด็กๆ จะขยี้ตาเพราะง่วงหรือเมื่อยล้า แต่ถ้าขยี้ตาบ่อยเกินไป ก็อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าลูกกำลังมีปัญหาสายตาได้เหมือนกัน   สัญญาณอื่นๆ ที่พ่อแม่ควรสังเกต   สมาธิสั้นเวลาต้องใช้สายตา: เช่น ดูทีวี อ่านหนังสือ หรือวาดรูป อ่านหนังสือแล้วชอบหลงบรรทัด: หรืออ่านข้ามๆ ไปบ้าง ไม่อยากทำกิจกรรมที่ต้องใช้สายตา: เช่น ต่อจิ๊กซอว์ ระบายสี หรือเล่นตัวต่อ   ถ้าคุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นพฤติกรรมเหล่านี้ในตัวลูก อย่ารอช้า รีบพาลูกไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจเช็กสายตานะคะ การตรวจพบและรักษาปัญหาสายตาตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้ลูกน้อยมีพัฒนาการทางสายตาที่ดี และเติบโตอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดีค่ะ ติดต่อ ศูนย์รักษาสายตาเด็ก - โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ โทร 02-023-9929, 02-511-2111
calling
ติดต่อเรา : +662 511 2111