|
อาการตาพร่า ตามัว มองไม่ค่อยชัดนั้น เป็นอาการที่เกิดได้บ่อยในชีวิตประจำวัน แต่หากปล่อยไว้นาน ไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ก็อาจทำให้เกิดอันตรายแก่ดวงตาได้ ในบทความนี้จะมาแนะนำวิธีสังเกตอาการตาพร่า พร้อมวิธีการรักษาตาพร่า เพื่อให้ทุกคนกลับมามองเห็นได้ชัดอีกครั้ง
ตาพร่า คืออาการที่ดวงตาไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน มีอาการตาพร่า ตามัว ทำให้มองเห็นภาพเบลอ หรือหรือหากภาพที่เห็นผิดเพี้ยนจนกระทบต่อชีวิตประจำวัน จะไม่สามารถจำแนกได้ว่าสิ่งที่มองเห็นคืออะไร ส่งผลต่อวิถีการดำเนินชีวิตประจำวัน
ตาพร่า ตามัว สามารถสังเกตอาการได้ดังนี้
มองเห็นเป็นภาพเบลอ
การมองเห็นภาพสะท้อน
มองเห็นบุคคลอื่นไม่ชัดเจน เห็นรายละเอียดของใบหน้าน้อยลง เช่น รอยสิว ริ้วรอยต่างๆ กลับมองเห็นเป็นภาพเบลอ ต้องมองระยะใกล้ชิดจึงจะเห็นชัด
มองเห็นภาพระยะไกลแบบเบลอๆ
มองเห็นภาพแคบลง เดินชนสิ่งกีดขวางบ่อยๆ
อาการตาพร่า ตามัวมองไม่ชัดเกิดได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุจากค่าสายตาผิดปกติ สาเหตุจากโรคบางชนิด รวมถึงอาการแทรกซ้อนจากโรค ฯลฯ ทั้งนี้สามารถแบ่งสาเหตุออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
ค่าสายตาที่ผิดปกติส่งผลต่อการมองเห็นในชีวิตประจำวัน ทำให้ดวงตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัดเจน
ปัญหาค่าสายตายาวมองเห็นระยะไกลได้ชัดเจน แต่มองใกล้ไม่ชัด ทำให้ต้องหยิบยื่นสิ่งของออกไปไกลมากขึ้นจึงจะมองเห็น
ปัญหาค่าสายตาสั้นมองเห็นระยะใกล้ได้ชัดเจน แต่มองไกลไม่ชัด ทำให้ต้องเพ่ง จดจ้องสิ่งต่างๆ มากขึ้น
ปัญหาสายตาเอียงเป็นปัญหาที่เกิดจากความผิดปกติของรูปทรงกระจกตา ทำให้กระจกตาไม่สามารถรับรังสีแสงที่กระทบให้ถูกจุดโฟกัสนัยน์ตา
โรคบางชนิดส่งผลให้เกิดอาการตาพร่า ตามัวได้ ยกตัวอย่างเช่น
โรคต้อกระจก(Cataract) เป็นภาวะที่เลนส์ที่อยู่ภายในลูกตามีความขุ่น ทำให้แสงไม่สามารถผ่านเข้าไปในดวงตาได้ ทำให้เกิดอาการตาพร่า มองเห็นไม่ชัดเจน
โรคเยื่อบุตาอักเสบ(Conjuctivitis) เกิดจากการติดเชื้อไวรัส หรือเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เกิดการอักเสบที่บริเวณเยื่อบุตาขาว โดยตาขาวเปลี่ยนเป็นสีแดง หรือมีสีแดงเข้มหากมีการอักเสบหนัก ทำให้เกิดการระคายเคือง ตาพร่า ส่งผลต่อการมองเห็น
โรคเส้นประสาทตาอักเสบ(Optic Neuritis) อาจเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคผิดปกติ หรือเกิดจากการติดเชื้อที่ส่งผลถึงประสาทตา ทำให้ดวงตาไม่สามารถโฟกัสภาพตรงกลางในลานตาได้ เมื่อกลอกลูกตาไปมา จะรู้สึกเจ็บที่เบ้าตา ตาพร่า มองเห็นไม่ชัดเจน
ปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลทำให้เกิดตาพร่า มีดังนี้
ปัญหาตาพร่ามัวจากการเสื่อมถอยของร่างกายเมื่ออายุมากขึ้น อวัยวะต่างๆ ก็เสื่อมสภาพไปตามวัย ความยืนหยุ่นของเลนส์ในตาก็เสื่อมถอย ทำให้ความสามารถในการมองเห็นลดน้อยลง
ปัญหาตาพร่ามัวจากการเกิดโรคแทรกซ้อนเช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน เกิดภาวะเบาหวานขึ้นตา ทำให้ตาพร่า
ปัญหาตาพร่ามัวจากการใส่คอนแท็กต์เลนส์การสวมคอนแท็กต์เลนส์เป็นระยะเวลานาน ทำให้โปรตีนในดวงตาสะสมที่ตัวคอนแท็กต์เลนส์มากขึ้น ส่งผลต่อการไหลเวียนของน้ำตาในกระจกตา เกิดการระคายเคืองได้ง่าย จนเกิดอาการตาพร่าในที่สุด
ปัญหาตาพร่ามัวจากผลข้างเคียงของการทำเลสิกผู้ที่เข้ารับการแก้ไขปัญหาสายตาด้วยวิธีเลสิกอาจเกิดภาวะตาแห้งตาพร่ามัว
ปัญหาตาพร่ามัวจากการตั้งครรภ์ในช่วงที่คุณแม่กำลังตั้งครรภ์ จะมีแหล่งสะสมน้ำในร่างกายมากกว่าปกติ อาจทำให้เกิดปัญหาตาบวม ตาพร่า
โดยทั่วไปแล้ว อาการตาพร่า ตามัว มองไม่ค่อยชัด สามารถรักษาเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง เช่น การล้างตา หยอดน้ำตาเทียม นอนพักผ่อนให้เพียงพอ แต่หากผู้ป่วยมีอาการตาพร่ามัวมองไม่ชัด ร่วมกับอาการปวดหัวในขณะที่ใช้สายตา หรือนัยน์ตาขาวมีสีแดงก่ำ มองเห็นภาพเบลอๆ คล้ายกับมีหมอกบังอยู่ตลอด ควรรีบพบจักษุแพทย์เพื่อรักษาอย่างเร็วที่สุด
สำหรับวิธีการทดสอบอาการตาพร่าเบื้องต้น แนะนำให้ปฏิบัติตามขั้นตอน ดังต่อไปนี้
ให้ผู้ป่วยยืนห่างจากผู้ทดสอบประมาณ 3 เมตร
ผู้ป่วยเริ่มทำการทดสอบด้วยการปิดตาข้างหนึ่ง แล้วทดสอบการมองเห็นของดวงตาอีกข้าง
ผู้ทดสอบทำการชูนิ้ว และเปลี่ยนจำนวนนิ้วไปเรื่อยๆ โดยให้ผู้ป่วยตอบตามสิ่งที่เห็น
สลับเปลี่ยนด้านด้วยการปิดตาอีกข้าง แล้วทำการทดสอบอีกครั้ง
หากคำตอบของผู้ป่วยไม่ตรงกับจำนวนที่ถูกต้อง แสดงว่าผู้ป่วยมีอาการตาพร่า ตามัว ควรเข้ารับการตรวจอย่างละเอียด
สำหรับการวินิจฉัยอาการตาพร่า ตามัวมองไม่ชัด จักษุแพทย์จะทำการวินิจฉัยตามขั้นตอน ดังนี้
จักษุแพทย์สอบถามอาการ และตรวจดูความผิดปกติที่เกิดขึ้น
ทำการทดสอบสายตาเบื้องต้น เช่น การวัดค่าสายตา วัดค่าความดันลูกตา
จักษุแพทย์ตรวจดูรอบดวงตาอย่างละเอียดด้วยกล้องจุลทรรศน์
จักษุแพทย์วินิจฉัย และส่งตรวจหาความผิดปกติเพิ่มเติม เช่น การตรวจเลือด เพื่อค้นหาโรคแทรกซ้อนต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน ไมเกรน ฯลฯ
จักษุแพทย์แนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม
สำหรับการรักษาอาการตาพร่า ตามัว มองเห็นไม่ชัด ทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย และสาเหตุที่ทำให้เกิดตาพร่า โดยสามารถแบ่งแนวทางการรักษาออกเป็น 5 วิธี ดังนี้
การรักษาด้วยการทานอาหารที่ช่วยบำรุงสายตา เช่น การทานเนื้อปลา หรือการทานพืชผักที่มีโอเมก้า 3 เช่น วอลนัท สาหร่าย ถั่วแดง ปลาดุก ปลาทู เป็นต้น วิธีนี้จะใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการตาพร่าเพียงเล็กน้อย เพราะอาจเกิดสาเหตุมาจากการพักผ่อนน้อย หรือมีสาเหตุจากการใช้สายตาเป็นระยะเวลานาน
การรักษาด้วยการทานยาแก้สายตาพร่ามัว ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการตาพร่า มองเห็นภาพเบลอหนัก จนส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน
การรักษาด้วยการบริหารกล้ามเนื้อรอบดวงตา ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีปัญหาค่าสายตา ทำให้ต้องเพ่ง ใช้กล้ามเนื้อตามากกว่าปกติ
การรักษาด้วยการใช้น้ำตาเทียมใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการตาพร่า ร่วมกับอาการตาแห้ง หรือผู้ป่วยที่จำเป็นต้องทำกิจกรรมที่ใช้สายตาบ่อยๆ เช่น การจ้องหน้าคอมพิวเตอร์เป็นระยะเวลานาน เป็นต้น
การรักษาด้วยการผ่าตัด ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีความจำเป็นต้องผ่าตัดเพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับดวงตา เช่น การผ่าตัดเพื่อรักษาต้อกระจก การผ่าตัดเพื่อแก้ไขปัญหาสายตาด้วยการทำเลสิก เป็นต้น
วิธีการป้องกันอาการตาพร่า สามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอควรนอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่
กำหนดเวลาพักสายตาแนะนำให้พักสายตาทุกๆ 30-50 นาที โดยให้มองไปรอบๆ แทนการจดจ่ออยู่กับที่
สวมแว่นกรองแสงสีฟ้าในขณะที่ใช้งานคอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือเพื่อถนอมสายตา ลดโอกาสการเกิดภาวะจอประสาทเสื่อม
สวมแว่นกันแดดเมื่อมีความจำเป็นต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งเพื่อปกป้องดวงตาจากรังสียูวี
รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพเลือกทานผักผลไม้ที่มีประโยชน์ที่ช่วยบำรุงสายตา เช่น
อาหารที่อุดมด้วยวิตามินเอ เช่น ผักผลไม้สีเหลือง ส้ม เขียวอย่างตำลึง แครอท มะละกอ
อาหารที่อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า
อาหารที่มีลูทีนและไลโคปีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยบำรุงสายตา เช่น ข้าวโพด ผักโขม มะเขือเทศ
หากมีอาการตาพร่า ตามัว มองไม่ค่อยชัด แนะนำให้เข้ามาปรึกษาและรักษาอาการเหล่านี้ได้ที่ศูนย์รักษาโรคกระจกตา Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ที่นี่โดดเด่นด้านการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ด้วยทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีจุดเด่นดังนี้
โรงพยาบาลมีทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม
เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย
พร้อมให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ
ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง
อาการตาพร่า ตามัวมองไม่ค่อยชัด เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวัน อาจเกิดจากการพักผ่อนน้อย หรือมีการใช้สายตาอย่างหนัก จนทำให้ตาล้า ตาพร่าได้ แต่หากมีอาการตาพร่ามัวบ่อยๆ หรือมีอาการปวดศีรษะร่วมด้วย ควรรีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด
สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องของดวงตา ขอแนะนำBangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ)ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางที่มีทีมแพทย์มากประสบการณ์ รวมถึงมีอุปกรณ์ที่ทันสมัย ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล เพื่อให้ทุกคนมั่นใจได้ว่าการรักษาเป็นไปอย่างถูกต้อง แม่นยำ และปลอดภัย